ราชญี 1
๑ แผนการ

เมื่อพูดถึงตำนาน อาจมีใครบางคนคิดว่ามันเป็นแค่นิทานที่ใช้กล่อมเด็กตอนหัวค่ำ แต่ก็ยังมีคนบางกลุ่มที่เชื่อว่าในหลายร้อยตำนานที่กล่าวขาน ย่อมต้องมีเรื่องจริงปะปนอยู่ด้วย

ย้อนเวลากลับไปเมื่อเกือบพันปีเห็นจะได้ พื้นที่ทางชายทะเลแถบหนึ่งที่ถูกหน้าประวัติศาสตร์หลงลืม มีอาณาจักรหนึ่งที่มีชื่อเรียกว่ามาแกเซมบีลัน ปกครองโดยราชญีที่ผู้คนต่างเชื่อว่าถูกเลือกโดยเทพเจ้า ซึ่งเราต้องรู้อยู่อย่างหนึ่งก่อนว่าชาวมาแกเซมบีลัน มีความเชื่อฝังลึกเกี่ยวกับเทพเจ้า พวกเขาเชื่อว่าเหล่าเชื้อพระวงศ์คือผู้รับใช้ของปวงเทพ มีความสามารถพิเศษในการสดับฟังเสียงของผู้ปกครองฟ้าสวรรค์ และมีเพียงผู้ถูกเลือกเท่านั้นที่จะได้ยินเสียงของเทพเจ้า

ผู้ถูกเลือกให้รับใช้ปวงเทพในแต่ละรุ่นจะมีอยู่ด้วยกันสองคน คนหนึ่งคือสมเด็จพระสังฆราชินีที่ทำหน้าที่เป็นโอษฐ์แห่งเทพ คอยรับโองการจากผู้ปกครองฟ้าสวรรค์ แล้วนำมาบอกต่อปวงชน ส่วนอีกคนคือราชญีหรือราชินี ที่จะถูกเลือกจากเทพเจ้าผ่านโอษฐ์แห่งเทพ ทำหน้าที่ปกครองอาณาจักรของเทพเจ้า ซึ่งมีคนลือกันว่าจอมนางแห่งมาแกเซมบีลันไม่ใช่แค่ได้ยินเสียงของเทพเจ้าเท่านั้น แต่พระองค์ยังทรงสนทนากับปวงเทพได้ด้วย

แต่นอกจากข่าวลือเรื่องที่จอมนางแห่งมาแกเซมบีลันจะสนทนากับผู้ปกครองฟ้าสวรรค์ โดยไม่ต้องผ่านโอษฐ์แห่งเทพได้แล้ว ยังมีข่าวลือไปทั่วราชอาณาจักรว่าพระนางทรงสิริโฉมงดงาม อย่างที่หญิงใดมาเทียบได้ยาก และที่สำคัญคือพระองค์ยังไม่มีพระราชาธิบดีเคียงคู่บนบัลลังก์ จึงทำให้มีเจ้าชายในพระบรมวงศานุวงศ์ และผู้ปกครองจากอาณาจักรอื่นมาขอผูกสัมพันธ์กับพระองค์มากมาย

ถึงกระนั้น จอมนางแห่งมาแกเซมบิลันก็ไม่ต้องพระทัยผู้ทรงยศคนใด พระองค์ยังคงปกครองอาณาจักรต่อไปตามลำพัง โดยไม่สนใจเสียงประท้วงของคณะเสนาบดีที่ต้องการให้พระองค์รีบหาคู่อภิเษก เพื่อเหตุผลร้อยแปดพันเก้าตามแต่จะยกขึ้นมากล่าวอ้างได้

แล้ววันหนึ่ง จอมนางก็ได้ยินสุรเสียงของเทพเจ้า ที่บอกกล่าวให้พระองค์เสด็จไปยังกรารูวา เมืองท่าของอาณาจักร ในตอนนั้นพระองค์ไม่ทรงทราบเลยว่าจะได้พบกับชายผู้หนึ่ง ที่ต่อมาจะกลายเป็นพระสวามีของพระองค์

พระผ่านฟ้า คือพระราชาธิบดีสามัญชน ที่จอมนางแห่งมาแกเซมบีลันได้ทรงเลือกให้อยู่เคียงบัลลังก์ แต่กว่าพระราชาธิบดีจะได้ปกครองอาณาจักรร่วมกับราชญีนั้น พระองค์ต้องผ่านอุปสรรคที่มาจากคนรอบข้างมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการคัดค้านจากเหล่าเสนาบดีทั้งคณะ ที่ยกเหตุผลหลายร้อยหลายพันข้อมากล่าวอ้าง โดยเฉพาะเหตุผลเรื่องที่พระองค์ทรงเป็นสามัญชน อีกทั้งยังเป็นคนไม่มีหัวนอนปลายเท้า ซึ่งเหตุผลเพียงแค่นี้ก็ทำให้พระองค์โดนโจมตีว่าไม่มีความเหมาะสมกับตำแหน่งของราชาแล้ว

แต่พระผ่านฟ้าก็ยังมีโชคติดตัวอยู่บ้าง เมื่อผู้สนับสนุนของพระองค์ที่แม้จะมีจำนวนไม่มาก กระนั้นก็มีอำนาจมากเสียจนใครก็ไม่กล้าขัด แน่นอนว่าหนึ่งในนั้นมีราชญีรวมอยู่ด้วย และอีกคนที่ทำให้เหล่าผู้คัดค้านพากันหัวหด หลังจากออกมาสนับสนุนพระผ่านฟ้าอย่างเปิดเผย ก็คือสมเด็จพระสังฆราชินีนั่นเอง

โดยปกติแล้วสมเด็จพระสังฆราชินีมักจะไม่ยุ่งเรื่องทางโลก ไม่ข้องเกี่ยวกับการเมือง อันรวมไปถึงเรื่องคู่ครองของจอมนางแห่งมาแกเซมบีลัน พระองค์ทรงทอดพระเนตรดูพระผ่านฟ้าที่ถูกทดสอบมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเชิงบุ๋นหรือเชิงบู๊ ซึ่งพระผ่านฟ้าผ่านมาได้แบบเส้นยาแดงผ่าแปดอย่างน่าอัศจรรย์ทุกครั้ง

แต่ความน่าอัศจรรย์ของพระผ่านฟ้า ก็ไม่สำคัญเท่ากับเรื่องที่ปวงเทพล้วนถูกใจในตัวชายหนุ่มสามัญชนคนนี้!

เหล่าเทพเจ้าได้บอกข้อความผ่านสมเด็จพระสังฆราชินี ให้แจ้งต่อผู้คนทั้งอาณาจักร ว่าพระผ่านฟ้าคือผู้ที่ปวงเทพยอมรับ ซึ่งสาเหตุอันเป็นความดีเพียงหนึ่งเดียวที่พระผ่านฟ้าผ่านการทดสอบ ก็คือความจริงใจของพระองค์ที่มีต่อราชญีและแผ่นดิน

ถ้อยคำของเทพเจ้าที่บอกผ่านโอษฐ์แห่งเทพนี้เอง ทำให้พระผ่านฟ้าได้ขึ้นเป็นพระราชาธิบดี ท่ามกลางความไม่พอพระทัยของบรรดาเจ้าชายในพระบรมวงศานุวงศ์ และเจ้าผู้ปกครองจากอาณาจักรที่หวังอยากครอบครององค์ราชินีเช่นกัน แต่ใครเล่าจะหาญกล้าท้าทายอำนาจของเทพเจ้า อีกทั้งสมเด็จพระสังฆราชินียังทรงสร้างปาฏิหาริย์ไว้เป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาผู้คนมากมาย แค่ต้องปะทะกับพระองค์เป็นด่านแรก ก็ไม่มีใครคิดอยากลองดีแล้ว

ดังนั้นจึงไม่มีคนขัดขวางความสัมพันธ์ระหว่างพระราชาธิบดีกับราชญี

และเมื่อเวลาผันผ่านไปหลายปี พระผ่านฟ้าได้แสดงให้เห็นแล้วว่าทรงมีคุณสมบัติในการเป็นผู้ปกครองครบถ้วน ด้วยทรงทศพิธราชธรรม และปกครองแผ่นดินให้พบกับสันติสุขเรื่อยมา

แต่ความสงบสุขที่เห็นนั้นก็เป็นเพียงเปลือกนอกของมาแกเซมบีลัน!

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


โถงทางเดินขนาดใหญ่ที่เรียงรายไปด้วยเสาหินตลอดแนว เป็นทางเชื่อมระหว่างมหาวิหารของอาณาจักร กับที่ประทับของสมเด็จพระสังฆราชินี ซึ่งหากไม่มีกิจธุระหรือความจำเป็นอันใด ก็มีน้อยคนนักจะล่วงผ่านเข้ามา แม้ตอนกลางวันจะมีเหล่านักบวชหญิงเดินเข้าออกผ่านโถงทางเดินนี้บ้าง แต่เมื่อเวลาแห่งรัตติกาลมาถึง ที่แห่งนี้ก็แทบจะเปลี่ยวร้างไปในพริบตา

เสียงสวบสาบของเนื้อผ้าที่เสียดสีกันไปมาสลับกับพื้นหินเย็นชืด ที่แม้มันจะส่งเสียงเบาแสนเบาแค่ไหน แต่ท่ามกลางความเงียบสงัดนี้ ก็ทำให้ผู้ที่ยืนกระสับกระส่ายซ่อนตัวอยู่หลังมุมเสา ออกมาจากที่ซ่อนทันทีที่ได้ยินการมาถึงของผู้มาเยือน

แสงไฟจากโคมอันเล็กที่ผู้มาเยือนถือมา กระทบกับเสี้ยวหน้าด้านข้างของหญิงสาววัยกำดัดที่ยอบตัวลงอย่างแช่มช้า และสีหน้าของเธอก็ดูไม่ค่อยดีเท่าไร คล้ายกับมีเรื่องกังวลซึ่งไม่รู้ว่าจะหาทางแก้อย่างไรดี “ราชญี...”

น้ำเสียงที่เหมือนกับจะสำลักอากาศของหญิงสาววัยกำดัด ทำให้เจ้าของตำแหน่งผู้ปกครองอาณาจักรขมวดพระขนงเข้าหากันเล็กน้อย แต่ก็มิได้ตรัสถึงอาการของอีกฝ่ายมากนัก นอกจากพยักพักตร์รับคำขานนั้น

“หม่อมฉันมารอรับราชญีตามคำสั่งของสมเด็จเพคะ ตอนนี้พระองค์กำลังประทับรออยู่ด้านใน”

“นำทางเราไป” สุรเสียงหวานนุ่มตรัสขึ้นราบเรียบ และไม่สามารถบอกได้ว่าผู้ปกครองอาณาจักรกำลังมีพระอารมณ์ใดในตอนนี้ หลังจากที่ได้รับข้อความลับจากผู้ส่งสาส์นที่เธอส่งไป

หญิงสาวผู้นำทางยอบตัวลงอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ดูรวดเร็วกว่าครั้งแรก แล้วร่างบอบบางก็หมุนตัวหันหลังไป ก่อนเดินนำไปยังที่ประทับของสมเด็จพระสังฆราชินี ซึ่งคืนนี้ถือเป็นคืนที่วุ่นวายสำหรับเธอเลยทีเดียว

ระหว่างที่หญิงสาววัยกำดัดเดินนำเสด็จราชญีไปหาสมเด็จพระสังฆราชินี เธอก็นึกถึงจุดเริ่มต้นความวุ่นวายที่เกิดขึ้นเมื่อตอนหัวค่ำ เธอจำได้ดีว่าโอษฐ์แห่งเทพเพิ่งเสด็จออกมาจากสถานที่เข้าเฝ้าของปวงเทพ ซึ่งอยู่ด้านในที่ลึกที่สุดของที่ประทับส่วนตัว เวลาในตอนนั้นเป็นเวลาสองทุ่มตรง ที่เหล่าสาวใช้ของสมเด็จพระสังฆราชินี กำลังเตรียมมื้อค่ำให้กับพระองค์เหมือนเช่นทุกวัน แต่ที่ไม่เหมือนทุกวันคือหลังจากที่พระองค์เสวยมื้อค่ำเสร็จ พระองค์ก็ทรงล้มลงหมดพระสติไปทันที

ในตอนแรกเหล่าสาวใช้ของสมเด็จพระสังฆราชินีทำอะไรไม่ถูก แต่เมื่อรวบรวมสติที่กระเจิดกระเจิงไปเพราะความตกใจได้ พวกเธอก็รีบพาพระองค์ไปยังที่บรรทม และแอบเรียกหมอหลวงมาอย่างลับ ๆ ด้วยรู้ดีว่าอาการพระประชวรอันแปลกประหลาดนี้ จะก่อเรื่องยุ่งยากใหญ่หลวงขึ้น ซึ่งอาจจะกระทบกระเทือนไปถึงราชบัลลังก์ของจอมนางแห่งมาแกเซมบีลันเลยทีเดียว

กว่าสาวใช้ของสมเด็จพระสังฆราชินีจะตามหาหมอหลวง โดยไม่มีใครสังเกตเห็นถึงพฤติกรรมอันผิดปกติของพวกเธอได้ ก็กินเวลาไปถึงหนึ่งชั่วโมงกว่า และเมื่อพวกเธอรู้ถึงคำวินิจฉัยของหมอหลวงเฒ่า ที่มีอายุพอกันกับสมเด็จพระสังฆราชินี พวกเธอจึงตัดสินใจแจ้งเรื่องนี้แก่ราชญี พลางมองหน้าสลับกันไปมาในหมู่สาวใช้ด้วยความหวาดระแวง

ราชญีเสด็จผ่านสาวใช้ที่ยอบตัวลงอีกครั้ง เมื่อมาถึงหน้าห้องบรรทมของสมเด็จพระสังฆราชินี และเธอมิได้ตามพระองค์เข้าไป ดังนั้นในห้องนี้จึงมีแต่ผู้ปกครองซึ่งเป็นดั่งแสงและเงาของอาณาจักร ที่กำลังทอดพระเนตรมองกันและกันด้วยความรู้สึกที่แตกต่างกัน

สมเด็จพระสังฆราชินีทรงแย้มสรวลด้วยท่าทางอ่อนระโหย ตรงข้ามกับดวงเนตรสีฟ้าครามสดใสที่กำลังทอดพระเนตรราชญีที่ประทับนั่งลงบนเก้าอี้ข้างที่บรรทม “ข้านึกว่าจะไม่มีวันได้ยินเสียงของปวงเทพอีก นับตั้งแต่ได้รู้แผนการของพระองค์” พระองค์ตรัสด้วยสุรเสียงแหบแห้ง ก่อนระบายปัสสาสะออกมาเล็กน้อย

“ทรงรู้ใช่ไหมว่าใครเป็นผู้วางยา”

“มันสำคัญนักหรือ เจ้าก็รู้ว่าหากปวงเทพไม่อนุญาต ข้าก็ยังกลับไปหาพระองค์ไม่ได้”

ราชญีทรงกำหัตถ์แน่นกับท่าทางไม่ยี่หระของสมเด็จพระสังฆราชินี พระองค์ทรงรู้ถึงนัยแฝงในคำตรัสนั้น และทรงรู้ด้วยว่ายาพิษไม่อาจทำร้ายพระชนม์ชีพของผู้เป็นดั่งเงาของพระองค์ได้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ทรงขัดเคืองพระทัย กับการถูกลูบคมเข้าอย่างจังของผู้ที่ไม่หวังดีต่ออาณาจักร

หรือหากพูดให้ถูกคือไม่หวังดีต่อตัวพระองค์ และผู้ที่สนับสนุนพระองค์!

จอมนางแห่งมาแกเซมบีลันไม่อยากคาดเดาหาตัวคนร้าย เพราะทรงมีผู้ต้องสงสัยอยู่มากเกินไป และพระองค์ไม่อาจคาดเดาได้ว่าการลอบวางยาพิษสมเด็จพระสังฆราชินีนี้ เป็นการกระทำของคนเพียงผู้เดียวหรือรวมกลุ่มกันสมคบคิด ซึ่งหากเป็นอย่างหลังคงดีอยู่ไม่น้อย เพื่อที่พระองค์จะได้จับผู้ไม่หวังดีเหล่านั้นมาสั่งประหารเสียให้หมด บรรดาหนามแหลมคมที่คอยเรียกพระโลหิตมาหลายปีจะได้ลดน้อยลงบ้าง

มันเป็นเวลากี่ปีกันแล้วนะที่ราชญีต้องอยู่ในวังวนของกระแสน้ำอันเชี่ยวกรากนี้ ภายใต้ความสงบสุขอันจอมปลอมของอาณาจักร คือการแก่งแย่งอำนาจและชิงดีชิงเด่นของผู้ทรงอำนาจในราชสำนัก ที่มีความเห็นพ้องต้องกัน ว่าธรรมเนียมราชประเพณีที่ให้สตรีครองอาณาจักรนั้นช่างเป็นเรื่องโง่เขลา

พวกเขาดูถูกสตรีเพศที่อาจทำให้อาณาจักรล่มจม ด้วยอารมณ์อ่อนไหวเพียงครู่ หรือการหลงใหลมัวเมาในบุรุษจนยอมทำอะไรก็ได้ ซึ่งราชญีรู้ดีว่าคำค่อนแขวะในส่วนหลังนั้น มาจากการปกครองของพระราชาธิบดี ที่ไปขัดผลประโยชน์ของผู้ทรงอำนาจบางคน

พวกเขาไม่เคยใช้ตามองดูการปกครองของราชญีที่ผ่านมาหลายยุคหลายสมัย ว่าความสามารถการปกครองของพวกเธอไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าบุรุษ สามารถทำให้อาณาจักรเจริญรุ่งเรืองได้ มีสัมพันธไมตรีอันดีกับอาณาจักรเพื่อนบ้าน และด้วยชั้นเชิงทางการทูตก็ทำให้มาแกเซมบีลันไม่เสียเปรียบอาณาจักรอื่นมากนัก ดังนั้นพวกเขาจึงพยายามทำทุกอย่างเพื่อช่วงชิงอำนาจจากราชญี ซึ่งจอมนางแห่งมาแกเซมบีลันทุกรุ่น ได้กระทำทุกวิถีทางในการปกป้องสิ่งที่เป็นของพระองค์โดยชอบธรรม

ไม่ว่าจะต้องใช้วิธีอะไรก็ตาม!

และผู้สนับสนุนที่สำคัญยิ่งที่ทำให้ราชญียังคงเป็นจอมนางแห่งมาแกเซมบีลันได้ ก็คือสมเด็จพระสังฆราชินี ผู้เป็นดั่งศูนย์รวมศรัทธาของปวงชน ซึ่งพวกผู้ทรงอำนาจในราชสำนัก พยายามเข้าควบคุมอำนาจเบื้องหลังบัลลังก์ของพระองค์มาหลายยุคหลายสมัยแล้วเช่นกัน

“อำนาจของคนพวกนั้นลักลอบเข้ามาในวิหารได้แล้วหรือ” เมื่อเค้นถามหาผู้วางยาจากสมเด็จพระสังฆราชินีไม่ได้ ราชญีจึงทรงเปลี่ยนเรื่องที่ดูแล้วก็น่าหนักพระทัยไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเท่าไร

“ปวงเทพอนุญาตให้อำนาจของพวกเขาเข้ามา” สมเด็จพระสังฆราชินีแย้มสรวลเล็กน้อย ซึ่งแม้จะซีดเซียวไปเพราะพิษร้าย แต่รอยแย้มสรวลของพระองค์ยังอบอุ่นละมุนละไมดุจเดิม “ดังนั้นฝากบอกพระราชาธิบดีด้วยเถอะ ว่าหากทรงอยากทำอะไรก็รีบทำเสีย ก่อนที่อำนาจของพวกเขาที่อยู่ในนี้จะเข้มแข็งขึ้นจนสายเกินแก้”

คำตรัสของสมเด็จพระสังฆราชินีไม่ได้ทำให้ราชญีทรงเบาพระทัยได้เลย ทุกอย่างดูเลวร้ายไปหมด หลังจากที่มีคนแพร่ข่าวไปว่าข้ารับใช้ที่ถูกเลือกของปวงเทพ สูญเสียความสามารถในการสนทนากับผู้อยู่เบื้องบนไป พวกผู้ทรงอำนาจในราชสำนักที่มีจิตใจห่างเหินจากเทพเจ้าจึงเริ่มทำตัวเหิมเกริมมากขึ้น

มีบางพวกใส่ร้ายป้ายสีพระราชาธิบดีที่เป็นต้นเหตุให้พระองค์สูญเสียสิทธิพิเศษนี้ และทำการปลุกระดมชาวบ้านผู้ศรัทธาในเทพเจ้า ทำการขับไล่ราชาผู้ปกครองอาณาจักร แต่พระราชาธิบดีนั้นถือเป็นที่รักใคร่ของประชาชนอยู่มาก ด้วยทรงชอบคลุกคลีกับชาวบ้าน และดูแลอุปถัมภ์ความเป็นอยู่ของคนทุรเข็ญไว้มากมาย แผนการขับไล่กษัตริย์จึงล้มเหลวตั้งแต่แรกเริ่ม อีกทั้งพวกชาวบ้านยังช่วยจับกุมผู้ปลุกระดมมาส่งให้ทางการ ซึ่งน่าเสียดายที่ตัวการใหญ่ยังคงลอยนวลอยู่

ความจริงแล้ว เรื่องที่จอมนางแห่งมาแกเซมบีลันสูญเสียการสนทนากับปวงเทพนั้น มิได้เป็นตั้งแต่ได้อภิเษกกับพระราชาธิบดี พระองค์ไม่ได้ยินสุรเสียงของเทพเจ้านับตั้งแต่มีพระชันษาสิบขวบ และพระองค์มาได้ยินสุรเสียงของผู้ปกครองฟ้าสวรรค์อีกครั้ง เมื่อตอนที่เทพเจ้าบอกให้พระองค์ไปกรารูวา จนได้พบกับพระราชาธิบดีสามัญชน

และในคืนนี้ที่ราชญีทรงได้ยินสุรเสียงของเทพเจ้าอีกครั้ง เสียงนั้นล่องลอยมากับสายลม พร้อมกับถ้อยคำที่บอกว่าปวงเทพจะมารับผู้รับใช้ของพระองค์ไป แล้วพระองค์เชื่อว่าสมเด็จพระสังฆราชินีก็คงสดับฟังได้ถึงการมารับสู่สรวงสวรรค์ด้วยเช่นกัน

“ข้าอยากให้ท่านจากไปตามอายุขัยมากกว่า” ราชญีทรงพึมพำกับองค์เองแผ่วเบา แต่มันก็ดังพอให้คนป่วยบนเตียงได้ยินด้วย สมเด็จพระสังฆราชินีจึงทรงพระสรวลแผ่วเบา

“ปารวตี...” พระนามของจอมนางแห่งมาแกเซมบีลันที่ไม่ค่อยมีใครเรียก นับตั้งแต่ทรงขึ้นเป็นราชญีถูกเอ่ยขานออกมาจากเรียวโอษฐ์ของผู้เฒ่า “ข้ามองดูราชญีมาสามแผ่นดินแล้วนะ ทวดเจ้า...แม่เจ้า...ตัวเจ้า” พระองค์ถอนปัสสาสะออกมาอย่างเชื่องช้า ก่อนแย้มสรวลด้วยท่าทางเศร้าสร้อย

“และถ้าเป็นไปได้ ข้าก็อยากเฝ้ามองชคันมาตรีขึ้นเป็นราชญีต่อจากเจ้า แต่อายุขัยของข้าก็ไม่ยืนยาวพอที่จะอยู่ถึงแผ่นดินที่สี่”

“พระมหัยยิกา...”

“ปารวตีเอ๊ย” สมเด็จพระสังฆราชินีเอื้อมหัตถ์ไปหาพระปนัดดาที่คว้าหัตถ์ของพระองค์ไปกอบกุมไว้แน่น “หลายยุคหลายสมัยแล้วที่เหล่าสตรี ผู้ขึ้นเป็นจอมนางแห่งมาแกเซมบีลันได้ปกป้องรักษาสิทธิอันชอบธรรมของตัวเองเสมอมา และเทพเจ้าได้ทรงช่วยเหลือเรา โดยการส่งชายที่คู่ควรกับพวกเจ้ามาให้”

ราชญีทรงสดับฟังถ้อยคำของผู้เฒ่าที่ผ่านการเฝ้ามองสตรี ผู้ปกครองอาณาจักรมาสามแผ่นดิน ซึ่งพอนึกถึงชายที่คู่ควรกับจอมนางทีไร เรียวโอษฐ์ก็อดแย้มสรวลออกไม่ได้ เมื่อเหล่าจอมนางต่างหลงรักชายผู้นั้นตั้งแต่แรกเห็น พระองค์ยังจำเรื่องรักครั้งแรกของพระมารดาได้ดี พระบิดาของพระองค์เป็นเจ้าชายจากอาณาจักรอื่นที่แทบไม่มีค่าอะไรต่อแผ่นดินนั้นเลย ซ้ำยังทำองค์เป็นปุถุชนธรรมดาเสียจนมองไม่ออกเลยว่าเป็นผู้ทรงยศ

“แต่เจ้ารู้ใช่ไหมว่าหลังจากที่พ่อฟ้ามา ทวยเทพก็ไม่ได้ช่วยอะไรเราอีกเลย”

จอมนางแห่งมาแกเซมบีลันพยักพักตร์รับคำตรัส ด้วยทรงรู้อย่างที่สมเด็จพระสังฆราชินีรู้ ว่าพระผ่านฟ้ามิใช่ราชาสามัญชนอย่างที่หลายคนเข้าใจ พระสวามีของพระองค์เป็นถึงผู้ขับกล่อมแห่งท้องทะเล หรือหากพูดตามความเชื่อของชาวทะเลแล้ว เขาก็เป็นถึงเจ้าชายแห่งท้องทะเลที่ปวงเทพทั้งหลายแสนรักใคร่

ยามใดที่พระผ่านฟ้าขับขานเสียงเพลง ท้องทะเลที่บ้าคลั่งด้วยพายุที่โหมกระหน่ำก็พากันหยุดลง เพื่อฟังเสียงเห่กล่อม แม้แต่นางพรายทะเลที่ชอบล่อหลอกชาวเรือด้วยบทเพลงแสนหวาน ก็ยังพ่ายแพ้ต่อลำนำของเจ้าชายองค์นี้

แต่นั่นเป็นเพียงคำเรียกขานของพระราชาธิบดี ยามอยู่บนเรือของเขาเท่านั้น ราชญีไม่อาจทราบได้ว่ามันเป็นเรื่องจริงแค่ไหน ถึงกระนั้นก็มีเพียงอย่างเดียวที่พระองค์ทรงทราบ นั่นคือพระองค์ได้รับคำท้าทายจากเทพเจ้า ว่าทรงมีความสามารถพอที่จะแย่งชิงเจ้าชายแห่งท้องทะเลมาจากชาวเรือพวกนั้นได้ไหม

และพระองค์ก็ทำได้ พร้อมกับแผนการของทวยเทพที่ได้เริ่มต้นขึ้นตรงจุดนั้น

“เทพเจ้ามีแผนการบางอย่าง” จอมนางแห่งมาแกเซมบีลันตรัสขึ้นมาแผ่วเบา

“ใช่...เทพเจ้ามิได้กลับคืนสู่พิภพสวรรค์ โดยทิ้งเหล่าสตรีของเราให้ต้องผจญกับความหิวกระหายของผู้ทรงอำนาจในราชสำนัก ทรงวางแผนการชักนำให้พ่อฟ้ามา เพื่อวางรากฐานให้บัลลังก์ของเราเข้มแข็งยิ่งขึ้น” สมเด็จพระสังฆราชินีตรัสพลางส่งเสียงสรวลในลำคออย่างขบขัน เมื่อนึกถึงราชาสามัญชนคนนั้น

“ใครจะรู้เล่าว่าภายใต้ท่าทางเรียบร้อย ติดจะซื่อจนเซ่อของพ่อฟ้านั้นซ่อนลูกเล่นแพรวพราวไว้มากมาย มีทั้งลูกล่อและลูกชน ตอนแรกข้าคิดว่าเขาช่างเป็นที่รักใคร่ของปวงเทพยิ่งนัก จึงได้รับการช่วยเหลือให้ผ่านพ้นบททดสอบได้ทุกรอบ แต่การณ์กลับกลายเป็นว่านั่นคือฝีมือของเขาเอง”

เมื่อได้ฟังคำตรัสจริงใจของผู้เฒ่า ราชญีจึงทรงแย้มสรวล ดวงเนตรที่เหล่าข้าราชสำนักเคยเปรียบเปรยว่าเหมือนไฟที่พร้อมจะเผาผลาญอะไรก็ได้ ทอแววอ่อนละมุนลงยามนึกถึงพระสวามี

“มีแต่คนใกล้ตัวเท่านั้นล่ะที่รู้ว่าเขาเจ้าเล่ห์เพียงไร ข้าอาจชนะพนันทวยเทพที่สามารถแย่งเขามาจากทะเลได้ แต่ข้ากลับแพ้พนันเขาตรงที่ข้าไปหลงรักเขาตามแผนเล่ห์เสน่หาที่น่าชิงชังนั่น”

สมเด็จพระสังฆราชินีทรงพระสรวลเล็กน้อย พลางนึกถึงคนที่อยู่ในหัวข้อสนทนาที่ป่านนี้คงจามหัวขวิดกับคำนินทาของจอมสตรีที่กล่าวอย่างไม่ไว้หน้าพระสวามี “เขารู้ว่าอำนาจของเจ้าไม่มั่นคงเท่าไรนัก และเขาไม่คิดที่จะให้ธิดาของเขา ต้องตกอยู่สภาวการณ์ที่ล่อแหลมบ่อยครั้งเช่นเดียวกับเจ้า ดังนั้นเขาจึงต้องมองหาอำนาจที่มั่นคงให้กับทายาทที่จะครองบัลลังก์นี้ต่อไป”

ราชญีทรงครางในพระศอแผ่วเบา เมื่อสมเด็จพระสังฆราชินีทรงวกเข้าเรื่องหลัก และเป็นเรื่องที่ควรทำมากที่สุด หลังจากโอษฐ์แห่งเทพถึงคราวต้องไปรับใช้ทวยเทพบนพิภพสวรรค์ มันเป็นแผนการที่พระราชาธิบดีเคยปรึกษาหารือด้วยหลายต่อหลายครั้ง แต่พระองค์ทรงปัดป่ายเรื่อยมา

“ราชามาบอกเรื่องนี้กับพระองค์แล้วหรือ”

ผู้เฒ่าส่ายพักตร์ ก่อนแย้มสรวล “ทวยเทพบอกข้าว่าพระราชาธิบดีจะทำการยึดอำนาจฝ่ายวิหาร ให้เป็นหนึ่งเดียวกับราชบัลลังก์ วางกุศโลบายสร้างปาฎิหาริย์ดังเช่นที่ข้าเคยทำ เพื่อให้ประชาชนศรัทธา”

“ข้าไม่เคยเห็นด้วย เขากำลังทำเรื่องที่ท้าทายเทพเจ้า”

“แต่หากให้ข้าเลือกว่าอยากให้ใครยึดอำนาจการปกครองฝ่ายวิหาร ระหว่างพระราชาธิบดีกับผู้ทรงอำนาจในราชสำนัก ข้าขอเลือกคนแรกดีกว่า อย่างน้อยข้าก็วางใจว่าอำนาจนี้จะตกไปยังผู้มีสิทธิอันชอบธรรม...” สมเด็จพระสังฆราชินีทรงเว้นจังหวะการตรัสไว้ ก่อนเอ่ยขานชื่อหนึ่งออกมา

“ชคันมาตรี”

พระนามของพระธิดาทำให้ราชญีถอนปัสสาสะออกมาอย่างหนักพระทัย สาเหตุอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้พระองค์เมินผ่านแผนการของพระสวามีคือเรื่องนี้นี่ล่ะ เจ้าหญิงชคันมาตรีไม่มีคุณสมบัติในการเป็นสมเด็จพระสังฆราชินี ดังนั้นพระองค์จึงทรงหวั่นวิตกว่าหากแผนการของพระราชาธิบดีถูกจับได้ขึ้นมา บัลลังก์ที่ง่อนแง่นจนแทบจะล้มทับผู้ครอบครองคงพังทลายไม่มีชิ้นดี และการหลอกลวงนี้จะทำให้ประชาชนเสื่อมศรัทธาไปจากผู้ปกครอง

“ลูกของข้าปกครองวิหารไม่ได้”

“เพียงเพราะสาเหตุที่ชคันมาตรีไม่เคยได้ยินสุรเสียงของปวงเทพ เหมือนเช่นนักบวชคนอื่นที่รับใช้ในวิหารงั้นหรือ” ดูเหมือนสมเด็จพระสังฆราชินีจะทรงรับรู้ปัญหาของจอมนางแห่งมาแกเซมบีลัน และบางทีอาจจะรู้ด้วยว่าทรงบังคับให้พระธิดาเข้าเฝ้าส่วนพระองค์ เพื่อสดับฟังเสียงของทวยเทพทุกค่ำคืน แต่ผลที่ได้กลับไม่มีอะไรให้พอพระทัย

“นักบวชจะไม่ยอมรับราชินีแห่งวิหาร ที่ไม่สามารถสดับฟังสำเนียงของผู้ปกครองฟ้าสวรรค์ และบางทีทวยเทพอาจเลือกผู้ที่จะมารับใช้แทน...”

“เทพเจ้าจากพวกเราไปหมดแล้ว เด็กน้อย...ปารวตี” ผู้เฒ่าขัดก่อนที่ราชญีจะตรัสจบ ก่อนทำพักตร์จริงจังขึ้น “เทพเจ้าจากไปนับตั้งแต่ได้มอบชะตาของอาณาจักรให้กับพ่อฟ้า และข้าก็วางใจในตัวเขา จึงเห็นด้วยกับแผนการทุกประการของเขา”

ราชญีพ่นลมผ่านนาสิกกับสิ่งที่รับรู้ได้เสมอมา และพยายามไม่ทอดพระเนตรของมันด้วยทรงหวาดกลัวต่ออนาคตที่มองไม่เห็น อีกทั้งทรงห่วงพระธิดาที่ต้องใช้แรงกายและแรงใจอย่างมาก ในการพารัชสมัยของตนเองยามขึ้นเป็นจอมนางแห่งมาแกเซมบีลัน ให้รอดพ้นจากความหิวกระหายของผู้ทรงอำนาจในราชสำนัก

“ชคันมาตรีเป็นเด็กที่อ่อนไหวเหมือนพ่อ” ราชญีหลุดคำพึมพำออกมาแผ่วเบา ยามนึกถึงพระธิดาตัวน้อยที่มีดวงตาสุกสกาวดั่งแสงดาว และพระองค์รู้ดีว่าแสงสกาวนั้นจะมอดดับลงในไม่ช้า เมื่อไหล่เล็กบอบบางของพระธิดาจะต้องแบกรับภาระยิ่งใหญ่เกินตัว

“มีความเพียรและความรับผิดชอบ แล้วก็ซื่อเหมือนพ่อ” พระองค์ทรงพระสรวล พลางส่ายพักตร์ที่พระธิดารับนิสัยส่วนดีของพระสวามีมาเสียหมด “และข้าไม่รู้ว่าควรจะดีใจหรือเสียใจดี ที่ลูกไม่ได้รับความเจ้าเล่ห์ที่จะใช้ปกป้องตัวเองของราชามาด้วย”

สมเด็จพระสังฆราชินีทรงแย้มโอษฐ์ละมุน พลางบีบหัตถ์สตรีที่ปกครองอาณาจักรด้วยความเหนื่อยยากแน่น “ชคันมาตรีจะได้รับการปกป้อง นางจะเป็นผู้ทำให้บัลลังก์ที่เหล่าสตรีของเราเพียรปกป้องมาหลายยุคหลายสมัยมั่นคงและแข็งแกร่งขึ้น อย่างที่ไม่มีใครทำได้มาก่อน เชื่อในแผนการของปวงเทพเถอะ ปารวตี”

สิ่งที่ยึดเหนี่ยวพระทัยของสองสตรีที่อยู่ในตำแหน่งสูงสุดได้ คงมีแต่ความหวังและเชื่อในทวยเทพที่ตนศรัทธา รวมไปถึงความสามารถของชายที่ถูกเลือกให้มารับภาระหน้าที่ที่ไม่ใช่ของตัว

“เชื่อในตัวพ่อฟ้า เชื่อในชคันมาตรี” ผู้เฒ่าเน้นย้ำให้ราชญีทรงมีความมั่นพระทัยมากขึ้น

“ข้ารู้ว่าพวกเขาทำได้” จอมนางแห่งมาแกเซมบีลันทรงแย้มสรวล เมื่อนึกถึงผู้เป็นดั่งดวงใจทั้งสอง

“อย่างน้อยคนพ่อก็เจ้าเล่ห์แสนกล ทำเอาคณะเสนาบดีและราชสำนักของข้าปั่นป่วนวุ่นวายมาแล้ว และทุกคนก็เคยเห็นฤทธิ์ลูกสาวคนซื่อของข้ายามโกรธกันมาถ้วนหน้า คงไม่มีใครกล้าบุ่มบ่ามไปแตะพวกเขาโดยไม่ระวังกันหรอก”

คำตอบของราชญีเรียกเสียงสรวลจากสมเด็จพระสังฆราชินีออกมาแผ่วเบา แต่เสียงกรรสะที่ดังตามมา กับดวงพักตร์ซีดเซียว ทำให้พระองค์เกือบหลงลืมไปว่าเทียนแห่งชีวิตของผู้เฒ่ากำลังจะดับลงในไม่ช้า

“พระองค์จะจากเราไปตอนไหน” จอมนางตรัสถามแผ่วเบาราวกระซิบ และได้รับรอยแย้มสรวลที่ถูกห่อคลุมด้วยความหมองเศร้า

“ตอนนี้พ่อฟ้าพาลูกสาวไปเที่ยวที่ไหนหรือ” คำถามของผู้เฒ่ามีคำตอบแฝงไว้ เรียกรอยหม่นหมองจากดวงพักตร์ของราชญี

“พ่อฟ้าพาชคันมาตรีไปเที่ยวที่เมืองท่า...กรารูวา รู้สึกว่าจะไปงานฉลองวันเกิดของกัปตันเรือที่เขาเคยอยู่ อีกสิบวันถึงจะกลับบูกิต”

“อา...งั้นก็อีกไม่นานแล้วสินะ”





ในที่สุดก็ได้ฤกษ์เอานิยายเรื่องใหม่มาลงเสียที หลังจากลงโฆษณา(หรือเปล่า?) ไว้เสียนานว่าจะเอามาลงตอนต้นเดือน

แหะ ๆ ตอนนี้กำลังบ้าแนวเจ้าหญิงอยู่ ทนอ่านกันไปก่อนนะคะ



Create Date : 14 พฤษภาคม 2551
Last Update : 26 ตุลาคม 2556 17:18:09 น.
Counter : 286 Pageviews.

4 comments
  
จะแนวไหนก็จะตามอ่านต่อไปอย่างนี้เรื่อยๆค่ะ มาลงต่อเร็วนะคะ
โดย: wayvy IP: 203.154.186.194 วันที่: 15 พฤษภาคม 2551 เวลา:10:02:10 น.
  
มีบูกิตด้วย เอ มันเกี่ยวอะไรกับเรื่องพิษเสน่หาหรือเปล่าคะ
โดย: pumpam IP: 58.8.70.18 วันที่: 15 พฤษภาคม 2551 เวลา:10:31:20 น.
  
ต่อจากรึหลังจากพิษเสน่หา หรือจ๊ะ จะรออ่านค่ะ สู้สู้
โดย: กงจู วันที่: 16 พฤษภาคม 2551 เวลา:22:00:53 น.
  
ความจริงเรื่องต่อของพิษเสน่หา คือเรื่องพรายพระจันทร์ ที่เป็นเรื่องราวของบริมาส ตอนที่ถูกส่งตัวไปเรียนรู้ธรรมเนียมของกูรามากกว่าค่ะ

แต่บังเอิญว่าดันเขียนเรื่องราชญีได้ไวกว่าใครเขา เลยเอาเรื่องนี้มาลงก่อน

เนื้อเรื่องของเรื่องนี้อ้างอิงมาจากตำนานสีน้ำเงิน(ในเรื่องพิษเสน่หา และในเรื่องพรายพระจันทร์ก็จะมีการกล่าวถึงอีกครั้งเช่นกัน)

มันเป็นเรื่องที่เจ้าหลวงวิวัสวัตเล่าให้ราเชนกับเจ้าชายชัยนเรนทร์ฟังถึงเรื่องลานุนที่กลายเป็นกูรา กับเจ้าหญิงนัยน์ตาอมเศร้า ที่มอบชีวิตของพระองค์ให้กับเชื้อสาเทพ เพื่อเป็นเครื่องบูชายัญในการขจัดทุกขภัยบนแผ่นดิน


แหะๆ แต่อยากสารภาพจังเลยว่าตอนนี้ยังมีเรื่องที่ติดพันอีกเรื่อง คือ เรื่องด้วยรอยแค้น ฤทธิ์แรงแห่งรัก ที่ทำคะแนนนำและกำลังแซงเรื่องราชญีไป ด้วยความที่เจ้าตัวคนเขียนหลงรักเจ้าชายอาสิมันต์ (ผู้เถื่อนได้ใจคนเขียน หุหุ)

ตอนนี้เลยเลือกไม่ถูกว่าจะเอาเรื่องอะไรก่อนดี (แต่เดาว่าพรายพระจันทร์คงได้เก็บเข้ากรุเป็นอันดับแรก) และเกิดอาการโลภมาก อยากเขียนพร้อมกันทั้งสามเรื่องเลย เหอ ๆ

แต่ความโลภก็ดันมาแพ้ภารกิจ ตอนนี้ติดงานเจ้าค่า โปรเจคส์ที่ทำอยู่กำลังจะจบแล้ว เลยต้องนั่งทำงานหัวฟู หาเวลา เขียนนิยายไม่ได้เสียที

ดังนั้นขอพักยาวนะค้า.....

เจอกันต้นเดือนหน้าค่ะ (และบางทีคงได้เจอกับนิยายเรื่องใหม่ของคนหลายใจก็เป็นได้)
โดย: ฌา วันที่: 22 พฤษภาคม 2551 เวลา:0:52:56 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ฌา
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



New Comments
All Blog