พิษเสน่หา 37
๓๗ วิวาทะ

เมื่อได้ข่าวการเสียชีวิตของแสงอรุณ สิริกัญญาก็นึกถึงพี่สาวต่างมารดาคนหนึ่งขึ้นมา ด้วยรู้อยู่ว่าอีกฝ่ายนั้นสนิทสนมกับพี่ชาย ที่เธอไม่เคยแม้แต่จะพบหน้า และด้วยสายสัมพันธ์บางอย่างที่พันผูกอยู่ในใจ เธอจึงขอลากลับบ้าน เพื่อไปดูว่าอีกฝ่ายเป็นเช่นไรบ้าง จะเข้มแข็งต่อการจากลาที่ไม่มีวันหวนกลับ หรือจะอ่อนล้าจนไม่เป็นอันทำอะไร

พอสริกัญญาไปถึงคฤหาสน์พรหมเทวา หญิงสาวก็ได้เห็นว่าทั่วทั้งคฤหาสน์ชักผ้าสีดำและสีขาวขึ้น เพื่อเป็นการไว้อาลัยแด่ผู้จากลา หญิงสาวเดินไปยังตึกของแสงอรุณที่เงียบกริบจนดูเหมือนร้างผู้คน ด้วยเจ้าของตึกนี้มีสุขภาพร่างกายอ่อนแอ จึงไม่ค่อยได้ออกไปพบปะกับใคร จะมีก็แต่พี่น้องบางคนที่คอยแวะเวียนมาเป็นเพื่อนคุย และหนึ่งในนั้นก็มีรังสิมาอยู่ด้วย

สิริกัญญาเดินเข้าไปอย่างเชื่องช้า พลางกวาดสายตามองหาผู้คนที่อยู่ในนี้ แต่เธอก็ไม่พบใคร จึงเดินขึ้นชั้นสอง จนไปหยุดหน้าห้องหนึ่งที่ถูกเปิดประตูแง้มไว้ เผยให้เห็นร่างของหญิงสาวคนหนึ่ง ที่นั่งฟุบหน้ากับเตียงอยู่บนพื้น โดยบนเตียงนั้นมีร่างผอมบางของชายหนุ่มคนหนึ่งนอนสองมือกุมหน้าอก ด้วยสภาพที่เหมือนกับว่าแค่หลับไป แต่ใครเลยจะรู้เล่าว่านี่เป็นการหลับนิรันดร์ของเขา

หญิงสาวเห็นไหล่บอบบางของคนที่ฟุบหน้ากับเตียงไหวสะท้านเล็กน้อย แต่เธอไม่คิดจะส่งเสียงเรียกให้อีกฝ่ายออกมาจากความโศกเศร้า นอกจากมองหาเก้าอี้นั่ง ก่อนเฝ้ามองร่างนั้นที่ไม่รู้ว่านั่งอยู่เป็นเวลานานเท่าไร จนกระทั่งอีกฝ่ายเอ่ยพึมพำบางอย่างออกมา

“เมื่อเช้า...”

คนที่นั่งมองดูความโศกเศร้าของพี่สาวต่างมารดาไหวตัวขึ้นมาเล็กน้อย เมื่ออีกฝ่ายผงกศีรษะขึ้น พลางจ้องมองร่างของพี่ชายที่จากไปอย่างสงบ

“เมื่อเช้าอาการของพี่แสงอรุณดีขึ้นมาก และดีกว่าทุกวัน ข้ายังนั่งทานอาหารเช้ากับเขาอยู่ตรงนี้เลย” รังสิมาเอ่ยเสียงแหบเครือ พลางปาดน้ำตาที่ไหลออกมา “แต่ข้าไม่นึกเลยว่านี่จะเป็นการทานอาหารมื้อสุดท้ายของพวกเรา”

“พี่แสงอรุณไม่ได้จากไปอย่างทรมาน” สิริกัญญาเอ่ยขึ้นอย่างเชื่องช้า เธอไม่รู้ว่าจะปลอบพี่สาวต่างมารดาคนนี้อย่างไรดี อีกทั้งสัมพันธภาพระหว่างเธอกับอีกฝ่ายก็อยู่ในเกณฑ์ไม่ค่อยดีเท่าไรนัก จึงยิ่งไม่รู้เลยว่าจะพูดอย่างไรไม่ให้อีกฝ่ายโศกเศร้าไปมากกว่านี้

“เพราะอย่างนั้นข้าจึงไม่สามารถร้องไห้ฟูมฟายอย่างที่อยากทำได้อย่างไรล่ะ พี่ชายจากไปอย่างสงบ จนข้าไม่อาจทำตัวให้เขาเป็นกังวลได้”

สิริกัญญาลุกขึ้นจากเก้าอี้ แล้วเดินไปทรุดนั่งข้างพี่สาวต่างมารดาที่ยังจ้องนิ่งไปยังร่างของพี่ชาย “ท่านพ่อบอกว่าจะใช้ธรรมเนียมฝังกับพี่แสงอรุณ เจ้าหลวงจะเป็นประธานพิธีศพ และให้ตัวแทนนำคณะพาศพของพี่แสงอรุณไปฝังที่อารามของท่านพ่อในบูกิต”

“งั้นหรือ” รังสิมาแสดงท่าทีรับรู้อย่างเลื่อนลอย

“ข้าเองก็จะช่วยเรื่องพิธีศพ” หญิงสาวหาเรื่องชวนคุย เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายซึมเศร้าเกินไปนัก เธอเองก็เคยรับรู้รสของการสูญเสียคนที่ตัวเองรักมาก่อน จึงเข้าใจได้ว่ามันยากที่จะทำใจได้

“ขอบใจนะ” คนเศร้าหลุดเสียงพึมพำออกมา ก่อนหันไปยิ้มให้น้องสาวต่างมารดาที่แสดงความเป็นห่วงเป็นใยออกมาให้เห็น “แต่เจ้าไม่ต้องกังวลไปหรอก ข้าไม่จมปลักกับความเศร้านี้นานเกินไปนัก”

คำพูดของรังสิมาพอทำให้สิริกัญญาหายกังวลลงไปได้มาก เธอเชื่อว่าพี่สาวคนนี้เป็นคนเข้มแข็ง อาจจะเข้มแข็งกว่าเธอเสียด้วยซ้ำ

“เจ้าว่าท่านพ่อจะฝังศพท่านพี่แสงอรุณที่อารามในบูกิตงั้นหรือ” รังสิมาเอ่ยถามอย่างนึกขึ้นได้ว่าน้องสาวพูดอะไรออกมา และเมื่อได้รับการพยักหน้าตอบรับ หญิงสาวจึงทำท่าคล้ายจะตัดสินใจบางอย่างได้

“ถ้าอย่างนั้น ข้าจะบวชชีไว้ทุกข์พี่ชาย”

“ท่านพี่รังสิมา...” สิริกัญญาครางออกมาแผ่วเบากับการตัดสินใจของอีกฝ่าย และสีหน้านั้นก็บอกถึงความแน่วแน่ที่ไม่ว่าใครก็ห้ามไม่ได้

“อย่าห่วงเลย” รังสิมาคลี่ยิ้มน้อยที่ได้เห็นสีหน้าตื่นตกใจของน้องสาวที่เธอไม่ได้ให้ความสนิทสนมเสียเท่าไร “ข้าไม่บวชนานหรอก อย่างไรข้าก็ต้องกลับมาเป็นรังสิมา ว่าที่เจ้าหญิงพระชายาต่อไปจนตาย”

ไม่รู้ว่าสิริกัญญาจะสังเวชใจในตัวเองดีหรือไม่ ทั้งที่หญิงสาวอยากบวชชีใจแทบขาด แต่ก็ไม่ได้บวชตามใจปรารถนา ส่วนคนที่ไม่มีทีท่าคิดจะบวชชีให้เห็นสักครั้ง กลับมาบวชเสียได้ ฟ้าช่างเล่นตลกเสียเหลือเกิน

“ถ้าอย่างนั้นจะบวชนานเท่าไรหรือคะ”

“ก็คงสักปีหนึ่งน่ะ” รังสิมาตอบกลับด้วยท่าทางแน่วแน่ พลางลูบมือเย็นจัดของพี่ชายไปมา

“มันไม่นานไปหน่อยหรือคะ” สิริกัญญาเอ่ยถามอย่างใจหาย และเธอก็ได้รับการส่ายหน้าตอบกลับมาอีกครั้ง

“เวลาหนึ่งปีที่ข้าอยากทำอะไรตามใจตนเอง มันเทียบกับเวลาทั้งชีวิตที่ข้าทำตามใจคนอื่นไม่ได้หรอก ฝากบอกท่านพ่อกับเจ้าหลวงด้วยว่าข้าขอเวลาสั้น ๆ นี้เท่านั้น แล้วข้าจะกลับมา”

สิริกัญญาจ้องรังสิมาที่ยังมองแสงอรุณด้วยสายตาอาลัยรัก ก่อนถอนหายใจเฮือกออกมา พวกเธอต่างมีหลายสิ่งหลายอย่างที่คล้ายคลึงกัน ทั้งการมีพี่ชาย หรือภาระหน้าที่ที่กดลงมาบนบ่าทั้งสองข้าง ซึ่งเธอได้ทิ้งหน้าที่ของตัวเองเพื่อความสุขส่วนตัว ตรงข้ามกับรังสิมาที่เลือกจะทำตามหน้าที่นั้น

มันช่างน่าละอายนัก...

“ข้าจะทำให้ปรารถนาของท่านพี่เป็นจริงเองค่ะ แม้ท่านพ่อหรือเจ้าหลวงจะไม่อนุญาต แต่ข้าจะพาท่านหนีไปบวชเอง”

รังสิมาเบือนสายตาไปยังน้องสาวต่างมารดาที่ให้คำสัญญาหนักแน่น แล้วคลี่ยิ้มน้อย “ขอโทษในทุกสิ่งที่ผ่านเลยไป และขอบใจกับการช่วยเหลือของเจ้านะ สิริกัญญา”

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


สิริกัญญาเป็นตัวแทนท่านจินดา ในการดำเนินพิธีศพทุกอย่างตามที่ขออาสาไว้กับบิดา ซึ่งท่านได้อนุญาตและมอบสิทธิ์เต็มที่ รวมถึงเรื่องการขอบวชของรังสิมาที่ท่านไม่ได้คัดค้านตามที่หญิงสาวกังวล ดังนั้นเธอจึงได้เห็นพี่สาวต่างมารดาใส่ชุดขาว สวมผ้าคลุมศีรษะเช่นนางชีทันทีที่ทำพิธีบวชเสร็จ

บริมาสเองก็เข้ามาช่วยเหลือเพื่อนอย่างแข็งขัน โดยมีเจ้าชายชัยนเรนทร์คอยส่งสายพระเนตรเขม่นใส่ผู้ชายทุกคน ที่พยายามเข้ามาใกล้ชิดสองสาว ซึ่งสำหรับคุณหนูพระจันทร์ที่จะต้องหัวเสียกับการถูกเกี้ยวพาราสีมาตลอด ก็อดนึกขอบคุณข่าวลือเกินจริงขึ้นมาไม่ได้ อีกทั้งมันยังช่วยกันเพื่อนจากคุณชายที่ได้ชมโฉมสาวงามไปเมื่อตอนเทศกาลจับม้า จนพากันเข้ามาหาทางสนิทสนม ราวกับหมาป่าได้เจอลูกแกะ

“ไปพักก่อนไหมสิรี ท่าทางเจ้าดูเหนื่อยพิกลนะ” บริมาสเอ่ยทักด้วยความเป็นห่วง เมื่อเห็นท่าทางเหนื่อยล้าของเพื่อน และจะว่าไปอีกฝ่ายก็วิ่งวุ่นเรื่องการต้อนรับแขก ที่มาแสดงความอาลัยในงานศพของแสงอรุณตั้งแต่เช้า มันจึงไม่ค่อยน่าแปลกใจเท่าไร หากเจ้าตัวจะแสดงความอ่อนล้าออกมาให้เห็น

“เดี๋ยวหน้าที่ตรงนี้ ข้ากับเจ้าชายจัดการกันเองได้”

ตอนแรกสิริกัญญาคิดจะปฏิเสธไปว่าตัวเองไม่ได้เหนื่อยอะไร แต่พอโดนเพื่อนทั้งผลักทั้งดัน พลางส่งสายตาดุให้เธอเข้าไปพักผ่อน หญิงสาวจึงยอมล่าถอยไปแต่โดยดี ถึงกระนั้นสายตาก็ไม่วายมองหาใครบางคนที่สมควรมาอยู่ตรงนี้มากที่สุด

“อ้อ! ถ้าเจ้าปาเยนทร์มา ข้าจะไปเรียกให้นะ”

“บ้า!” สิริกัญญาถลึงตาใส่ให้เพื่อนที่หัวเราะคิกคักตอบกลับมา ก่อนผลุนผลันเดินจากไปทันที โดยไม่ต้องให้อีกฝ่ายทั้งผลักทั้งดันเธออีก ครั้นพอพ้นระยะสายตาของทุกคนที่มางานศพของแสงอรุณแล้ว หญิงสาวก็ทอดถอนหายใจออกมา

“ถ้าท่านไม่รีบมาขอโทษ ข้าจะหนีจากท่านไปแล้วนะ” หญิงสาวพึมพำกับตัวเอง ก่อนตัดสินใจไปเดินเล่นที่สวนบุษราคัม สถานที่ที่มีความหลังสำหรับเธอมากมาย

ดวงตาสีน้ำเงินทอดมองสวนมณีเหลืองที่ในอดีตได้เคยเข้ามาวิ่งเล่น และยังเป็นสถานที่ที่เธอนัดพบปะกับท่านจินดาทุกครั้งที่ท่านกลับมาจากการไปราชการต่างแดน และก็เป็นทุกครั้งเช่นกันที่เธอชอบเข้ามาทักทายบิดาด้วยวิธีแปลกประหลาด จนกระทั่งถึงวันที่เธอทักใครบางคนผิด จนเกิดเรื่องราวสร้างสายใยผูกมัดหัวใจของเธอไว้โดยไม่รู้ตัว

ร่างโปร่งบางเดินตรงไปยังโดมหินอ่อนกลางสวนมณีเหลือง ก่อนขึ้นไปนั่งเท้าคางบนขั้นบันไดชั้นบนสุด แล้วทอดสายตามองสวนกว้างด้วยสายตาหวนรำลึก มันเป็นเรื่องที่น่าเศร้า หากเธอจากที่นี่ไป แต่เธอก็ตัดสินใจไว้แล้ว หลังจากที่เห็นรังสิมาบวช ซึ่งยังไม่มีใครรู้เรื่องที่เธอคิดจะทำหลังจากนี้

“กูรา...บ้านเกิดของแม่งั้นหรือ สรวงสวรรค์ของชาวสีน้ำเงินมันเป็นยังไงนะ” สิริกัญญาพูดพลางฟุบหน้าลงกับท่อนแขน เธอไม่รู้ว่าการที่ตัวเองกลับไปกูราจะช่วยบรรเทาสถานการณ์ภายในนั้นได้มากน้อยแค่ไหน แต่เธอก็มีสายเลือดของคนในนั้นอยู่ครึ่งหนึ่ง เป็นสายเลือดขัตติยะที่ต้องรับผิดชอบดูแลทุกชีวิตที่อยู่ในแผ่นดินนั้นเสียด้วย เธอจึงต้องกลับไปกระทำหน้าที่ของตัวเอง

“ถ้าท่านไม่รีบมา ข้าจะไม่ลาท่านนะราเชน” หญิงสาวพึมพำกับตัวเองอีกครั้ง และรีบเงยหน้าขึ้นมาทันที เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของใครบางคนเดินเข้ามา แต่รอยยิ้มบางเบาที่แต่งแต้มอยู่บนใบหน้าก็เลือนหาย ที่รู้ว่าผู้มาใหม่นั้นไม่ใช่คนที่ตัวเองเฝ้ารอ

“ท่านพี่อรัญญา...”

“ทำหน้าเหมือนกับผิดหวังที่คนมานี่เป็นข้า ไม่ใช่ใครบางคนที่เจ้ารอนะ รอใครอยู่ล่ะ” อรัญญาเลิกคิ้วขึ้นถาม ก่อนเหยียดยิ้มถากถาง “คุณชายที่เข้ามาเกี้ยวพาราสีตลอดสองวัน หรือเจ้าปาเยนทร์ที่เป็นชู้กับเจ้าอยู่ตอนนี้ล่ะ”

สิริกัญญาถอนหายใจเฮือกกับถ้อยคำกระแนะกระแหนของพี่สาวต่างมารดา ตอนนี้หญิงสาวไม่มีอารมณ์จะทะเลาะกับใครทั้งสิ้น จึงตัดสินใจลุกขึ้นยืน แล้วเดินผ่านอีกฝ่ายที่ก้าวเข้ามาประชิดอย่างรวดเร็ว และใช้มือจิกขยุ้มปลายคางของน้องสาวทาสไว้

“ขอยืมใบหน้านี่ไปล่อลวงคนอื่นหน่อยได้ไหม”

“หน้าท่านก็มีนี่คะ แถมยังเคยใช้ล่อลวงเหล่าคุณชายให้หลงใหลจนหัวปักหัวปำมาแล้วไม่ใช่หรือ”

อรัญญาถลึงตาใส่น้องสาวที่โต้ฝีปากกลับมาด้วยถ้อยคำเจ็บแสบ พลางสะบัดมือที่จิกปลายคางอีกฝ่ายไว้ แล้วเปลี่ยนเป็นตบหน้าน้องสาวที่น่าชิงชังเต็มฉาด เมื่อได้เห็นดวงตาสีน้ำเงินทอแววบางอย่างออกมา

“อย่ามาจ้องข้าแบบนี้นะ สมเพช...สงสารเรอะ” หญิงสาวกรีดร้องอย่างกราดเกรี้ยว ก่อนดึงหน้าของน้องสาวทาสให้หันกลับมาอีกครั้ง “ใช้แววตาแบบนั้นมองข้าทำไม ข้ามีดีกว่าเจ้าเยอะ สิริกัญญา”

“ถ้าท่านพี่มีดี คงไม่มาหาเรื่องข้าที่ไม่มีอะไรหรอกค่ะ”

อรัญญาขบริมฝีปากแน่น กับคำพูดแทงใจดำที่สวนกลับมา มือเรียวเงื้อง่าขึ้นหมายจะตบอีกฝ่ายอีกครั้ง แต่สิริกัญญาที่ไม่คิดจะนิ่งเงียบให้ตัวเองต้องถูกทำร้ายฝ่ายเดียวอีกต่อไป ก็ยกมือขึ้นรับฝ่ามือของพี่สาว แล้วยึดมือข้างนั้นไม่ให้ทำอะไรเธอได้อีก

“ข้าถือคติว่ายอมก่อนหนึ่งครั้งเท่านั้น ถ้าท่านพี่คิดจะตบหน้าข้าอีก คงต้องขอตบหน้าท่านคืนบ้าง”

“อวดหยิ่ง!” อรัญญาตะคอกใส่เสียงดัง พลางยกมืออีกข้างขึ้นหวังจะทุบตีอีกฝ่าย แต่ก็ถูกมือเรียวบางที่ซ่อนกำลังเกินหญิงยึดจับไว้มั่น “เป็นแค่ลูกทาส แต่กลับยกตนขึ้นเทียมทัดเจ้านายงั้นหรือ สิริกัญญา”

“อยู่ที่นี่ข้าอาจเป็นเพียงลูกทาส แต่เมื่อกลับกูรา ข้าก็มีฐานะเป็นเจ้าหญิง”

“เจ้ามันขี้โกหก!”

“ท่านพี่ไม่เห็นหรือว่าข้ากับเจ้าหลวงกูรามีสีตาเหมือนกัน พระองค์มาบอกข้าเองว่าเราเป็นญาติ”

“ไม่จริง! เจ้ามันเป็นลูกทาส! แม่เจ้าก็เป็นทาส!”

ดูเหมือนว่าอรัญญาจะไม่ยอมรับว่าสิริกัญญามีสายเลือดที่สูงกว่า หญิงสาวพยายามดิ้นขัดขืนเพื่อให้หลุดจากการยึดจับของน้องสาวทาส แต่อีกฝ่ายก็ไม่ยอมปล่อยให้เธอได้ระบายอารมณ์ได้สมใจ

“ถึงเป็นลูกทาสก็ใช่ว่าจะต้องถูกทารุณ ถูกกดขี่ข่มเหงนะ!” สิริกัญญาโต้ตอบอย่างเหลืออด พลางพยายามไม่ใช้ความรุนแรงกับพี่สาวต่างมารดา ที่เริ่มแสดงอาการโกรธเกรี้ยวออกมามากขึ้นทุกขณะ ดังนั้นเธอจึงพลาดท่าให้อรัญญาที่ดึงมือข้างหนึ่งออกไปได้สำเร็จ และกระหน่ำตีเธอลงมาเต็มแรง

“เจ้าไม่มีสิทธิ์มาร้องอุทธรณ์อะไรทั้งสิ้น เป็นทาสก็ควรสงบปากสงบคำไว้ อย่าริมาอวดหยิ่ง!”

สิริกัญญาเม้มริมฝีปากแน่น พลางพยายามปัดป้องมือที่ตบตีลงมาของพี่สาว หากเธอใช้กำลังตอบโต้ เรื่องคงยิ่งรุนแรงมากขึ้น และเธอก็ไม่อยากทำตัวมีปัญหาก่อนจากที่นี่ไป หญิงสาวก้าวถอยหลังไปเรื่อย ๆ แล้วสะดุดเข้าที่บันไดทางขึ้นโดมมณีเหลืองจนล้มหงายหลังไป อรัญญาจึงขึ้นคร่อมและลงมือตบตีน้องสาวทาสไม่ยั้ง

“นี่อะไร?” อรัญญาชะงักมือจากการตบตี เมื่อเรียวนิ้วเกี่ยวเข้าที่สร้อยคอของสิริกัญญา หญิงสาวดึงมันออกมา โดยที่เจ้าของยื้อยุดฉุดไว้ไม่ทัน จนแหวนประจำตัวของเจ้าปาเยนทร์ปรากฏออกมาให้เห็น

ดวงตาสีแดงวาวโรจน์ออกมาด้วยความอิจฉาริษยา เมื่อเห็นแหวนของราเชนมาอยู่ที่น้องสาวทาส แล้วความคิดหนึ่งก็ผุดวูบขึ้นมา หากเธอได้ครอบครองแหวนวงนี้ ใครต่อใครต่างต้องเชื่อเรื่องที่เธอคิดจะกุขึ้นมาแน่

“ไม่เห็นบอกเลยว่ามีของดีแบบนี้ติดตัวด้วย”

สิริกัญญารีบคว้าแหวนมรกตมากำไว้แน่น เมื่อเห็นสายตากระหายอยากของอรัญญา “มันเป็นเรื่องส่วนตัวของข้า ทำไมข้าจะต้องไปโพทนาว่าตัวเองมีหรือไม่มีอะไร”

“ก็ดีที่คนอื่นไม่รู้” อรัญญาหัวเราะเสียงแหลม พลางคว้าหมับเข้าที่ข้อมือน้องสาวทาส ที่กำแหวนมรกตไว้ด้วยท่าทางหวงแหน

“เอามันมาให้ข้า!”

“ไม่!”

เสียงวิวาทดังขึ้นมาอีกครั้ง และทวีความรุนแรงมากขึ้น สิริกัญญาพยายามกระเสือกกระสนหนีจากการถูกคร่อม แต่อรัญญาก็ดึงเส้นผมของเธอไว้ แล้วกระชากมันจนหญิงสาวต้องผ่อนแรงต้านไปตามแรงดึง และเธอก็ไม่ยอมคลายมือจากการกำแหวนมรกตไว้

“เอามันมาให้ข้า!”

“ไม่!”

สิริกัญญาร้องอย่างเหลืออดกับการถูกกระทำฝ่ายเดียว แหวนวงนี้เป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจยามอ่อนล้าของเธอมาตลอดสิบปี หากอรัญญาขออย่างอื่น เธอก็คงให้ได้ เพื่อที่อีกฝ่ายจะได้ไม่ต้องมาคอยตามราวีเธออีก แต่มีเพียงของสิ่งนี้เท่านั้นที่เธอให้ไม่ได้

“เอามันมา!!”

“ไม่!!” หญิงสาวตะโกนลั่น และตัดสินใจผลักร่างที่กดทับออกไปเต็มแรง

เสียงหวีดร้องของอรัญญาทำให้สิริกัญญาหันกลับไปมองร่างที่กดทับเธออยู่เมื่อครู่ แล้วดวงตาสีน้ำเงินก็เบิกขึ้นด้วยความตกตะลึง เมื่ออีกฝ่ายร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวดกับการตกจากที่สูง

สิริกัญญาไม่รู้ว่าพี่สาวต่างมารดาพลาดตกบันไดไปได้อย่างไร แต่จากสายตาของกลุ่มคนที่รุดมายังที่เกิดเหตุ หลังจากมีสาวใช้วิ่งไปบอกว่าคุณหนูสีแดงกำลังตบตีน้องสาวสีน้ำเงิน ก็เห็นว่าร่างนั้นเซผงะไปตามแรงผลักของคนที่ตัวเองคร่อมทับ ก่อนหงายหลังพลัดตกลงมาจากชั้นบนสุดของขั้นบันได แล้วกระแทกเข้ากับบันไดขั้นสุดท้ายเต็มแรง

“นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรกัน!”

สุรเสียงของเจ้าหลวงดังขึ้นราวฟ้าผ่า พาให้ทุกคนที่วิ่งตามมาสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจ รวมถึงสิริกัญญาที่หันไปมองเจ้าของเสียงด้วยใบหน้าตกใจ แต่เธอไม่ได้ตกใจกับสุรเสียงปานฟ้าผ่านั่น มันเป็นเลือดที่ซึมออกมาเปื้อนกระโปรงของอรัญญามากกว่า

“พี่อรัญญา...”

สายตาทุกคู่หันไปจดจ้องที่อรัญญา และได้เห็นภาพเดียวกับที่สิริกัญญาเห็น ท่านจินดาที่เดินตามมาทีหลัง เมื่อได้เห็นลูกสาวคนโตมีเลือดไหลเต็มกระโปรง ก็ผวาเฮือกเข้าไปหา แต่ถูกเจ้าหลวงคว้าจับไว้ได้ก่อน พระองค์พยักพักตร์ให้ลูกชายคนหนึ่งของท่านจินดา ที่เดินตามมาด้วยกันเข้าไปอุ้มอรัญญา ที่มีเหงื่อผุดพรายขึ้นเต็มใบหน้า ก่อนปราดเนตรไปยังผู้เห็นเหตุการณ์ทุกคน แล้วหยุดที่สิริกัญญาที่มีรอยข่วนเต็มใบหน้าและลำคอ

“ไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นในวันนี้ หากข้าได้ยินข่าวลือแพร่กระจายมาจากใคร ข้าจะตัดลิ้นมันทุกคน!”

ไม่มีใครกล้าลองดีกับคำประกาศของเจ้าหลวงแห่งปามะห์แน่ ด้วยทุกคนเคยเห็นตัวอย่างจากผู้อาจหาญจนต้องโทษจากการฝ่าฝืนคำสั่งนั้นมาแล้ว และเมื่อสิ้นคำประกาศ ทุกคนก็สลายตัวจากไป คล้ายไม่เคยมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นตรงที่แห่งนี้ ครั้นพอผู้คนบางตา เจ้าหลวงจึงตรัสออกมาอีกคำด้วยสุรเสียงแผ่วเบา

“ไปตามคณะหมอหลวงมาดูอาการของอรัญญา แล้วก็หาคนมาทำแผลให้สิริกัญญาด้วย เสร็จแล้วมาหาข้าที่ห้องทำงานของจินดา ข้าอยากรู้ว่าพวกเจ้าทะเลาะกันด้วยเรื่องอะไร”

บริมาสโผเข้าไปหาเพื่อนที่ยังอยู่ในอาการตกใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น สองมือยังกำบางสิ่งบางอย่างที่ร้อยเกี่ยวเข้ากับสายสร้อยไว้แน่น “สิรี...”

สุ้มเสียงของคุณหนูพระจันทร์ ดึงสายตาของสิริกัญญาที่จ้องมองกองเลือดตรงหน้า ให้หันไปหาเพื่อนที่ลูบไล้ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยแผลแผ่วเบา “ข้าไม่ได้ต้องการให้พี่อรัญญาเป็นแบบนั้นเลย บริมาส” หญิงสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ก่อนหลุดเสียงสะอื้นออกมา

“ถึงข้าจะไม่ชอบพี่อรัญญา แต่ข้าก็ไม่ได้ต้องการให้เป็นแบบนี้ ไม่ต้องการ...”

“มันไม่ใช่ความผิดของเจ้าหรอกสิรี เจ้าแค่ป้องกันตัว ทุกคนก็เห็น” บริมาสพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือไม่แพ้กัน ก่อนโอบเพื่อนมากอดไว้แน่น หญิงสาวได้แต่โทษตัวเองว่าหากไม่ปล่อยอีกฝ่ายให้มาพักผ่อนตามลำพัง เรื่องไม่พึงประสงค์แบบนี้ก็คงไม่เกิดขึ้น

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


เสียงเคาะประตูดึงสายตาจากเจ้าของห้อง ให้หันไปมองผู้เข้ามา แล้วคนที่ทำงานมาตั้งแต่เช้าก็ลุกขึ้นไปหามารดา ที่คลี่ยิ้มน้อยกับการเข้ามาช่วยพยุงไปยังชุดรับแขกที่อยู่ในห้อง ก่อนทรุดลงนั่งพร้อมกัน

“ทำไมถึงมาอุดอู้อยู่แต่ในห้องทำงานล่ะ ราเชน” ท่านผู้หญิงสรัสวดีเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเนิบนาบ

“ข้าก็ทำงานอยู่ไงครับ”

“งานน่ะจะทำเมื่อไรก็ทำได้ แต่เรื่องบางอย่าง ถ้าไม่รีบทำ ยังคงปล่อยคาราคาซังไว้ก็จะยิ่งกลายเป็นปมแน่น คราวนี้ไอ้ที่แก้ง่ายก็จะกลายเป็นแก้ยาก” คำพูดของท่านผู้หญิง บอกให้รู้ว่าท่านก็เป็นอีกผู้หนึ่งที่รู้เรื่องความหมางใจบางอย่าง ระหว่างลูกชายกับหญิงสาวสีน้ำเงิน ซึ่งคนที่บอกเล่าเรื่องนี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นเจ้าชายชัยนเรนทร์นั่นเอง

ราเชนกระตุกยิ้มกับคำแนะนำของมารดา ที่อยากให้เขาจัดการแก้ไขรอยบาดหมางที่เกิดขึ้นกับคู่กรณีโดยเร็ว ทั้งที่ก่อนหน้านี้ยามเขามีเรื่องบาดหมางกับคู่รักคนเก่าก่อน ก็ไม่เห็นวี่แววว่าจะเป็นเดือดเป็นร้อนแทนอีกฝ่ายแบบนี้

“ท่านแม่ไม่คิดจะแนะนำข้าหน่อยหรือว่าควรง้อนางอย่างไรดี”

ท่านผู้หญิงเบิกตาขึ้นเล็กน้อย ก่อนตีต้นแขนลูกชายแผ่วเบา เมื่ออีกฝ่ายเผลอหลุดหัวเราะออกมา “ทำเขาโกรธไปง้อเขามันก็ถูก แต่เรื่องอะไรต้องมาถามแม่ล่ะ แม่ไม่ได้เป็นผู้สมรู้ร่วมคิดด้วยเสียหน่อย ทีผู้หญิงคนอื่นยังง้องอนเขาได้ ทีคนนี้ล่ะทำทะนงนัก!”

ราเชนส่ายหน้าด้วยความอ่อนใจ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าท่านผู้หญิงถือหางอีกฝ่ายเต็มที่ “ก็ง้อคนนี้ ใช่ง้อธรรมดาเสียที่ไหน เพราะข้าไม่รู้ว่าจะง้อคนโกรธ เพื่อให้ยอมรับคำขอแต่งงานได้อย่างไร ถึงได้มานั่งกลุ่มอยู่นี่ไงครับ”

เมื่อได้ยินคำพูดของลูกชาย ก็ทำให้ท่านผู้หญิงถอนหายใจออกมา เธอยอมรับว่าถูกชะตากับหญิงสาวสีน้ำเงินคนนี้อยู่มาก และไม่รังเกียจที่จะรับอีกฝ่ายเข้ามาเป็นสะใภ้ แต่ที่น่ากังวลก็คือสถานการณ์ในตอนนี้ต่างหาก เธอได้ยินมาว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นถึงสายเลือดอันชอบธรรมที่มีสิทธิ์ขึ้นครองบัลลังก์ของกูรา ซึ่งหากพูดกันตามธรรมเนียมราชเพณีแล้ว ลูกชายของเธอก็ไม่มีทางได้คู่กับอีกฝ่าย เพราะต่างฝ่ายต่างก็เป็นฐานค้ำยันแผ่นดิน

ปาเยนทร์ไม่อาจผันตัวเข้าเป็นกูราได้ฉันใด ราชญีแห่งกูราก็ไม่อาจลดตัวมาเป็นปาเยนทร์ได้ฉันนั้น!

“เมื่อลูกตัดสินใจเช่นนั้น แม่ก็ไม่ห้าม แต่แม่อยากให้ลูกดูอะไรหน่อย” ท่านผู้หญิงพูดพลางหยิบสร้อยห้อยจี้รูปเต่าที่ต้องส่งช่างซ่อมอีกครั้ง หลังจากที่มันช่วยปกป้องลูกชายของเธอ ให้พ้นจากคมเคียวของมัจจุราชออกมาจากกล่องหนังสีดำ

“แม่ได้คุยกับช่างที่ซ่อมสร้อยเส้นนี้มา เขาบอกว่ามันมีกลไกบางอย่างซ่อนอยู่”

ราเชนเลิกคิ้วขึ้นด้วยความแปลกใจกับคำบอกเล่าของมารดา พลางมองดูมือเรียวที่พลิกตัวเต่าให้หงายท้อง และหมุนท้องมันเป็นรูปวงกลม แล้วเขาก็ได้เห็นว่าแผ่นท้องของมันคลี่เปิดตามแรงหมุน เผยให้เห็นว่าภายในมีร่องวงกลมคล้ายเป็นที่สำหรับใส่อะไรบางอย่าง

“ช่างซ่อมบังเอิญไปเจอส่วนนี้เข้า เขาบอกว่าไม่กล้ายุ่งกับกลไกพวกนี้ เพราะมันซับซ้อนมาก”

“มันไม่ใช่เต่าธรรมดา” ราเชนไม่รู้ว่าจะหาคำอะไรมาใช้ดี จึงได้แต่พึมพำพูดคำนี้ออกมา

“ถ้ามันเป็นเต่าของพวกสีน้ำเงิน ก็ไม่น่าใช่เต่าธรรมดาหรอกจ้ะ” ท่านผู้หญิงสรัสวดีกระตุกยิ้มขึ้น ก่อนปิดท้องเต่าเหมือนเดิมแล้วส่งคืนให้ลูกชาย “ทางโน้นน่ะมีตำนานอภินิหารมากมาย หนึ่งในนั้นก็คงเป็นเต่าตัวนี้ที่อายุมากกว่าคนในบ้านนี้รวมกัน”

“ท่านผู้หญิง...ขออภัยที่มาขัดจังหวะนะ ข้าขอยืมตัวราเชนไปทำธุระข้างนอกสักครู่ใหญ่หน่อย” เสียงเคาะประตูกับคำตรัสของเจ้าชายชัยนเรนทร์ ทำให้สองแม่ลูกนึกแปลกใจที่พระองค์รีบร้อนผลุนผลันเข้ามา โดยไม่บอกกล่าวอะไร ซ้ำยังเสด็จตรงเข้ามาฉุดราเชนให้ลุกขึ้นทันที

“ไปไหน” ราเชนเอ่ยถามอย่างสงสัย พลางเดินตามเจ้าชายที่ไม่สนใจอะไร นอกจากการฉุดดึงเขาให้ออกไปข้างนอก

“คฤหาสน์พรหมเทวา”

คำตอบของเจ้าชายทำให้ราเชนไพล่นึกไปถึงคนที่อยู่ในบ้านนั้น แล้วชายหนุ่มก็ใจหายวูบขึ้นมา ด้วยสังหรณ์ว่าอาจมีเรื่องราวบางอย่างที่ไม่สู้ดีนักเกิดขึ้น

“เกิดอะไรขึ้นกับสิริกัญญา”

“คิดว่าไม่ร้ายแรงมาก แต่บางทีนางอาจต้องการความช่วยเหลือจากเจ้า ราเชน!”



Create Date : 11 มีนาคม 2551
Last Update : 11 มีนาคม 2551 20:36:29 น.
Counter : 363 Pageviews.

1 comments
  
อัพไวๆนะค่ะ ชอบราเชนกับสิริกัญญาสวีทมากๆค่ะ ฉากเลิฟซีนน่ารักค่ะ ไม่มากไม่น้อยไป ถ้าแต่งครั้งแรกก็เก่งมากๆเลยค่ะ
โดย: ตัวเล็ก IP: 203.158.4.155 วันที่: 12 มีนาคม 2551 เวลา:21:33:16 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ฌา
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



New Comments
All Blog