พิษเสน่หา 15
๑๕ จุดเปลี่ยน

สัมผัสมืออันแผ่วเบาที่แตะอยู่ตามใบหน้าและลำคอ ปลุกปลายมาศให้ลืมตาขึ้นมา สายตาอันพร่าเลือนของเขาเห็นเค้าโครงหน้าของคนบางคน ที่ชัดเจนอยู่ในความทรงจำ แต่เขาไม่เห็นถึงแววเนตรที่ส่งความห่วงใยออกมาเต็มเปี่ยม

“เจ้าชาย...” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงแหบ และพยายามลุกขึ้นนั่งโดยมีหัตถ์แกร่งช่วยพยุง

“คุณวรรณมาบอกข้าว่าเจ้าไม่ได้ออกไปทานอาหารเย็น ดูเหมือนจะไข้ขึ้นอีกแล้วนะ” สุรเสียงทุ้มฟังดูดุเล็กน้อย ติดจะกังวลมากกว่าที่ทรงเห็นคนป่วยจับไข้อีกครั้ง ทั้งที่เมื่อหลายชั่วโมงก่อนยังลุกขึ้นมาโต้คารมกับพระองค์อยู่ได้ตั้งนานสองนาน

“นี่กี่โมงแล้วพระเจ้าค่ะ”

“สองทุ่มกว่าแล้ว หิวไหม”

“กระหม่อมไม่หิว” ปลายมาศตอบเสียงเนือย แล้วหลับตาลงอีกครั้ง

“ข้าให้คุณวรรณทำซุปข้าวโพดมา กินเสร็จจะได้กินยา”

คนป่วยลืมตาขึ้นมองวรองค์สูงที่ประทับนั่งลงริมเตียง แล้วเขาก็ได้เห็นว่าในหัตถ์ใหญ่มีถ้วยน้ำซุปที่เดาได้ว่าขืนดื้อ เขาก็คงถูกบังคับด้วยวิธีใดวิธีหนึ่งที่ไม่น่าอภิรมย์เท่าไร อีกทั้งตอนนี้เขาไม่มีเรี่ยวแรงพอที่จะดื้อ จึงน่าจะยอมทำตามพระทัยเจ้าชายเสียดีกว่าการเสียกำลังโดยใช่เหตุ

“ข้าว่าเจ้าไม่มีแรงดื้อหรอก แต่มีแรงถือถ้วยหรือเปล่า” เจ้าชายชัยนเรนทร์ทรงพระสรวลเล็กน้อย คล้ายเดาความคิดของอีกฝ่ายได้ออก ก่อนส่งถ้วยให้คนป่วยที่ถอนหายใจเฮือก ยอมรับถ้วยน้ำซุปมาแต่โดยดี

“มือสั่น ๆ นะ”

“กระหม่อมไม่ทำถ้วยน้ำซุปหกหรอกพระเจ้าค่ะ”

น้ำเสียงขุ่นเคืองของคนป่วยเรียกเสียงสรวลจากเจ้าชาย ที่คลายความกังวลลงไปได้มาก หลังจากเห็นว่าอีกฝ่ายยังมีแรงโต้ตอบคำหยอกเย้าของพระองค์อยู่ แล้วเสียงเคาะประตูห้องก็เรียกสายพระเนตรจากเจ้าชาย ให้หันไปทอดพระเนตรร่างโปร่งบางที่เดินเข้ามา หญิงสาวชะงักฝีเท้า เมื่อเห็นว่ามีคนอื่นอยู่นอกเหนือจากเจ้าของห้อง

“ขออภัยเพคะ” เสียงหวานนุ่มเอ่ยออกมาแผ่วเบา และตั้งท่าจะถอยหลังกลับออกไปหากไม่มีเสียงเรียกรั้งจากเจ้าชายเสียก่อน

“ไม่ต้องไปหรอกสิริกัญญา ข้ากำลังจะกลับพอดี” ทรงตรัสพลางลุกขึ้นยืนเต็มความสูง แล้วทรงหันไปทอดพระเนตรคนป่วยที่จิบน้ำซุปไปได้ครึ่งค่อนถ้วย “แต่ยังไงก็ช่วยฝากบังคับพี่ชายเจ้ากินยาด้วยแล้วกัน รายนี้พอเผลอเมื่อไหร่ชอบทิ้งยาอยู่เรื่อย”

สิริกัญญาหันไปมองพี่ชายที่ทำหน้ามุ่ยลง แล้วหัวเราะคิก หากเจ้าชายชัยนเรนทร์ไม่ทรงดักทางเอาไว้เสียก่อน คนไม่ชอบกินยาคงทำตามว่าเป็นแน่ “ได้เพคะ” หญิงสาวพูดพลางถอนสายบัวให้เจ้าชายที่เสด็จออกจากห้องทันทีที่ตรัสเสร็จ ก่อนเดินไปหาคนป่วยที่เอื้อมแขนไปวางถ้วยซุปไว้บนโต๊ะข้างเตียง

“พี่ไม่กินยานะสิรี”

“ไม่ได้นะคะ สิรีรับปากเจ้าชายไว้แล้วว่าจะให้พี่กินยา” หญิงสาวหยิบแก้วใส่ยาที่มีอยู่ด้วยกันห้าเม็ดส่งให้พี่ชาย พร้อมกับแก้วน้ำ

ปลายมาศเบ้ปากเล็กน้อย แต่ก็แบมือรับยากับแก้วน้ำมาจากน้องสาว แล้วบ่นครวญในใจว่าวันนี้กินทั้งยารักษาโรคกับยาพิษ มันคงทำให้เขาตายสมปรารถนาของใครบางคนที่ไม่ชอบเขาล่ะ ส่วนสิริกัญญาก็มองพี่ชายที่กล้ำกลืนฝืนกินยาไปอย่างพอใจ ก่อนทรุดลงนั่งบนเก้าอี้ข้างเตียงด้วยใบหน้าที่เคร่งเครียด

“เป็นอะไรเหรอสิรี” ชายหนุ่มมองน้องสาวที่มีท่าทางผิดไปจากปกติอย่างสงสัย แล้วดวงตาสีน้ำเงินก็สบจ้องตรงมาด้วยท่าทางที่เหมือนกับตัดสินใจบางอย่างได้

“ครูมานัยมาหาพี่แล้วหรือยังคะ”

คำถามของสิริกัญญาทำให้ปลายมาศร้องครางในใจ แล้วเขาก็นึกถึงบทสนทนาที่เพิ่งคุยกับอาจารย์ไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา อาจารย์ของเขานั้นเจ้าแผนการนัก มานัยรู้ดีว่าหากมาหาชายหนุ่มก่อน เขาคงหาทางบ่ายเบียงต่อไปว่ายังไม่ใช่เวลานี้ เวลาที่สิริกัญญายังดูแลตัวเองไม่ได้ ดังนั้นผู้มีศักดิ์เป็นอาจารย์จึงไปหาน้องสาวของเขาก่อน บีบคั้นเธอทางอ้อม แล้วใช้เธอให้มาผลักไสพี่ชายที่ไม่เคยขัดความปรารถนาของน้องสาว

“มาแล้ว” ชายหนุ่มตอบกลับเสียงเบา พลางถอนหายใจเฮือก

“แล้ว...”

“ครูบอกพี่หมดแล้วว่าสิรีอยากเรียนวิชาป้องกันตัว เพื่อเอาไว้ใช้ตอนพี่ไม่อยู่ ถ้ามันเป็นความต้องการของสิรี พี่ก็ไม่ขัดหรอก”

“สิรีแค่อยากให้พี่ได้ทำอะไรตามใจตัวเองบ้าง สิรีอยากเข้มแข็งไม่อยากอ่อนแอ” สิริกัญญารีบพูดออกมา เมื่อเห็นพี่ชายทำหน้าอมทุกข์

ปลายมาศยิ้มเนือยกับคำพูดของหญิงสาว เธอคงไม่รู้หรอกว่าความสุขของเขา คือการได้ปกป้องน้องสาวตัวน้อยมากกว่าการทำสิ่งใด แต่เธอก็เติบโตและเข้มแข็งขึ้นจนไม่ต้องการให้เขาปกป้องแล้ว

“ได้ยินว่าเมื่อคืนมีงูเข้ามาในบ้าน เรื่องมันเป็นยังไงเหรอ” ชายหนุ่มเปลี่ยนเรื่องไปทันควันด้วยไม่อยากเห็นทีท่าลำบากใจของสิริกัญญาอีก บางทีเขาอาจต้องปล่อยมือจากน้องสาวตัวน้อยตามที่มานัยว่าเสียที

สิริกัญญากัดริมฝีปากด้วยท่าทีไม่อยากเล่า ส่วนใหญ่หญิงสาวไม่ค่อยมีความลับกับปลายมาศเท่าไรนัก เวลามีเรื่องอะไรก็มักจะบอกพี่ชายเสมอ แต่เธอไม่อยากให้เขารู้ว่าราเชนมาที่บ้านเมื่อคืน แต่เธอจะบอกไปว่าฆ่างูได้อย่างไรล่ะ ในเมื่อคนทำคือเจ้าปาเยนทร์คนนั้น หญิงสาวถอนหายใจเฮือก แล้วเล่าเหตุการณ์ระทึกขวัญที่เกิดขึ้นเมื่อคืนให้ฟังโดยข้ามเรื่องที่ถูกอีกฝ่ายบังคับจูบไป

ปลายมาศขมวดคิ้วเข้าหากัน หลังจากได้ฟังเรื่องราวทั้งหมด ชายหนุ่มหรี่ตามองน้องสาวที่พยายามซ่อนบางสิ่งบางอย่างไว้ภายใต้ใบหน้าเรียบเฉย เขาถอนหายใจเฮือก แล้วตัดสินใจมองข้ามเรื่องที่ราเชนมาที่บ้านกลางดึกกลางดื่นไป

“น่าสงสารจิตตี”

“เราช่วยอะไรเธอไม่ได้เลยหรือคะ” สิริกัญญาถามถึงสาวใช้คนใหม่ที่ต้องรับเคราะห์โดยที่ตัวเองไม่ได้ทำอะไร เธอยังจำท่าทางขลาดกลัวของจิตตีได้อยู่เลย

“เราไม่รู้ว่าจิตตีถูกส่งไปอยู่ในส่วนไหนของเขตคีรีบัน และในนั้นก็มีพวกพ้องของวโรดมอยู่ ถ้าทำอะไรสุ่มสี่สุ่มห้าอาจจะมีเรื่องวุ่นวายตามมา”

“พวกเราช่างไร้กำลังจังเลยนะคะ” หญิงสาวหลุดคำพูดที่อัดอั้นอยู่ในใจออกมา จิตตีถือว่าเป็นคนของท่านจินดา และนั่นหมายความว่าเธอมีส่วนในการช่วยบิดาดูแลคนในบ้าน การที่เธอปกป้องแม้แต่สาวใช้คนหนึ่งไม่ได้ จึงทำให้รู้สึกสังเวชใจในตัวเอง

ปลายมาศยิ้มน้อย พลางตบที่นอนข้างตัวเองแผ่วเบา “มานั่งตรงนี้มาสิรี”

คนถูกเรียกเอียงคอมองเล็กน้อย ก่อนลุกขึ้นจากเก้าอี้ไปนั่งข้างกายผู้เป็นพี่ชาย ที่คว้ามือเรียวบางขึ้นมากุมไว้ “ทุกคนมีกำลังเท่ากัน เพียงแต่จะใช้อย่างไรหรือตอนไหน และใช้อย่างถูกต้องหรือไม่” คำพูดของปลายมาศไม่ได้ทำให้สิริกัญญาหายข้องใจ จนกระทั่งถึงประโยคถัดมา

“หลังจากฝึกวิชากับครูมานัยต่อไปนี้อีกหนึ่งเดือน พี่อนุญาตให้สิรีไม่ต้องทนอีกต่อไป ป้องกันตัวได้ตามที่เห็นสมควร แต่อย่าเกินขอบเขตจนไปทับอำนาจของท่านแม่แสงสุรีย์ พี่จะมอบอำนาจของหัวหน้าคนรับใช้ให้สิรีรับช่วงต่อ”

มันเป็นเรื่องที่น่าขบขัน เมื่อคนที่ได้รับตำแหน่งสำคัญในวัง และยังเป็นที่โปรดปรานของเจ้านายหลายพระองค์ จะมีฐานะเป็นแค่หัวหน้าคนรับใช้ของคฤหาสน์พรหมเทวา ไม่มีใครเข้าใจความคิดของท่านจินดา ว่าทำไมถึงให้บุตรชายทำหน้าที่นี้ ทั้งที่มันไม่คู่ควรกับเขาเลยแม้แต่น้อย

แต่ไม่มีใครรู้หรอกว่าตำแหน่งหัวหน้าคนรับใช้ ครอบคลุมไปถึงตำแหน่งหัวหน้ากองกำลังรักษาความปลอดภัยของคฤหาสน์พรหมเทวา ที่มีจำนวนถึงสองร้อยคน มีเพียงปลายมาศที่รับตำแหน่งนี้ กับท่านจินดาที่เคยควบคุมคนสองร้อยเท่านั้นที่รู้ว่ามันเป็นตำแหน่งที่มีอำนาจมากเพียงไร

“พี่ปลายมาศ!?”

“พี่จะออกแสวงบุญพร้อมกับครูมานัย พี่จะไปแค่สามปีแล้วกลับมา ระหว่างนั้นพี่ขอฝากให้สิริดูแลบ้านของเราด้วย อย่าหนีไปไหนนะ”

สิริกัญญาไม่ใช่เด็กที่ปลายมาศจะต้องปกป้องตลอดไป เวลาหนึ่งเดือนที่เหลือนี้ เขาจะสอนน้องให้รู้จักการปกป้องตัวเองและผู้อื่น รวมถึงภาระหน้าที่อันแสนหนักอึ้งของเลือดสีน้ำเงิน!

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


สิริกัญญาเดินออกมาจากห้องพักของปลายมาศ ด้วยหัวใจที่หนักอึ้งกว่าครั้งแรกที่เข้าไป หัวคิ้วเรียวสวยขมวดเข้าหากัน เมื่อนึกถึงบทสนทนาที่ได้คุยกับพี่ชาย เขากำลังจะมอบตำแหน่งที่ต่ำต้อยในสายตาของคนทั่วไป แต่มีภาระรับผิดชอบมากกว่าที่ใครจะคาดคิด

หญิงสาวมั่นใจว่าตัวเองสามารถทำหน้าที่หัวหน้าคนรับใช้ได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ด้วยเคยช่วยเหลือพี่ชายเกี่ยวกับการทำบัญชีคนรับใช้ทั้งเก่าและใหม่ จนจำหน้าพวกเขาได้เกือบหมดทุกคน ทว่าเธอไม่มั่นใจว่าจะทำให้เหล่าคนรับใช้เชื่อถือในตัวเธอ เหมือนที่คนพวกนั้นมอบความรัก และเคารพให้กับพี่ชายของเธอได้หรือไม่

“อุ๊ย!?...” หญิงสาวอุทานขึ้นแผ่วเบา เมื่อใบหน้าชนเข้ากับแผ่นอกกว้าง จนผงะถอยออกมาตามแรงชน แต่ต้นแขนก็ถูกกอบกุมไว้ด้วยมือใหญ่ จนระยะห่างระหว่างเธอกับใครอีกคนไม่แตกต่างจากตอนเดินชนเท่าไรนัก

“เหม่ออะไร”

เสียงที่ไม่อยากจำแต่ก็จำได้ขึ้นใจ ทำให้สิริกัญญาเงยหน้าพรวดขึ้นมองคู่กรณี แล้วดวงตาสีน้ำเงินก็เบิกกว้าง เมื่อระยะห่างระหว่างใบหน้าของเธอกับเขาใกล้กัน จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจของกันและกัน

“ราเชน ปาเยนทร์”

“ไม่ต้องย้ำชื่อข้าหลายครั้งก็ได้นะคุณหนู” ริมฝีปากได้รูปสวยกระตุกยิ้มขึ้นวูบหนึ่ง ก่อนเลือนหายไป พร้อมกับกระชับอุ้งมือที่เกาะกุมต้นแขนเล็กไว้แน่น เมื่อรู้ถึงการขืนตัวออกของหญิงสาว

“ทำไมท่านถึงยังอยู่ที่นี่”

“อยากรู้ไปทำไม” ชายหนุ่มตอบกลับเสียงเรียบ พลางกวาดสายตามองไปทั่วใบหน้า ที่แสดงออกถึงความไม่สบอารมณ์ที่ได้พบเจอเขาเท่าไรนัก มันเด่นชัดขึ้นทุกครั้งที่ได้พบเจอกันเลยทีเดียว

“ข้าไม่อยากรู้หรอกค่ะ แค่สงสัยว่ามืดค่ำป่านนี้ทำไมท่านยังไม่กลับอีก”

“ถ้าข้าบอกว่ารอเจ้าอยู่ล่ะ”

สีหน้าของสิริกัญญาเปลี่ยนเป็นไม่ไว้ใจทันทีที่ได้ยินคำพูดของราเชน ชายหนุ่มกลั้วหัวเราะกับสีหน้า และท่าทางของหญิงสาวที่กำลังกล่าวหาเขาทางอ้อม เธอคงไม่คิดว่าเจ้าปาเยนทร์ผู้นี้จะเป็นคนดีเหมือนคนอื่นเลยกระมัง ถ้าอย่างนั้นหากเขาจะทำดีกับเธอขึ้นมาบ้าง เธอจะมองเห็นเขาเป็นคนดีขึ้นมาบ้างไหมนะ

“รอข้า”

นิ้วเรียวแกร่งยกขึ้นไล้ผ้าปิดแผลสีขาวไปมา ก่อนเผยอยิ้มขึ้นเล็กน้อย “บางทีเจ้าอาจไม่สนใจว่ารูปโฉมของตัวเองจะเป็นอย่างไร ไม่กระดากอายต่อรอยแผลบนใบหน้า แต่ข้าไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น” ชายหนุ่มพูดพลางยัดสิ่งของบางอย่างใส่อุ้งมือเล็ก

สิริกัญญาก้มลงมองของที่ถูกยัดเยียดให้ด้วยท่าทางงุนงง สิ่งที่ราเชนให้เธอมาเป็นตลับยาทรงกลมขนาดเท่ากับครึ่งหนึ่งของฝ่ามือของเธอสองตลับ ตลับหนึ่งเป็นสีฟ้าอ่อน อีกตลับหนึ่งเป็นสีเหลืองขมิ้น หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มอีกครั้ง ดวงตาสีน้ำเงินส่งคำถามออกมา โดยไม่มีการเอื้อนเอ่ยคำพูด

“ตลับสีฟ้าเป็นยาสมานแผล ส่วนตลับเหลืองเป็นยาลบรอยแผลเป็นให้จางลง ถึงจะไม่หายขาด เหลือรอยจาง ๆ ไว้ แต่ถ้าไม่สังเกตก็ไม่เห็นหรอก”

สีหน้าของสิริกัญญาในตอนนี้ดูงวยงงเสียจนน่าแกล้ง แต่รอยดื้อบางเบาที่เห็นอยู่ในดวงตาสีน้ำเงิน ทำให้ราเชนยกมือขึ้นประคองใบหน้าของหญิงสาวให้สบจ้องกับดวงตาของเขา พร้อมทั้งส่งรอยยิ้มคุกคามที่เธอจำได้ดีว่ามันจะผุดขึ้นมายามที่เธอคิดจะขัดใจเขา

“อย่าคิดปฏิเสธคนที่ให้ของเจ้าด้วยความปรารถนาดี”

สิริกัญญาขมุบขมิบริมฝีปากอยากแย้งออกไปนัก คนปรารถนาดีที่ไหนเขาส่งยิ้มกึ่งบังคับแบบราเชนกันบ้าง หากให้มองคงเป็นปรารถนาดีที่แฝงเจตนาร้ายไว้มากกว่า

“พี่เจ้าคงสอนใช่ไหมว่าเวลาผู้ใหญ่ให้ของควรทำยังไง” ชายหนุ่มคลี่ยิ้มเล็กน้อย เมื่อเห็นอาการคันปากอยากจะพูดของหญิงสาว แต่ก็เลือกที่จะไม่พูดออกมา

ดวงตาสีน้ำเงินฉายแววขุ่นขึ้นทันใดที่พี่ชายถูกว่ากระทบ ใบหน้าที่ถูกประคองด้วยสองมือเชิดขึ้นอย่างท้าทาย และจ้องดวงหน้าคมคายของราเชนที่แสดงความพอใจต่อท่าทางที่แสดงออกมา

“ขอบคุณค่ะ”

“เด็กดี” ราเชนกลั้วหัวเราะอย่างขบขัน กับการเค้นคำพูดลอดไรฟันของหญิงสาว ส่วนปลายนิ้วก็ไล้ไปตามกลีบปากเรียวบางที่พยายามเม้มแน่น เพื่อไม่ให้เขาได้สัมผัสกับริมฝีปากชุ่มฉ่ำ “แล้วอย่าทิ้งยาที่ข้าให้ล่ะ ไม่อย่างนั้นเจ้าจะเสียใจที่ทิ้งมันไปแน่”

มุมปากของคนถูกดักทางกระตุกขึ้นเล็กน้อย แล้วมือเรียวบางก็ยกขึ้นแกะเอามือแข็งแรงของคนตัวสูงออกจากใบหน้า ดวงตาสีถ่านของราเชนในตอนนี้ดูวิบวับจนไม่น่าไว้วางใจ และเธอควรจะไปจากตรงนี้ก่อนที่ลางสังหรณ์ในใจจะเป็นจริงขึ้นมา

แต่เหมือนราเชนจะรู้เจตนาของหญิงสาว ทันทีที่มือเล็กสัมผัสถูกมือของเขา มือที่ประคองใบหน้าไว้ก็เปลี่ยนมาเป็นกอบกุมข้อมือของคนตัวเล็กกว่าทันที และดึงเอาร่างที่กำลังขืนตัวหนีให้เข้ามาใกล้

สิริกัญญาเบี่ยงหน้าหนี พลางหลับตาแน่นเมื่อใบหน้าของราเชนเข้ามาใกล้ แต่แล้วหญิงสาวก็กะพริบตาปริบด้วยความงุนงง เมื่อเจ้าปาเยนทร์ใช้เพียงจมูกสัมผัสที่แก้มแผ่วเบา ตามด้วยการตบลงบนศีรษะสองสามที การกระทำที่เหมือนกับพี่ชายที่มีต่อน้องน้อยเช่นนี้ ทำให้สิริกัญญาเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของดวงตาคมที่ส่งยิ้มเอ็นดูมาให้อย่างแปลกใจ

“ไว้ให้เจ้าดื้อก่อน ข้าจะใช้วิธีดั้งเดิม” เหมือนราเชนจะเดาคำถามทางสายตาของหญิงสาวออก ชายหนุ่มจึงเฉลยข้อสงสัยให้ฟัง พลางไล้ข้อนิ้วไปตามผ้าปิดแผลไปมา “ถ้าไม่อยากโดนข้าลงโทษก็ทายาเสียล่ะ เด็กดี” พอพูดเสร็จ ชายหนุ่มก็เดินจากไป โดยทิ้งให้สิริกัญญามองตามแผ่นหลังกว้างด้วยความงุนงงเป็นที่สุด

คนอย่างเจ้าปาเยนทร์มีวันยอมล่าถอยไปเองด้วยอย่างนั้นหรือ หญิงสาวถามซ้ำกับตัวเองไปมา พลางยกมือขึ้นลูบแก้มที่ถูกสัมผัสอย่างเผลอไผล มันนุ่มนวลและรวดเร็วเกินไปจนเธอไม่ทันระวังใจ ปล่อยให้มันเต้นโครมครามเสียจนน่าหวั่น

อย่างนี้ไม่ดีแน่ เธออุตส่าห์เกลียดราเชนแล้วเชียว เรื่องอะไรที่เขาจะต้องมาทำดีเพื่อให้เธอมองเขาเปลี่ยนไปด้วยล่ะ หญิงสาวถอนหายใจเฮือก แล้วเดินกลับห้องตัวเอง โดยไม่รู้ว่าคนที่ใจดีขึ้นมากะทันหันยังคงอยู่แถวนี้ และเฝ้ามองท่าทางของเธอจากจุดที่คนถูกมองไม่มีทางสังเกตเห็น

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


ราเชนเสยผมของตัวเองขึ้นอย่างลวก ๆ แล้วกอดอกพิงเสาที่ตัวเองใช้เป็นที่ซุ่มดูหญิงสาวสีน้ำเงินด้วยท่าทางหนักใจ นี่เป็นครั้งแรกที่คนอย่างเจ้าปาเยนทร์ไม่เป็นตัวของตัวเอง เขารู้ดีว่ากำลังจะทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างให้กับผู้หญิงที่อายุน้อยกว่าถึงสิบสองปี อย่างที่ไม่เคยทำกับผู้หญิงคนไหนมาก่อน และถึงจะตั้งมั่นไว้แล้วว่าจะช่วยเหลือพวกสีน้ำเงินกลับคืนสู่มาตุภูมิ แต่มันก็ดูจะเป็นการช่วยเหลือที่มากเกินไปในความคิดของเขาอยู่ดี

ไม่สิ...ต้องพูดว่าเขาเลือกช่วยสิริกัญญาที่เป็นสีน้ำเงินเพียงคนเดียวมากกว่า

ยังไม่ทันที่ชายหนุ่มจะใช้เวลาขบคิดความรู้สึกของตัวเอง มือของใครบางคนก็จับหมับลงมาบนบ่าของเขา และทำให้เจ้าของดวงตาสีถ่านหันขวับไปมองคนที่ทำให้เขาผวาขึ้นมาได้ เรียวโอษฐ์ที่แย้มกว้าง พร้อมทั้งแววเนตรที่ส่งมาอย่างมีเลศนัย ทำเอาเจ้าปาเยนทร์ถอนหายใจเฮือก

“เหม่ออะไร” มันเป็นคำถามที่ราเชนเคยถามสิริกัญญามาแล้ว และไม่คิดเลยว่าจะถูกย้อนถามกลับมาโดยเจ้าชายชัยนเรนทร์

“ไม่ได้เหม่อ”

เจ้าชายชัยนเรนทร์เลิกพระขนงขึ้นอย่างไม่เชื่อถือ พระองค์เสด็จเข้ามาประทับใกล้พระสหายสนิทอยู่ตั้งนานสองนาน คนความรู้สึกไวก็ไม่มีทีท่ารู้สึกตัวว่ามีคนอื่นอยู่ด้วย หากพระองค์ไม่ยื่นหัตถ์ออกไปแตะ ดูท่าอีกฝ่ายคงยังยืนเหม่อต่อไปอีกนาน

“นึกว่าเจ้าจะกลับไปแล้วเสียอีก ถ้ายังไม่กลับก็ดี ข้ามีเรื่องจะพูดด้วยพอดี”

สีพระพักตร์ที่นานทีจะจริงจังขึ้นมาให้เห็นสักหน ทำให้ราเชนละเรื่องการทุ่มเทแรงกายแรงใจให้กับบุตรีสีน้ำเงินไว้ชั่วคราว แล้วหันไปสนใจเรื่องของเจ้าชายชัยนเรนทร์ ซึ่งคราวนี้ชายหนุ่มเพิ่งมาสังเกตว่านอกจากตัวเองและเจ้าชายแล้ว ยังมีทหารยามประจำตำหนักอีกสองนายที่หลบอยู่ในม่านเงามืด

“ใครบุกตำหนักอรินทรา”

เจ้าชายชัยนเรนทร์ระบายปัสสาสะออกมาอย่างเชื่องช้า เมื่อราเชนถามตรงเป้า พระองค์ไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรให้มากความ แค่เอาทหารยามรักษาตำหนักมาให้ดู อีกฝ่ายก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พอต้องตรัสตอบคำถามกลับไป ก็ทรงอดขัดเคืองพระทัยขึ้นมาไม่ได้ ที่ไม่สามารถจับหนูที่เล็ดลอดเข้ามาในถ้ำเสือได้

“ถ้าจับได้ข้าคงเอามาให้เจ้าดูแล้วล่ะ”

ราเชนเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยกับคำตอบของเจ้าชาย ถึงเขาจะรู้ว่าทหารยามของที่นี่มีน้อย ด้วยเจ้าของตำหนักไม่ชอบคนเดินพลุกพล่าน ดังนั้นทหารยามที่ถูกคัดเลือกมายังตำหนักของเจ้าชายผู้บัญชาการกองทหารรักษาพระองค์ จะต้องมีฝีมือดีเป็นพิเศษ เท่าที่ราเชนรู้มา ทหารพวกนี้มีฝีมือมากพอที่จะเข้าหน่วยพิฆาต หน่วยที่ขึ้นชื่อว่าแข็งแกร่งที่สุดของปามะห์ได้เลยทีเดียว

“ท่าทางหนูตัวนี้จะไม่ใช่หนูธรรมดานะ แล้วไม่มีใครรู้รูปลักษณ์ของอีกฝ่ายเลยหรือไง”

“เรียนเจ้าปาเยนทร์” ทหารนายหนึ่งที่อยู่หลังม่านเงามืดค้อมตัวลงเล็กน้อย ก่อนเริ่มรายงานสิ่งที่เกิดขึ้นให้ราเชนฟังด้วยรายละเอียดเดียวกับที่รายงานเจ้าของตำหนัก

“ผู้บุกรุกรายนี้ดูแล้วน่าจะอยู่ในวัยประมาณกลางคน รูปร่างสูงกำยำและวิชาการต่อสู้ที่ใช้นั้นเป็นแบบเดียวกับทหารของเรา ตอนที่พวกเราพบเขา ดูเหมือนว่ากำลังจะออกจากตำหนักนี้พอดี พวกเราทั้งห้าคนได้ทำการล้อมจับไว้ แต่เขาก็หลบหนีการจับกุมของพวกเราไปโดยไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรเลย”

เจ้าชายชัยนเรนทร์ยกหัตถ์ขึ้น แล้วทหารนายนั้นก็หยุดคำรายงานของตัวเองทันที ก่อนโค้งคำนับลาจากไป เมื่อเจ้าชายทรงโบกหัตถ์ให้พวกเขากลับไปทำหน้าที่ของตัวเองตามเดิม ราเชนมองทหารยามรักษาตำหนักที่เร้นกายหายเข้าไปในความมืด และเฝ้ารอจนกระทั่งไม่มีใครอยู่ตรงนี้นอกเหนือจากตัวเองกับเจ้าของตำหนัก ชายหนุ่มจึงเปิดปากพูดถึงสิ่งที่สะกิดใจขึ้นมาทันที

“คนของตาแก่หรือเปล่า”

คนถูกถามถอนปัสสาสะออกมาอีกเฮือกใหญ่ คำถามของราเชนเป็นสิ่งที่พระองค์อยากทราบเหมือนกัน แต่ก็ไม่มีใครตอบคำถามนี้ได้ นอกจากจะไปถามผู้ต้องสงสัยเอาเองว่าเป็นคนบงการส่งหนูเข้าถ้ำเสือมาหรือไม่ ถ้าใช่ก็คงต้องถามต่อว่ามีจุดประสงค์อะไร ทั้งที่อีกฝ่ายสามารถส่งคนมาได้อย่างเปิดเผย แล้วไยจึงส่งคนลักลอบเข้ามาทำการลึกลับ

แต่ถ้าไม่ใช่ หนูบังอาจตัวนั้นเป็นคนของใคร?

ราเชนนั้นรู้พระทัยเจ้าชายชัยนเรนทร์เสมอ เขาเริ่มเดาได้ว่าไม่น่าจะใช่คนของเจ้าหลวงเสียแล้ว แต่จากคำรายงานของทหารยามรักษาตำหนัก บอกเป็นนัยว่าน่าจะเป็นทหารของปามะห์นี่แหละ และระดับน่าจะสูงเอาการ เพราะสามารถหลบหนีไปจากทหารห้านายที่มีฝีมือเกือบเทียบเท่าหน่วยพิฆาตได้ และคนที่จะสั่งการนายทหารระดับสูงได้ก็มีอยู่ไม่กี่คน

ที่น่าสงสัยคือหนูบังอาจตัวนั้นมีเป้าหมายอะไร?

เจ้าชายชัยนเรนทร์สบเนตรกับพระสหายรู้ใจ พระองค์ถอนปัสสาสะเป็นรอบที่สาม แล้วตรัสในสิ่งที่ทหารยามรักษาตำหนักไม่ได้รายงาน “เราเจอหนูใกล้กับห้องของปลายมาศ เจ้าคิดว่าเขามีส่วนรู้เห็นอะไรกับหนูตัวนี้ด้วยไหม”

“ตำแหน่งทางทหารของปลายมาศไม่ใช่ความลับ แต่เขาชอบทำงานอยู่หลังม่านมากกว่าเลยไม่ค่อยมีคนรู้ ตัวเลือกสุดท้ายที่เรามีคือหนูตัวนี้เป็นคนของปลายมาศ”

คำตอบของราเชนทำให้เจ้าชายขมวดพระขนงยุ่ง ตัวเลือกสุดท้ายสร้างปัญหาให้พระองค์ไม่น้อย เพราะมันมีคำถามตามมาอีกว่า ถ้าผู้บุกรุกรายนี้เป็นคนของปลายมาศจริง ทำไมเขาจึงได้ทำตัวลึกลับปานนี้ ยิ่งช่วงนี้ทางกูรากับทาลางทูรมีการเคลื่อนไหวที่ยังคาดเดาไม่ได้ หากเจ้าตัวจะทำอะไรก็น่าจะมาบอกพระองค์ก่อน

“เจ้าชัย คิดยังไงที่ปลายมาศไม่บอกพวกเราเรื่องที่ตัวเองมีน้องสาวเป็นบุตรีสีน้ำเงิน”

คำถามของราเชนยิ่งทำให้พระองค์ขมวดพระขนงยุ่งขึ้นไปอีก คนปากหนักคนนั้นมักไม่พูดอะไรหากไม่ถูกเค้นถาม ตัวอย่างก็มีให้เห็นมาแล้วหลายครั้ง แต่เรื่องของบุตรีสีน้ำเงินมันเป็นคนละเรื่องกันเลย ปลายมาศรู้ถึงการเคลื่อนไหวของทั้งสองรัฐเช่นเดียวกับพระองค์และราเชน เขาน่าจะรู้ว่าน้องสาวของตัวเองกำลังมีอันตราย แต่ก็ยังนิ่งเฉย ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ไม่บอกเรื่องของสิริกัญญาออกมาสักแอะ จนราเชนไปพบเธอเอง

“นึกแล้วก็น่าเจ็บใจ ตอนที่คุยกันเรื่องจุดยืนของปามะห์ ข้าก็ลืมเค้นถามปลายมาศเรื่องสิริกัญญาไปเสียสนิท เจ้าหมอนั่นเลยทำเป็นลืมว่าตัวเองปิดเรื่องน้องสาวสีน้ำเงินไว้”

ราเชนกลั้วหัวเราะกับท่าทางเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันของเจ้าชายชัยนเรนทร์ อย่าว่าแต่พระองค์เลย ตัวเขาเองก็ลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิทว่าคนปากหนักทำอะไรไว้

คราวนี้ชายหนุ่มเริ่มสังเกตเห็นถึงบางอย่างที่ไม่สัมพันธ์กัน ท่านจินดาเคยติดตามเจ้าหลวงแห่งปามะห์ ผู้คลั่งไคล้ตำนานสายเลือดเทพเจ้าของกูรา ตั้งแต่ยังทรงดำรงพระยศเป็นเจ้าชาย พระองค์ก็น่าจะรู้ว่าท่านมีเมียสีน้ำเงิน แล้วทำไมถึงไม่ตรัสบอกเขากับเจ้าชายชัยนเรนทร์สักคำ ทั้งที่ทรงรู้ว่าพวกเขาก็สนใจเรื่องสีน้ำเงินเหมือนกัน นอกเสียจากว่าเจ้าหลวงก็ไม่ทรงทราบเรื่องที่ท่านจินดามีเมียสีน้ำเงิน

“ข้าว่าน่าจะไปถามคนที่สามารถให้คำตอบทั้งหมดกับเราได้ดีกว่านะ” ชายหนุ่มหัวเราะออกมาอย่างสมเพชตัวเอง ทุกอย่างกลับกลายเป็นว่าคนที่กุมความลับทั้งหมดไว้คือคนที่ทำตัวเหมือนไม่รู้อะไรเลย

“ใครล่ะ”

“ท่านจินดาไง ถ้าสาเหตุที่ปลายมาศไม่บอกเราเรื่องน้องสาวสีน้ำเงิน ก็พอเดาได้ว่าคงมาจากท่าน แล้วลองคิดดูสิ หากตาแก่ของเรารู้เรื่องเมียสีน้ำเงินของท่าน มีหรือที่จะปล่อยให้พวกนางอยู่ไกลสายตา ดีไม่ดีอาจจะช่วยดูแลให้อย่างดีเลยทีเดียว”

ดวงเนตรสีน้ำตาลไหม้เบิกกว้างขึ้นอย่างนึกขึ้นได้เช่นกัน คราวนี้ปัญหาที่แก้ไม่ตกก็ยิ่งพันกันจนคลำหาปมแก้ไม่ได้ แต่เจ้าชายชัยนเรนทร์ก็ทรงสังเกตเห็นจุดร่วมบางอย่างขึ้นมา ปลายมาศกับท่านจินดาต่างเก็บบุตรีสีน้ำเงินไว้ในบ้าน ไม่ให้ออกมายินยลโลกภายนอกเช่นบุตรีคนอื่น แล้วพระองค์ก็สบเนตรกับราเชนที่พยักหน้าอย่างรู้ความนัยของกันและกัน

บางทีสายเลือดที่กำลังตามหาอาจจะอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลนี้เอง!


คุยท้ายเรื่อง
ช่วงนี้เป็นเต่าติดเทอร์โบค่ะ กะว่าปีใหม่จะเอาลงสองตอน ในที่สุดก็สามารถเขียนได้สองตอนตามปรารถนาเสียที ยังไงก็ขออวยพรล่วงหน้า ขอให้มีความสุขในเทศกาลวันขึ้นปีใหม่นะคะ

คาดว่าพุธหน้าคงได้เจอกัน (แต่ถ้าไม่เจอแสดงว่าเต่าเริ่มนอนหวดแล้วค่ะ)



Create Date : 26 ธันวาคม 2550
Last Update : 26 ธันวาคม 2550 21:37:40 น.
Counter : 349 Pageviews.

2 comments
  

อ่านเต็มอิ่ม เลยค่ะ ดีจังได้อ่าน 2 ตอนรวด

ปีใหม่นี้ ขอให้มีความสุขมากๆ เช่นกันค่ะ

อยากรู้ว่าสิริกัญญา ฝึกอาวุธแล้วจะเป็นเช่นไร

จริงๆ น่าจะให้ฝึกตั้งนานแล้วนะค่ะ
โดย: nekojung IP: 58.9.83.6 วันที่: 27 ธันวาคม 2550 เวลา:9:58:38 น.
  
เจอกันพุธโน้นเลยค่ะ เพราะพุธหน้ายังเที่ยวอยู่เลยค่ะ
สวัสดีปีใหม่ค่ะ
โดย: pumpam IP: 58.8.78.254 วันที่: 27 ธันวาคม 2550 เวลา:14:19:00 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ฌา
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



New Comments
All Blog