แก้วเจ้าจอม ตอนที่ 1
แก้วเจ้าจอม
เรื่องโดย คิงเพนกวิน
เขียนโดย ฌา



เธอ...ย้อนเวลากลับไปในอดีตเพื่อพบกับเขา และเขาเฝ้ารอการมาของเธอ
หัวใจสองดวงได้พันร้อยเกี่ยวกัน กลายเป็นความรักที่ฟ้ามิอาจห้าม


Author’s talk

วันหนึ่งได้นัดทานข้าวกับพี่คิงเพนกวิน และเธอได้ยื่นพล็อตนิยายเรื่องหนึ่งมาให้ ตอนแรกที่เริ่มต้นอ่าน ต้องส่ายหน้าไปมา เพราะว่ามันพล็อตมันซ้ำกับนิยายเรื่องอื่น แต่เธอบอกว่าพล็อตคล้ายกัน แต่โครงเรื่องไม่เหมือนกันแน่ พลางสาธยายเนื้อเรื่องย่อว่าเป็นอย่างไร เมื่อได้ยินเรื่องทั้งหมดแล้ว จึงเกิดความสนใจ ขอพล็อตเธอมาเพื่อต่อยอดจินตนาการของตัวเอง โดยตั้งใจไว้ว่าจะทำให้จบภายใน 15 หน้า แต่มันกลับเพิ่มจำนวนขึ้นเป็นเท่าตัวจนน่าตกใจ

ไม่ค่อยสันทัดแนวย้อนยุคเท่าไรนัก เขียนโดยใช้ข้อมูลที่มีอยู่แค่ในหัวสมอง หากผิดพลาดตรงจุดไหน ช่วยแนะนำด้วยค่ะ

และทั้งนี้ต้องขอบคุณพี่คิงเพนกวินอีกรอบที่ช่วยตรวจทานเนื้อเรื่องและแก้ไขบางจุดเพื่อให้สมเหตุสมผลมากขึ้น

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


ตอนที่ 1

เสียงเอะอะดังออกมาจากห้องนั่งเล่นของบ้านพิทยาธร มันผสมผสานไปด้วยเสียงตะโกนอย่างไม่สบอารมณ์ของนายศรันยู กับคำต่อว่าอย่างไม่เกรงกลัวว่าอีกฝ่ายเป็นบุพการีของแก้วเจ้าจอม ทั้งคู่มีความเห็นไม่ตรงกัน ซึ่งมีเค้าลางมาตั้งแต่สองสามเดือนที่แล้ว และเพิ่งมาระเบิดเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา

สาเหตุของพ่อลูกคู่นี้มาจากเรื่องที่นายศรันยูต้องไปทำงานประจำที่ต่างประเทศ เขาจึงต้องการให้ภรรยาและลูกสาวไปอยู่ที่นั่นด้วยกัน แต่แก้วเจ้าจอมกลับติดเพื่อน เธอวาดฝันไว้ว่าจะเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยเดียวกันกับเพื่อน แม้ว่าจะต้องอยู่ในคณะที่เธอไม่ถนัดก็ตามที มันจึงเป็นชนวนความขัดแย้งของสองพ่อลูก

นางกลิ่นมณฑาได้แต่มองการโต้เถียงนี้อย่างลำบากใจ คนหนึ่งเป็นสามีที่เธอไม่เคยคัดค้านความเห็นของเขา อีกคนหนึ่งเป็นลูกสาวที่เคยตามใจเสมอมา เธอจึงกลายเป็นคนกลางที่ทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ไม่รู้ว่าจะช่วยทางฝ่ายไหนดี

ความรุนแรงของสองพ่อลูกมาถึงขีดสุด นายศรันยูตบหน้าลูกสาวฉาดใหญ่ นางกลิ่นมณฑายกมือขึ้นปิดปากอย่างตกใจ นี่เป็นครั้งแรกที่เรื่องเลวร้ายถึงเพียงนี้ สามีของเธอไม่เคยมีความคิดจะตีลูกสาวอยู่ในสมอง และเธอได้เห็นสีหน้าตกตะลึงยามมองมือของตัวเอง ก่อนปกปิดมันด้วยท่าทางนิ่งขึง

แก้วเจ้าจอมยังคงยืนนิ่งงันอยู่กับที่ ใบหน้าหันไปตามแรงตบของผู้เป็นพ่อ และปรากฏขึ้นเป็นรอยมือแดงปื้นอย่างน่ากลัว หญิงสาวหันกลับไปมองคนที่ลงมือตบตีเธอด้วยน้ำตาคลอเบ้า แต่มันไม่รินไหลออกมาตามเจตนาของเจ้าของ สีหน้าของเธอยามนี้เต็มไปด้วยความเจ็บปวดปนตัดพ้อ ก่อนจะถูกกลบด้วยเพลิงพิโรธที่ลุกโชนขึ้นในแววตา

“พ่อตบหน้าแก้ว” หญิงสาวเค้นเสียงลอดไรฟัน สติของเธอพร้อมที่จะขาดผึงได้ทันที หากนายศรันยูทำอะไรรุนแรงอีก

“เออ! ฉันตบหน้าแก” นายศรันยูตอบกลับไปด้วยท่าทางนิ่งเรียบ ดวงตาคมกล้ามีแววเจ็บปวดเช่นกัน แต่คนที่ถูกโมหะครอบงำไม่สามารถมองเห็นแววตานั้นได้ “แกจะได้สำนึกเสียทีว่าอะไรเป็นอะไร เลิกเอาแต่ใจเสียที!” เขาข่มเสียงหนัก บังคับไม่ให้ริมฝีปากและปลายลิ้นเอ่ยขอโทษที่ทำรุนแรงกับลูกสาวออกไป

“แก้วไม่ไปต่างประเทศ! แก้วอายุสิบแปด โตพอจะอยู่ที่นี่คนเดียวได้แล้ว พ่อไม่ได้ยินหรือไง” คนเอาแต่ใจกรีดร้องดังลั่น เธอไม่เข้าใจเหตุผลที่พ่อหยิบยกขึ้นมาอ้าง นอกจากจะเห็นว่าตัวเองถูกกีดกันไม่ให้คบกับเพื่อนในกลุ่มของเธอ

นายศรันยูหน้าแดงด้วยความโกรธที่ลูกสาวยังดื้อไม่เลิก ทั้งที่เขาหวังอยากให้เธอได้ในสิ่งที่ดี แต่ทำไมแก้วเจ้าจอมถึงไม่ยอมเข้าใจ อีกอย่างเขาก็ไม่ชอบเพื่อน ๆ ของลูก แต่ละคนต่างแต่งตัวแบบไม่อายบรรพชน นิสัยก็โลดโผนจนน่าใจหาย

เมื่อก่อนแก้วเจ้าจอมยังเป็นเด็กเรียบร้อย พูดจาคะขากับพ่อแม่ แต่พอได้คบกับเด็กพวกนั้น นางฟ้าตัวน้อยก็กลายเป็นเด็กที่ก้าวร้าวขึ้น ผมสีดำสนิทที่ผู้เป็นพ่อแม่แสนรักแสนพอใจถูกย้อมเปลี่ยนเป็นสีทอง แล้วผมที่อุตส่าห์ไว้ยาวหลายปีจนถึงสะโพกก็ถูกซอยออกให้เหลือแค่กลางหลัง

พอนึกถึงตอนนี้ นายศรันยูก็นึกหวนเสียใจและกล่าวโทษตัวเอง เพราะความรักทำให้เขาไม่เคยดุด่าหรือติเตียนพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของลูกสาว ระยะห่างระหว่างพ่อกับลูกมันเริ่มขึ้นตั้งแต่เมื่อไรกัน

“อยู่ที่นี่แกก็เอาแฟนเข้าออกบ้านนี้ได้สบายน่ะสิ บ้านฉันไม่ใช่โรงแรมม่านรูด”

“พ่อ!” หญิงสาวร้องเสียงสูงที่โดนกล่าวหาในสิ่งที่ไม่เป็นความจริง เธอเคยบอกผู้เป็นพ่อหลายครั้งหลายหนแล้วว่าไม่เคยคบหากับผู้ชายคนไหน แล้วเพื่อนในกลุ่มมีแต่ผู้หญิงทั้งนั้น ครั้นพอพูดแบบนั้นออกไปกลับโดนเข้าใจผิดไปอีกทางว่าเธอเป็นพวกชอบเพศเดียวกัน กลายเป็นเรื่องขัดเคืองกันทุกครั้งที่มีการเอ่ยถึง

“ฉันจะไม่ให้เงินแกแม้แต่แดงเดียวถ้าไม่ไปต่างประเทศด้วยกัน” นายศรันยูทิ้งท้ายคำพูดไว้แค่นั้น ก่อนหมุนตัวเดินออกจากห้องไป ทิ้งให้ลูกสาวยืนตัวสั่นด้วยความโกรธกับความไร้เหตุผลอันนั้น และภรรยาที่รีบลุกขึ้นไปลูบหลังปลอบขวัญร่างบอบบาง

“แก้ว...ที่พ่อทำแบบนี้เพราะหวังดีกับลูกนะ”

แก้วเจ้าจอมไม่ได้พูดอะไร นอกจากเม้มริมฝีปากแน่น น้ำตาที่ถูกขังเอ่อล้นออกมาหลังจากลับหลังผู้เป็นพ่อไป หญิงสาวรู้สึกเจ็บในอก ตั้งแต่เกิดจนโตมา พ่อไม่เคยตบตีหรือดุด่ารุนแรงแบบนี้ ความน้อยเนื้อต่ำใจผุดขึ้นมา และเฝ้าคิดว่าพ่อคงไม่รักเธอแล้ว

“แก้วจ๋า...”

เสียงสั่นเครือของนางกลิ่นมณฑา และปลายนิ้วที่ปาดเช็ดน้ำตาเรียกแก้วเจ้าจอมหลุดจากภวังค์ความคิด หญิงสาวมองดูมารดาที่ทำหน้าอมทุกข์ ดวงตาที่ฉายแววอบอุ่นอ่อนโยนเสมอเอ่อคลอไปด้วยน้ำตา ความโกรธที่แปรเป็นความเกลียดเมื่อครู่ถูกผ่อนลงด้วยแววตาคู่นี้ เธอก้มลงกอดเอวแม่ก่อนผละออกไปอย่างรวดเร็ว โดยที่นางกลิ่นมณฑาไม่มีโอกาสได้กอดตอบ

“แก้วจะไปหายาย” พูดเสร็จก็หันหลังจากไป โดยไม่สนใจเสียงเรียกรั้งของแม่

“แก้ว!”

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


ลมเย็นพัดเอื่อยต้องใบหน้าขาวที่มีคราบน้ำตาติดแก้ม กลิ่นหอมอ่อนบางโชยต้องจมูกให้อารมณ์ที่เหมือนทะเลคลั่งเริ่มสงบลง แก้วเจ้าจอมเดินลัดเลาะจากตึกใหญ่ของบ้านพิทยาธรไปยังสวนกว้างหลังบ้าน ซึ่งเป็นที่ที่เธอเคยมาวิ่งเล่นยามเด็ก

ในสวนนั้นมีบ้านไม้ชั้นเดียวหลังน้อยที่เป็นแหล่งพักพิงใจยามว้าวุ่น มันเป็นบ้านของยายที่แยกตัวออกมาจากตึกใหญ่ หญิงสาวชอบหลบมาอยู่ที่นี่ตอนทะเลาะกับพ่อบ่อยครั้ง แล้วยายจะคอยเฝ้าปลอบและบอกว่าอย่าเกลียดชังผู้เป็นพ่อเลย แต่ตอนนี้ไม่มีเจ้าของบ้านหลังน้อยที่จะคอยปลอบโยนหลานสาวอีกต่อไป

ดวงตาสีดำขลับทอดมองไปยังต้นแก้วเจ้าจอมที่ยืนเคียงข้างบ้านไม้ มันสูงชะลูดเกือบเท่าตึกสามชั้น และเริ่มผลิดอกออกมาให้เห็นเมื่อฤดูหนาวมาเยือน เขาว่ากันว่าแก้วเจ้าจอมออกดอกยาก แต่ด้วยฝีมือคนเลี้ยงและการดูแลเอาใจใส่อย่างละเอียดทำให้ได้เห็นดอกแก้วเจ้าจอมผลิบาน

แก้วเจ้าจอมมองดอกสีฟ้าอมม่วงที่ส่งกลิ่นหอมระรินต้องจมูก มันให้ความรู้สึกอ่อนหวานนุ่มนวลเหมือนกับมือของยาย บางดอกเริ่มมีสีซีดจางลงจนเกือบกลายเป็นสีขาว บอกให้รู้ว่ามันใกล้โรยราลงมา หญิงสาวก้าวเดินเข้าไปอย่างเชื่องช้า ความคิดย้อนเวลาไปยังช่วงที่ยังมีร่างผอมบางของยายร้องเพลงเห่กล่อม ยามหลานสาวตัวน้อยทิ้งศีรษะลงหนุนตัก มือเหี่ยวย่นจะคอยลูบไล้เรือนผม และแตะเปลือกตาที่กะพริบไปมาให้ปิดลง

ร่างบอบบางทรุดนั่งลงอย่างเชื่องเช้า แล้วเอนตัวลงนอนราบกับพื้นดิน สายลมพัดเอื่อยเฉื่อยพาให้ใบไม้เสียดสีกันจนเกิดเสียงประหลาด แว่วคล้ายเสียงเห่กล่อมของยาย แสงแดดรำไรที่ลอดผ่านมากระทบกับดวงตาจนต้องปรือปิด น้ำตาที่สะกดกลั้นไว้ทะลักไหลเหมือนทำนบแตก

“ยายจ๋า แก้วไม่อยากอยู่ที่นี่อีกแล้ว” เสียงรำพันดังสลับกับเสียงสะอื้นไห้ แต่ไม่มีใครได้ยินนอกจากสายลมที่พัดผ่านผิวกาย เสียงใบไม้ได้เห่กล่อมให้แก้วเจ้าจอมจมลึกสู่ภวังค์ทั้งน้ำตา

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


ไม่รู้ว่าเป็นเวลานานเท่าไรที่แก้วเจ้าจอมเผลอหลับไป หญิงสาวกะพริบตาขึ้น และมองท้องฟ้าที่เปลี่ยนสี เธอผุดลุกขึ้นด้วยความตกใจที่ปล่อยให้ตัวเองหลับยาวจนฟ้ามืด แสงไฟสลัวจากบ้านด้านข้างพอทำให้ดูไม่วังเวงน่ากลัวนัก

บ้านด้านข้างงั้นหรือ?

แก้วเจ้าจอมขมวดคิ้วด้วยความสงสัย บ้านของยายไม่มีใครเข้ามาใช้นอกจากเธอ หญิงสาวหันไปมองบ้านยายด้วยความไม่พอใจ แต่สิ่งที่เอเห็นทำให้ดวงตาคู่สวยเบิกกว้างขึ้นด้วยความตกใจ ที่ตรงนั้นไม่ใช่บ้านไม้ชั้นเดียวของยายอีกต่อไป มันเป็นเรือนไม้ยกพื้นสูง และรายล้อมด้วยไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ที่จำไม่ได้ว่าเคยปลูกไว้

“นี่มันที่ไหนกัน” แก้วเจ้าจอมหลุดเสียงอุทานออกมา พลางเหลียวมองรอบด้านด้วยความตะลึงงัน ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปหมด ยกเว้นต้นแก้วเจ้าจอมที่หญิงสาวเผลอใช้เป็นที่งีบหลับ

หญิงสาวอยากกรีดร้องให้สาสมกับความรู้สึกที่ถาโถมเข้ามา แต่ริมฝีปากกลับหนักอึ้งราวกับโดนหินถ่วงไว้จนไม่สามารถเปล่งเสียงออกมาได้ ความมืดที่ปกคลุมลงมายิ่งทำให้เธอขวัญผวา หากไม่มีแสงไฟจากเรือนไม้ด้านข้างคงทำให้เธอสติแตกยิ่งกว่านี้ น้ำตาที่แห้งเหือดไปเอ่อคลอเต็มเบ้าขึ้นมาอีกครั้ง

ริมฝีปากอิ่มถูกขบเม้มแน่นจนแดงช้ำ เธออยู่ที่ไหน และมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน แม้อยากตะโกนถาม แต่จะมีใครมาตอบคำถามนี้ของเธอ

หรือว่ายายจะพาเธอมาตามคำขอร้องก่อนหลับไป...ความคิดนี้ผุดขึ้นมา แต่แก้วเจ้าจอมส่ายหน้าปฏิเสธ เธอไม่ต้องการให้เป็นแบบนี้ เธอไม่ได้อยากมาในสถานที่ที่ตัวเองไม่รู้จัก

“ไม่นะ ฉันไม่อยากอยู่ที่นี่” หญิงสาวสะอื้นไห้อย่างขวัญเสีย พลางหมุนวนไปมาเหมือนคนหลงที่หาทางกลับบ้านไม่ได้

“ใครอยู่ตรงนั้นน่ะ” น้ำเสียงคล้ายคนเพิ่งแตกเนื้อหนุ่มดังขึ้นจากด้านหลัง แก้วเจ้าจอมสะดุ้งและวิ่งไปหลบอยู่ด้านหลังต้นไม้ที่มีชื่อเดียวกันด้วยความตกใจ

แม้จะรู้ว่ามันปกปิดร่างบอบบางไม่มิด แต่คงดีกว่าการยืนอยู่ในที่โล่งโจ้ง แก้วเจ้าจอมมองเงาร่างที่เคลื่อนเข้ามาด้วยใจลุ้นระทึก เธอไม่มีทางรู้ได้เลยว่าอีกฝ่ายจะมาดีหรือมาร้าย จนกระทั่งเจ้าของความหวั่นวิตกมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้า

ผู้มาใหม่เป็นเด็กหนุ่มไว้สั้นผมรองทรงสะอาดเรียบร้อย เมื่อพินิจจากหน้าตาแล้วท่าทางจะอายุน้อยกว่าหล่อนอยู่หลายปี คาดว่าอายุคงยังไม่ถึง 20 ปีแน่ ๆ แสงไฟจากเรือนไม้ด้านข้างส่องวับแวมให้เห็นสีหน้าในเงามืดที่แสดงถึงความแปลกใจ และเธอเองก็ทำสีหน้าตกใจระคนแปลกใจไม่แพ้กัน

“ใครน่ะ! อย่าเข้ามานะ”

“ใจเย็น ๆ ฉันไม่ใช่คนร้าย บ้านฉันอยู่ที่นี่ ว่าแต่หล่อนเป็นใครกัน? มาอยู่ในสวนบ้านฉันได้อย่างไรแม่คุณ” สำนวนนั้นฟังดูประหลาดอยู่บ้าง แต่แก้วเจ้าจอมไม่มีเวลามาใส่ใจ เธอยังคงตื่นตระหนกและเริ่มแน่ใจว่าตัวเองต่างหากที่พลัดหลงเข้ามาที่นี่ไม่ใช่เขา

“ที่นี่มันที่ไหนกัน?” แก้วเจ้าจอมโต้กลับเสียงเครือ โดยไม่ยอมตอบคำถามของเขา เด็กหนุ่มตรงหน้าดูแปลกประหลาดไปเสียทั้งตัว เขาใส่เสื้อผ้าจีนคอกลมมีกระดุมผ่าหน้า และนุ่งโจงกระเบนราวกับอยู่ในหนังพีเรียตย้อนยุค มันยิ่งทำให้หญิงสาวเพ้อเจ้อไปไกลว่านี่เธอหลงยุคมาหรืออย่างไรกัน

เด็กหนุ่มยิ้มพรายโดยไม่ถือสาหาความอะไรกับผู้หญิงตรงหน้า เธอเป็นคนแปลกในสายตาของเขา และเมื่อเพ่งพิศมองดูให้ดีแล้ว ผู้หญิงคนนี้มีหน้าตาคล้ายพวกเจ๊ก ดวงตารียาวไม่คมเข้มเช่นคนสยาม แต่ไยผมของเธอกลับมีสีทองเหมือนพวกฝรั่งมังค่า อีกทั้งยังโผล่ออกมาในเขตบ้านของเขายามวิกาลเช่นนี้ หรือว่าเธอเป็นนางไม้

อืม...คงเป็นนางไม้ประหลาดที่ผิดจากคำบอกเล่ามากทีเดียว เธอแต่งกายผิดแผกจากคนทั่วไป ในยุคของเขายังไม่มีกางเกงยีนส์อย่างที่แก้วเจ้าจอมสวมอยู่ และหญิงสาวในยุคนนี้ก็ไม่ใส่เสื้อกล้ามตัวเล็กรัดรูปแบบนี้ แต่จะนุ่งผ้าแถบถ้าอยู่บ้าน และใส่เสื้อทรงฝรั่งหรือใส่สไบยามเมื่อออกไปนอกเรือน

“ฉันชื่อโชติ และที่นี่เป็นบ้านของพระยาพิทักษ์เกษมราช เจ้าคุณพ่อของฉัน”

“พระยาอะไรนะ” หญิงสาวถามกลับเสียงเบา ดวงตาเบิกกว้างขึ้นคล้ายไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยินเท่าไร

“พระยาพิทักษ์เกษมราช ท่านเป็นเจ้าคุณพ่อของฉัน” โชติตอบอย่างใจเย็น พลางลอบสังเกตแม่นางไม้ผมทองที่ทำตัวเหมือนนางกวางระวังภัย

“พระยางั้นหรือ นี่มันสมัยไหนกัน!” แม่นางไม้ผมทองร้องเสียงหลงด้วยความตกใจ ดวงตาแดงก่ำเหมือนคนอยากจะร้องไห้ แต่ไม่มีน้ำตาให้ลูกชายพระยาพิทักษ์เกษมราชได้เห็น

“สมัยไหนหรือ คำถามของหล่อนแปลกมากเทียว แม่นางไม้” เด็กหนุ่มตอบพลางยิ้มขำ

“ใครเป็นแม่นางไม้!” แก้วเจ้าจอมแหวใส่คนที่หัวเราะใส่เธอ ความที่อยากร้องไห้หายไปปลิดทิ้ง เมื่อเห็นท่าทางของคนตรงหน้า “ฉันก็มีชื่อนะ ฉันชื่อแก้วเจ้าจอม เธอควรเรียกชื่อฉัน”

“อา...ฉันพอจะเดาชื่อของหล่อนได้” โชติยิ้มน้อย ก่อนปรายตามองต้นแก้วเจ้าจอมที่ออกดอกบานสะพรั่ง เธอปรากฏตัวอยู่ใต้ต้นไม้ต้นนี้ก็ต้องมีชื่อตามต้นที่ตัวเองสถิตอยู่สินะ

แก้วเจ้าจอมรู้สึกหงุดหงิดเมื่อได้เห็นรอยยิ้มของเด็กประหลาด เขาทำตัวสุขุมไม่สมวัย และดวงตาที่จับจ้องมาเหมือนกับจะล้วงลึกเข้าไปในจิตใจของเธอ หญิงสาวอยากจะหันหลังไปจากตรงนี้ แต่จะให้ไปที่ไหนเล่าในเมื่อเธอไม่รู้จักที่นี่ และคนที่จะตอบข้อสงสัยทั้งหมดได้คงมีแต่เด็กหนุ่มตรงหน้า

ดวงตาสีดำที่วาวโรจน์ด้วยความไม่สบอารมณ์ทอแสงอ่อนลง ท่าทางของแก้วเจ้าจอมดูน่าสงสารในสายตาของโชติ เด็กหนุ่มรำพึงในใจ ไม่รู้ว่ามีอะไรดลใจให้เขาออกมาเดินเล่นตากลมเย็นตอนกลางคืนเช่นนี้ จนได้มาพบกับแม่นางไม้ผมทอง

“โชติ นายช่วยตอบฉันหน่อยได้ไหมว่าที่นี่ที่ไหน” หญิงสาวเอ่ยเสียงเครือ เธอไม่รู้ว่าจะพึ่งใครดีแล้ว นอกจากเด็กหนนุ่มประหลาดคนนี้

“บ้านของพระยาพิทักษ์เกษมราช” คนถูกถามยังตอบอย่างใจเย็น

“แล้วนี่มันสมัย...เอ่อ รัชกาลที่เท่าไร” คำถามถูกเปลี่ยนในตอนท้าย ถ้าถามแบบนี้คงเข้าใจได้ง่ายกว่า หากรู้วันเดือนปีมา เธอก็คงไม่รู้อยู่ดีว่ามันเป็นช่วงใด

“รัชกาล? หมายถึงในหลวงท่านน่ะหรือ ตอนนี้เป็นปีจุลศักราช 112 พระเจ้าอยู่หัวท่านเป็นองค์ที่ 5”

คำตอบที่ยากจะยอมรับได้ แทบทำให้แก้วเจ้าจอมล้มทั้งยืน หญิงสาวรู้สึกว่าชัดหายใจติดขัดคล้ายจะเป็นลม เธอจิกเล็บลงไปบนผิวไม้เพื่อระบายอารมณ์ แล้วมองไปทางโชติเหมือนเห็นตัวประหลาด

ไม่สิ! เธอต่างหากที่เป็นตัวประหลาดของที่นี่

“หล่อนเป็นไม่สบายหรือเปล่า แม่นางไม้” โชติเอ่ยถามอย่างห่วงกังวล ใบหน้าที่ขาวอยู่แล้วกลับยิ่งดูขาวจัดจนชีดหลังจากได้ฟังคำตอบของเขา

“แก้ว...ฉันชื่อแก้ว” หญิงสาวข่มฟันกรอด พลางตวัดสายตาไม่พอใจไปยังเด็กหนุ่มประหลาด

โชติรู้สึกงุนงงกับอารมณ์ผันผวนไปมาของแม่นางไม้ผมทอง เมื่อครู่เธอยังทำท่าจะร้องไห้อยู่เลย แต่ตอนนี้กลับมาส่งสายตาขัดเคืองใส่เขาที่ไม่ยอมเรียกชื่อ ต่อให้เป็นคนหรือผี นิสัยแบบผู้หญิงคงเหมือนกันกระมัง...เด็กหนุ่มรำพึงในใจ ยามนึกถึงพระยาพิทักษ์เกษมราชเอ่ยเรื่องอารมณ์ที่แปรปรวนดังพายุของเหล่าอิตถีเพศ

“จ้ะ งั้นฉันจะเรียกหล่อนว่าแม่แก้วแล้วกันนะ”

แม้จะรู้สึกแปลกที่ผู้ชายใช้พูดอ่อนหวานนุ่มนวลแบบผู้หญิง แต่แก้วเจ้าจอมก็พยักหน้าตอบกลับไป ความหวาดระแวงต่อคนแปลกหน้าเลือนหายไป เมื่ออีกฝ่ายไม่มีท่าทางคิดร้าย หญิงสาวออกจากด้านหลังต้นแก้วเจ้าจอมอย่างเชื่องช้า แล้วมองเด็กหนุ่มที่ส่งยิ้มละมุนละไมมาให้

“แม่แก้วเป็นอะไรไปหรือ ไฉนถึงทำท่าจะร้องไห้เช่นนั้น”

แก้วเจ้าจอมเบะปากเมื่อคำถามนั้นแทงเข้ามากลางใจ หญิงสาวทรุดนั่งลงยังที่เดิมที่ตื่นขึ้นมา แล้วปล่อยน้ำตาให้รินไหลอย่างสุดกลั้น ทั้งที่ยามปกติเธอไม่เคยร้องไห้ให้ใครเห็น นอกจากแม่กับยาย แต่นี่เป็นเหตุสุดวิสัย เธอหลงทางจนหาทางกลับบ้านไม่ได้ และไม่ใช่การหลงทางธรรมดา มันเป็นการหลงทางข้ามเวลาย้อนกลับมาอดีต

“ฉันอยากกลับบ้าน” หญิงสาวพูดพลางร้องสะอึกสะอื้น

ผ้าแพรสีขาวถูกยื่นส่งมาตรงหน้า แก้วเจ้าจอมมองเด็กหนุ่มที่เข้ามาคุกเข่าอยู่ใกล้ตัว หญิงสาวเพิ่งได้สังเกตเห็นหน้าอีกฝ่ายเต็มตา เขาเป็นคนมีรูปหน้าเหลี่ยมกว้าง จมูกโด่งสัน และริมฝีปากอวบหนา เขาอาจไม่ใช่คนหน้าตาหล่อเหลานัก แต่ดวงตาที่จ้องมองมาดูอบอุ่นอ่อนโยนชวนให้ไว้วางใจ

“ซับน้ำตาเสียเถิดแม่แก้ว ถ้ามีเรื่องหมองใจอันใดก็เล่าให้ฉันฟังได้นะ”

ถ้อยคำนุ่มนวลพาใจแก้วเจ้าจอมให้วางลงกับเด็กหนุ่มตรงหน้า หญิงสาวยื่นมือไปรับผ้าแพรมาเช็ดน้ำตา กลิ่นหอมจากผืนผ้าทำให้จิตใจที่สับสนสงบลง เธอซบหน้าลงบนผ้าหอมกลิ่นดอกแก้วเนิ่นนาน ก่อนเอ่ยงึมงำบางอย่างที่ทำให้โชติต้องขยับกายเข้าไปฟัง

“ฉันทะเลาะกับพ่อมา”

นางไม้มีพ่อกับเขาด้วยหรือ...นี่เป็นความรู้ใหม่สำหรับโชติเลยทีเดียว

“พ่อต้องไปทำงานประจำที่ต่างประเทศ เขาเลยจะให้ฉันไปอยู่และเรียนต่อที่โน่นด้วย”

เอ...นางไม้เป็นผู้หญิงไม่ใช่หรือ เธอจะเรียนแบบผู้ชายอย่างเราเรียนได้อย่างไรกัน...เป็นคำรบสองที่ความสงสัยผุดขึ้นมา แต่ไม่ได้เอ่ยออกไป โชติพิศวงกับเรื่องที่ได้ยินนัก เพราะคิดว่านางไม้ต้องสถิตอยู่ในต้นไม้เท่านั้น นี่พ่อของหล่อนคงเป็นเทวดาอารักษ์ชั้นสูงกระมัง แต่ไม่คาดคิดว่าเทวดาต้องส่งธิดาไปเรียนต่อถึงเมืองฝรั่งด้วย? เด็กหนุ่มแอบกลั้นยิ้มกับความคิดของตนเอง

“ฉันเลยไม่อยากอยู่ที่นั่น แต่ไม่ใช่ว่าฉันอยากจะโผล่มาที่นี่” แล้วเสียงสะอื้นไห้ก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อไม่รู้ว่าจะหาวิธีกลับบ้านได้อย่างไร

กระแสอธิษฐานของแม่นางไม้คงแรงมากกระมัง สิ่งศักดิ์สิทธิ์ถึงได้พาเธอโผล่มาผิดที่ผิดทางเช่นนี้ โชติถามตอบเองในใจเมื่อได้ยินคำบอกเล่ากระท่อนกระแท่นของหญิงสาว เด็กหนุ่มยกมือขึ้นอย่างชั่งใจ ก่อนยื่นไปลูบเรือนผมนุ่มราวแพรไหมอย่างปลอบโยน

“อย่าร้องไห้ไปเลยแม่แก้ว”

“ฉันอยากกลับบ้าน” แก้วเจ้าจอมปล่อยโฮลั่น และเสียงของเธอทำให้โชติมองรอบด้านอย่างรวดเร็ว

“อย่าอึงไป หากมีคนได้ยินเข้าแล้วออกมาเห็นแม่แก้วเข้าจะตกอกตกใจกันใหญ่โต แม่แก้วไม่เหมือนคนอื่นเสียด้วยสิ ทั้งสีผม ทั้งผ้าผ่อนที่นุ่งอยู่ ฉันเกรงว่าอ้ายอีในเรือนมาเห็นเข้าจะกลัวแม่แก้วนะ”

“กลัวฉัน? ฉันน่ากลัวตรงไหนกัน?” คำเตือนของโชติทำให้แก้วเจ้าจอมเบาเสียงลง และถามออกไปด้วยความงุนงง

“ก็แม่แก้วเป็นนางไม้”

“ฉันนี่นะเป็นนางไม้” หญิงสาวอ้าปากหวอที่อีกฝ่ายคิดไปไกลเช่นนั้น เธออยากเอ่ยค้านออกไปว่าตัวเองก็เป็นคนธรรมดาเหมือนกับเขานั่นแหละ แค่หลงเวลามาโผล่อยู่ตรงนี้ด้วยเหตุสุดวิสัยเท่านั้น แต่ความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาเสียก่อนทำให้ต้องเงยหน้ามองคนที่กล่าวหาเธอว่าเป็นนางไม้

“ถ้าฉันเป็นนางไม้จริง แล้วโชติไม่กลัวหรือ?”

“ก็.....แม่แก้วอยากให้กลัวหรือ?” คำตอบทำเอาคนฟังพูดอะไรไม่ออก คนแบบนี้ก็มีด้วยหรือไงกัน ปกติถ้าพูดว่าเป็นผีหรือนางไม้ก็วิ่งแจ้นหนีกันไปหมด ไม่มานั่งคุยกันแบบนี้หรอก และดูท่าโชติจะเดาความคิดของหญิงสาวได้ จึงเอ่ยต่อพลางยิ้มขัน

“แม่แก้วไม่ได้ทำร้ายฉัน มิได้ทำสิ่งใดให้กลัวนี่ อีกประการแม่แก้วเหมือนมนุษย์นัก จับต้องก็ได้ เพียงแต่....”

“เพียงแต่?” แก้วเจ้าจอมเงี่ยหูฟังด้วยความอยากรู้

“แม่แก้วดูประหลาดยิ่งนัก...แต่ก็งดงามแปลกตา” คำชมที่ออกมาจากปากทื่อๆ นั่นทำให้หญิงสาวนิ่งอึ้งไป และเกิดอาการเขินอายขึ้นมา เธอจึงแกล้งเสมองไปทางอื่น

คำพูดของโชติทำให้แก้วเจ้าจอมเห็นเขาเป็นคนแปลก หญิงสาวไม่รู้ว่าคนอื่นจะเป็นเหมือนเด็กหนุ่มหรือไม่ แต่หากเธอเจอคนแปลกหน้าในบ้านตัวเองอาจจะไม่ร้องว่าผี แต่จะตะโกนว่ามีขโมยเข้าบ้านมากกว่า แค่คิดหญิงสาวก็ขนลุกซู่ขึ้นมา เธอไม่อยากถูกจับ!

เมื่อเห็นว่าแม่นางไม้ผมทองเงียบเสียงลงแล้ว โชติจึงยิ้มอย่างพอใจ เธอทำท่าเหมือนเด็กทั้งที่อายุมากกว่าเขา อีกทั้งรูปร่างแลดูบอบบางยิ่งกว่าหญิงสาววัยเดียวกัน

“ฉันจะทำอย่างไรดี โชติ” หญิงสาวเกาะแขนคนชื่อเชยอย่างหาที่ยึดพิง ดวงตาสีดำเคล้าน้ำตาทำให้โชติรู้สึกอยากช่วยเหลือเธอ แต่เขาจะช่วยเหลือได้อย่างไรเล่า ในเมื่อเธอไม่ใช่มนุษย์

“ฉันไม่อยากถูกจับ ถ้าพวกนั้นเอาฉันไปขังไว้ ฉันคงกลับบ้านไม่ได้แน่”

“อย่ากังวลเลย ไม่มีใครมาทำอะไรแม่แก้วได้หรอก”

“เธอจะช่วยฉันงั้นหรือ”

รอยยิ้มที่เผยอขึ้นมาให้เห็นครั้งแรกทำให้โชติอดยิ้มตอบกลับไปไม่ได้ แม่นางไม้ยิ้มสวย เธอดูดีกว่าตอนร้องไห้มากทีเดียว

“ฉันจะพยายามช่วยแม่แก้วนะ”

“ฉันอยากกลับบ้าน” แก้วเจ้าจอมเอ่ยเสียงรัวเร็ว พลางเขย่าแขนเด็กหนุ่มด้วยสายตาคาดหวัง แต่เธอคงลืมคิดไปว่าอีกฝ่ายเป็นเพียงคนธรรมดา ไม่มีอิทธิปาฏิหาริย์ส่งเธอกลับบ้านตามใจนึกได้

“ใจเย็นก่อน แม่แก้วได้กลับบ้านแน่” เด็กหนุ่มเอ่ยอย่างขบขัน ท่าทางของเธอเหมือนกับแม่พลอย น้องสาวของเขายามอยากได้ของบางอย่างจากพี่ชายเสียเหลือเกิน

“การที่แม่แก้วมาอยู่ที่นี่ คงเป็นเพราะแรงอธิษฐาน ถ้าอยากกลับบ้านคงต้องต้องลองอธิษฐานเพ่งจิตดู บางทีอาจกลับไปได้”

“ฉันไม่ชอบคำว่า ‘บางที’ เลย” หญิงสาวบ่นเสียงเบา แต่ก็ยอมทำตามคำพูดของที่ปรึกษาจำเป็น เธอยกมือขึ้นประนมระหว่างอก พลางหลับตาและพึมพำว่า ‘อยากกลับบ้าน’ ไปมา

โชติมองแม่นางไม้ผมทองที่ทำหน้ายุ่งพลางขมวดคิ้วเป็นปมแน่นแม้ส่วนลึกจะดีใจที่ได้ช่วยเหลือเธอ แต่เขากลับรู้สึกโหวงเหวงอย่างบอกไม่ถูก “แม่แก้วจะมาที่นี่อีกไหม” คำพึมพำเหมือนพูดคนเดียว แต่ท่ามกลางความเงียบสงัดเช่นนี้ทำให้เจ้าของชื่อต้องลืมตาขึ้นมอง

คิ้วที่ขมวดยุ่งผูกเข้าหากันอีกปม หญิงสาวเกือบหลุดคำพูดออกไปแล้วว่า ‘ไม่อยากมาที่นี่อีก’ แต่ดวงตาสีดำอบอุ่นที่ส่งกระแสอ่อนโยนนั้นทำให้เธอกดลิ้นไว้ได้ทัน ริมฝีปากเม้มเข้าหากันแน่น ก่อนตอบออกไปแผ่วเบาเช่นเดียวกับคนถาม

“ถ้าฉันกลับไปกลับมาได้ ฉันก็อยากกลับมาหาเธออีก”

แม้คำตอบจะดูเลื่อนลอย แต่ก็ทำให้โชติยิ้มได้ แก้วเจ้าจอมยิ้มตอบ ก่อนก้มหน้าหลับตาอธิษฐานขอกลับบ้าน แล้วอนุสติของเธอก็รางเลือนลง

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


แก้วเจ้าจอมกะพริบตาปรือขึ้นเมื่อลมที่พัดผ่านผิวกายเริ่มเย็นลง หญิงสาวมองท้องฟ้ายามเย็นด้วยความงวยงง เมื่อครู่เธอฝันประหลาดมากทีเดียว เธอฝันว่าหลงเวลาเข้าไปในสมัยรัชกาลที่ห้า และได้พบกับเด็กหนุ่มที่ทำตัวสุขุมไม่สมวัยว่า ‘โชติ’

น่าแปลกที่แก้วเจ้าจอมยังจำเขาได้ติดตา ทั้งโครงหน้าคมขำ ดวงตาสีดำอบอุ่นอ่อนโยนที่ทำให้รู้สึกวางใจทันทีที่เห็น หญิงสาวหัวเราะให้กับตัวเองที่ฝันเป็นเรื่องเป็นราวได้มากขนาดนี้ เธอพยุงกายลุกขึ้นยืน แต่บางสิ่งบางอย่างที่ตกลงมาบนตักทำให้ต้องก้มลงไปมองว่ามันคืออะไร

“ไม่จริงน่า” หญิงสาวหลุดคำอุทานออกมาแผ่วเบา เมื่อสิ่งที่อยู่บนตักเธอคือผ้าแพรสีขาวอมฟ้าที่โชติยื่นให้ซับน้ำตา มันมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน และมันทำให้แก้วเจ้าจอมนิ่งงันไปนานหลายนาทีทีเดียว

“นายไม่ใช่ความฝันของฉันหรอกหรือ โชติ”

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


ความจริงที่แก้วเจ้าจอมได้ค้นพบทำให้หญิงสาวนอนไม่หลับไปตลอดคืน ร่างบอบบางพลิกตัวกระสับกระส่ายไปมาบนเตียงกว้าง ความคิดเฝ้าหวนคำนึงไปถึงเด็กหนุ่มประหลาดที่เข้ามาคุยด้วยเหมือนเป็นคนรู้จัก และไม่เกรงกลัวเลยว่าผู้หญิงแปลกหน้าคนนี้จะเป็นผีหรือขโมยตามสามัญสำนึกของคนทั่วไป เพราะถ้าเธอเจอเหตุการณ์เดียวกันคงตะโกนร้องเสียงดัง หรือไม่ก็วิ่งหนีฝุ่นตลบ ไม่มายืนคุยเป็นคุ้งเป็นแควแบบอีกฝ่ายแน่

เปลือกตาเปิดและปิดลงเป็นครั้งที่ร้อย ก่อนที่ร่างบอบบางจะลุกขึ้นเดินไปยังหลักฐานชิ้นสำคัญที่วางอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ผ้าแพรสีขาวหอมกลิ่นดอกแก้วเป็นตัวบ่งบอกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความฝัน เธอหลงยุคกลับไปยังสมัยรัชกาลที่ห้า และได้พูดคุยกับคนในสมัยนั้นด้วย

แก้วเจ้าจอมทรุดนั่งลงบนเก้าอี้โต๊ะเครื่องแป้ง ใบหน้าขาวกำลังยับยุ่งด้วยความคิดหลายอย่างที่ประดังกันเข้ามา โดยเฉพาะเรื่องที่เธอหลงไปยังสมัยอดีต และกลับมายังยุคปัจจุบันได้ มันเกิดขึ้นได้อย่างไร คำถามนี้ไม่มีคำตอบให้กับคนขี้สงสัย นอกจากจะต้องพิสูจน์ด้วยตนเอง

แต่หากกลับไปแล้วไม่สามารถกลับมาที่นี่ได้อีกล่ะจะเป็นอย่างไร ความคิดนี้ได้ยับยั้งแก้วเจ้าจอมไม่ให้ลองพิสูจน์กับกาลเวลาที่ไม่แน่นอน แม้จะสัญญากับโชติ เด็กประหลาดคนนั้นไว้ แต่เธอไม่คิดเสี่ยงให้ตัวเองเดือดร้อน

“ขอโทษนะโชติ แต่ฉันไม่อยากติดแหงกอยู่ที่นั่น” หญิงสาวพูดกับผ้าแพรที่เป็นของเด็กหนุ่มต่างเวลา ก่อนลุกขึ้นไปทิ้งตัวนอนลงบนเตียงกว้างเช่นเดิม เธอจะต้องลืมเรื่องนี้ และไม่เข้าไปใกล้ต้นแก้วเจ้าจอมต้นนั้นอีก

 





Create Date : 15 พฤศจิกายน 2549
Last Update : 26 ตุลาคม 2556 16:55:47 น.
Counter : 303 Pageviews.

2 comments
  
ไอ้...
โดย: ... IP: 203.155.228.39 วันที่: 17 ตุลาคม 2550 เวลา:17:03:27 น.
  
อ่านแล้วชอบจัง นิยายแนวนี้
โดย: taklomklom วันที่: 25 มีนาคม 2551 เวลา:19:56:14 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ฌา
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



New Comments
All Blog