พิษเสน่หา 39
๓๙ กบฎนายพล

ขณะที่ทางปามะห์มีเรื่องวุ่นวาย เกี่ยวกับการจากไปในเวลาไล่เลี่ยกัน ของบุตรชายหญิงของประธานองคมนตรีแห่งปามะห์ ทางทาลางทูรก็มีเรื่องให้ต้องวุ่นวายใจไม่แพ้กัน เมื่อเหล่าข้าราชบริพาร ต่างพากันเข้าหน้ากับเจ้าแผ่นดินไม่ติด อันเนื่องจากพระอารมณ์ที่แปรปรวนดุจพายุร้าย ที่เริ่มแสดงให้เห็นเด่นชัด นับตั้งแต่เสด็จกลับมาจากปามะห์

สาเหตุหนึ่งที่เหล่าข้าราชบริพารต่างเดาได้ คือราชสาส์นจากกูราที่ปฏิเสธการให้ทาลางทูรยืมทหาร ในการทำสงครามขั้นแตกหักกับปามะห์ ซึ่งรายละเอียดในนั้นบอกถึงเหตุผล ว่ากูราไม่ได้มีเรื่องหมางใจกับปาะมห์ จึงไม่อาจส่งทหารเข้าร่วมสงครามครั้งนี้ด้วยได้

ส่วนอีกสาเหตุก็คือการทวงถามสิทธิอันชอบธรรม ในบัลลังก์สีน้ำเงินของพระองค์เจ้าโสมสวรรค์ ที่ได้อภิเษกมาเป็นพระมเหสีแห่งทาลางทูร ที่ทางนั้นก็ตอบกลับมาว่าไม่อาจยกบัลลังก์นั้นให้ราชินีแห่งทาลางทูรได้ ด้วยเหตุผลที่ว่าบัลลังก์ของกูราย่อมต้องให้คนของกูราขึ้นนั่ง พระองค์เจ้าโสมสวรรค์กลายเป็นชาวทาลางทูรไปแล้ว มิใช่ชาวกูราอีกต่อไป จึงไม่มีสิทธิ์ในการครอบครองบัลลังก์สีน้ำเงิน และราชสาส์นนี่ล่ะที่ทำให้ผู้ถือสาส์นหัวร้างข้างแตกมาแล้ว

แต่ก็มีกระแสข่าวแว่วมา ว่ากูราได้พบสายเลือดที่ชิดใกล้บัลลังก์เทพยิ่งกว่า และมีแผนการจะอัญเชิญสายเลือดนั้นกลับคืนบัลลังก์ ซึ่งสายเลือดที่ว่าอยู่ในปามะห์ นี่จึงอาจเป็นสาเหตุใหญ่อีกสาเหตุ ที่ทำให้เจ้าหลวงแห่งทาลางทูรมีพระอารมณ์ร้าย

เสียงหมัดหนักดังกระทบกับทุ่นที่โอนเอนไปมาตามแรงเหวี่ยงของหมัด และแรงหวดเตะก็ทำเอาทุ่นล้มลุก ที่มีน้ำหนักเกือบหนึ่งตันกระดอนขึ้นลงเหนือพื้นหลายครา ตามแรงอารมณ์ของเจ้าของ

ดวงตาคมกริบของคนที่อยู่ในเงามืด จับจ้องวรองค์ใหญ่กำยำ ที่อุระเปลือยกว้างเปียกชุ่มด้วยหยาดเสโท มือหนาลูบใบหน้าเขียวครึ้มด้วยหนวดเคราไปมา ก่อนหลุดหัวเราะให้คนที่ลงอารมณ์กับหุ่นล้มลุก ตวัดสายพระเนตรไปยังบุคคลไม่รับเชิญด้วยความไม่พอพระทัย

“เข้ามาตั้งแต่เมื่อไร” เจ้าหลวงตรัสถามเสียงขุ่น ก่อนหยุดการผึกซ้อม เพื่อหันไปทอดพระเนตรร่างสูงกำยำที่ก้าวออกมาจากเงามืดอย่างเชื่องช้า

“ก็ไม่นานเท่าไรหรอก แค่เห็นพระองค์เพลิดเพลินอยู่กับการฝึกซ้อม เลยไม่อยากขัด”

“ไม่ใช่ว่ารีบแจ้นมา เพราะรู้เรื่องสาส์นที่กูราส่งมาแล้วหรือไง” เจ้าหลวงพ่นลมผ่านนาสิก ก่อนเสด็จไปหยิบผ้ามาซับพระเสโทตามวรกาย “คงไม่คาดคิดสินะว่ากูราจะตอบกลับมาแบบนั้น”

เสียงกลั้วหัวเราะดังออกมาแผ่วเบากับคำจิกกัด แล้วโต้ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงหยอกเย้า “แต่ดูเหมือนพระองค์จะดีพระทัยเหลือเกินนี่ ที่กูราไม่ส่งกำลังสนับสนุนกับสงครามที่พระองค์กำลังประกาศ”

ดวงเนตรสีน้ำตาลแดงตวัดไปทางบุคคลไม่รับเชิญด้วยสายตารังเกียจ “ทาลางทูรมีความภาคภูมิใจในกองกำลังของตนเอง เราเก่งกล้า...เราสามารถท้าชนกับคนอื่นได้ ไม่ว่าจะเป็นกูราหรือปามะห์ แล้วเจ้าก็เข้ามาทำลายความภาคภูมิใจของเรา!” ในประโยคสุดท้าย ทรงกระแทกสุรเสียงอย่างไม่สบพระอารมณ์ ด้วยทรงจดจำดวงเนตรหมิ่นแคลน จากเจ้าหลวงทั้งสองรัฐที่แสดงออกมาในวันงานนั้นได้

“แค่ความภาคภูมิใจอย่างเดียว ไม่มีทางเอาชนะใครได้หรอกพระเจ้าค่ะ มันต้องยืมมือยืมแรงคนอื่นเข้ามาช่วย เพื่อให้ความต้องการของเราบรรลุถึงเป้าหมาย”

“จนถึงกับวางแผนสกปรก ลอบสังหารเจ้าหลวงปามะห์เชียวหรือ”

เจ้าของแผนการลอบสังหารหลุดหัวเราะกับความรู้เท่าทัน แล้วเลิกคิ้วขึ้นสูง “ลอบสังหารตรงไหน”

“การยิงธนูจากที่ลับนี่นะ ที่ไม่เรียกว่าเป็นการลอบสังหาร!” เจ้าหลวงทรงตะเบ็งเสียงกร้าว ดวงเนตรยิ่งวาวโรจน์กับการกระทำที่เป็นการหมิ่นเกียรติ หยามศักดิ์ศรีของพระองค์

“เรื่องมันแล้วไปแล้วก็ปล่อยให้มันผ่านเลยไปเถอะ แล้วก็ไม่ต้องทรงกังวลไป คนที่ถูกจับตัวไป ไม่มีวันเอ่ยชื่อของเราออกไปหรอก” ดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะไม่สนใจกับเรื่องนี้เท่าไรนัก แต่ในดวงตาคมกริบที่จ้องสบเนตร บอกถึงความนัยบางอย่างได้

เจ้าหลวงทรงทิ้งเสียงหึลงพระศอ พลางทิ้งผ้าซับลงบนไม้พาด ก่อนคว้าฉลองพระองค์มาสวมใส่ “ก็เพราะพวกมันไม่มีชีวิตแล้วน่ะสิ แล้วเรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องของเรา แต่เป็นเรื่องของเจ้า ข้าไม่เกี่ยว!”

“อย่าทรงตัดรอนกันอย่างนั้นสิ เราลงเรือลำเดียวกันแล้วนะ”

เสียงกลั้วหัวเราะและน้ำคำของอีกฝ่ายที่เอ่ยออกมา ทำให้เจ้าหลวงทรงนึกถึงวันที่คนผู้นี้ปรากฏตัวขึ้น เขาเป็นเพื่อนเก่าของพระบิดา ที่ร่วมกันวางแผนการร้ายให้พระอัยกาก่อสงครามเมื่อห้าสิบปีก่อน สร้างโศกนาฏกรรมบนแผ่นดินสีน้ำเงิน แล้วยังยัดเยียดบทผู้ร้ายมาให้ เพื่อสานเจตนารมย์ของตนเองกับพระบิดาที่เคยได้ร่วมวาดฝันก่อกันไว้ โดยมีชีวิตของบุคคลอันเป็นที่รัก เป็นตัวประกันอยู่ในกำมือของชายโฉดผู้นี้

“แล้วเจ้ามาที่นี่ทำไม” เจ้าหลวงทรงเปลี่ยนเรื่องพูด ด้วยไม่อยากรำลึกถึงการต้องมาร่วมลงเรือโจรร้าย

“กระหม่อมแค่อยากมาถามว่ามีสายเลือดที่ชิดใกล้บัลลังก์เทพอยู่ในปามะห์งั้นหรือ” น้ำเสียงหยอกเย้าแปรเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมา ซึ่งเจ้าหลวงก็แสยะเรียวโอษฐ์ด้วยท่าทางเยาะหยัน

“พลาดจากแม่ก็คิดจะเอาลูกงั้นสิ”

คนถูกหัวเราะเยาะกระตุกยิ้มขึ้นอย่างมาดร้าย เปิดเผยสันดานให้ผู้จ้องมองไหวตัวด้วยความไม่ไว้วางใจ “เปล๊า...กระหม่อมคิดว่าเมื่อทางนั้นมีสายเลือดที่ชิดใกล้ อย่างนี้องค์โสมกับลูกก็ไม่จำเป็นแล้วสินะ”

“ลองแกแตะต้องโสมกับลูกข้าสักปลายเล็บสิ สัญญาที่มีต่อกันเป็นโมฆะแน่ แล้วข้าจะเปิดโปงแผนการของแกให้หมด!”

คนถูกข่มขู่จุ๊ปากด้วยท่าทางเสแสร้งแกล้งขัดใจ แต่ท่าทางดูไม่ทุกข์ร้อนต่อคำขู่ของเจ้าหลวงเท่าไรนัก “ตรัสไปใครจะเชื่อ หรือทรงหวังว่าหนูที่โปรดปล่อยไปจะเอาเรื่องนี้มาโพทนาให้คนอื่นเขารู้” ในท่อนสุดท้ายนี้ถูกดึงเสียงให้สูงขึ้น จนดูเหมือนเสียงของจิ้งจอกเจ้าเล่ห์

“น่าเสียดายจริง ๆ ที่กระหม่อมจัดการพวกมันไปเสียแล้ว มิอย่างนั้นเราคงได้ชมกันว่าใครบ้างจะเชื่อเรื่องที่พระองค์ถูกยัดให้รับบทผู้ร้าย”

“นั่นใคร!” เจ้าหลวงหันพักตร์ไปทางประตูห้องฝึกซ้อมแล้วตวาดลั่น เมื่อทรงรู้สึกถึงเงาคนแวบผ่านเข้ามาทางหางพระเนตร แล้วเจ้าฟ้าชายอารยมันก็ปรากฏตัวขึ้นมา พลางค้อมเศียรลง

“ขออภัยด้วยพระเจ้าค่ะที่ทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ บังเอิญลูกจะเข้ามาตามเสด็จพ่อให้ไปประชุมคณะเสนาบดี แต่ลูกเห็นเสด็จพ่อมีแขก...” เจ้าฟ้าชายตรัสพลางปรายเนตรไปทางแขกที่ว่า

“อา...ทรงมีราชกิจสินะ” เสียงทอดถอนหายใจดังขึ้นมาแผ่วเบา แล้วคนที่ถูกขับไล่ทางอ้อมก็หันไปโค้งคำนับให้เจ้าหลวงที่ทรงชักสายพระเนตรขุ่นเคืองให้อย่างไม่ปิดบัง “ถ้าอย่างนั้นกระหม่อมขอทูลลา แล้วถ้ามีเรื่องอยากปรึกษา กระหม่อมจะแวะมาใหม่” พอพูดเสร็จ เจ้าของร่างกำยำก็เดินตรงมาทางเจ้าฟ้าชายที่ประทับยืนอยู่ตรงประตูทางเข้า ก่อนเหยียดยิ้มเป็นเส้นตรง

“บางทีการรู้มากเกินไป ก็อาจเป็นอันตรายได้เหมือนกันนะ ระวังอย่าสอดส่ายสายพระเนตรไปยังที่ไม่ควรเข้าล่ะ ไม่อย่างนั้นจะหาว่ากระหม่อมไม่เตือนไม่ได้”

“สิงหนาท!”

เจ้าของชื่อส่งเสียงหัวเราะอย่างสนุกสนาน ไม่สะทกสะท้านต่อสุรเสียงกราดเกรี้ยวของเจ้าหลวง พลางเดินออกไป โดยทิ้งสายพระเนตรของเชื้อสายสีแดงที่จ้องมองมาไว้เบื้องหลัง ซึ่งมันน่าแปลกนัก ที่ทั้งสองพระองค์ดันมีพระนิสัยผ่าเหล่าผ่ากอ ทะเยอทะยานแต่ในสิ่งที่มี ไม่เหมือนกับเจ้าหลวงพระองค์อื่นที่อยู่ในพระบรมโกศ ที่กระหายอยากครอบครองทุกแว่นแคว้นในเขตนี้

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


เสียงเพลงผิวปากที่ดังเรื่อยมาตลอดทาง นับตั้งแต่ห้องฝึกซ้อมการต่อสู้ จนมาถึงอุทยานหลวงลดระดับลง จนกลายเป็นหยุดเงียบในที่สุด เมื่อเจ้าของเพลงผิวปากรู้สึกถึงใครบางคนที่ตามหลังมา “ไม่พูดแบบนี้แสดงว่าการกำจัดหนูล้มเหลวสินะ หนูตัวนั้นเป็นใครล่ะ”

“ผู้แสวงบุญขอรับ”

คำตอบจากคนที่เดินตามหลังทำให้เจ้าของคำถามขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย พลางไพล่นึกไปถึงคนรู้จักคนหนึ่งที่ไม่ค่อยทำตัวให้อยู่ในกรอบของผู้ทรงศีล เอาแต่ยุ่งจุ้นจ้านกับเรื่องทางโลก และทำให้แผนการของเขาพังไม่เป็นท่ามาแล้วหลายครั้ง

“ข้าส่งลูกมือไปให้เจ้าช่วยกำจัดหนูตั้งสิบกว่าคน ก็ยังกำจัดไม่ได้อีกงั้นหรือ” ในน้ำเสียงนั้นมีแววไม่พอใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่โกรธมากจนถึงขนาดต้องหาคนมาลงโทษกับการปฏิบัติงานที่ผิดพลาด ด้วยรู้ดีว่าฝ่ายตรงข้ามมีฝีมือที่ร้ายเอาการอยู่

“มีคนมาช่วยขอรับ”

“ใคร?”

“ไม่ทราบขอรับ แต่ฝีมือเก่งกาจพอตัว ตอนนี้เรากำลังไล่ล่าผู้ช่วยของนักแสวงบุญ คาดว่าคงยังหนีไปได้ไม่ไกล เพราะมันก็บาดเจ็บจากการฝ่าวงล้อมของเราไปอยู่มาก”

คำรายงานราบเรียบที่ไม่บ่งบอกอารมณ์ของผู้พูด ทำให้คนฟังครางอือในลำคอ ดวงตาคมกริบทอแววครุ่นคิดต่อบางสิ่งบางอย่างที่ติดค้างอยู่ในใจ นับตั้งแต่ได้ยินว่าผู้ช่วยของนักแสวงบุญหลบหนีจากการจับกุมไปได้ “ข้ามีลางสังหรณ์บางอย่างว่าคนผู้นี้จะมาทำลายแผนการของข้า ตามล่ามันให้ได้”

“ครับ”

“เดี๋ยวก่อน...” เสียงยับยั้งเอ่ยอย่างนึกขึ้นได้ ว่ายังมีอีกเรื่องที่เขาอยากให้อีกฝ่ายไปจัดการ และเมื่อนึกถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ก็ทำให้ต้องแสยะยิ้มขึ้นมา “เจ้าคิดว่าถ้ามีข่าวหลุดออกไปว่านักแสวงบุญถูกโจรป่าดักปล้นและถูกทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส ใครบ้างที่จะกลายเป็นปลามาติดเบ็ด”

ไม่มีเสียงตอบจากคนที่ถูกถาม และคนถามก็ไม่ได้ต้องการคำตอบจากอีกฝ่ายนัก ในเมื่อเขาก็เดาได้ว่าใครจะมาเป็นปลาให้กิน แต่สิ่งที่เขาต้องการไม่ใช่ปลาพวกนั้น “หึหึ...บางทีเงาที่ข้าพยายามคว้าจับมาตลอด อาจจะจับได้ในคราวนี้นี่แหละ ปล่อยข่าวเรื่องนักแสวงบุญไป แล้วอย่าให้ทางนี้รู้ล่ะ ข้ายังไม่อยากให้เขาเกลียดจนนึกอยากแข็งข้อกับข้า”

“ครับ นายท่าน”

เพียงเวลาไม่นานนักที่อุทยานกว้างเหลือแต่เจ้าของเสียงผิวปากที่ส่งเพลงออกมาอีกครั้ง ร่างนั้นก้าวเดินต่อไป พลางมองยอดปราสาทสีทองที่สะท้อนแสงแวววาวยามต้องพระอาทิตย์ สิ่งที่เขาต้องการกำลังจะได้มาในไม่ช้า และเมื่อบรรลุถึงจุดประสงค์ของตน เจ้าหลวงแห่งทาลางทูร หรือแม้แต่พระองค์เจ้าโสมสวรรค์ก็ไม่จำเป็นอีกต่อไป

“สิ่งที่ข้าต้องการ ไม่ใช่แค่ทาลางทูร กูรา หรือปามะห์ แต่เป็นปัญจปุระนี่!”

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


รถม้าที่เจ้าฟ้าชายอารยมันประทับนั่ง ล่วงผ่านเข้าไปในอาณาเขตของคฤหาสน์หลังงามอย่างเชื่องช้า หลังจากผ่านการตรวจตราของทหารหน้าประตูทางเข้าเป็นที่เรียบร้อย เจ้าฟ้าชายทอดพระเนตรมองทหาร ที่เดินเวรยามกวดขันรอบคฤหาสน์อย่างเป็นระเบียบ ซึ่งแม้คนพวกนี้จะสวมใส่เครื่องแบบทหาร แต่ก็ไม่ใช่ทหารของทาลางทูรเลยสักคน

เจ้าฟ้าชายเปิดประตูรถทันทีที่รถม้าจอดนิ่งสนิท โดยไม่รอให้คนขับรถมาเปิดให้ดั่งเช่นทุกที พระองค์เสด็จลงมาด้วยความรู้สึกที่ผิดไปจากทุกวัน พลางทอดพระเนตรไปยังเบื้องพระพักตร์ ที่มีพระมารดาออกมายืนต้อนรับ วรองค์สูงก้าวยาวเข้าไปหา พลางสวมกอดพระองค์เจ้าโสมสวรรค์ด้วยท่าทางเหมือนเด็กเล็ก

“ชายคิดถึงแม่จังค่ะ”

“แหม...พอเจอแม่ก็อ้อนเชียวนะเรา แบบนี้แสดงว่าไปก่อนเรื่องอะไรมาอีกใช่ไหม” พระองค์เจ้าโสมสวรรค์ลูบเกศานุ่มที่ยาวปรกพระศอ พลางดันโอรสที่โตเป็นหนุ่มขึ้นพิศเต็มสายพระเนตร ซึ่งไม่รู้เลยว่าจะทรงได้พิศโอรสแบบนี้ไปอีกนานเท่าไร

“เข้าไปข้างในกันเถอะจ้ะ วันนี้พระนมทำฟักทองสังขยา แม่รู้ว่าชายต้องชอบ”

เจ้าฟ้าชายอารยมันแย้มโอษฐ์กว้าง พลางโอบบั้นพระองค์พระมารดาให้เสด็จเข้าไปด้านในพร้อมกัน “ชายชอบฟักทองสังขยา แต่ถ้าเป็นฝีมือของพระนม ชายก็กินได้หมดนั่นแหละ”

“จ้ะ รู้ว่าเป็นคนกินง่าย แล้วก็ยังกินจุด้วยอีก”

“ชายไม่ได้กินจุนะคะ แค่เด็กกำลังโตก็เลยกินเยอะไปหน่อยเท่านั้น” เจ้าฟ้าชายร้องประท้วงออกมาเสียงเบา เรียกเสียงสรวลจากพระองค์เจ้าโสมสวรรค์ที่โบกหัตถ์ให้พระนมเอาของหวานเข้ามาได้เลย ก่อนประทับนั่งลงบนโซฟายาวสีน้ำตาล โดยมีพระโอรสประทับนั่งเคียงกาย

“แล้วอาหารการกินที่ปามะห์เป็นอย่างไรบ้างจ๊ะ ถูกปากไหม”

ชื่อปามะห์ทำให้เจ้าชายทรงนึกถึงคนสามคนขึ้นมา สองคนแรกคือพระญาติที่ได้พบ ส่วนคนสุดท้ายนั้นต้องเรียกว่าชะตาได้ชักนำมาให้พบกันก็น่าจะถูกต้องที่สุด เพราะหลังจากที่ได้พูดคุยสัพเพเหระเพียงครู่เดียว อีกฝ่ายก็ต้องจากลาไป ครั้นพองานจบก็ทรงตามหาหญิงสาวคนนั้นไปทั่วปามะห์แต่ก็ไม่พบ จนมาพบกันอีกทีหนึ่งก็ตอนเธอใส่ชุดนางชี เที่ยวซื้อของในตลาดบูกิต ซึ่งพระองค์ก็เฝ้าตามติดจนรู้ว่าเธออยู่ในอารามใด

“อาหารของปามะห์อร่อยไปอีกแบบค่ะ และลูกก็ได้พบคนที่มีสีตาเดียวกันกับเราถึงสองคน” เจ้าฟ้าชายหยุดคิดเรื่องของหญิงสาวที่กลายมาเป็นนางชี ก่อนเล่าเรื่องพระญาติสีน้ำเงิน ที่คนหนึ่งเป็นเจ้าหลวงวิวัสวัต พระราชอนุชาของพระมารดา ส่วนอีกคนก็คือสิริกัญญาที่สืบสายเลือดมาจากพระองค์เจ้าสร้อยแสงจันทร์

“พี่สร้อยอยู่ที่ปามะห์สินะ อีกทั้งยังมีทายาทด้วย” พระองค์เจ้าโสมสวรรค์ครางในพระศอแผ่วเบา หยาดอัสสุชลปริ่มคลอดวงเนตร เมื่อทราบว่าพระภคินีที่ถูกจับแยกตอนมาทาลางทูร ได้รับการช่วยเหลือให้หลบหนีเข้าไปยังปามะห์ได้สำเร็จ

“แล้วพระองค์เจ้าเป็นอย่างไรบ้างจ๊ะ สบายดีอยู่ไหม”

คำตรัสของพระมารดา ทำให้เจ้าฟ้าชายทำพักตร์หมองลง ทั้งที่ทรงดีพระทัยที่ได้ข่าวพี่น้องที่สาบสูญ แต่กลับจะต้องโทมนัสอีกรอบเมื่อรู้ข่าวร้าย “สิ้นพระชนม์ไปได้สิบกว่าปีแล้วค่ะ”

พระองค์เจ้าโสมสวรรค์ชะงักงันไปเล็กน้อย แต่ก็มิได้แสดงอาการโศกเศร้าอะไรออกมา นอกจากพยักพักตร์รับรู้ข่าวการสิ้นพระชนม์ของพระเชษฐภคินี “แล้วสามีของพระองค์เจ้าล่ะ ชายรู้ไหมว่าเป็นใคร”

“รู้ค่ะ ท่านเป็นประธานองคมนตรีแห่งปามะห์ ชื่อจินดา”

คำตอบของเจ้าฟ้าชายทำให้พระองค์เจ้าโสมสวรรค์ชะงักงันไปอีกครั้ง ก่อนยึดข้อพระหัตถ์ของโอรสมั่น คล้ายว่าชื่อที่ได้ยินเมื่อครู่มิได้ทรงฟังผิดไป “ท่านผู้นั้นชื่อว่าอะไรนะชาย”

“ชื่อจินดาค่ะ มีอะไรหรือเปล่าคะแม่”

“ไม่จ้ะ...ไม่มีอะไร”

ท่าทางที่ผิดแปลกไปของพระมารดา ทำให้เจ้าฟ้าชายคิดจะตรัสถาม แต่ภาพของเจ้าฟ้าหญิงสวาตี พระขนิษฐาที่เข้ามาในสภาพที่เปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดเต็มวรกาย ก็ทำเอาทรงอุทานออกมาอย่างตกพระทัย

“สวาตี! น้องไปทำอะไรมาคะ” เจ้าฟ้าชายตรัสพลางรั้งวรองค์เล็กของพระขนิษฐาเข้ามาตรวจหาบาดแผล แต่ก็ไม่มีร่องรอยบาดเจ็บใด ๆ จากเจ้าหญิงน้อยที่แย้มโอษฐ์กว้าง เผยให้เห็นไรทนต์ที่แหว่งไปสองซี่

“สวาตีไปเล่นในสวนมาเพคะ แล้วเจอเทวดาหล่นมาจากฟ้า เทวดามีแผลเต็มตัว สวาตีเลยทำแผลให้” เจ้าฟ้าหญิงองค์น้อยตรัสเล่าเหตุการณ์ด้วยสุรเสียงกระท่อนกระแท่น พลางยึดพระพาหาของเชษฐาไว้แน่น

“พี่ชายมาพอดีเลย ไปช่วยสวาตีทำแผลให้เทวดาหน่อยนะเพคะ เทวดาน่าสงสารมากเลย”

เจ้าฟ้าชายอารยมันผินพระพักตร์ไปยังพระมารดาอย่างขอความเห็น อีกทั้งยังนึกสงสัยนักว่าผู้บุกรุกรายนี้เข้ามาในคฤหาสน์ ที่มีการวางเวรยามแน่นหนาได้อย่างไร

“หญิงบอกว่าเทวดาบาดเจ็บหรือจ๊ะ เจ็บหนักหรือเปล่า” พระองค์เจ้าโสมสวรรค์ตรัสถามด้วยสุรเสียงราบเรียบ พลางดึงธิดาน้อยเข้ามาปัดเศษฝุ่นเศษใบไม้ที่เปรอะเปื้อนดวงพักตร์

“เทวดาเลือดไหลไม่หยุดเลย แต่เทวดาบอกว่าไม่เป็นไร เดี๋ยวแผลก็หาย แถมยังยิ้มสวยให้สวาตีด้วย”

“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวแม่จะไปดูเทวดาของหญิงให้นะจ๊ะ แต่หญิงต้องไปอาบน้ำล้างเลือดพวกนี้ออกให้หมด เจ้าของคฤหาสน์เขาไม่ชอบเด็กสกปรกนะ” พระนางตรัสพลางส่งธิดาให้พระนมที่เข้ามารับช่วงต่ออย่างรู้หน้าที่ ก่อนประทับยืนขึ้น แล้วผินพักตร์ไปทางเจ้าฟ้าชายที่ยังส่งดวงเนตรไม่ไว้วางใจ ในตัวเทวดาของพระขนิษฐาออกมา

“แม่คะ...”

“สวาตีน่ะเป็นเด็กที่มีความรู้สึกไวนะจ๊ะ แกแยกออกว่าใครดีหรือร้าย แม่เชื่อว่าเขาเป็นเทวดา และเทวดาก็ไม่ทำร้ายใครโดยไม่จำเป็น”

เจ้าฟ้าชายพยักพักตร์อย่างจำยอมกับความคิดเห็นของพระมารดา พระองค์ยังจำได้ติดโสตว่าพระขนิษฐาเรียกชายผู้นั้น ว่าเป็นปีศาจร้ายทันทีที่ได้พบ และหลังจากนั้นไม่นานเขาก็ได้แสดงธาตุแท้ออกมา ให้ทุกคนได้เห็นว่าเป็นปีศาจร้ายตามที่เจ้าหญิงน้อยตรัส ซึ่งพระองค์หมายมาดไว้ว่าจะต้องฆ่าปีศาจร้ายตนนั้น เพื่อปลดปล่อยพระมารดา พระขนิษฐากับพระอนุชาออกมาจากกรงขังอันนี้ให้ได้

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


เจ้าฟ้าชายอารยมันตามเสด็จพระองค์เจ้าโสมสวรรค์ ไปยังสวนที่เจ้าฟ้าหญิงองค์น้อยชอบเข้ามาเล่นบ่อยครั้ง พระองค์ทอดพระเนตรพระมารดาที่กวาดดวงเนตรไปรอบบริเวณ ก่อนเสด็จไปยังพุ่มไม้หนึ่ง แล้วแหวกพุ่มไม้สูงออก เผยให้ร่างสีขาวที่เปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดเต็มกาย และเมื่อเจ้าฟ้าชายได้ทอดพระเนตรเห็นรูปลักษณ์ของผู้บุกรุก ก็ทรงไม่นึกแปลกพระทัยว่าทำไมพระขนิษฐาจึงเรียกอีกฝ่ายว่าเทวดา

คนเจ็บปรือตาเปิดขึ้นมา เมื่อสัมผัสได้ถึงมือของใครบางคนที่แตะต้องลงมาบนแก้ม และในดวงตาสีฟ้าครามก็สะท้อนภาพของผู้หญิงวัยกลางคนคนหนึ่ง ที่มีดวงตาสีน้ำเงินเฉกเดียวกับน้องสาว เธอผู้นั้นทำหน้าตื่นตะลึงเล็กน้อย ก่อนหันไปยังชายหนุ่มอีกคนที่ทรุดตัวลงให้อยู่ระดับเดียวกัน

“ชายพาเขาหนีออกไปจากที่นี่ได้ไหม”

“ชายไม่มั่นใจค่ะ เพราะเราถูกจับจ้องอยู่ตลอดเวลา แม่รู้จักเขาหรือ” เจ้าฟ้าชายทำท่าลำบากพระทัย พลางทอดพระเนตรมองพระมารดาที่ฉีกผ้าซับพระพักตร์พันห้ามเลือดให้คนเจ็บ

“แม่ไม่รู้จักเขาหรอกจ้ะ แต่เขาคล้ายใครบางคนที่แม่รู้จักอยู่มาก และถ้าแม่เดาถูก เราก็ต้องพาเขาไปอยู่ในที่ปลอดภัย จะให้เขาถูกฆ่าไม่ได้เด็ดขาด” พระองค์เจ้าโสมสวรรค์ตรัสพลางลูบดวงหน้าของชายหนุ่ม ที่ละม้ายกับคนที่พระนางทรงคิดคำนึงถึงตลอดเวลา

“ชื่ออะไรจ๊ะ”

ดวงตาสีฟ้าครามกะพริบไปมา และรับรู้ถึงสัมผัสเป็นมิตรจากสตรีตรงหน้า ชายหนุ่มกลืนน้ำลายลงคออย่างเชื่องช้า ก่อนเค้นเสียงตอบออกไปแผ่วเบา “ปลายมาศ...”

“ปลายมาศ ข้าไม่รู้ว่าเจ้าเข้ามาในนี้ได้อย่างไร แต่ข้าจำต้องบอกเจ้าว่าสถานที่แห่งนี้เป็นที่อันตรายที่สุดเลยทีเดียว และข้าไม่มั่นใจว่าจะซ่อนเจ้าให้พ้นสายตาจากทหารรอบคฤหาสน์หลังนี้ได้” พระองค์เจ้าโสมสวรรค์ตรัสตามความจริง และมีสีพระพักตร์ลำบากพระทัยเช่นเดียวกับโอรสที่นึกขัดพระทัยที่ไม่มีความสามารถพอจะทำอะไรได้ แม้แต่การช่วยเหลือพระมารดาออกจากสถานที่แห่งนี้

“กระหม่อมจะรีบไป เพื่อไม่ให้พระองค์เดือดร้อน”

หากข่าวที่ปลายมาศได้รับมาเป็นความจริง ชายหนุ่มก็เดาสถานะของสตรีตรงหน้าได้ว่าเป็นใคร เขาพยายามฝืนตัวขึ้น แต่กำลังก็หดหายไปเพราะความเหนื่อยล้าจากการหลบหนี และพิษบาดแผลที่มีอยู่เต็มกาย

พระองค์เจ้าโสมสวรรค์ทรงอุทานขึ้นแผ่วเบา ก่อนผวาเข้าประคองร่างที่ซวนเซลุกขึ้น “อย่าฝืนสิ เจ้ายังบาดเจ็บอยู่นะ”

“แต่...”

“ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าฝืนร่างกายตัวเองทำเรื่องอันตรายแน่” พระองค์เจ้าโสมสวรรค์ทำองค์แข็งใส่ ก่อนผินพระพักตร์ไปยังเจ้าฟ้าชายที่เข้ามาช่วยประคองคนเจ็บอีกด้าน “ข้าจะพาเจ้าแอบเข้าไปด้านใน ไปทำแผลและหลบซ่อนอยู่ตรงไหนสักแห่งในคฤหาสน์หลังนี้ รอให้เจ้าหายดีก่อน แล้วจะทำอะไรข้าก็ไม่ห้าม

“แต่จะทรงเดือดร้อน”

พระองค์เจ้าโสมสวรรค์แย้มพระสรวล โดยมิได้ตรัสตอบคำประท้วงนั้น พระองค์ทรงทำคนอื่นเดือดร้อนมามาก การจะเดือดร้อนเพื่อคนอื่นบ้างจะเป็นไรไป





เรื่องนี้อีกประมาณสิบตอนก็จบแล้วค่ะ ส่วนปริศนาก็ทยอยไขไปทีละเรื่อง ในเรื่องของแสงอรุณนั้น บอกไปแต่เนิ่น ๆ แล้วว่าทำไมถึงแกล้งป่วย (ตอนที่ 16) ของปลายมาศก็เกริ่นไปตั้งแต่ช่วงแรกเลย เพราะเรื่องนี้แรก ๆ ยืดไปหน่อย เลยทำให้ดูน่าเบื่อ พอกระชับเข้ามาปุ๊บ รู้สึกเหมือนกับว่าอะไร ๆ ก็ไวขึ้นแฮะ ไวเกินจนใจหาย เพราะพอเขียนไปเขียนมา ก็อีกหลายฉากที่อยากเขียน แต่ขืนรักพี่เสียดายน้องต่อไป เรื่องนี้คงไม่ได้จบแน่ ก็เลยต้องเลือกเอาที่รักที่สุดมาเขียน

ชุดสามตอนล่าสุดนี้กำลังรอดูผลบางอย่างอยู่ค่ะ อ่านแล้วเป็นอย่างไรบ้างช่วยบอกกล่าวกันด้วยนะคะ
แล้วจะแวะเข้ามาดูผลค่ะ



Create Date : 11 มีนาคม 2551
Last Update : 11 มีนาคม 2551 20:45:37 น.
Counter : 443 Pageviews.

5 comments
  
สนุกมากๆเลยคะ
น่าติดตาม ปมที่ผูกไว้ค่อยๆคลายออกล่ะ
อยากอ่านตอนต่อไปจังเลย ขอบคุณนะจ๊ะ

จะรอตอนต่อไปจ้า
โดย: L_K IP: 125.25.63.216 วันที่: 11 มีนาคม 2551 เวลา:21:59:53 น.
  
สนุกมากๆๆๆ ลุ้นตอนต่อไปว่าจะเป็นอย่างไร
สู้ๆๆๆ เป็นกำลังใจให้
โดย: ya IP: 125.24.11.87 วันที่: 11 มีนาคม 2551 เวลา:22:32:43 น.
  
อยากบอกว่าหวานมาก อยากเป็นสิริจัง อุ อุ และเมื่อมีหวานแล้วก็ยังมีให้ตื่นเต้นอีก ต้องรอ
รุ้นต่อไปว่าสิรีต้องโดนปองร้ายแน่ๆทั้งจากพี่ชายและก็
จากนายสิงหนาท และเป็นห่วงปลายมาศด้วยว่าจะรอด
มั้ยเนี่ยลุ้นค่ะ แล้ว
ก็รอตอนต่อไปด้วย
โดย: น้อง IP: 124.121.195.235 วันที่: 12 มีนาคม 2551 เวลา:11:10:31 น.
  
จะพิมพ์เป็นหนังสือหรือเปล่าค่ะ ช่วยบอกด้วยค่ะ
โดย: ตัวเล็ก IP: 203.158.4.155 วันที่: 12 มีนาคม 2551 เวลา:21:28:18 น.
  
สิงหนาท มีโทษตายสถานเดียวเท่านั้น มักใหญ่ใฝ่สูงเกินตัวจริงๆ ทำให้เรื่องปั่นป่วนมาเป็นสิบๆปี คนอย่างนี้ต้องไม่ตายดีเเน่นอนเเถมไม่มีที่ให้ฝัง ไม่มีดินให้กลบหน้าอีก เฮ้ออยากให้ทุกคู่สมหวังในรัก เเละสมปราถณาในสิ่งที่อยากให้อยู่ในที่ทางที่สมควรจะอยู่หรือที่สมควรจะเป็น
โดย: VEE IP: 66.172.213.159 วันที่: 12 มีนาคม 2551 เวลา:22:21:50 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ฌา
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



New Comments
All Blog