แก้วเจ้าจอม ตอนที่ 3 (จบ)
แก้วเจ้าจอม
เรื่องโดย คิงเพนกวิน
เขียนโดย ฌา



เธอ...ย้อนเวลากลับไปในอดีตเพื่อพบกับเขา และเขาเฝ้ารอการมาของเธอ
หัวใจสองดวงได้พันร้อยเกี่ยวกัน กลายเป็นความรักที่ฟ้ามิอาจห้าม


Author’s talk

วันหนึ่งได้นัดทานข้าวกับพี่คิงเพนกวิน และเธอได้ยื่นพล็อตนิยายเรื่องหนึ่งมาให้ ตอนแรกที่เริ่มต้นอ่าน ต้องส่ายหน้าไปมา เพราะว่ามันพล็อตมันซ้ำกับนิยายเรื่องอื่น แต่เธอบอกว่าพล็อตคล้ายกัน แต่โครงเรื่องไม่เหมือนกันแน่ พลางสาธยายเนื้อเรื่องย่อว่าเป็นอย่างไร เมื่อได้ยินเรื่องทั้งหมดแล้ว จึงเกิดความสนใจ ขอพล็อตเธอมาเพื่อต่อยอดจินตนาการของตัวเอง โดยตั้งใจไว้ว่าจะทำให้จบภายใน 15 หน้า แต่มันกลับเพิ่มจำนวนขึ้นเป็นเท่าตัวจนน่าตกใจ

ไม่ค่อยสันทัดแนวย้อนยุคเท่าไรนัก เขียนโดยใช้ข้อมูลที่มีอยู่แค่ในหัวสมอง หากผิดพลาดตรงจุดไหน ช่วยแนะนำด้วยค่ะ

และทั้งนี้ต้องขอบคุณพี่คิงเพนกวินอีกรอบที่ช่วยตรวจทานเนื้อเรื่องและแก้ไขบางจุดเพื่อให้สมเหตุสมผลมากขึ้น

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


แก้วเจ้าจอม
ตอนที่ 3

วันรุ่งขึ้นเป็นวันหยุดที่แก้วเจ้าจอมตื่นเช้าเป็นพิเศษ สาเหตุหนึ่งมาจากการที่เธอต้องการไปหาโชติ หญิงสาวจึงรีบทานข้าวโดยไม่สนใจพ่อแม่ที่มองอาการผิดปกติของลูกสาวอย่างแปลกใจ

และพอทานข้าวเสร็จ แก้วเจ้าจอมก็รีบขอตัวลุกออกไปทันทีท่ามกลางความงุนงงของคนร่วมโต๊ะ หญิงสาวไม่ได้สนใจพ่อแม่ที่มองหน้ากับคล้ายจะมีคำถาม แต่พวกเขาคงหาคำตอบไม่ได้เมื่อคนต้นเรื่องไม่ได้บอกอะไร

แก้วเจ้าจอมรีบไปนอนใต้ต้นไม้ชื่อเดียวกัน พลางวาดแผนการว่าจะพบเจอโชติอย่างไรไว้ในใจ เขาจะดีใจไหมนะที่ได้เจอเธอ ลมเย็นที่พัดผ่านผิวกายเป็นเหมือนสัญญาณบ่งบอกว่าหญิงสาวมาถึงที่หมาย เธอลืมตาขึ้นมองท้องฟ้ายามราตรีที่ประดับด้วยแสงดาว ในใจนึกฉงนว่าทำไมเธอจะต้องโผล่มาในยามวิกาลเช่นนี้ทุกที

ร่างบอบบางพยุงกายลุกขึ้น พลางกวาดตามองรอบด้านอย่างระมัดระวัง เธอไม่ต้องการให้ใครจับได้ตอนนี้ และไม่อยากเป็นผีหน้าขาวให้ใครต่อใครหวาดกลัว เรื่องที่ผ่านไปเมื่อวานคงกลายเป็นข่าวลือในหมู่ทาสแล้วกระมังว่าผีสาวที่เงียบหายไปเกิดเฮี้ยนขึ้นมาอีกครั้ง

คืนนี้เรือนแก้วเจ้าจอมไม่ได้เอะอะอย่างเช่นเมื่อวาน แต่มันยังคงมีแสงไฟส่องสว่างคล้ายจะบอกว่ามีคนอยู่ หญิงสาวแอบลัดเลาะโดยใช้ความมืดเป็นที่กำบังจนมาถึงเรือนไม้ยกพื้นสูง แล้วเธอก็ได้เห็นร่างสูงใหญ่ของใครบางคนยืนหันหลังอยู่ตรงชานพักบันได

แก้วเจ้าจอมรีบหาที่หลบอย่างหวุดหวิด เมื่ออีกฝ่ายหันกลับมาทางที่เธอเคยยืนอยู่พอดี และมันทำให้หญิงสาวสังเกตเห็นเค้าโครงหน้าของอีกฝ่ายได้ชัดเจน

ผู้ชายคนนี้มีรูปหน้ากว้าง รับกับดวงตาเรียวยาวที่กำลังหรี่มองฝ่าความมืดอย่างสำรวจ จมูกของเขาไม่โด่งมากนัก แต่แลดูคมสัน ริมฝีปากหนาเหยียดตรงและเผยอขึ้นเล็กน้อยคล้ายจะเอ่ยอะไรออกมาสักอย่าง ส่วนรูปร่างนั้นก็สูงชะลูดเหมือนยักษ์ปักหลั่น ผิดไปจากมาตรฐานชายไทยโดยสิ้นเชิง

เขาเป็นใครกันนะ...แก้วเจ้าจอมรำพึงในใจ พลางเพ่งมองอีกฝ่ายอย่างพิจารณาอีกครั้ง ชายหนุ่มตรงหน้าเหมือนใครบางคนที่เธอคุ้นเคย

“ใครอยู่ตรงนั้นน่ะ” เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยช้าชัด มันทำให้คนหลบซ่อนสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจระคนหวาดกลัว หรือว่าเขาจะจับได้ว่าเธอซ่อนอยู่ตรงนี้

แก้วเจ้าจอมรู้สึกสองจิตสองใจว่าจะโผล่ออกไปหรือซ่อนตัวอยู่ตรงนี้ดี แต่เสียงสวบสาบที่อยู่เบื้องหน้าทำให้หญิงสาวนิ่งขึง มีใครบางคนที่เล่นซ่อนแอบเช่นเดียวกับเธอ และตัดสินใจโผล่ออกไปก่อน

ร่างที่ปรากฏขึ้นมาเป็นหญิงสาวร่างบางระหง เส้นผมสีดำยาวแผ่สยายอยู่เต็มแผ่นหลัง เธอตรงไปยังชายหนุ่มที่ทำหน้าผิดหวังอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนกลบด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนเมื่อแม่น้องสาวตัวดีส่งยิ้มชวนให้ตีก้นมาให้

“มาเดินเล่นกลางค่ำกลางคืนอีกแล้วนะ แม่พลอย”

“แล้วคุณพี่ล่ะเจ้าคะมาทำอะไรที่นี่ หรือว่ามารบพบใคร” เสียงใสยอกย้อนอย่างอยากรู้

หลวงเจษฎาพิริยากรณ์ส่ายหน้าอย่างหน่ายใจ ก่อนเดินลงมาชั้นล่างเพื่อไปหาแม่น้องสาวที่แม้จะทำกิริยาสงบนิ่ง ก็ไม่อาจปกปิดดวงตาแพรวพราวของตัวเองได้ “พี่จะมาพบเจอใครได้ นอกจากแม่พลอยที่แอบตามมา”

“น้องได้ยินข่าวลือจากทาสหญิงนะเจ้าคะ ผีหน้าขาวตนนั้นโผล่ออกมาอีกแล้ว”

ถ้อยคำแฝงความนัยของแม่พลอยทำให้หลวงเจษฎาพิริยากรณ์นิ่งงัน แต่ด้วยท่าทางสุขุมไม่แสดงอาการพิรุธ คนจ้องจับผิดจึงได้แต่ทอดถอนหายใจ แล้วก้าวเข้าไปแตะท่อนแขนผู้เป็นพี่ชาย

"พี่โชติเจ้าคะ” แม่พลอยทอดเสียงอ่อนเหมือนสมัยก่อนที่ตัวเองยังเป็นน้องน้อย “ผ่านมาสิบปีแล้ว คุณพี่ยังไม่ลืมเธออีกหรือ เขาและเราอยู่กันคนละภพ ไม่มีทางใดที่มาบรรจบกันได้”

“พี่รู้ตัวเองดีจ้ะ แม่พลอย” ชายหนุ่มคลี่ยิ้มพลางตอบเสียงนุ่ม มีแต่แม่พลอยคนเดียวที่เชื่อในเรื่องแม่นางไม้ผมทองของเขา

“ถ้าอย่างนั้นเรากลับกันเถอะเจ้าค่ะ น้องไม่อยากให้คุณประยงค์คิดมาก”

หลวงเจษฎาพิริยากรณ์เหลียวมองเรือนแก้วเจ้าจอม พลางถอนหายใจเฮือก สิ่งที่แม่พลอยพูดเป็นเหมือนคำติเตียนพี่ชายทางอ้อม ชายหนุ่มก้าวตามน้องสาวที่เดินนำไปก่อน โดยไม่วายเหลือบมองฝ่ามือความมืดรอบกายด้วยหวังจะพบเจอใครบางคน

แก้วเจ้าจอมมองสองพี่น้องที่เดินจากไปด้วยหัวใจหนักอึ้ง หญิงสาวได้ยินบทสนทนาเมื่อครู่ชัดทุกคำ ผู้ชายคนนั้นคือโชตินั่นเอง เขาเติบโตขึ้นเป็นชายหนุ่ม ไม่ใช่เด็กประหลาดคนที่เธอรู้จัก เธอยืนนิ่งอยู่นานก่อนตัดสินใจไปยังต้นไม้ที่พาเธอย้อนกลับมาอดีต ความคิดเฝ้าวนเวียนอยู่กับคำพูดของแม่พลอย

‘เขาและเราอยู่กันคนละภพ ไม่มีทางใดที่มาบรรจบกันได้’

มันอาจจริงอย่างที่แม่พลอยพูดก็เป็นได้ โชติเปลี่ยนแปลงไปมากจนจำเกือบไม่ได้ ตรงกันข้ามกับเธอที่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ยังเป็นแก้วเจ้าจอมที่มีปัญหากับพ่อ ผู้หญิงขี้แยที่แวะเวียนมาระบายอารมณ์อัดอั้นให้ใครบางคนฟัง

ความเปลี่ยนแปลงของโชติและผู้คนที่นี่ทำให้แก้วเจ้าจอมมึนงง หญิงสาวทรุดลงนั่งอย่างเชื่องช้า พลางฟุบหน้ากับตอไม้ด้วยท่าทางอ่อนแรง ที่นี่อาจกลายเป็นที่ที่เธอไม่สมควรมาอีกแล้วก็ได้

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


แม้แก้วเจ้าจอมจะตั้งปณิธานไว้ว่าจะไม่กลับไปอดีตเพื่อพบโชติอีก แต่เธอก็หักห้ามใจตนเองไม่ได้ หญิงสาวเฝ้าวนเวียนย้อนเวลาไปหาเพื่อนเพียงคนเดียวในอดีต โดยอ้างเหตุผลว่าอย่างน้อยก็อยากอวยพรการแต่งงานของเขา ก่อนที่จะไม่มาที่นี่อีก

เป็นเวลาหลายวันที่แก้วเจ้าจอมได้แต่แอบมองโชติ ชายหนุ่มไม่ค่อยได้อยู่ตามลำพังจนหญิงสาวไม่มีโอกาสเข้าไปพบ และเขายังยุ่งวุ่นวายกับงานมงคลที่จะถึงทำให้เขาไม่รู้เลยว่ามีใครบางคนคอยเฝ้ามอง

คืนนี้ก็เป็นอีกคืนที่แก้วเจ้าจอมแอบมองโชติ แต่วันนี้ชายหนุ่มดูดีผิดจากไปจากทุกวัน เขาสวมชุดไทยราชประแตนผ้าม่วง ใบหน้าดูผ่องแผ้วและมีความอิ่มเอิบยินดี ซึ่งทำให้คนแอบมองหัวใจไหววูบ หญิงสาวเดาเอาว่าวันนี้คงเป็นวันแต่งงานของเขา มันทำให้เธออดเหลียวมองหาเจ้าสาวไม่ได้

คุณประยงค์ที่ได้ยินแต่ชื่อมานานยืนอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลเจ้าบ่าวของเธอ แม้แก้วเจ้าจอมจะไม่เคยเห็นหน้า แต่ก็สังเกตได้จากใบหน้าอิ่มเอิบไม่แพ้ว่าที่สามี หญิงสาวอยู่ในชุดเสื้อลูกไม้คอตั้งสีชมพู ท่อนแขนช่วงบนป่องพองและแนบเนื้อลงมาตั้งแต่ข้อศอกถึงข้อมือ และพาดสายสะพายสีน้ำเงินเข้มขอบทอง ส่วนโจงกระเบนเป็นสีแสดสลับกับสีอิฐมอญผูกรั้งเอวด้วยเข็มขัดทองเลื่อมพราย

ทั้งคู่ดูมีความสุขและรับคำอวยพรจากบรรดาญาติมิตรอย่างยินพี พวกเขาเหมาะสมกันราวกิ่งทองใบหยกอย่างที่ทาสหลายคนว่าไว้ ฝ่ายชายนั้นดูสง่าสุขุม ส่วนฝ่ายหญิงนุ่มนวลอ่อนหวานเปรียบดั่งน้ำฝนเย็นฉ่ำ ไม่มีใครจะหาข้อขัดแย้งว่าพวกพวกเขาไม่สมควรกันได้

แก้วเจ้าจอมถอยห่างจากงานมงคล แล้วเดินกลับไปยังเรือนไม้เก่าที่มีชื่อเดียวกัน ที่นี่เป็นความทรงจำระหว่างเธอกับโชติที่หลงเหลืออยู่ แต่เธอคงไม่สามารถกลับมาได้อีกแล้ว

น้ำตาหยดหนึ่งไหลผ่านร่องแก้มไปแตะมุมปาก รสชาติของมันขมและเค็มปร่า แก้วเจ้าจอมปาดน้ำตาด้วยความงุนงง เธอควรยิ้มยินดีกับงานมงคลนี้ไม่ใช่หรือ เพื่อนคุยของเธอมีสีหน้าแสดงถึงความสุขเช่นนั้น จะมัวมาเศร้าเสียใจเช่นนี้ได้อย่างไรกัน หญิงสาวสูดลมหายใจลึก พลางกลั้นก้อนสะอื้นกลืนลงคอไป

สิ่งที่แก้วเจ้าจอมทำได้ตอนนี้คือการอวยพรเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้กับโชติไม่ใช่หรือ แต่เธอไม่มีอะไรมาให้เขาเลย หญิงสาวกวาดตามองรอบตัว แล้วแลเห็นดอกแก้วเจ้าจอมออกดอกบานสะพรั่ง และส่งกลิ่นหอมระริน พลันความคิดหนึ่งก็แล่นผ่านเข้ามา

ร่างบางล้วงสิ่งที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงออกมา พลางเดินไปหยิบดอกไม้สีฟ้าอมม่วงที่ซีดจางลงจนเกือบกลายเป็นสีขาวใส่ในผ้าเช็ดหน้าที่ถูกพับเป็นกระบุง มันคงพอเป็นตัวแทนคำอวยพรของเธอได้บ้าง และบอกให้เขารู้ว่าเธอยินดีกับวันสำคัญนี้ หญิงสาวเก็บดอกไม้ที่โปรยตกลงมาใส่กระบุงผ้าเช็ดหน้าทั้งน้ำตา มันรินหยดใส่กลีบดอกหยดแล้วหยดเล่าจนเต็ม

แก้วเจ้าจอมลุกขึ้นยืนอย่างเชื่องเช้า พลางประคองกระบุงผ้าเช็ดหน้าไว้ในอุ้งมือ ก่อนเดินตรงไปยังเรือนไม้แห่งความหลัง หญิงสาววางมันลงหน้าบันไดไม้ขัดมัน แล้วเหลียวไปยังต้นเสียงครึกครื้นที่ดังมาแต่ไกล เธอไม่รู้ว่ากระบุงดอกไม้อันนี้จะถึงมืออีกฝ่ายหรือไม่ แต่เธอคงทำได้แค่นี้จริง ๆ

หญิงสาวปาดเช็ดน้ำตา แล้วกลับไปยังต้นแก้วเจ้าจอม พลางทรุดลงนอนเอามือประสานอก มันสั่นไหวด้วยแรงสะอื้นที่ไม่รู้ว่ามาจากสาเหตุอะไร แพขนตาชุ่มน้ำกะพริบปริบไปมาก่อนพริ้มตาหลับลง วันนี้จะเป็นวันสุดท้ายที่เธอมา แล้วหลังจากนั้นผีหน้าขาวจะไม่ปรากฏตัวอีก

ลาก่อนโชติ...ลาก่อนเพื่อนเพียงคนเดียวของฉัน

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


“แก้ว...แก้วจ๋า ตื่นได้แล้วลูก” เสียงของนางกลิ่นมณฑา และแรงเขย่าทำให้เจ้าของชื่อลืมตาขึ้นมา เธอหันไปมองแม่ที่พยักเพยิดไปยังบ้านหลังใหญ่ที่จากไปนาน

“ถึงบ้านแล้วลูก”

ร่างบางบิดตัวเล็กน้อยเพื่อคลายเมื่อย หลังจากนั่งหลับมาตลอดตั้งแต่ออกจากสนามบิน หญิงสาวเปิดประตูลงจากรถ พลางเดินไปหาแม่ที่ลากจูงให้เข้าไปด้านใน บ้านที่เธอเติบโตมาไม่เปลี่ยนไปเลย ยกเว้นวันเวลาที่ผันผ่านไปอย่างรวดเร็วจนน่าใจหาย

“คิดถึงบ้านเราจัง เสียดายที่พ่อไม่ได้กลับมาพร้อมกัน”

ใบหน้าขาวสะบัดหันไปอีกทางหนึ่งเมื่อแม่เอ่ยถึงพ่อ สองพ่อลูกยังคงระหองระแหงอยู่ไม่คลาย เพียงแต่ไม่มีความรุนแรงอะไรเกิดขึ้นอีก เพราะต่างฝ่ายต่างหลบเลี่ยงไม่ปะทะกัน นอกจากทิ้งคำแขวะกัดให้อีกฝ่ายเต้นเร่าสลับกันไปมา

นางกลิ่นมณฑาถอนหายใจอย่างอ่อนใจ ลูกสาวคนนี้เจ้าทิฐิเหมือนพ่อ และตลอดเวลาที่ผ่านมา เค้านิสัยของคนที่เจ้าตัวเกลียดชังก็ปรากฏเด่นชัดจนไม่อาจปฏิเสธได้ แต่กระนั้นแก้วเจ้าจอมก็ยังคงเป็นคนเดิม หญิงสาวยังคงเป็นเหมือนอดีต เก็บซ่อนตัวเองไว้โดยไม่มองอนาคตข้างหน้า

“แก้วออกไปเดินเล่นข้างนอกนะคะแม่” หญิงสาวพูดโดยไม่รอฟังคำตอบ ร่างบางเดินตัวปลิวออกไป แล้วพุ่งตรงไปยังสวนหลังบ้านที่เธอมักแวะมาทุกครั้งยามว้าวุ่นใจ

สายลมพัดผ่านผิวกายผะแผ่ว เสียงใบไม้เสียดสีกับเป็นระลอกคลื่นพาให้ใจรู้สึกสงบ แก้วเจ้าจอมตรงไปยังต้นไม้ที่มีชื่อเดียวกัน ก่อนลูบไล้มันด้วยความคิดถึง หญิงสาวรู้สึกว่าจากไปนานหลายสิบปี จนคิดว่าจะไม่ได้กลับมาที่นี่อีก ร่างบอบบางทรุดนั่งลงพลางคิดถึงความหลัง

สี่ปีที่ผ่านไปไม่ได้ทำให้แก้วเจ้าจอมเปลี่ยน ตอนนี้หญิงสาวกลายเป็นบัณฑิตจบใหม่และรอฝึกงานในบริษัทของพ่อ มันเป็นชนวนให้สองพ่อลูกทะเลาะกัน จนมีฝ่ายหนึ่งหนีกลับมาที่นี่ นายศรันยูยังคงเจ้ากี้เจ้าการกับอนาคตของลูกสาวไม่เปลี่ยน มันเป็นสิ่งที่เธอไม่ชอบสักนิด

หญิงสาวล้วงผ้าแพรสีขาวที่กลายเป็นเครื่องรางประจำตัวออกมา มันเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจเพียงอย่างเดียวของเธอ ยามใดที่ความว้าวุ่นใจมารุมเร้า เธอมักหยิบมันออกมาดู และทำให้นึกถึงคำพูดของใครบางที่เฝ้าปลอบเฝ้าอธิบายเหตุผลสารพัดอย่าง แต่ความขุ่นเคืองที่มีทั้งหมดก็คลายลงเพราะคำพูดเหล่านั้น

ไม่รู้ว่าเจ้าของผ้าแพรนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง ยังคงมีความสุขดีอยู่หรือไม่ แต่แก้วเจ้าจอมบอกกับตัวเองแล้วว่าเธอจะไม่ย้อนอดีตกลับไปอีก ช่วงเวลาของเธอกับเขาต่างกันมากจนไม่อาจพบกันได้ หญิงสาวทอดสายตาเหม่อมองฟ้าอยู่เนิ่นนาน มันนานจนเธอเผลอหลับไปโดยไม่ตั้งใจ

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


แก้วเจ้าจอมสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจเมื่อมีบางอย่างตกใส่ศีรษะ พอเอื้อมมือไปหยิบดูจึงรู้ว่าเป็นดอกไม้หอมที่มีชื่อเดียวกัน หญิงสาวถอนหายใจเฮือก แต่คิ้วกลับขมวดยุ่งขึ้นมาเมื่อสังเกตถึงความมืดที่ปกคลุมลงมา เธอเผลอหลับแล้วย้อนอดีตกลับมาอีกอย่างนั้นหรือ

“ใช้ไม่ได้เลยเรา” หญิงสาวพึมพำกับตัวเอง พลางทิ้งหลังพิงต้นไม้ที่พาตัวเองย้อนกลับมา เธอรอให้ตัวเองหลับอีกครั้งเพื่อกลับไปเวลาเดิม

“ใครอยู่ตรงนั้นน่ะ” เสียงทุ้มเข้มของใครบางคนทำให้แก้วเจ้าจอมสะดุ้งโหยง พลางผุดลุกขึ้นหาที่ซ่อน แต่หญิงสาวหลบไม่ทันเมื่อเจ้าของเสียงปรากฏขึ้นมากะทันหัน เธอจึงใช้ต้นไม้ที่มีชื่อเดียวกันเป็นที่กำบัง

“หล่อนเป็นใคร มาทำอะไรในยามวิกาลเช่นนี้”

สุ้มเสียงนั้นดูดุจนคนหลงเวลาไม่กล้าชะโงกหน้าไปมองอีกฝ่าย พลางบ่นพึมพำในใจว่าเมื่อไรเธอจะได้กลับไปเวลาเดิมเสียที ถ้าถูกจับตอนนี้เธอแย่แน่

พระยาเจษฎาพิริยากรณ์เขม้นมองร่างที่โผล่วับแวมอยู่ด้านหลังต้นแก้วเจ้าจอม ที่นี่ไม่ค่อยมีใครผ่านไปมามากนัก เพราะเสียงลือถึงความเฮี้ยนของผีหน้าขาวทำให้ทุกคนหวาดกลัว แม้จะผ่านมานานหลายปีแล้วก็ตาม แต่ความคุ้นเคยต่อเจ้าของร่างหลังต้นไม้ทำให้เจ้าคุณครางออกมาแผ่วเบา

“นั่นแม่แก้วหรือ”

เจ้าของชี่อชะโงกหน้าโผล่ออกไปมองอีกฝ่ายด้วยความสงสัย คนตรงหน้าที่ปรากฏในครรลองสายตาเป็นชายที่ล่วงเข้าวัยกลางคน โครงหน้าเหลี่ยมกว้างของเขาดูคุ้นเคยอย่างประหลาด ดวงตาที่จ้องมองมาแม้จะดุ แต่ในแววตากลับแฝงความอ่อนโยนไว้ เหนือริมฝีปากหนามีหนวดดกดำที่ตัดแต่งอย่างมีระเบียบ หญิงสาวจ้องผู้ชายที่รู้ชื่อเธออยู่นาน พลันน้ำตาที่ไม่น่าจะไหลให้ใครเห็นก็เอ่อออกมา

“คุณคือโชติหรือ?”

“ไม่ได้พบกันนานเชียวนะ แม่แก้วดูไม่เปลี่ยนไปเลย” พระยาเจษฎาพิริยากรณ์ยิ้มละมุน และยังยืนอยู่ที่เดิม ซึ่งหากเขายังเป็นพ่อโชติ คงเดินเข้าไปปาดน้ำตาให้แม่นางไม้ผมทอง

“แต่นายเปลี่ยนไปมาก” แก้วเจ้าจอมพูดพลางสะอื้น คนที่ไม่คิดจะได้เจอกลับปรากฏตัวขึ้นมาจนตั้งตัวไม่ทัน

“จากวันนั้น...” คุณพระเอ่ยเสียงแหบเมื่อนึกถึงอดีตแต่หนหลัง “เวลามันผ่านไปหลายสิบปีแล้ว”

“ฉันรู้...ฉันรู้ว่าตัวเองไม่ควรมาอีก”

“อย่าพูดเช่นนั้นเลย ถือว่าฟ้าบันดาลให้เราพบกันอีกครั้งเถอะนะ”

แม้เขาจะได้รับตำแหน่งเป็นพระยาเจษฎาพิริยากรณ์ แต่ก็ยังเป็นโชติคนเดิมที่แก้วเจ้าจอมรู้จัก จิตใจภายในของเขาไม่ได้เปลี่ยนไปเหมือนภายนอก หญิงสาวคลี่ยิ้มตอบ พลางเช็ดน้ำตาโดยใช้ผ้าแพรที่เคยเป็นของโชติมาซับ แล้วเดินออกจากที่ซ่อนมาประจันกับชายวัยกลางคนตรงหน้า

“นายเป็นอย่างไรบ้างโชติ” หญิงสาวยังคงใช้สรรพนามเดิม แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าไม่สมควรเท่าไร เพราะตอนนี้อีกฝ่ายอายุมากกว่าจึงยิ้มเจื่อน “ขอโทษค่ะ....ตอนนี้เรียกคุณโชติน่าจะเหมาะกว่าสินะ เพราะคุณอายุมากกว่าฉันเยอะแล้ว”

พระยาเจษฎาพิริยากรณ์ยิ้มอย่างเข้าใจ “เรียกฉันว่าโชติอย่างเดิมเถิด อย่าได้ทำเหมือนเราเป็นคนอื่นคนไกลกันเลย”

“ได้หรือ” เสียงหวานถามอย่างไม่แน่ใจ แต่เมื่อได้รับการพยักหน้าตอบรับจึงรู้สึกสบายใจขึ้น

“ตอนนี้นายทำอะไรอยู่หรือโชติ”

“ฉันได้รับตำแหน่งเป็นพระยาเจษฎาพิริยากรณ์ ให้รับผิดชอบเกี่ยวกับด้านการค้าขาย ตอนนี้พวกฮอลันดาเข้ามาทำการค้ากับเรามากมายทีเดียว” พูดถึงตรงนี้พระยาเจษฎาพิริยากรณ์อดทอดถอนหายใจออกมาไม่ได้

พวกต่างชาติเริ่มเข้ามาในประเทศมากขึ้น เขาได้ยินมาว่าประเทศเพื่อนบ้านทางแถบนี้เริ่มตกเป็นเมืองขึ้นของต่างชาติพวกนี้แล้ว และเป้าหมายต่อไปคงเป็นสยาม ประเทศอันเป็นแผ่นดินเกิดของเขา

แก้วเจ้าจอมมองคนที่ดำรงตำแหน่งเป็นพระยาด้วยสายตาเป็นห่วง ท่าทางของเขาเหมือนมีเรื่องกังวลบางอย่างที่ฉาบด้วยความสุขุมไม่มิด “ถ้ามีเรื่องหนักใจอะไรก็เล่าให้ฉันฟังได้นะ ถึงฉันจะช่วยอะไรไม่ได้ แต่มันคงทำให้นายคลายความหนักใจนั้นได้บ้าง” หญิงสาวเอ่ยเสียงเบา เธอยังคงยืนอยู่ที่เดิม ไม่กล้าเข้าไปใกล้เขาเหมือนเมื่อก่อน

แม้แม่นางไม้ผมทองจะดูไม่เปลี่ยนไป แต่ภายในของเธอดูเติบโตขึ้น พระยาเจษฎาพิริยากรณ์คลี่ยิ้ม ก่อนเล่าเรื่องที่แก้วเจ้าจอมเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง หญิงสาวพอจับสาระสำคัญได้ว่าอีกฝ่ายกำลังห่วงบ้านเมือง กลัวว่าจะโดนพวกต่างชาติยึดเอาแผ่นดินอันเป็นที่รักไปเป็นเมืองในอาณานิคม

“อย่าห่วงไปเลยโชติ” สุ้มเสียงที่เอ่ยออกมาฟังดูอ่อนโยนอย่างน่าประหลาด น้ำเสียงนั้นซาบซ่านผ่านเนื้อหัวใจที่ร้อนรุ่มให้เย็นลง “เพราะความรักของเธอกับพระบารมีของพระเจ้าอยู่หัว จะทำให้ประเทศของเราผ่านพ้นวิกฤตไปได้ ฉันคิดว่าพระสยามเทวาธิราชมีจริงนะ เธอเชื่อไหม”

คำพูดง่าย ๆ และซื่อตรง บอกถึงความมั่นใจเต็มที่ ภาพนี้ทำให้พระยาเจษฎาพิริยากรณ์นึกถึงตัวเองในอดีต เขาเคยบอกแม่นางไม้ผมทองว่าจะทำให้เมืองในอุดมคติเป็นจริงขึ้นมาให้ได้ ความฝันที่เกือบลืมเลือนถูกรื้อขึ้นมาโดยหญิงสาวตรงหน้า

“ดังนั้นอย่าห่วงเลยนะ” หญิงสาวย้ำอีกครั้ง

“ฟ้าคงให้เธอกลับมาเพื่อมอบกำลังใจให้แก่ฉัน” ท่านเจ้าคุณรำพึงแผ่วเบา โดยที่แม่นางไม้ผมทองไม่ทันได้ฟัง หญิงสาวเอียงคอมองแล้วส่งยิ้มชุ่มฉ่ำหัวใจมา

“ฉันสัญญาไว้แล้วว่าจะทำให้เมืองอุดมคติเป็นจริง หล่อนจะเฝ้ามองวันนั้นพร้อมกับฉันได้ไหม แม่แก้ว”

แก้วเจ้าจอมทำหน้าลำบากใจ แม้ใจอยากโลดแล่นกลับมา แต่ความรู้สึกบางอย่างเฝ้าย้ำเตือนว่าไม่ควรพบกับคนตรงหน้านี้อีก เวลาของเขาและเธอห่างไกลกันมากขึ้น จนไม่อาจหาทางมาบรรจบกันได้ ยิ่งคิดถึงตรงนี้ น้ำตาก็พาลจะไหลออกมา

“ฉันคงมาที่นี่ไม่ได้อีก” หญิงสาวกลืนก้อนสะอื้นที่ผุดขึ้นมาไว้ แล้วโพล่งสิ่งที่อยู่ในความคิดออกไป “แต่...แต่ฉันจะเฝ้ามองดูความฝันของนาย ฉันเชื่อว่านายทำได้ บ้านของเราจะต้องสงบสุข ไม่มีศัตรูมารุกรานแน่นอน”

แม้จะไม่ใช่คำสัญญาแต่ก็ทำให้พระยาเจษฎาพิริยากรณ์ยิ้มออกมา โชคดีที่เขาได้รับวันหยุดยาวซึ่งหาแทบไม่ได้ในหลายเดือนที่ผ่านมา คุณพระจึงกลับบ้านเพื่อพบครอบครัวที่ต้อนรับการกลับมาอย่างยินดี แล้ววันนี้เขาก็นึกครึ้มอยากมาเดินเล่นตากลมเย็น จึงได้พบกับแม่นางไม้ผมทองอีกครั้ง

สายลมได้พัดผ่านผิวกายคนทั้งคู่ ความเงียบคั่นกลางพวกเขาไว้ แต่ยังคงมีสายตาที่ทอดมองมาอย่างเข้าใจ พระยาเจษฎาพิริยากรณ์มองร่างของแม่นางไม้ที่รางเลือนลงด้วยท่าทางสงบ แก้วเจ้าจอมเองก็รู้สึกว่าภาพตรงหน้าพร่าเลือนลง มันทำให้หญิงสาวเดาเอาว่าเวลาสำหรับที่นี่หมดลงแล้ว

“ลาก่อนโชติ” หญิงสาวพยายามส่งยิ้มลา แต่มันดูบิดเบี้ยวด้วยความรู้สึกหลากหลายที่ประดังเข้ามา และสิ่งที่อยู่ในอุ้งมือทำให้นึกขึ้นได้ว่าตัวเองยึดเอาผ้าแพรของอีกฝ่ายมา จึงยื่นส่งคืนให้เจ้าของแล้วยิ้มเจื่อน “ฉันยึดของของเธอมานานเลย ขอคืนเลยแล้วกัน”

พระยาเจษฎาพิริยากรณ์คลี่ยิ้มพลางส่ายหน้า “แม่แก้วเอาไว้ซับน้ำตาเถิด”

คนขี้แยอยากเอ่ยคัดค้าน แต่เมื่อเห็นรอยยิ้มที่ส่งมาจากดวงตาของพระยาเจษฎาพิริยากรณ์ หญิงสาวจึงชักมือกลับ และยกมันขึ้นซับน้ำตา “ถ้าชาติหน้ามีจริงก็ดี ฉันอยากพบเธออีก” เสียงอู้อี้ที่ลอดผ่านผ้าแพรมาจับถ้อยคำได้กระท่อนกระแท่น แต่ประโยคสุดท้ายไม่สามารถรอดพ้นโสตประสาทของอีกฝ่ายได้

“ถ้ามีวาสนาเราคงได้พบกันอีก ลาก่อนแม่นางไม้ผมทอง” น้ำเสียงอ่อนโยนจับใจแก้วเจ้าจอมให้สั่นสะท้าน หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายให้เต็มตา แต่ภาพตรงหน้ากลับกลายเป็นสวนหลังบ้านของเธอ

ทุกอย่างจบลงแล้ว...

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


แก้วเจ้าจอมกลายเป็นบัณฑิตใหม่รองานด้วยใจเลื่อนลอย นายศรันยูตามกลับบ้านมาเป็นคนสุดท้าย แล้วต้องแปลกใจกับอาการของลูกสาว เขาจำได้ว่าตอนเจอกันครั้งสุดท้าย หญิงสาวยังดูแข็งแรงดี แถมยังทิ้งถ้อยคำแสบคันให้ผู้เป็นพ่อหงุดหงิดเล่น พอไปถามภรรยากลับได้รับคำตอบว่าไม่รู้

นางกลิ่นมณฑาเดินเข้าไปหาลูกสาวที่นั่งทอดสายตามองสวนหลังบ้านเช่นทุกวัน เป็นแบบนี้มาร่วมเดือนจนเธอต้องเข้ามาถามอย่างห่วงใย “แก้วมีอะไรไม่สบายใจหรือเปล่าจ๊ะ”

คนถูกถามผินหน้ากลับไปมองผู้เป็นแม่ พลางส่ายหน้าปฏิเสธ เรื่องที่เธอได้พานพบมาไม่สามารถเล่าให้ใครฟังได้ จะมีใครเชื่อบ้างว่าหญิงสาวย้อนอดีตกลับไปยังสมัยรัชกาลที่ห้า แต่นั่นยังไม่ใช่สาเหตุหลักของอาการที่เป็นอยู่ตอนนี้

นานนับเดือนที่แก้วเจ้าจอมคิดทบทวนตั้งแต่ตอนที่ได้พบกับโชติครั้งแรก บทสนทนาที่หญิงสาวเป็นผู้พูดเองเสียมากกว่า และคำปลอบโยนยามที่เอาเรื่องทุกข์ใจไประบายให้ฟัง เขาเป็นเหมือนที่ปรึกษาข้างกาย คอยรับฟังปัญหาอย่างเข้าอกเข้าใจ

แล้วจากเด็กหนุ่มก็กลายเป็นชายหนุ่ม เวลาพริบตาเดียวสำหรับเธอเป็นความยาวนานร่วมสิบปีสำหรับเขา ครั้นกลับไปอีกรอบ โชติก็กลายเป็นพระยาเจษฎาพิริยากรณ์ เขากลายเป็นคนห่างไกลเสียแล้ว

“แก้วไม่ได้เป็นอะไร แม่ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”

“แก้วจ๋า...” นางกลิ่นมณฑาพยายามเอ่ยต่อ แต่โดนลูกสาวขัดขึ้นมาก่อน

“แก้วอยากอยู่คนเดียว” หญิงสาวพูดพลางพาตัวเองเข้าโลกส่วนตัวเช่นเดิม นางกลิ่นมณฑามองลูกสาวด้วยความเป็นห่วง แต่ก็ยอมล่าถอยออกมา

ลับหลังร่างผู้เป็นแม่ แก้วเจ้าจอมก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ หญิงสาวรู้ดีว่าทำให้แม่เป็นห่วง แต่เธอยากจัดการทบทวนความรู้สึกของตัวเอง เรื่องของโชติสร้างรอยร้าวไว้ในใจของเธอมากทีเดียว

มันเป็นเพราะอะไรกัน?

สายลมพัดเอื่อยมาทางหน้าต่าง หอบเอากลิ่นดอกแก้วเจ้าจอมโชยต้องจมูกคนนั่งเหม่อ หัวใจของหญิงสาวเต้นระรัวผิดปกติ ความกระสับกระส่ายเกิดขึ้นโดยไม่รู้สาเหตุ พลางประหวัดนึกไปถึงเจ้าของกลิ่นที่ไม่ได้เหยียบย่างไปหานานนับเดือน

เกิดอะไรขึ้นที่ทางฝั่งนั้นหรือเปล่านะ...แก้วเจ้าจอมคิดในใจ แล้วความกระวนกระวายก็ผลักดันหญิงสาวให้กลับไปหาต้นไม้ที่มีชื่อเดียวกัน

วันนี้ต้นแก้วเจ้าจอมดูเศร้าหมองอย่างประหลาด บรรยากาศรอบด้านดูขมุกขมัวคล้ายจะเกิดลมพายุ แต่มันไม่ได้ทำให้หญิงสาวสนใจ ร่างบอบบางทรุดนั่งลง ก่อนเอนหลังพิงลำต้นเพื่องีบหลับ ลางสังหรณ์บางอย่างกำลังบอกว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่เธอย้อนเวลากลับไป

เพียงเวลาไม่นานที่แก้วเจ้าจอมรู้สึกว่าตัวเองย้อนอดีตกลับมา หญิงสาวลืมตาขึ้นพลางเงี่ยหูฟังเสียงที่ดังแว่วมา มันระงมไปด้วยความเศร้าโศกเสียใจของพวกบ่าวไพร่ ร่างบอบบางจึงลุกขึ้นยืนแล้วเดินตามเสียงระทมทุกข์นั้นได้

บนเรือนใหญ่ซึ่งอยู่ห่างจากเรือนแก้วเจ้าจอมไปไม่ไกล เป็นที่พักของเจ้าพระยาเจษฎาพิริยากรณ์กับคุณหญิงประยงค์ ที่นั่นเต็มไปด้วยบ่าวไพร่ที่เดาว่าน่าจะมาอยู่ที่นี่กันเกือบหมด ใบหน้าของทุกคนเต็มไปด้วยความโศกเศร้า พลางร่ำรำพันถึงผู้ที่กำลังจะจากไป

แก้วเจ้าจอมพยายามเข้าไปฟังความว่าเกิดอะไรขึ้นกับใคร ถ้อยคำที่จับได้นั้นทำให้หญิงสาวนิ่งงัน น้ำตาไหลพรากออกมาโดยไม่รู้ตัว เสียงระทมทุกข์เหล่านั้นบอกถึงความตายที่กำลังจะพรากชีวิตเจ้าพระยาเจษฎาพิริยากรณ์ไป ลูกหลานและคุณหญิงประยงค์ต่างออกันอยู่ในห้องเพื่อฟังคำล่ำลาสุดท้าย

คำบอกเล่านั้นกระแทกใจของแก้วเจ้าจอมจนปวดช้ำ ร่างบอบบางซวนเซไปมาจนเกือบล้ม แต่มือคว้าหาหลักยึดพิงไว้ได้ทัน หญิงสาวร้องไห้โดยไม่มีเสียง น้ำตาเอ่อล้นเต็มเบ้าจนภาพเบื้องหน้าพร่าเลือน เธอยืนอยู่ตรงนั้นเป็นเวลานาน จนกระทั่งบ่าวไพร่แยกย้ายกันไป ลูกหลานของเจ้าพระยาเจษฎาพิริยากรณ์เริ่มทยอยออกมาจนหมด โดยมีคุณหญิงประยงค์ออกมาเป็นคนสุดท้าย

ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบ มีเพียงเสียงสะอึกสะอื้นดังแว่วมาให้ได้ยินเป็นระยะ แก้วเจ้าจอมฟังเสียงสะอื้นของตัวเอง ก่อนตัดสินใจจะลอบขึ้นไปบนเรือนใหญ่เพื่อขอดูหน้าเจ้าพระยาเจษฎาพิริยากรณ์เป็นครั้งสุดท้าย แต่เงาร่างของใครบางคนเดินลงมาจากเรือนทำให้ผู้บุกรุกต้องรีบหลบ

แก้วเจ้าจอมเพ่งมองคนที่เดินลงมา เขาเป็นชายแก่ที่มีผมสีดอกเลาขึ้นเต็มศีรษะ ใบหน้าเหี่ยวย่นไปตามกาลเวลา แต่ไม่อาจกลบความสง่าสุขุมที่แฝงเร้นไว้ได้ ดวงตาคู่นั้นโชนแสงแรงกล้า ท่าทางกระฉับกระเฉงไม่สมวัย ความคุ้นเคยอันนั้นทำให้หญิงสาวเดินตามเจ้าของแผ่นหลังที่ล่วงหน้าไปยังทิศทางที่เธอมา

คืนนี้เป็นคืนพระจันทร์เต็มดวง ทำให้ไม่ต้องใช้แสงตะเกียงช่วย มันสาดส่องลงมาให้เห็นร่างคนสองคนที่เดินตามมาไม่ห่าง ชายชราหยุดยืนอยู่หน้าต้นแก้วเจ้าจอมที่แผ่ความเศร้าซึมออกมา ด้านข้างมันเป็นตอไม้ของแก้วเจ้าจอมต้นเก่าที่ถูกโค่นไปเมื่อหลายสิบปีก่อน

เสียงสวบสาบจากเบื้องหลังทำให้เจ้าพระยาเจษฎาพิริยากรณ์หันกลับไปมอง แม่นางไม้ผมทองยืนน้ำตาไหลพราก ริมฝีปากขบเม้มเน้นเพื่อไม่ให้เสียงสะอึกสะอื้นหลุดออกมา แก้วเจ้าจอมเคลื่อนตัวเข้าไปใกล้มากขึ้น จนมองใบหน้าของอีกฝ่ายได้ชัดเจน

คนตรงหน้าดูแก่ไปมากทีเดียว เวลาเพียงหนึ่งเดือนของเธอช่างแตกต่างไปจากเวลาของเขาจนน่าใจหาย ท่านเจ้าพระยาส่งยิ้มนุ่มละมุน ท่วงท่าของเขาดูไม่เหมือนอาการของคนใกล้ตายเลยแม้แต่น้อย

“ฉันรู้ว่าแม่แก้วจะเฝ้ามองอยู่ตลอดเวลา” น้ำเสียงที่ควรแหบแห้งกลับทุ้มลึกไม่สมวัย แก้วเจ้าจอมส่ายหน้าปฏิเสธไปมา หญิงสาวอยากพูดอะไรออกไปบ้าง แต่ลำคอตีบตันเกินกว่าจะเอ่ยอะไรออกไป

“แม่แก้วจำได้ไหม สัญญาของเรา” ถ้อยคำที่ทอดช้าชัด เน้นไปทีละคำเพื่อให้รู้ถึงความสำคัญของมัน คนฟังได้แต่พยักหน้ารัวเร็ว พลางสูดจมูกฟืดฟาดกับน้ำมูกที่พร้อมใจกันท่วมขัง

“ฉันสัญญาว่าจะทำเมืองอุดมคติให้เป็นจริง แล้วแม่แก้วบอกว่าจะเฝ้ามองมัน”

แก้วเจ้าจอมอยากค้านว่าเธอไม่ได้ทำอะไรเลยด้วยซ้ำ เจ้าพระยาเจษฎาพิริยากรณ์ยิ้มพราย ก่อนเอื้อนเอ่ยต่อ “วันนี้ฉันอยากรู้ว่าฉันทำให้เมืองนั้นเป็นจริงขึ้นมาแล้วหรือยัง เมืองของเราสงบสุขดีหรือไม่ ที่ที่แม่แก้วอยู่ไม่ถูกศัตรูต่างชาติเข้ามารุกรานใช่ไหม”

คำถามแฝงความนัยบางอย่างทำให้แก้วเจ้าจอมนิ่งงัน คนตรงหน้าบอกเหมือนจะรู้ว่าเธอเป็นใคร มาจากที่ไหน หญิงสาวมองคนที่ยังคงแย้มยิ้ม พลางกะพริบตาไปมา แสงจันทร์อาจเล่นตลกให้เธอมองเห็นว่าเขาหนุ่มขึ้น ริ้วรอยแห่งวัยเริ่มเลือนหายไป

ภาพของชายหนุ่มวัยเบญจเพสซ้อนทับลงมาบนร่างของเจ้าพระยาพิริยากรณ์ แก้วเจ้าจอมปิดปากกลั้นเสียงอุทานไว้ ร่างกายของเขาไม่ได้แก่ชราอีกต่อไป

“โชติ...” นั่นเป็นคำแรกที่หญิงสาวเอื้อนเอ่ยออกมา

“แม่แก้ว บ้านของเรา...”

“มันสงบสุขดี” แก้วเจ้าจอมเอ่ยพลางสะอื้นไห้ ไหล่บอบบางไหวโยนไปตามแรงสั่นสะท้านก่อนปล่อยโฮลั่น “เพราะความรักของเธอ...” คำพูดกระท่อนกระแท่นจนจับใจความไม่ได้ แต่หญิงสาวก็เค้นคำพูดต่อได้จนจบ “เพราะความรักของเธอกับพระบารมีของพระเจ้าอยู่หัวของเรา ทำให้ลูกหลานมีความสุข เธอทำให้มันเป็นจริงแล้ว” พูดได้แค่นั้นก็ต้องทรุดนั่งลงไป

เจ้าพระยาพิริยากรณ์ก้าวมาทรุดนั่งลงตรงหน้าแม่นางไม้ผมทอง ก่อนล้วงผ้าเช็ดหน้าสีขาวที่ดูคุ้นตามาซับน้ำตาให้ มือใหญ่ยกขึ้นลูบเรือนผมนุ่ม พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงปลอบโยน “ร้องไห้ไปไย แม่แก้ว”

ใบหน้าขาวส่ายไปมาโดยที่เจ้าตัวหาคำตอบไม่ได้ว่าเกิดเพราะอะไร และยิ่งปล่อยน้ำตาออกมาราวทำนบพังให้อีกฝ่ายคอยตามเช็ด ร่างกายที่ย้อนเวลากลับไปของเขาทำให้เธอรู้ดีว่าจุดสิ้นสุดกำลังมาถึง

“ฉันดีใจที่แม่แก้วสุขสบาย”

“มันเป็นเพราะเธอ” หญิงสาวสะอื้นตอบ

“มันเป็นเพราะทุกคนช่วยกันปกป้องบ้านเมืองของเรา” ชายหนุ่มเอ่ยแก้ให้ พลางใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาคนขี้แย

“ผ้าเช็ดหน้านั่น...”

“ฉันขอได้ไหม ให้มันวางทับลงบนหัวใจของฉัน” ถ้อยคำหวานราวกับคำสารภาพรักเอ่ยขึ้นให้แก้วเจ้าจอมได้ยินเป็นครั้งแรก

ในวันแต่งงานครั้งนั้นเขาได้แวะเวียนมาเรือนแก้วเจ้าจอม แล้วได้พบกระบุงดอกไม้ตรงหน้าบันได สิ่งนี้ทำให้รู้ว่าแม่นางไม้ผมทองกลับมาอวยพรงานมงคล และจากไปโดยไม่ยอมมาพบหน้า ชายหนุ่มได้แต่เก็บของแทนใจนั้นไว้ติดตัวไม่ให้ใครเห็นจวบจวนวันนี้

“ให้ผ้าผืนนี้โอบอุ้มหัวใจดวงนี้ไว้เหมือนดอกไม้ของเธอ”

“โชติ...” คำพูดของเขาทำให้แก้วเจ้าจอมสะอื้นหนัก ความตื้นตันจุกคับอก หญิงสาวโผเข้าหาอกกว้าง พลางใช้มันเป็นที่ซับน้ำตาแทน

ความใกล้ชิดที่เพิ่งได้รับครั้งแรกทำให้คนที่ยิ้มตลอดเวลาน้ำตาคลอเบ้า ก่อนปล่อยให้รินหยดลงบนเรือนผมสีทอง เขาไม่จำเป็นต้องห่วงอะไรอีกแล้ว แม้แต่พันธะที่ผูกพันไว้กับผู้หญิงอีกคนหนึ่ง ท่อนแขนแข็งแรงโอบกอดร่างบอบบางไว้แนบแน่น แล้วเอ่ยถ้อยคำที่เก็บไว้ในใจลึกสุดออกมา

“แม่แก้วจ๋า ฉันอยากบอกเธอว่าฉันรักแม่แก้วเหลือเกิน รักตั้งแต่ยังเป็นพ่อโชติของเธอ”

เวลานี้แก้วเจ้าจอมรู้แล้วว่าความรู้สึกของเธอที่มีต่อโชติคืออะไร หญิงสาวกลืนก้อนสะอื้นไว้ แล้วเค้นคำตอบออกไปช้าชัด “ฉันก็รักเธอ...ฉันรักเธอ โชติ”

สายลมพัดพาเอาคำบอกรักของทั้งสองรวมกัน ความเงียบรอบกายพาให้รู้สึกว่าเวลาถูกหยุดลง ชายหนุ่มคลี่ยิ้มอย่างยินดีที่แม่นางไม้ของเขามีความรู้สึกเฉกเดียวกัน ทั้งคู่เอนกายลงนอนใต้ต้นแก้วเจ้าจอมที่ทำให้พวกเขาได้พบกัน

เจ้าพระยาเจษฎาพิริยากรณ์ทอดถอนหายใจ พลางรำพึงเสียงสั่นเครือ “ถ้าฟ้าบันดาลให้เราได้พบในภพเดียวกันคงดี”

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


ภาพของเจ้าพระยาเจษฎาพิริยากรณ์นอนทอดกายอยู่ใต้ต้นแก้วเจ้าจอม ปรากฏอยู่ในสายตาของคนที่เดินมาพบ ใบหน้าเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มสุขสมหวังจนคนมองน้ำตาซึม มือเหี่ยวย่นที่เคยแข็งแกร่งประสานอยู่บนอก ซึ่งมีผ้าสีขาวผืนบางทาบทับอยู่เหนือหัวใจ มันทำให้พวกเขารู้ดีว่าท่านเจ้าพระยาจากไปอย่างเป็นสุข

“แม่นางไม้มารับคนรักของเธอไปแล้วล่ะ” แม่พลอยซึ่งกลายเป็นหม่อมพลอยเอ่ยขึ้นแผ่วเบา หม่อมท่านมองร่างไร้ชีวิตของผู้เป็นพี่ชายที่ใช้แรงกายเฮือกสุดท้ายลุกขึ้นมาจากเตียง และด้วยกำลังใจของเขาได้พาตัวเองมายังต้นแก้วเจ้าจอมที่เชื่อมโยงใจสองดวงไว้ด้วยกัน

คุณหญิงประยงค์ยกผ้าขึ้นซับน้ำตาเมื่อได้ฟังคำพูดของหม่อมพลอย เธอไม่ได้รู้สึกอิจฉาแม่นางไม้คนนั้นที่ครอบครองหัวใจท่านเจ้าคุณ “ฉันต้องขอบคุณหล่อนที่ยอมให้ฉันได้ครองคู่กับคุณพี่ คุณพี่เป็นสามีที่ดีตลอดมา และฉันคงต้องคืนเขาให้กับคนรักที่เฝ้ารอมานาน ป่านนี้พวกเขาคงได้ครองคู่กันในชาติภพเดียวกันตามปรารถนาเสียที ฉันก็ได้แต่ขอให้พวกเขามีความสุขในภพหน้า สมกับเวลาที่รอคอย”

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


แก้วเจ้าจอมยังคงนอนร้องไห้อยู่ใต้ต้นไม้แห่งความหลัง คำหวานที่ได้ฟังในช่วงสุดท้ายทำให้หัวใจอันเจ็บช้ำทุเลาลง และอิ่มเอิบไปกับความสุขที่รู้ว่าจะมีอยู่เพียงครู่เดียว หญิงสาวซึมซับคำพูดทุกคำของโชติไว้ในใจ เขาเป็นผู้ชายที่เธอจะไม่มีทางหาเจอได้ในยุคนี้ ความรักของเขายิ่งใหญ่เกินกว่าทุกคนที่เธอเคยพบ และมันทำให้รู้ว่าความรักของตัวเองยังไม่อาจเทียบเท่าได้ แต่เธอจะเรียนรู้มัน

สายลมพัดพาเอาละอองฝนตกลงมา แก้วเจ้าจอมยังคงนั่งอยู่ตรงนั้นให้สายน้ำชะล้างน้ำตาบนใบหน้าให้หมดไป หญิงสาวนั่งอยู่ตรงนั้นเนิ่นนาน จนกระทั่งนายศรันยูกับนางกลิ่นมณฑาเดินกึ่งวิ่งถือร่มฝ่าสายฝนมา

“แก้ว!” นางกลิ่นมณฑาผวาเข้าไปหาลูกสาวด้วยความห่วงใย เธอตามหาลูกสาวอยู่นาน จนลองสุ่มมาดูที่นี่ก็ได้พบเธอตามคาด

“แกจะประชดอะไรฉันอีกหรือไง” นายศรันยูแขวะกัดลูกสาวซึ่งกลายเป็นกิจวัตรที่ต้องทำทุกวันไปเสียแล้ว

แก้วเจ้าจอมเงยหน้าขึ้นมองผู้เป็นพ่อ เขาทำหน้าแปลกใจเมื่อได้เห็นท่าทางสงบนิ่ง ไม่อาละวาดโต้ตอบเหมือนปกติ แววตาที่ส่งมาดูเปลี่ยนไปจนรู้สึกได้ น่าแปลกที่เขาคิดว่าเด็กดื้อได้โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว

“แก้วจะไม่ทำงานที่บริษัทของพ่อ” หญิงสาวพูดเสียงเรียบเรื่อย ไม่มีท่าทางหาเรื่องเหมือนเคย

“แล้วแกจะทำอะไร” แววตามาดมั่นของลูกสาวทำให้นายศรันยูถามเสียงอ่อนลง

“แก้วอยากเรียนต่อ แก้วอยากทำความฝัน...แก้วจะเป็นนักการทูตไม่ให้ฝรั่งมันเอาเปรียบไทยเราได้ ” คำพูดชะงักกึกเมื่อเกือบหลุดคำว่า ‘ของโชติ’ ออกไป

“หา? ความฝันอะไรนะ”

“แก้วฝันว่าจะทำเมืองในอุดมคติให้เป็นจริง เหมือนกับที่มีคนเคยทำมาแล้ว....คนที่ทำประโยชน์ให้กับบ้านเมืองของเรา”

ใช่...เมื่อก่อนเธอสัญญากับฉันไว้อย่างนั้น คราวขอให้ฉันสัญญาบ้างเถอะนะ เธอคงจะเฝ้ามองฉันจากบนฟ้าใช่ไหม โชติ...

น้ำตาหยดหนึ่งไหลผ่านร่องแก้มโดยไม่มีใครรู้ มันเร้นตัวอยู่กับเม็ดฝนที่ตกลงมา แก้วเจ้าจอมเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่เริ่มพัดพาเอาเมฆฝนจากไป ดวงอาทิตย์ปลีกตัวออกมาจากหลืบเมฆ สะท้อนแสงกับละอองน้ำจนเกิดสายรุ้งขึ้นพาดผ่านขอบฟ้า

สายรุ้งเส้นนั้นจะเป็นดั่งคำสัญญาของเรา และแก้วเจ้าจอมต้นนี้จะคอยเป็นพยาน แม้ว่าวันเวลาของคนทั้งคู่ไม่อาจมาบรรจบพบเจอกันได้ แต่ความทรงจำอันงดงามนั้นยังอยู่ในใจหญิงสาวตลอดไป

 




Create Date : 06 เมษายน 2550
Last Update : 26 ตุลาคม 2556 16:58:19 น.
Counter : 245 Pageviews.

6 comments
  
โดย: ben IP: 125.24.24.28 วันที่: 16 เมษายน 2550 เวลา:15:16:21 น.
  

ซึ้งมากครับ
โดย: แอลอีดีสีเขียว วันที่: 7 พฤษภาคม 2550 เวลา:13:04:54 น.
  
พรุ่งนี้จะมาอ่านค่ะ
โดย: ณณินธร วันที่: 16 สิงหาคม 2550 เวลา:4:12:08 น.
  
เศร้าจัง....น่าจะมีเจอกันในชาตินี้นะคะ ยังไงคนก็รักกัน แต่อย่างว่าคนเราจะโชคดีซะทุกอย่างคงเป็นไปไม่ได้
โดย: น้ำมันงา วันที่: 21 สิงหาคม 2550 เวลา:13:38:53 น.
  
เรื่องนี้ตัวฌาคิดว่า บางทีความรักก็ไม่จำเป็นต้องคู่กันน่ะค่ะ แต่รักนี้ก็ยังสลักอยู่ในจิต แก้วคงไม่ลืมรักครั้งแรกของตัวเองอย่างแน่นอนค่ะ
โดย: ฌา วันที่: 23 สิงหาคม 2550 เวลา:18:49:13 น.
  
ซึ้งมากเลย เก็บน้ำตาแทบไม่อยู่ค่ะ
โดย: taklomklom วันที่: 25 มีนาคม 2551 เวลา:20:27:56 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ฌา
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



New Comments
All Blog