เลื่อมเวลา Author Note : เมื่อช่วงวันหยุดจัดการ 5 ส. กับห้องตัวเอง แล้วได้รู้ว่าห้องรกอย่างกับรังหนู หนังสือนิยายวางระเกะระกะและอยู่แทบทุกพื้นที่ ส่วนพวกสมุดจดพล็อตและเขียนนิยายนี่ก็วางรกไม่แพ้กันเลย จัดไปจัดมาเจอสมุดเขียนนิยายที่หลุดออกมาเป็นแผ่นแล้ว (แอบคิดว่าฉันเมื่อตอนสมัยเด็กนี่จินตนาการเยอะแยะจริงแฮะ แต่ทำไมตอนนี้จินตนาการมันถึงหดหายไปไหนหมด) กระดาษพวกนี้เหลืองอ๋อยบอกอายุอานามเสียดิบดี ทำให้คิดถึงสมัยก่อน เพราะเวลาเราเขียนนิยายทีไร มักจะมีวันที่กำกับว่าเขียนไว้ตอนไหน หลายแผ่นที่เห็นนี้ เขียนค้างไว้เรื่องละหน้าสองหน้า มากหน่อยก็ไม่เกินยี่สิบหน้า แต่ไม่มีเรื่องไหนที่เขียนจบ ยกเว้นเรื่องนี้เรื่องเดียว "เลื่อมเวลา" เขียนไว้เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2547 เป็นช่วงที่ใช้ชีวิตตามอย่างเนื้อหาในนิยาย ตอนที่ได้อ่านงานก้นหีบที่ไม่เคยพิมพ์ลงคอม คิดว่ายังมีอีกหลายจุดที่ยังต้องปรับปรุง พล็อตค่อนข้างหลวม และช่องโหว่เยอะจนน่าติติง คิดไปคิดมา เรื่องนี้สามารถต่อยอดออกไปได้แยะ ตอนนี้คิดแตกออกไปได้สองเรื่องแล้ว แต่ไม่รู้จะได้เขียนไอ้เรื่องที่แตกหน่อนี้เมื่อไร พานให้คิดถึงเวลาว่างสมัยยังเรียนอยู่ไม่น้อย เรื่องนี้ยังไม่เกลา เคยเขียนไว้อย่างไหนก็พิมพ์โชว์ห่วยทั้งอย่างนั้นนั่นแหละค่ะ เอามาคั่นเวลาในขณะที่หน้านิยายของตัวเองกำลังรกร้าง ขอคำแนะนำด้วยค่ะ (โค้ง) กันตะชา . . . . . เสียงกรีดแหลมของนาฬิกาปลุกดังก่อนเวลาที่ตั้งไว้สองชั่วโมง ผมลุกขึ้นมากดปิดมันอย่างอารมณ์เสีย ปากได้แต่บ่นสบถพอเป็นพิธีก่อนจะหลับลงไปอีกครั้ง และนั่นทำให้ผมต้องรีบลุกขึ้นจากเตียงตอนเจ็ดโมงเช้า มันทำให้วันแรกของหนุ่มมหาลัยอย่างผมต้องไปสาย วัจน์! ไม่กินข้าวเหรอ ไม่ล่ะแม่ สายแล้ว ไปถึงมหาลัยก็ปาเข้าไปตั้ง 10 โมง นักศึกษาใหม่รอรายงานตัวกันยาวเหยียด แต่ผมก็รอดมาจากตรงนั้นได้ชนิดหัวฟูยิ่งกว่าตอนมามหาลัยเสียอีก พอรายงานตัวเรียบร้อยแล้วก็ไม่มีอะไร ผมออกจากมหาลัยกะจะไปครุสภาต่อ ผมทอดสายตามองออกไปนอกรถ รถไม่ว่ายังไงก็ยังคงติดเหมือนเดิม มองดูสถานที่ต่างๆ ที่บางแห่งยังคงมีเค้าแห่งอดีตหลงเหลืออยู่ นั่งรถผ่านสนามหลวงและโรงละครแห่งชาติ นั่งไปเรื่อยจนถึงป้อมพระสุเมรุ สายตาผมที่ไม่เคยสะดุดกับที่ไหนก็ต้องมาสะดุดเข้าให้เมื่อรถผ่านสวนข้าง ป้อมพระสุเมรุ จะว่าไปแล้วผมก็เคยผ่านที่นี่มาหลายครั้งหลายหน เห็นสวนนั่นจนเจนตา (หรืออาจจะไม่) แต่ไม่เคยมีครั้งไหนที่ผมเกิดอาการสนใจสิ่งใดสิ่งหนึ่งเหมือนกับที่สนใจสวน นั้นขึ้นมาเหมือนกับวันนี้ ผมกดกริ่งลงมาอย่างที่ใจคิด มองดูสวนเบื้องหน้าที่ผมเดินเข้าไป เลียบไปตามทางเดินเรื่อยๆ สวนที่นี่ร่มรื่นกว่าที่ผมคิดเพียงแค่เห็นภายนอกไว้เยอะ ผู้คนนั่งกันประปรายไม่ว่าจะเป็นพื้นหญ้าและโต๊ะไม้สีน้ำตาลที่ตั้งเรียงราย ไปตามแนวยาวของทางเดิน เด็กวิ่งซุกซนผ่านตัวผมไปหนึ่งคน สองคนและสามคน เห็นแล้วอดจะยิ้มตามไปด้วยไม่ได้กับเสียงหัวเราะใสๆ ของเด็กพวกนั้น ลมเย็นพัดกระทบเข้ากับใบหน้าอย่างแผ่วเบาเหมือนกับสัมผัสอ่อนโยนของแม่ ผมหรี่ตาเมื่อแสงแดดส่องกระทบเข้ากับตา ชะงักไปครู่หนึ่งเมื่อลืมตาขึ้นมาก็เห็นร่างเพรียวระหงของใครคนหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้า ผมยาวประบ่าปลิมพริ้วไปกับลมจนผมแตกกระจายเป็นเกลียวคลื่น เราเคยพบกันมาก่อนหรือเปล่า เหมือนได้ยินเสียงตัวเองแว่วผ่านไปอย่างเชื่องช้า ทำไมผมถึงได้พูดออกไปแบบนั้นนะ เธอหันมาทางผมเอียงคอเล็กน้อยราวกับกำลังดูสิ่งแปลกประหลาด เราเคยเจอกันงั้นเหรอ เธอพึมพำแต่ตายังคงจ้องมองผมอยู่ สงสัยคงบังเอิญมั้ง ผมหัวเราะแก้เก้อ ยกมือเก้งก้างทำท่าไม่ถูก ไม่รู้สิ ไม่คิดบ้างเหรอว่าไอ้คำว่าบังเอิญมันเป็นการจงใจของคนที่เล่นตลกอยู่ข้างบน โน้น เธอยิ้มชี้มือให้ผมเงยหน้าขึ้นมองฟ้าที่มีเมฆสีขาวเบาบาง งั้นบังเอิญนี่ผมถือว่าโชคดีนะ ทำไมถึงโชคดีล่ะ อาจจะโชคร้ายก็ได้นะ เธอแย้ง ถ้ามันเป็นการจงใจของคนที่อยู่ข้างบนผมถือว่าโชคดีหมด เพราะเขาคงไม่คิดร้ายกับเราหรอก เธอหัวเราะกับคำตอบของผม คงไม่คิดว่าจะมีคนมาพูดแบบนี้ให้เธอฟัง พวกเราสองคนไม่ได้คุยอะไรกันไปมากกว่านี้เพราะผมรีบกลับบ้านเสียก่อน แผนที่วางไว้ว่าจะไปครุสภาก็เป็นอันต้องล้มเลิกไป เพราะผมคงลืมสาเหตุที่จะไปครุสภาเสียแล้ว คืนนี้พระจันทร์หงาย แสงดาวเกลื่อนระยิบประปรายอยู่บนท้องฟ้า ผมเปิดหน้าต่างห้องเพื่อรับลมเย็นตอนกลางคืน ฟังเสียงเอื่อยเฉื่อยของคลองหลังบ้านที่บางครั้งมักจะมีเสียงปลากระเพื่อมน้ำขึ้นมาบ้าง มองท้องฟ้ายามราตรีที่ผมเริ่มหมกมุ่นใจเชื่อเรื่องการนำพาของคนข้างบน ผมลืมเรื่องของเธอไปชั่วระยะเวลาหนึ่งเมื่อตัวเองวุ่นกับงานรับน้องใหม่ของพวกรุ่นพี่ในคณะ นั่นทำให้ผมหัวหมุนติ้วไปมากับสารพัดวิธีของพวกรุ่นพี่ คงต้องจดจำไว้ใช้รับน้องต่อปีหน้าซะแล้ว หนึ่งในหัวข้อการรับน้องใหม่ของคณะเราก็คือวิธีการหาพี่รหัสที่ต้องให้น้องรหัสกระเสือกกระสนตามหาพี่รหัสกันเอาเอง (ดีไม่ดีอาจโดนแกล้งให้สับสนจนหัวหมุน) ผมโชคดีกว่าใครที่ตามหาพี่รหัสเจอไวกว่าคนอื่นเขา พี่รหัสของผมเป็นผู้หญิงที่สวยพร้อม พี่เดือนเธอนิสัยดีทีเดียว เธอให้คำแนะนำกับนักศึกษาใหม่อย่างผมหลายอย่างพร้อมกับหนังสือเรียนเล่มเก่าๆ ที่เธอยินดีที่จะขนมาให้ยืมถ้าผมต้องการ รอยยิ้มของพี่เดือนทำให้ผมนึกถึงผู้หญิงคนหนึ่งที่ผมหลงลืมไป เธอที่ผมพบเพราะความบังเอิญหรือการเล่นตลกของคนที่อยู่ข้างบน รอยยิ้มของเธอคนนั้นกลับเขามาอยู่ในความทรงจำของผมอีกครั้งหนึ่ง และความประทับใจครั้งแรกที่มีให้กับผู้หญิงคนหนึ่งก็ผุดขึ้นมา ผมเริ่มชินกับมหาลัยแล้ว การนั่งรถไปกลับระหว่างบ้านกับมหาลัยก็เหนื่อยหฤโหดพอดู รถติดได้ตลอดทั้งเช้าและเย็น อีกซ้ำคนยังแน่นขนัดเหมือนปลากระป๋องทำให้ผมต้องกลับบ้านมืดค่ำเสียส่วนใหญ่ ผมยังไม่มีโอกาสที่จะไปสวนนั่นเสียทีจนถึงวันอาทิตย์ก็มาเยือนอีกครั้ง วัจน์จะไปไหน่ะ นี่มันวันอาทิตย์นะ จะไปสวนข้างป้อมพระสุเมรุน่ะ ไปทำอะไรที่นั่นล่ะ ไปทำอะไรงั้นเหรอ? ไปหาเพื่อนมั้ง มั้ง? เอาเถอะแม่ ไปหาเพื่อนน่ะแหละ อาจจะกลับเย็น ไปนะ รถเมล์สายเดิม เส้นทางสายเดิมที่นั่งไป ผ่านท้องสนามหลวงที่มีคนหลายคนมานั่งพักและคนพลุกพล่านไปมา ผ่านศาลหลักเมืองที่ผมไม่เคยเข้าไปเลยแม้แต่น้อย ผ่านโรงละครแห่งชาติ สะพานพระปกเกล้า จนมาถึงป้อมพระสุเมรุและสวนอะไรซักอย่างที่ผมลืมชื่อมันไปแล้ว ผมกดกริ่งลงที่ป้ายรถเมล์ป้ายเดิม เดินย้อนกลับไปไม่เท่าไหร่ก็ถึง ผมเดินเข้าไปอีกครั้ง ไม่ได้คาดหวังไว้มากมายนักว่าจะได้เจอเธอคนนั้นอีกหรือเปล่า ที่มานี่ก็เพราะนึกถึงรอยยิ้มและใบหน้าของเธอเท่านั้น แต่ผมก็ยังอยากเจอเธอ คนที่ฟ้าเล่นตลกให้มาพบกัน อ้าว! เจอกันอีกแล้ว ผมคลี่ยิ้มเมื่อเห็นเธอยืนอยู่ที่เดิม เสแกล้งเข้าไปทัก เป็นความบังเอิญอีกครั้งหรือไงกันนะ คราวนี้จะใช่บังเอิญหรือเปล่านะ เธอหัวเราะและยังมีความคิดแบบเดียวกับผมเสียอีก ยิ้มเริ่มเป็นมิตรมากขึ้นไม่เหมือนกับครั้งแรก หรือเพราะเรารู้จักกันแล้วนะ ไม่สิ ยังไม่รู้จักชื่อกันเลย ผมยังไม่รู้ชื่อคุณเลย ผมชื่อวัจน์ คุณล่ะ มัลลิกา แปลว่าอะไรน่ะ ดอกมะลิ แล้วชื่อคุณล่ะแปลว่าอะไร มัลลิกาถามผมบ้าง ผมยิ้มกริ่มตอบไปอย่างภาคภูมิใจ ก็แปลตรงตัวน่ะแหละ แปลว่าคำพูด มาจาก วจนะ พ่อเขาอยากให้ผมมีศิลปะในการพูด แล้วก็เป็นคนพูดเก่ง มัลลิกาตบท้ายให้ ผมเริ่มหาเรื่องอะไรสักอย่างที่คิดออกมาพูดกับเธอ มัลลิกาเองก็อัธยาศัยดีตอบกลับทุกคำถามและทุกคำพูดที่ผมชวนคุย เธอไม่เคยพูดขัดเวลาผมเล่าเรื่องอะไรเลยสักอย่าง จะยกเว้นเพียงช่วงเวลาที่มัลลิกาหยอกเล่นและผมก็หน้าหงายกลับทุกครั้ง เวลาเหมือนกับผ่านไปอย่างรวดเร็ว เมื่อผมมารู้สึกตัวอีกครั้งว่าพระอาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำลงมาแล้ว ว้า ต้องกลับแล้วล่ะ บ้านอยู่ไหนล่ะเดี๋ยวไปส่ง ไม่ต้องหรอก บ้านฉันอยู่แถวนี้ เดี๋ยวกลับเองได้ งั้นผมมาหาอีกนะ มัลลิกาทำท่าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าตอบออกมา วันอาทิตย์แล้วกัน จะมาตอนบ่ายเหมือนกับวันนี้ก็ได้ ฉันอยู่ตรงนี้ตลอดน่ะแหละ ตกลงวันอาทิตย์ตอนบ่ายสองนะ เออรู้จักชื่อสวนนี่มั้ย ผมลืมชื่อมันไปแล้ว สวนสันติไชยปราการ เรียกสวนสันติก็ได้ มัลลิกาคลี่ยิ้มตอบเสียงนุ่ม ผมพยักหน้ารับพยายามจำชื่อสวนนี่ไว้ เพราะอาจจะมาทุกอาทิตย์ก็ได้ สวนสันติ อืม จำได้แล้ว งั้นอาทิตย์หน้าเจอกันนะ ผมโบกมือลาและเดินออกไปอย่างเชื่องช้า เหลียวหลังหันกลับไปมองก็ไม่เห็นมัลลิกาเสียแล้ว ทำไมเธอถึงเดินหายไปไวขนาดนี้นะ ลมพัดโกรกแรงวูบหนึ่งทำให้ผมหรี่ตาเพื่อป้องกันฝุ่นที่ฟุ้งกระจาย เศษใบไม้ปลิวว่อนหมุนเป็นวงกลมและลอยไปตามแรงลมที่พัดพามันขึ้นมา แสงอาทิตย์ยามเย็นทำให้ผมตาพร่าอยู่ครู่หนึ่ง เสียงน้ำชนกับประตูกั้นน้ำดังครืนลั่น เสียงมันดูน่ากลัวไม่น้อย ผมกลับบ้านด้วยใจชื่นบาน เห็นดอกมะลิที่แม่ซื้อมาร้อยมาลัยถวายพระก็ทำให้ผมนึกถึงดอกมะลิที่เจอที่สวนสันติขึ้นมา ผมขึ้นไปบนห้องเปิดหน้าต่างรับลมตอนค่ำ ผ้าม่านปลิวระรื่นกับสายลมฉ่ำ กลิ่นมะลิตรงคลองหลังบ้านส่งพัดให้ผมได้สูดดม วันนี้แรม 14 ค่ำ พระจันทร์แทบจะไม่โผล่ออกมาแม้แต่เศษเสี้ยว เมฆดำทะมึนกลบบังแสงระยับของดาวบนฟ้า เสียงกบร้องดังระงมเป็นสัญญาณเตือนว่าฝนจะตก ฟ้าดังครืนมาแต่ไกลทำให้ผมตัดสินใจที่จะอาบน้ำทันที เสียงน้ำฝนตกกระทบกับหลังคาราวเสียงปรบมือลั่น กระทบกับน้ำในลำคลองฝนสาดกระเซ็นไปทั่วเหมือนกับเพลงบรรเลง มีเสียงกบเป็นคอรัสการบรรเลงนั้น ผมพลิกตัวกระสับกระส่ายไปมา รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังตื่นโดยที่ตายังหลับ ในห้วงสติเหมือนตัวเองอยู่ในสภาพไร้น้ำหนัก ล่องลอยอยู่ในอะไรซักอย่าง เสียงฟองอากาศดังบุ๋มทำให้ผมรู้ว่าตัวเองอยู่ในน้ำ มันทั้งอึดอัดและทรมาน หายใจไม่ออก สมองหนักอึ้งมีน้ำเข้ามาแทนที่เป็นความคิด ผมพยายามลอยตัวให้ขึ้นไปสู่ผิวน้ำโดยไว แต่ไม่ว่าจะพยายามเท่าไรผิวน้ำก็อยู่ห่างไกลเหลือเกิน มือขึ้นไขว่คว้าเพื่อหาสิ่งยึดเหนี่ยวที่พอจะมี แต่มันก็ไร้สิ้นเรี่ยวแรง วูบหนึ่งที่รู้สึกผมถูกฉุดขึ้นด้วยมือของใครบางคน ผมลืมตาโพลงมองดูเพดานสีขาวท่ามกลางความมืดมิด มือยกค้างไว้กลางอากาศ ข้างนอกฝนยังตกอยู่ ผมลุกขึ้นนั่งอย่างงุนงง ทบทวนกับเรื่องที่ฝันเมื่อครู่ ความรู้สึกยามเมื่ออยู่ใต้น้ำยังคงจำได้ดี แต่ผมอยากจะรู้ว่ามือที่ฉุดผมขึ้นมาจากพื้นน้ำและความฝันนั้นคือมือของใคร มันก็แค่ฝัน ผมปลอบตัวเองก่อนจะล้มตัวลงนอนอีกครั้ง ตัวเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อแตกพลั่ก ทั้งที่อากาศข้างนอกและข้างในออกจะเย็นย่ำ ผมหลับลึกลงไปไม่รู้สึกตัวอีกจนกระทั่งเช้าของวันจันทร์ หลายอาทิตย์ผ่านไปเราเริ่มสนิทกันมากขึ้นตามระยะเวลาที่ได้รู้จักกัน มัลลิกาใช้คำเรียกแทนตัวว่ามัล และเรียกผมว่าวัจน์เฉยๆ แล้ว บางครั้งที่ผมไปหาเธอมักจะเอาหนังสือที่คิดว่ามัลลิกาสนใจไปให้เธออ่าน ผมอยู่กับมัลลิกาอย่างไม่เคยเบื่อหน่าย บางครั้งก็พูดถึงสถานที่ที่อยากไป แม่! วันนี้กลับบ้านช้านะ ไม่ต้องเตรียมข้างเย็นเผื่อ ผมกระโจนลงถึงชั้นล่าง เกือบหน้าทิ่มลงพื้น แทนเท้าที่ลงได้อย่างพอดิบพอดี สายตาผมเหลือบไปเห็นแม่ที่มองอย่างงุนงง อ้าปากจะถามก็คงไม่ทันผมที่เผ่นออกไปนอกบ้านเรียบร้อยแล้ว วันนี้ผมนัดกับมัลลิกาไว้ว่าจะพาไปเที่ยว แต่ยังไม่ตกลงว่าจะไปกันที่ไหน แค่พูดเกริ่นกันไว้ว่าอยากไปใกล้ๆที่ไม่ต้องเสียเงินมากมาย พอนึกได้ว่าที่ใกล้ๆ ไม่ต้องเสียเงินมากก็มีอยู่ที่หนึ่งแหละ และผมก็ชำนาญพื้นที่ตรงแถวนั้นเสียด้วย ถึงจะไม่ครอบคลุมทั้งหมด แต่ก็พอเป็นไกด์ผีนำเที่ยวได้ไม่มากก็น้อยล่ะ มาไวจัง ก็รีบมานี่นากลัวมัลจะคอยนาน แล้วตกลงว่าจะไปที่ไหนล่ะใกล้ๆ ที่วัจน์ว่านี่วัดพระแก้ว หรือว่าศาลหลักเมือง มัลลิกาหยอกกลับ ผมกระตุกยิ้มที่เธอเดาเสียใกล้ ไปสมุทรปราการต่างหาก จะไปตอนนี้เลยเหรอ ผมพยักหน้าตอบก่อนจะถือวิสาสะดึงมือมัลลิกามากุมไว้พาออกไปนอกสวนสันติ ชั่วครู่ที่ผมกุมมือของมัลลิกาทำให้ผมนึกถึงมือของใครบางคนที่ฉุดผมขึ้นมา จากน้ำ มือของมัลลิกาให้ขนาดเท่ากับเจ้าของมือนั้นเลย ทั้งที่มันผ่านมาหลายเดือนและผมก็ลืมมันไปแล้วแต่ไม่รู้ทำไมถึงนึกถึงมัน ขึ้นมาได้อีก พวกเรานั่งรถเมล์ผ่านเส้นทางถนนสุขสวัสดิ์ สถานที่แรกที่ผมพามัลลิกาไปคือพระสมุทรเจดีย์ พาเธอไปไหว้พระพุทธปฏิมากรชัยวัฒน์ และผมก็เริ่มสวมบทไกด์ที่เพื่อนเคยทำกับผมบ้างทันที พระสมุทรเจดีย์กลางน้ำสร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2369 ในสมัยพระพุทธเลิศหล้านภาลัย แต่พระองค์ทรงสร้างไว้ไม่เสร็จ รัชกาลที่ 3 เลยมาสร้างต่อ ผมจำชื่อท่านรัชกาลที่ 3 ไม่ได้เลย เป็นพระองค์เดียวที่คิดยังไงก็คิดไม่ออก น่าขำมั้ย มัลลิกายิ้มน้อย พยักเพยิดฟังผมที่พูดกระท่อนกระแท่นต่อไปโดยไม่มีทีท่าให้เห็นว่าเบื่อ ผมถนัดที่จะเที่ยวมากกว่าที่จะอธิบายเสียอีก แต่เพื่อมัลลิกาที่ตั้งใจฟังแล้ว ผมทุ่มสุดตัวเลยงานนี้ แต่พอมาในสมัยรัชกาลที่ 4 สมัยสมเด็จพระจอมเกล้า ท่านทรงเห็นว่าพระสมุทรเจดีย์กลางน้ำเริ่มทรุดโทรมลง ท่านจึงทำนุบำรุงขึ้นมาใหม่โดยสร้างเจดีย์ครอบลงไปอีกชั้นหนึ่ง และปรับปรุงบริเวณโดยรอบจนมาถึงทุกวันนี้ ที่นี่จะจัดงานสมโภชพระสมุทรเจดีย์ 9 วัน 9 คืนจะเริ่มตั้งแต่วันแรม 5 ค่ำเดือน 11 คนเยอะไหม เยอะสิ เรียกว่าไหลไปมากกว่าเดินเลยล่ะ เพราะคนแน่นมาก บางทีจะควักเงินซื้อของนะ คนก็เคลื่อนตัวไปพาเอาเราที่จะควักเงินไปด้วย เลยได้ของฟรีถือว่าคุ้ม ก็สนุกดีแต่ระวังอย่างเดียวก็คือพวกล้วงกระเป๋า และผมก็พาเธอไปดูที่อื่นบ้าง ผมจ้างเรือหางยาวพาพวกเราชมทัศนียภาพระหว่างสองฝั่งแม่น้ำของเมืองสมุทรปราการ สิ่งที่ผมอยากให้มัลลิกาดูก็คือสิ่งนี้ ชีวิตความเป็นอยู่ของคนและสายน้ำ มัลเห็นมั้ยน้ำยังมีสองสี แล้วคนล่ะจะไม่มีสองสีเลยหรือไงกัน มันก็เปรียบเหมือนความดีและความเลวของคนเราน่ะแหละ น้ำสองสีที่มาบรรจบกัน สีน้ำตาลเหมือนโคลนนั่นก็คือน้ำเค็มไงล่ะ ส่วนสีฟ้าสวยนั่นก็คือน้ำกร่อย มัลลองมองเงาสะท้อนของน้ำนะ มันสะท้อนส่องให้เห็นเงาของภูเขาของชลบุรีได้เลย เธอทำหน้าเหมือนไม่เชื่อ ผมก็เลยท้าให้เธอลองมองดู และนั่นก็ทำให้ผมได้เห็นรอยยิ้มของเธอ พอเรือตีกลับผมก็ชี้ให้มัลดูความเด่นสง่าของรัชกาลที่ห้าที่ยืนหันหน้าออกไปยังอ่าวไทย ชี้เลยให้ดูเรือรบหลวงแม่กลองที่เคยเป็นประวัติศาสตร์ของน่านน้ำอ่าวไทยมาก่อน และผมยังให้เธอดูอู่ต่อเรือย่อยของบางกอกน้อย มัลลิกายิ้มน้อยยิ้มใหญ่ที่ได้เห็นสิ่งที่ผมชี้ให้ดู พอเห็นแล้วผมก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ตามเธอไปด้วย พวกเราขึ้นเรือที่ท่าเรือวิบูลย์ศรีของฝั่งพระสมุทรเจดีย์เพื่อไปป้อมพระจุลต่อ แล้วพักทานอาหารกันที่นั่น ร้านอาหารที่ผมอยากให้เธอเข้าไปชิมก็คือร้ายอาหารท้ายเรือนี่แหละ ผมพาเธอหันไปมองบรรยากาศที่อยู่รอบร้านอย่างภูมิใจเหมือนกับตัวเองเป็นเจ้าของร้านนี้เลย ร้านนี่หันหน้าเข้าอ่าวไทย ด้านขวาก็เป็นเรือรบหลวงแม่กลอง ด้านซ้ายเป็นป่าชายเลนของสมุทรปราการ ด้านหลังก็เป็นอุทยานประวัติศาสตร์ทหารเรือ โน่นอีกด้านขวาหลังเห็นมั้ยป้อมปืน วัจน์นี่รู้เยอะนะ เธอหัวเราะเสียงเบาเมื่อนั่งลงเรียบร้อยแล้ว ก็ตามเพื่อนมาน่ะแหละ พอดีมันเป็นไกด์ท้องถิ่น เห็นมันบอกว่าอยากสอบเก็บเวลาไกด์เป็นไกด์ภูมิภาคเสียที ตามมันไปบ่อยก็เลยพอจำได้บ้างว่าที่ไหนเป็นที่ไหน แต่ก็ไม่ชำนาญเท่ามันหรอกนะ พวกเราใช้เวลาพักทานข้าวร่วมชั่วโมงเห็นจะได้ ผมพามัลลิกาไปเที่ยวต่อชนิดไม่รู้จักเหนื่อยทันที ก็เพราะลูกทัวร์ผมคนนี้ช่างทำสายตาอยากรู้อยากเห็นเสียเหลือเกิน ผมก็ต้องตอบสนองต่อความอยากรู้ของเธอเสียหน่อยล่ะ ผมพามัลลิกาขึ้นเรือรบหลวงแม่กลองที่เดินออกมาจากร้านแค่เพียงห้านาทีก็ถึง ผมพาเธอเดินดูในเรือบอกถึงประวัติความเป็นมาของเรือลำนี้ จนมาถึงห้องพลเรือน เจ้ากรรมฟ้าบันดาลก็ทำให้ผมต้องรับร่างเพรียวที่สะดุดลงมาปะทะกับผมเข้าพอดี โอ้! พระแม่เจ้า ทำไมถึงได้ช่างกลั่นแกล้งขนาดนี้นะ มัลลิกาทำท่าเขินครู่หนึ่งก่อนจะทรงตัวเดินนำผมต่อไป ผมหัวเราะในลำคอลูบท้ายทอยตัวเองเพราะเขินเหมือนกัน แต่ก็คงไม่มากเท่ามัลลิกาหรอกนะ ผมพาเธอไปยอดบนสุดของเรือลำนี้ ท้องน้ำส่องประกายเล่นล้อกับแสงตะวันทำให้ตรงนี้ดูจะโรคแมนติคขึ้นมา แต่คนที่ยืนอยู่ข้างผมนี่สิ คงไม่ได้คิดอะไรแน่เลย เพราะสายตาของเธอเต็มไปด้วยแววตาแห่งความชื่นชมยินดีเท่านั้น ขอบคุณมากนะวัจน์ ผมคลี่ยิ้มเล็กน้อย ลมพัดโกรกปะทะเข้ากับใบหน้า พัดพาเอาผมยาวประบ่าหอมกลิ่นแชมพูกระทบเข้ากับหน้าผมด้วย มัลคงลืมไม่ลงเลยล่ะ ถ้ามัลอยากไปที่ไหนอีกผมจะพาไปเลยล่ะ และคราวนี้มัลลิกาเงียบไม่พูดอะไรต่อ มองดูวิวที่เห็นได้โดยรอบ ครู่หนึ่งผมเห็นเหมือนกับหน้าของเธอหมองลง หรือผมจะตาฝาดหรือเปล่าไม่รู้ พอลงมาจากเรือรบหลวงผมก็พาเธอไปดูช้างเอราวัณที่มัลลิการบเร้าอยากให้พาไปดู ตอนเห็นเงาสะท้อนของมันตอนล่องน้ำต่อ จะว่าไปแล้วสมุทรปราการนี่เที่ยวสามวันก็ยังเที่ยวไม่หมดเลย แค่วันเดียวนี่ก็เล่นทำเอาผมลิ้นห้อยได้เหมือนกัน ท่าทางผมจะถนัดเที่ยวมากกว่าจะถนัดเป็นไกด์อธิบาย มัลลิกาก็แสบไม่ใช่เล่น รู้ว่าผมอธิบายไม่เก่งก็ยังคะยั้นคะยอให้ผมพูดเสียให้ได้ แล้วผมก็ใจอ่อนให้กับเจ้าหล่อนเสียทุกครั้ง พูดไปพูดมาชักคอแห้งผมก็ซื้อน้ำกินมองดูเวลาที่เรียกว่าเย็นย่ำแล้วอย่าง เสียดาย เย็นแล้วเรารีบกลับเถอะ ถึงที่สวนก็มืดพอดี เรานั่งรถมเมล์สาย 6 คันใหญ่ไปจนถึงสวนสันติ ผมเดินจูงมือเธอไปเงียบๆ ทุกอย่างดูเงียบไปหมด มือเธอเริ่มเย็นขึ้นจนผมบีบมือเธอแน่น และมัลลิกาก็บีบมือผมตอบ นั่นยิ่งทำให้ผมใจเต้นแรงกว่าทุกครั้งที่ผ่านมาเสียอีก บรรยากาศมันดูวังเวงจนผมกลัว ทั้งที่เวลานี้ยังมีคนอยู่ในสวนประปราย แต่ผมรู้สึกเหมือนกับว่าตรงนี้มีแค่ผมกับมัลลิกาเพียงสองคน ตอนที่เจอกันครั้งแรก มัลบอกว่าที่เราเจอกันนี่อาจจะเป็นเพราะฟ้าข้างบน ผมเองก็อาจจะเชื่อนะ ผมพูดออกไปอย่างไม่อาย ความรู้สึกของผมพรั่งพรูออกมาจนเรียงร้อยเป็นถ้อยคำได้แบบนี้ วันนี้มัลสนุกมาก วัจน์พูดเก่งสมชื่อเลย มัลคงลืมไม่ลงจริงๆน่ะแหละ มัลลิกาตอบพลางยิ้มน้อย ผมหัวเราะร่วมไปกับเธอ นาทีต่อมาก็รู้สึกใจหายเมื่อเห็นเธอทำหน้าจริงจังผิดปกติ สัญชาตญาณของผมบอกให้ผมคว้ามือเธอเอาไว้แต่ว่ามันคว้าได้แต่อากาศเปล่า ร่างกายของมัลลิกาเลือนลางลงไปแทบจะทันทีจนผมตกใจ แต่ร่างกายนั้นก็แจ่มชัดขึ้นมาอีกครั้ง นี่มันเกิดอะไรขึ้น!! กลัวเหรอ มัลลิกาทำเสียงเศร้าเมื่อเห็นผมชักเท้าถอยหลัง ผมสะดุ้งส่ายหน้าอย่างเชื่องช้า ก็สมควรอยู่หรอกถ้าเห็นแบบนี้ก็กลัวกันเป็นของธรรมดา เสียงเธอดูเย็นชาขึ้นเล็กน้อย ทำสายตาเหมือนผิดหวังกับตัวผมเป็นอย่างมาก ผมกลืนก้อนน้ำลายลงคออย่างลำบาก คนที่ยืนต่อหน้าผมนี่คือสิ่งที่เรียกว่าผีหรือวิญญาณหรือเปล่านะ และผมสะดุดวูบขึ้นมาเมื่อความคิดแล่นไปนึกถึงความฝันที่นึกขึ้นมาได้เมื่อเช้า มันอาจจะเป็นมือของมัลลิกาก็ได้ที่ฉุดผมขึ้นมา เหตุการณ์ที่ผมฝันเห็นอาจเป็นเหตุการณ์ของมัลลิกาที่อยากให้ผมได้รับรู้ คิดว่าไม่ได้กลัวนะ แค่ตกใจ แต่มัลก็ดีใจนะที่ได้คุยกับวัจน์ อากาศโดยรอบมืดลงทุกที มีเพียงแสงไฟที่ส่องกระทบลงมาบนร่างเราสองคนเท่านั้น เสียงของเธอดูเศร้าเสียจนผมสะเทือนใจไปด้วย ผมไม่อยากจะคิดเลยว่าสิ่งที่ผมพอเดาได้ลางๆ คืออะไร เราจะไม่ได้พบกันอีกแล้วงั้นเหรอ ความเงียบเข้าครอบคลุม ผมเจ็บลึกในอก ทำไมมัลลิกาถึงไม่ยอมตอบล่ะว่าที่ผมพูดมันผิด สังหรณ์บางอย่างทำให้ผมนึกอย่างนั้น ทุกอย่างมันยิ่งเงียบเข้าไปใหญ่จนผมใจหวิว เราอาจจะได้พบกันอีกนะ ที่ไหนซักแห่ง มัลเป็นคนบอกเองไม่ใช่เหรอว่าการพบกันของพวกเราอาจจะเป็นการนำพาของคนที่ อยู่ข้างบน ผมปลอบมัลลิการวมถึงตัวเองไปด้วย เคลื่อนตัวเข้าไปใกล้เธอมากขึ้น ยกมือเธอขึ้นมากุมไว้ มือของมัลลิกาก็อุ่นเหมือนกับคนทั่วไป ไม่เห็นเหมือนมือของคนที่ตายแล้วเลย ผมไม่อยากจะคิดว่าเธอตายไปแล้ว ผมยังหวังอะไรได้อยู่อีกหรือเปล่านะ ผมจะคอยมัลนะ ผมจะคอยมัลอยู่ที่นี่ ตรงนี้ แล้วสักวันเราอาจจะพบกันอีกครั้ง สักวัน ทั้งที่ความหวังแบบนั้นมันน้อยเหลือเกิน ใช่ สักวัน ผมจะรอมัล ผมพูดเสียงเครือทั้งที่ไม่รู้ว่าสักวันที่เราจะเจอกันมันตอนไหน ลำคอตีบตันจนเจ็บ มือยกปาดน้ำตาที่ไหลออกมาจากดวงตาสีน้ำตาลสวย และร่างของเธอก็หายไป หายไปทั้งน้ำตาและรอยยิ้ม ผมบีบมือตัวเองที่ยังเหลือสัมผัสของมัลลิกาไว้อยู่ มันอบอุ่นไม่เย็นซีดเหมือนอย่างคนตายเลย นับจากวันนั้นก็ผ่านมา 3 ปีแล้ว ผมเทียวไปเทียวมาที่สวนสันติบ่อยครั้งขึ้นกว่าเดิม พอมีเวลาว่างทีไรผมก็มักจะไปทุกที เผื่อว่าผมจะได้เจอมัลลิกาอีกครั้งตามที่เคยสัญญากันไว้ โอกาสที่ผมหวังมันมีไม่ถึง 1% แต่ในส่วนน้อยนิดนั้นคือความเป็นไปได้ที่เราจะได้พบกัน ผู้หญิงที่ชื่อมัลลิกายังคงฝังตรึงอยู่ในใจผม รูปร่างหน้าตาและรอยยิ้ม ผมยังจำได้ดีถึงมันจะผ่านมานานแล้วก็ตามที วันที่เราไปเที่ยวสมุทรปราการผมก็ยังจำได้ ทุกอิริยาบถของเธอ ผมสงสัยตัวเองเหลือเกินว่าผมชอบมัลลิกาหรือเปล่า ผู้หญิงที่คบกันมาก็เลิกกันไปเพราะใจผมมีแต่ใบหน้าของมัลลิกา ผมกลั้วหัวเราะในลำคอพลางส่ายหน้า มัล ผมคิดถึงมัลเหลือเกิน อยากจะพบมัลไวๆ เผื่อผมจะได้รู้และมั่นใจกับตัวเองว่าชอบมัลลิกาเข้าให้แล้ว ผมจะได้บอกกับเธอ แผ่นกระดาษสีขาวปลิวผ่านหน้าผมไปทำให้ต้องคว้ามันไว้ หันกลับไปมองกระดาษหลายแผ่นที่ลอยละลิ่วตามลมมา ผมรีบช่วยเก็บแผ่นกระดาษที่เดาว่ามันเป็นโน๊ตดนตรีไทย มีแต่ชื่อเพลงที่ผมไม่รู้จัก นกเขาขะแมร์ ทองย่อน สีนวล โหมโรงไอยเรศ ลาวดวงเดือน เออ อันนี้ค่อยรู้จักหน่อย ลมแรงจังเลยนะครับ ผมยิ้มพลางยื่นโน๊ตดนตรีที่ช่วยเก็บส่งคืนให้เจ้าของที่มีผมยาวประบ่าปลิวไปตามลมจนยุ่งเหยิง ค่ะ ไม่รู้ว่ามันปลิวออกมาได้ยังไง คิดว่าเก็บดีแล้วนะเนี่ย เธอคนนั้นบ่นพึมพำเสียงเบา รวบรวมเอากระดาษสีขาวที่บรรจุทำนองโน๊ตเพลงต่างๆ ไว้ลงแฟ้มอย่างลวกๆ ริมฝีปากบางขมุบขมิบนับจำนวนกระดาษที่ดูเหมือนจะไม่ครบ ว้า ขาดไปอีกแผ่น อยู่ไหนนะ อ้าว! นั่นไง!! ลอยไปโน่นแล้ว และผมกับเธอก็วิ่งไล่ตามจับกระดาษที่ปลิวไปเรื่อย พอเข้าใกล้ ลมก็พัดให้มันหนีห่างมือพวกเราไปอีก เฮ้อ จับได้เสียที เสียงเธอบ่นพึมพำ ผมมองดูจุดที่พวกเรายืนอยู่ สถานที่นี้เป็นสถานที่ผมพบกับมัลลิกาครั้งแรก บางทีน้ำตรงนี้ก็น่ากลัวนะ จะทำให้เราจมลงไปไม่รู้ตัว ใครจงใจให้ผมพูดแบบนั้นออกไปนะ แต่ผมก็รู้คำตอบเลยเมื่อได้ยินคำพูดของคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ฉันเองก็เคยจมลงตรงนั้น นอนหลับไปนานตั้ง 1 ปี พอฟื้นขึ้นมาพ่อแม่ก็ร้องไห้เสียยกใหญ่ เราเองก็ไม่รู้เรื่องอะไร ความจริงปีนี้ฉันต้องอยู่มหาลัยปี 2 แล้วนะ แต่มาเสียเวลาตรงที่นอนอหลับเพลินนี่สิ นึกแล้วก็เสียดายเหมือนกัน เธอปรับทุกข์กับผมที่พยักหน้ารับฟัง ผมยิ้มน้อยมองเธอที่สนิทสนมกับคนง่ายเหลือเกิน แต่บางทีช่วงเวลาที่หลับไปคงจะเป็นเพราะความตั้งใจของคนที่อยู่ข้างบน โน้นก็ได้มั้ง เธอแหงนขึ้นมองฟ้าครามไร้เมฆ เหมือนกับผมเมื่อครั้งนั้นที่มองตามมือของมัลลิกาไป งั้นถ้าเป็นจริงเขาจะทำไปทำไมล่ะ ผมหัวเราะเป็นคำตอบ ก็ช่วงที่คุณหลับ คุณอาจจะไปพบกับใครบางคนก็ได้ ใครจะไปรู้จริงไหม มัล!! ลุงเรียกซ้อมดนตรีแล้ว เธอที่จะอ้าปากพูดต่อเป็นต้องหุบลงไปแล้วก้มหัวเป็นเชิงลา ก่อนจะวิ่งไปหาเพื่อนที่เรียกชื่อเธอ ผมควรจะตามเธอไปดีมั้ยนะ ไปตามบอกข้อข้องใจที่เธอจะถามผม และข้อข้องใจของผมที่กำลังจะบอกกับเธอ แล้วผมควรจะพูดกับเธอว่าอะไรดีล่ะ ดีใจที่พบกันอีกครั้ง เธอคงมีคำถามเพิ่มขึ้นมาอีกข้อแน่เลย แหะ ๆ ว่าจะไปแวะทักทายคุณเวียงแว่นฟ้ากลับบ้าง แต่พอเข้าบล็อกไป ไม่รู้จะไปทักทายอันไหนดี บล็อกดูเป็นทางการจนเผลอเกร็งอย่างไรไม่รู้ ขออนุญาตทักทายตอบกลับในบล็อกของตัวเองแล้วกันนะคะ
โดย: ฌา วันที่: 7 มีนาคม 2555 เวลา:23:40:09 น.
|
Group Blog All Blog
Friends Blog |
|
Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved. |
แวะมาทักทายค่ะ