พิษเสน่หา 43
๔๓ การเคลื่อนไหวของกระแสลม

เสียงร่ำไห้ที่ดังแว่วมา ปลุกท่านจินดาให้ตื่นจากฝันอันยาวนาน ดวงตาสีฟ้าครามปรือขึ้น แล้วกวาดสายตามองรอบห้องที่เจ้าหลวงได้จับท่านมาคุมขังยาวนานร่วมเดือน แต่กระนั้นก็ไม่มีใครรู้ว่าท่านถูกคุมขัง ในเมื่อท่านยังคงไปทำงานตามปกติ โดยมีผู้ติดตามเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคนเท่านั้น

องคมนตรีเฒ่าถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ หลังจากทบทวนความฝันเมื่อครู่ ตะกอนแห่งความวิตกที่สั่งสมมานานนับเดือนทำให้ท่านฝันร้าย แรกเริ่มท่านเห็นปลายมาศนอนจมกองเลือด ตามร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลจากการถูกทำร้ายมากมาย แล้วภาพของลูกชายก็แปรเปลี่ยนไปเป็นภาพของลูกสาวคนที่สิบเก้า ที่กำลังถูกคนหยาบข่มเหง มันทำให้ท่านปวดร้าวใจยิ่งนัก

“ใครอยู่ตรงนั้นน่ะ” ท่านจินดาเอ่ยขึ้นแผ่วเบา เมื่อรู้สึกได้ถึงการคงอยู่ของใครบางคน และผู้ถูกทักก็ออกมาจากเงามืด ก่อนค้อมคำนับให้ประธานองคมนตรี

ผู้มาใหม่มีถึงสองคนด้วยกัน และเป็นคนที่ท่านจินดารู้จักดีทั้งคู่ คนหนึ่งเป็นคนของแสงอรุณที่ท่านได้ส่งให้ไปทำงานกับลูกชายนานหลายปี ส่วนอีกคนก็เป็นคนรับใช้ของภรรยาเอก หรือหากกล่าวอีกนัย เขาก็เป็นหนึ่งในลูกศิษย์คนโปรดของปลายบุญที่สืบทอดสรรพวิชาจากผู้เป็นอาจารย์ไปอย่างครบถ้วน ซึ่งท่านได้ส่งตัวเขาไปพร้อมกำชับหนักแน่นว่าให้ภักดีกับเจ้านายคนใหม่ยิ่งกว่าชีวิตของตนเอง และเขาก็ทำหน้าที่นั้นได้ดี

“ข้าคงไม่ต้องหวังว่าจะได้ฟังข่าวดีจากพวกเจ้า เพราะตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมา พวกเจ้ามักนำข่าวร้ายมาให้ข้าตลอด” แม้ท่านจินดาจะรู้ว่านี่ไม่ใช่ความผิดของผู้นำสาร แต่ท่านก็อดพูดประชดประชันออกไปไม่ได้

“ขอข่าวที่ร้ายน้อยกว่าก่อนนะ”

ผู้นำสารทั้งสองมองหน้ากันด้วยท่าทางอึดอัด หมู่นี้องคมนตรีเฒ่ามักหงุดหงิดบ่อย จนลงคมเขี้ยวกัดใครต่อใครไปทั่ว และคนที่โดนบ่อยก็คงไม่พ้นเจ้าหลวง ที่ทรงเป็นต้นเหตุของความหงุดหงิดทั้งปวงของท่าน

ผู้นำสารของแสงอรุณส่งสัญญาณขอเป็นฝ่ายพูดก่อน แล้วเขาก็หลับตาลง เพื่อทบทวนสารที่ท่องจำก่อนเอ่ยออกมา “เรียนท่านพ่อ...ข่าวครั้งสุดท้ายที่ข้าได้แจ้งแก่ท่านไป ว่าทาลางทูรได้ประกาศสงครามสองด้าน ทั้งทางเราและกูรานั้น ตอนนี้ข้าได้ทราบแล้วว่ามีผู้อยู่เบื้องหลังสงครามครั้งนี้ ตามที่ท่านได้สงสัยจริง และคนผู้นั้นก็คือพลเอกสิงหนาท”

ขนาดท่านจินดาขอข่าวที่ร้ายน้อยที่สุดไปแล้ว แต่ข่าวที่ท่านได้รับฟังดูจะเพิ่มความเครียดให้ท่านหนักขึ้นอีกสิบเท่า ท่านครางครืดคราดในลำคอ เมื่อได้ยินชื่อคนรู้จักเก่าแก่ที่ชอบทำตัวเป็นผีร้าย ไม่ยอมไปผุดไปเกิดเสียที

“เป็นคนที่ตายยากตายเย็นดีเหลือเกิน ครั้งแรกก็โศกนาฏกรรมสีน้ำเงิน ต่อมาก็ศึกกู้เมืองของวิวัสวัต และครั้งที่สามก็คือตอนที่ข้าไปฆ่าฑัญญะ ทั้งที่ข้าคิดว่าได้ฆ่าเขาไปเองกับมือ แต่เขายังมีชีวิตอยู่รอดได้อย่างไร”

“คำถามนั้นมีคำตอบครับ” ผู้นำสารของแสงอรุณส่งเสียงกระแอมในลำคอ พลางนึกสารพัดข้อมูลที่อยู่ในความทรงจำออกมา เพื่อตอบคำถามขององคมนตรีเฒ่า “จากการที่เราได้สืบหาต้นสายปลายเหตุว่าทำไมนายพลสิงหนาทยังมีชีวิตรอดมาได้จนถึงบัดนี้ ก็พบว่าเขามีตัวตายตัวแทนที่มีใบหน้าเหมือนตัวเองอยู่ทั้งสิ้นสามคน คนแรกได้ตายไปในโศกนาฏกรรมสีน้ำเงิน คนที่สองถูกประหารโดยเจ้าหลวงวิวัสวัต และคนที่สามก็ด้วยฝีมือของท่านเอง”

ท่านจินดาครางอือกับข้อมูลที่ได้รับ สองมือลูบไล้กันไปมา และสัมผัสวงแหวนเนื้อโลหะดำที่สวมติดนิ้วมาตั้งแต่สมัยที่ท่านยังเป็นเจ้าแห่งน่านฟ้ามืด แล้วท่านก็ระบายลมหายใจออกมาแผ่วเบา “ความจริงข้าควรจะรู้ตัวตั้งนานแล้วเกี่ยวกับเรื่องของสิงหนาท แต่ข้าก็ปล่อยปละละเลยเรื่องของเขามาตลอด จนในที่สุดเขาก็วกกลับมากัดเราอีกครั้งจนได้”

“มีอะไรจะฝากบอกท่านแสงอรุณไหมครับ”

“มี...” องคมนตรีเฒ่าตอบกลับไปแผ่วเบา ก่อนหลับตาลงอย่างเชื่องช้า

ตอนนี้ในมโนสำนึกของท่านจินดาได้เห็นเหตุการณ์ทุกอย่างถูกเชื่อมเข้าหากัน ท่านรู้แล้วว่าเจ้าหลวงแห่งทาลางทูรมิได้อยากทำสงครามครั้งนี้เลย ไม่เคยแม้แต่จะเห็นพ้องกับความคิดของพระบิดาที่ต้องการยึดทุกรัฐในปัญจปุระให้มาเป็นของตนเอง ซึ่งท่านก็ดูคนไม่ผิด และคิดถูกที่ได้ฝากพระองค์เจ้าโสมสวรรค์ไว้กับชายผู้นั้น

แต่มันก็มีสิ่งผิดพลาดเกิดขึ้นจนได้ นั่นคือการที่สิงหนาทจับพระองค์เจ้าโสมสวรรค์ไว้เป็นตัวประกัน เพื่อให้เจ้าหลวงแห่งทาลางทูรได้กระทำตามเจตนารมณ์ของตัวเอง

ขณะนี้สงครามได้เริ่มขึ้นแล้ว และหยุดยั้งอีกไม่ได้ นอกเสียจากจะมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งปราชัยไป ปามะห์กับกูราไม่อาจแพ้สงครามครั้งนี้ได้ เพราะมันหมายความว่าปัญจปุระจะตกอยู่ในมือของคนโฉด เช่นเดียวกับทาลางทูรก็ไม่อาจแพ้ได้เช่นกัน ท่านจินดาไม่อยากคาดเดาตอนจบ เพราะมันดูโหดร้ายและทำร้ายจิตใจของท่านเกินไป ด้วยมันไม่มีหนทางสำหรับผู้แพ้เลย

“บอกแสงอรุณและคนของเขาทุกคนว่าให้ระวังตัวให้จงหนัก ไปรวมตัวกับหน่วยพิฆาตที่บูกิต แล้วรอปฏิบัติหน้าที่ครั้งสุดท้าย หน้าที่ปิดฉากสงครามอยู่ในมือของเรา จงมีชีวิตรอดจากสงครามครั้งนี้ให้ได้ทุกคน”

ผู้นำสารบันทึกคำพูดของท่านจินดาไว้ในความทรงจำ พลางรู้สึกตื้นตันใจต่อความห่วงใยของท่านที่มีต่อผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาทุกคน เขาค้อมคำนับองคมนตรีเฒ่าด้วยความเคารพสูงสุด ก่อนเร้นตัวหายไปกับความมืดทันทีที่หน้าที่ของตัวเองสิ้นสุดลง แล้วในห้องก็เหลือแต่ท่านกับคนรับใช้ของแสงสุรีย์ที่ยังยืนเงียบ โดยไม่พูดอะไรออกมา

“เจ้าคงรู้เรื่องของสิงหนาทอยู่แล้วสินะ” ท่านจินดาเอ่ยขึ้นมาท่ามกลางความเงียบที่ชวนให้รู้สึกวังเวงในจิตใจ ก่อนระบายลมหายใจออกมาอย่างเชื่องช้า “คนที่แสงสุรีย์ติดต่อด้วยไม่ใช่เจ้าหลวงแห่งทาลางทูร แต่เป็นสิงหนาทที่อยู่เบื้องหลังอีกที”

ไม่มีคำตอบใดเอ่ยออกมาจากคนรับใช้ของแสงสุรีย์ ท่านจินดาจึงคลี่ยิ้มน้อยกับความปากหนักของอีกฝ่าย คนของท่านล้วนแต่ปฏิบัติหน้าที่ของตัวเองได้อย่างดีเยี่ยมทุกคน จนบางครั้งท่านก็คิดว่ามันดีเกินไป เลยทำให้เจ้าหลวงต้องมาบ่นถึงความเคร่งครัดในหน้าที่ของเหล่าคนที่ท่านฝึกปรือบ่อยครั้ง

“วันนี้มาหาด้วยเรื่องของแสงสุรีย์หรือเรื่องอื่นล่ะ”

“ทั้งสองเรื่องครับ”

ท่านจินดาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยกับคำตอบที่ได้รับ ถึงแม้ตัวท่านจะถูกเจ้าหลวงคุมขัง แต่ข่าวสารของท่านก็ยังคงฉับไวอยู่เสมอ ท่านพอรู้มาบ้างว่าภรรยาเอกส่งคนรับใช้ให้ทำการเคลื่อนไหวบางอย่าง ซึ่งตรงกับช่วงที่ทาลางทูรประกาศสงครามพอดี

“จะพูดเรื่องไหนก่อนล่ะ”

“เรื่องของท่านแสงสุรีย์ก่อนครับ” ชายหนุ่มตอบกลับไปอย่างไม่ลังเล แล้วเอ่ยถึงสารที่เจ้านายได้ฝากเขาให้นำไปยังสามีของตัวเอง “นายหญิงบอกว่าจะไปทาลางทูร จึงขอให้ท่านจินดาไปพบ ก่อนที่ท่านจะออกเดินทางครับ”

องคมนตรีเฒ่าพยักหน้ารับรู้ พลางนึกถึงกิจที่ภรรยาเอกจะไปทำในทาลางทูร “เจ้าหลวงทรงรู้เรื่องนี้หรือไม่”

“ไม่ครับ”

ใช่...ถ้าเจ้าหลวงทรงรู้ คงจับแสงสุรีย์ไปขังคุกหลวงแล้วเป็นแน่ ซึ่งท่านไม่ต้องการให้มันเป็นเช่นนั้น แต่ครั้งนี้คงเป็นครั้งสุดท้ายที่ท่านจะปิดบังกิจของภรรยาเอกของท่าน

“บอกแสงสุรีย์ว่าข้าจะไปทานข้าวเย็นที่บ้าน แล้วเรื่องต่อไปล่ะ”

คำถามของท่านจินดา ทำให้ผู้นำสารทำหน้าเครียดขรึม ชายหนุ่มไม่มั่นใจนักว่าจะเอ่ยออกไปดีหรือไม่ เพราะท่านจินดาขึ้นชื่อเรื่องความหุนหันพลันแล่นที่มักเกิดขึ้นยามมีเรื่องเกี่ยวกับคนที่ท่านรัก และสิ่งที่เขาจะบอกนี้ก็เกี่ยวพันกับคนที่ท่านรักอยู่หลายคน

“ตอนที่ข้ากลับจากทาลางทูร ข้าได้พบกับผู้นำสารของหัวหน้าหน่วยพิฆาตที่จะมาหาท่านโดยบังเอิญ ข้าจึงได้อาสารับข่าวนั้นมาแจ้งแก่ท่านเอง” ชายหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบเป็นจังหวะ พลางสังเกตท่าทางของท่านจินดาที่ยังหลับตานิ่งอยู่บนเก้าอี้โยกที่ส่งเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด

“เรื่องแรกคือเรื่องที่หน่วยพิฆาตได้ยึดบูกิตกลับคืนมาได้อีกครั้ง แต่ก็ติดปัญหาตรงที่ตอนนี้บูกิตถูกกองทหารรับจ้างปิดล้อมเมือง และยังตัดทางน้ำอันเป็นแหล่งน้ำดื่มในบูกิต ซึ่งคาดว่าพวกเขาสามารถตั้งรับอยู่ได้ประมาณสองเดือน”

“สองเดือนที่ว่าคือหากไม่มีเหตุสุดวิสัยเกิดขึ้นใช่ไหม”

คำกล่าวของท่านจินดาตรงกับสิ่งที่ผู้นำสารคิดพอดี และเขาคิดว่าในเวลาอันใกล้นี้นายพลงูคนนั้นคงกระทำการบางอย่าง เพื่อก่อเหตุให้น้ำในบูกิตแห้งเหือด ซ้ำยังจะมอบความวินาศให้แก่ผู้ขัดขืนเหมือนกับความย่อยยับที่เกิดขึ้นกับพวกสีน้ำเงิน

“ความรู้สึกของผู้เฝ้ารอมักจะเนิ่นนานราวนิรันดร์เสมอ ข้าจะไม่ให้พวกเขารอถึงสองเดือนหรอก อย่าห่วงน้องชายของเจ้าเลย เขาเป็นคนเก่ง ข้าจึงได้ไว้ใจให้เขาไปอารักขาเหล่าพี่น้องของข้าที่บูกิต”

แต่กระนั้นคนฟังก็อยากค้านคำพูดของท่านจินดาใจแทบขาด แม้หัวหน้าหน่วยพิฆาตจะเก่งกาจเพียงใด ก็มักได้รับบาดเจ็บจากความใจอ่อนของตัวเองเสมอ ล่าสุดนี้ก็ต้องเจ็บตัวเพราะการออมฝีมือให้ราเชน เขาจึงต้องกำชับคนของน้องชายให้ปกป้องดูแลหัวหน้าของตัวเองให้ดี ซึ่งคนพวกนั้นก็เคร่งครัดในหน้าที่ของตัวเองอยู่แล้ว พวกเขาพร้อมที่จะฆ่าทุกคนเพื่อปกป้องหัวหน้าของตน

“แล้วมีเรื่องอะไรอีก”

ผู้นำสารถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่กับข่าวที่ตัวเองนำมา และเขาก็นึกอยากให้อาจารย์ของตัวเองมาอยู่ตรงนี้เสียเหลือเกิน เผื่อบางทีอีกฝ่ายจะหยุดยั้งความหุนหันของท่านจินดาได้ “ท่านสิริกัญญาถูกสิงหนาทพาตัวไปแล้วครับ ส่วนน้องชายของข้าจะกลับมาปามะห์ เพื่อแจ้งรายละเอียดต่าง ๆ หลังจากช่วยเจ้าปาเยนทร์ฝังศพให้เหล่าสมาชิกกองเกวียนหญิงเสร็จสิ้น”

“กองเกวียนหญิง...สารัสสะ” ท่านจินดาหลุดชื่อหัวหน้ากองเกวียนหญิงออกมา ท่านเคยพบเธอคนนั้นเมื่อครั้งไปบูกิต เธอเป็นแม่ค้าที่คล่องแคล่วปราดเปรียว ซ้ำยังมีมนุษยสัมพันธ์ดีเยี่ยม ท่านกับเธอยังเคยคุยกันเรื่องที่จะร่วมลงทุนเปิดเส้นทางการค้าใหม่อยู่เลย

“นางเสียชีวิตแล้วครับ”

“ฝีมือของสิงหนาทอีกแล้วสินะ”

ท่าทางของท่านจินดาดูสงบจนน่าแปลกใจ และผู้นำสารก็ไม่อาจทราบได้ว่าท่านคิดอะไรอยู่ ซึ่งเขาก็หวั่นกับความเงียบนี้ยิ่งกว่าการที่องคมนตรีเฒ่าวิ่งแจ้นไปติดกับของนายพลงูหลายเท่า

“แล้วมีเรื่องอะไรอีก”

“เรื่องที่แจ้งมีแค่นี้ครับ” ชายหนุ่มตอบเสียงเรียบ พลางสังเกตท่าทีต่อไปของประธานองคมนตรี

“ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็กลับไปทำธุระต่อเถอะ”

ผู้นำสารมองท่าทางของคนที่มีอารมณ์สงบยิ่งกว่าผืนน้ำอย่างไม่ไว้วางใจ เพราะเขาไม่รู้เลยว่าลึกลงไปใต้ผิวน้ำนั้น จะซ่อนกระแสอันบ้าคลั่งไว้มากแค่ไหน แต่เขาก็จำใจต้องลากลับไป ตามคำไล่ทางอ้อมของท่านจินดา และเมื่อลับร่างของผู้นำสารไปแล้ว องคมนตรีเฒ่าก็ระบายลมหายใจออกมาอย่างเชื่องช้า พร้อมกับนวดขมับที่ปวดจี๊ดไปทั่วศีรษะ

“สิงหนาทยังคงยึดติดอยู่กับข้าเหมือนเดิม”

“เพราะเขาเชื่อว่านายท่านคือเทพเจ้าที่อวตารลงมาจริง ๆ” เสียงหนึ่งดังขึ้นท่ามกลางความมืด ซึ่งผู้นำสารทั้งสองไม่รู้เลยว่ายังมีอีกบุคคลหนึ่งที่ซุ่มซ่อนอยู่ในเงา และคนผู้นั้นก็คือคนสนิทของท่านจินดา ที่ไม่ว่าเจ้านายของตัวเองอยู่ที่ไหน เขามักจะอยู่ที่นั่นด้วยเสมอ

ท่านจินดาคลี่ยิ้มอย่างอ่อนล้า “ตรงส่วนไหนที่บอกว่าข้าคือเทพอวตาร ในเมื่อข้าก็เหมือนกับมนุษย์คนอื่น มีเลือดเนื้อ มีความรู้สึก...”

ปลายบุญกระตุกยิ้มกับคำพึมพำของคนที่ไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นเทพอวตาร ในขณะที่คนอื่นต่างคิดว่าคนผู้นี้เป็นองค์เทพผู้เสด็จลงมาจากพิภพสวรรค์ มันอาจเป็นเพราะท่านมีบรรยากาศรอบตัวบางอย่างที่ไม่เหมือนมนุษย์ก็ได้ เลยทำผู้คนพาลคิดไปว่าท่านคือเทพเจ้า

“เอาเถอะ พักเรื่องนั้นไว้ก่อน” ไม่รู้ว่าท่านจินดาถอนหายใจออกมากี่เฮือกแล้ว แต่ถ้าท่านไม่ระบายความหนักอึ้งออกมาบ้าง เห็นทีท่านจะกลับไปบ้าคลั่งเช่นอดีตอีกครั้ง “เจ้าหลวงคงทราบเรื่องสิงหนาทแล้ว แต่ที่น่าหนักใจก็คงเป็นกองทหารรับจ้างและวิธีการของเขา ตอนนี้กูราเป็นอย่างไรบ้าง”

“หมู่บ้านหลายแห่งตามชายแดนของกูราถูกเผาวอดวาย ยังไม่มีผู้เสียชีวิต เนื่องจากเจ้าหลวงวิวัสวัตทรงไปช่วยประชาชนได้ทัน ตอนนี้พระองค์ทรงทำการเคลื่อนย้ายพวกชาวบ้านไปหลบภัยที่เมืองหลวง พร้อมทั้งตั้งรับกลุ่มกองทหารรับจ้างที่ดักซุ่มโจมตีแบบกลุ่มโจร”

ท่านจินดาครางอือในลำคอ กับภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในมโนสำนึก แล้วท่านก็ขมวดคิ้วยุ่ง “พาคนเข้าเมืองหลวงก็ถูกเผาทั้งคนทั้งเมือง สิงหนาทชอบใช้วิธีนี้เสมอ เผาทุกอย่างให้วอดเพื่อไม่ให้ฟื้นฟูตัวเองได้อีก ข้าไม่อยากให้กูราที่วิวัสวัตมอบชีวิตใหม่ให้อีกครั้งต้องช้ำอีก ปลายบุญ...”

เจ้าของชื่อค้อมศีรษะลงกับคำเรียกขานที่ทอดเสียงช้าลง ซึ่งเขารู้สัญญาณนั้นดีว่าเจ้านายต้องการอะไร “ติณพร้อมจะนำกองกำลังส่วนหนึ่ง เข้าไปสนับสนุนเจ้าหลวงวิวัสวัตครับ”

แววตาของท่านจินดาแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อยยามคนสนิทเอ่ยถึงลูกศิษย์ที่ไม่เอาถ่านที่สุดในบรรดาศิษย์คนโปรด ท่านรู้สึกถูกชะตาในตัวชายหนุ่มผู้นี้มาก เพราะเขามีนิสัยรักสงบแบบเดียวกับท่าน เกลียดการใช้กำลัง แต่ก็ต้องพบกับเรื่องแบบนี้ทุกที มันทำให้ท่านนึกถึงตัวเอง

“ดีหรือที่จะใช้เขา”

“เขาถูกฝึกวิชาต่อสู้เหมือนกับพี่ชายทั้งสองของเขา แม้จะไม่เก่งกาจเท่า แต่ก็สามารถใช้งานได้ โดยเฉพาะด้านการสนับสนุนกำลังคน” ปลายบุญตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เขารู้ว่าเจ้านายถูกใจในตัวของติณ แล้วยังช่วยเหลือชายหนึ่งคนนี้ด้วยการให้ไปอยู่กับปลายมาศ คอยช่วยงานเรื่องคนรับใช้และการรักษาความปลอดภัยรอบคฤหาสน์พรหมเทวา ซึ่งเขาก็เข้าใจเจตนาของเจ้านายดีว่า ไม่ต้องการให้คนอ่อนไหวต้องระทมทุกข์เช่นเดียวกับที่ตนเคยประสบ

“แล้วทางกลุ่มอัษฎาวุธล่ะ”

ปลายบุญกระตุกยิ้มอย่างรู้เท่าทันความคิดของเจ้านาย เขารู้ว่าท่านจินดาไม่ต้องการใช้คนอ่อนไหว “คนของเราย่อมเชื่อฟังคำสั่งของหัวหน้าตนเองมากกว่าผู้อื่น หากให้คนหนึ่งคนใดในกลุ่มอัษฎาวุธมาสั่งการคนของเราแทนติณ ข้าเชื่อว่าประสิทธิภาพที่คนของเราจะแสดงออกมาคงลดลงไปมาก มันจะไม่เหมือนกับที่หัวหน้าผู้พิทักษ์พรหมเทวาสั่งการเองแน่”

ท่านจินดาระบายยิ้มออกมาบางเบากับการพูดดักทางของคนสนิท ก่อนพยักหน้ารับอย่างยอมจำนน “ให้ติณพาผู้พิทักษ์พรหมเทวาและอารักษ์ประจำประตูทิศประจิมกับทักษิณไปด้วย ตามล่าและจัดการผู้บุกรุกให้หมด แล้วก็ให้หัวหน้าหน่วยฟ้าครามเตรียมพร้อมสนับสนุนกองทัพปามะห์”

“จะให้หน่วยพิฆาตร่วมในสงครามนี้ด้วยหรือครับ” ปลายบุญเอ่ยถามด้วยความสงสัย ด้วยไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ท่านจินดาก็ไม่เคยให้หน่วยพิฆาตปรากฎตัวออกมา

อดีตหัวหน้าหน่วยพิฆาตส่ายหน้าไปมากับคำคาดเดาของคนสนิท ก่อนลืมตาขึ้นมองท้องฟ้ายามเย็นที่มีสีแดงดั่งเลือดพาดผ่านอยู่ที่ปลายขอบฟ้า “แค่คอยสนับสนุน และป้องกันไม่ให้มีการหลั่งเลือด หากมีใครต้องเสียชีวิตเพิ่มอีก ความแค้นของผู้คนจะถูกสั่งสมมากขึ้นจนแม้แต่ข้าก็ไม่อาจบรรเทาและเยียวยาได้”

“แต่สงครามครั้งนี้ต้องมีผู้รับผิดชอบ”

ดวงตาสีฟ้าครามทอแวววาววาบขึ้นมา ท่านเคยให้โอกาสนายพลผู้นั้นไปแล้วหลายครั้ง เพื่อหวังให้อีกฝ่ายกลับตัวกลับใจและสำนึกผิด แต่ฝ่ายนั้นก็ไม่เคยรับความปรารถนาดีจากท่าน ซึ่งท่านก็ไม่คิดจะมอบความปรารถนาดีอันนั้นให้คนที่ไม่จักรู้สำนึกอีก

“ข้าจะให้สิงหนาทรับมันไป”

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


สิงหนาทไม่รู้สึกแปลกใจเลยสักนิดที่ได้เห็นคนรู้จักเก่าแก่มาเยือนถึงที่พัก ดวงตาคมกริบกวาดมองไปทั่วเรือนร่างเย้ายวนที่ยังคงความสวยไม่สร่าง ก่อนแสยะยิ้มต้อนรับผู้มาเยือนที่ยังคงตีหน้าสงบนิ่งได้อย่างเสมอต้นเสมอปลาย ไม่ว่าจะเป็นอดีตหรือปัจจุบัน

“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ แสงสุรีย์”

“ใช่...ไม่ได้เจอกันนานเลยทีเดียว” แสงสุรีย์ยกพัดขึ้นปิดริมฝีปากที่กำลังเหยียดยิ้มด้วยความรังเกียจ ที่ตนต้องมาเสวนากับนายพลผู้นี้อีกครั้ง “และไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน เจ้าก็ยังใช้วิธีสกปรกอยู่เหมือนเดิมเลยนะ จับองค์โสมกับลูกเป็นตัวประกัน เพื่อบังคับเจ้าหลวงให้ทำตามคำสั่งของเจ้า ต่อมาก็จับลูกเลี้ยงของข้าอีก อยากเจอข้ามากเลยงั้นหรือ”

นายพลกบฎกลั้วหัวเราะในลำคอ ก่อนลูบคางไปมา แล้วจดจ้องคู่สนทนาด้วยดวงตาวาววับ “เจ้าไม่มีความสำคัญมากพอที่จะทำให้ข้าอยากพบหรอก เจ้าก็รู้ว่าข้าอยากพบใครมากที่สุด”

แสงสุรีย์เลิกคิ้วขึ้น แล้วแย้มยิ้มอย่างเสแสร้ง “ทำไมจึงคิดว่าข้าจะรู้ว่าคนที่เจ้าต้องการพบเป็นใครล่ะ”

“อย่ามาทำมารยาหน่อยเลยน่า ข้ารู้นะว่าเจ้าเป็นชายาของเขา ผู้ปกครองน่านฟ้ามืดแห่งกูรา!” สิงหนาทขึ้นเสียงขึง และคิดอยากลงไม้ลงมือกับผู้หญิงหน้าตาย แต่ก็ติดตรงผู้ติดตามของสตรีสีแดงที่ยืนอยู่ด้านหลัง อีกฝ่ายส่งสัญญาณเตือนทางสายตา ไม่ให้เขาเข้าใกล้เจ้านายของตัวเองไปมากกว่านี้ และนายพลกบฎก็รู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายเป็นผู้มีฝีมือไม่น้อย

“เจ้าคงเข้าใจอะไรผิดไปมาก ข้าเป็นภรรยาเอกของประธานองคมนตรีแห่งปามะห์ ไม่ใช่ชายาของเทพเจ้าไร้จิตใจองค์นั้น” แสงสุรีย์ตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบเย็น แล้วหุบพัดดังฉับตามแรงอารมณ์ที่โหมปรืออยู่ภายใน

เพราะเทพเจ้าองค์นั้นได้พรากเอาความรักของเธอไป ฉะนั้นเธอจึงได้ทำทุกอย่างเพื่อแก้แค้นเทพเจ้า!

สิงหนาทกลั้วหัวเราะอย่างไม่เชื่อถือคำพูด เขาใช้เวลาอยู่นานหลายปีกว่าจะสืบรู้ได้ว่าเทพราชาแห่งน่านฟ้ามืดหนีหายไปไหน ที่แท้ก็อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากเขาเลย “ไม่ว่าตอนนี้เขาจะเป็นใคร เขาก็ไม่อาจหลบหนีไปจากข้าได้ เรามาคอยดูดีกว่าว่าเขาจะมาหาข้าเมื่อไร หลังจากที่เขารู้ว่าข้าจับเมียรักของเขาไว้เป็นตัวประกัน”

ดวงตาสีแดงตวัดไปทางทหารเกือบสิบนายที่เข้ามาทันที หลังจากได้ยินเสียงดีดนิ้วของนายพลกบฎ แล้วเธอก็ยกพัดโบกไม่ให้ผู้ติดตามเคลื่อนไหวอะไร เมื่อสังเกตเห็นว่านอกจากนายทหารที่เข้ามาใหม่ ยังมีพลธนูที่ซ่อนอยู่บนระเบียงชั้นสองหันอาวุธไปทางคนของเธอ

“ข้าไม่รู้หรอกนะว่าเจ้ายอมร่วมมือกับข้าทำไม เจ้าไม่ได้พิศวาสในตัวข้า ออกจะรังเกียจเสียด้วยซ้ำ เจ้าฑัญญะยิ่งไม่ต้องพูดถึง เจ้าเกลียดมันจะตาย สายสัมพันธ์ที่เจ้ามีอยู่ในทาลางทูรก็มีแต่เจ้าหลานไม่ได้เรื่อง ที่ไม่ค่อยกระตือรือร้นในการรวบอำนาจปัญจปุระเสียเท่าไร ทั้งที่เจ้าหลวงในพระบรมโกศหลายพระองค์ปูทางไว้ให้ตั้งมากมาย” สิงหนาทพูดพลางครางอือในลำคอกับข้อวินิจฉัยของตัวเอง ก่อนหรี่ตามองหญิงสาวสีแดงที่ยังคงตีหน้านิ่ง ซึ่งไม่รู้เลยว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่

“เจ้ากำลังวางแผนอะไรอยู่งั้นหรือ แสงสุรีย์”

ริมฝีปากสีแดงอิ่มระบายยิ้มออกมาบางเบา และรอยยิ้มนั้นไม่ได้แผ่ไปถึงดวงตาเลยแม้แต่น้อย “วิธีการของเจ้าก็แค่อยู่ในแผนการของข้า”

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


แสงสุรีย์มองดูภาพลูกเลี้ยงที่นั่งขดตัวอยู่ตรงมุมห้อง ด้วยแววตาที่แปลกเปลี่ยนไปเล็กน้อย สภาพของคนตรงหน้านั้นเหมือนสัตว์ที่บาดเจ็บและระแวงภัยอยู่ตลอดเวลา เปลือกตาบางกะพริบปรือไปมา คล้ายพยายามฝืนไม่ให้ตัวเองต้องผล็อยหลับไป ซึ่งในดวงตาสีน้ำเงินคู่นั้นฉายแววอ่อนล้า และดวงหน้าขาวก็แดงจัดด้วยพิษไข้ ท่อนแขนทั้งสองข้างเต็มไปด้วยผ้าพันแผล ที่มีทั้งรอยแห้งกรังจากคราบเลือด บางแห่งก็มีรอยเลือดซึมเหมือนเป็นแผลใหม่ ส่วนสองมือที่มีผ้าพันไม่แตกต่างจากท่อนแขนก็กอบกุมมีดสั้นไว้แน่น

“ทำไมนางถึงมีสภาพแบบนั้นได้”

สิงหนาทมองดูคนที่ตัวเองลักพาตัวมาด้วยท่าทางขัดอกขัดใจ การที่เขาพาแสงสุรีย์มายังห้องที่ใช้ขังสิริกัญญา ก็เพื่อให้อีกฝ่ายคลายความระมัดระวังลง และเขาจะได้จัดการอะไรต่อมิอะไรได้ง่ายขึ้น ด้วยนับตั้งแต่หญิงสาวได้ครองมีดเล่มนั้น เธอก็ไม่ยอมปล่อยให้มันห่างกายเลยสักนาทีเดียว

“ก็พอใครเข้าไปใกล้ นางก็ปาดข้อมือตัวเองบ้างหรือไม่ก็กรีดท่อนแขนขู่ จนมีสภาพแบบนั้นนั่นแหละ”

“ใครที่ว่าคือเจ้าใช่ไหม” แสงสุรีย์กระตุกยิ้มอย่างรู้เท่าทัน และนายพลกบฎก็ขึงตาใส่

“ทำไมไม่วางยานางล่ะ”

คำถามของแสงสุรีย์เรียกเสียงสบถจากสิงหนาทด้วยท่าทางคับแค้น “ทำแล้วก็เป็นแบบนั้นไง กรีดแขนตัวเองเพื่อไม่ให้หลับเพราะฤทธิ์ยา นางจิตแข็งมากทีเดียว” และการกระทำเช่นนั้นของสิริกัญญาก็ทำให้นายพลกบฎรู้สึกขยาดขึ้นมา ด้วยเวลาที่เขาเข้าใกล้ทีไร ก็มักได้แผลกลับมาทุกที จนไม่กล้าเข้าไปใกล้อีก

ร่างอวบอัดเดินตรงไปยังร่างลูกเลี้ยงที่ไหวตัวอย่างระแวดระวัง เมื่อรู้สึกถึงการมาของใครบางคน แล้วดวงตาสีน้ำเงินก็เบิกกว้างขึ้น หลังจากได้เห็นว่าคนที่ทรุดนั่งลงตรงหน้า คือแม่เลี้ยงที่ยังคงทำหน้าไร้ความรู้สึกตลอดเวลา เธอยื่นมือมาแตะสองมือที่เต็มไปด้วยผ้าพันแผล จนเจ้าของมีดสะดุ้งเฮือกขึ้นมา และหวาดกลัวว่าอีกฝ่ายจะแย่งอาวุธป้องกันตัวไป

“ข้ามารับเจ้า”

“มารับข้า...รับไปที่ไหน” สิริกัญญาเอ่ยถามเสียงแหบ ท่าทีระแวดระวังคลายลงไปมาก หลังจากที่ความรู้สึกสัมผัสได้ว่าแม่เลี้ยงไม่ได้มีท่าทางคุกคามเหมือนเคย

“ไปอยู่ในที่ที่เจ้าจะได้หลับสบาย ไม่ต้องคอยระวังภัยแบบนี้” แสงสุรีย์ดึงมีดออกจากสองมือของลูกเลี้ยงอย่างเชื่องช้า ก่อนรั้งร่างบอบบางเข้ามาอยู่ในวงแขน แล้วลูบแผ่นหลังที่สั่นสะท้านไปมาแผ่วเบา

สัมผัสเฉกเช่นมารดาที่กระทำต่อลูกน้อย ช่วยปลดปล่อยความตึงเครียดที่กดทับสิริกัญญาไว้นานหลายวันออกไป หญิงสาวซุกหน้าลงกับหน้าอกนุ่ม แล้วสวมกอดรอบเอวแม่เลี้ยงเพื่อหาที่ยึดเหนี่ยวแน่น และส่งเสียงสะอื้นที่เก็บกลั้นไว้ออกมา ตอนนี้เธอลืมไปแล้วว่าอีกฝ่ายเป็นใคร ที่เธอรู้ในตอนนี้มีเพียงอย่างเดียว คือเจ้าของอ้อมแขนนี้ให้ความรู้สึกเหมือนกับมารดาของเธอ

“ท่านแม่...ท่านแม่...”

แสงสุรีย์ลูบแผ่นหลังบอบบางที่สั่นสะท้านด้วยแรงสะอื้นไห้ไปมา และรอจนกระทั่งลูกเลี้ยงหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย จึงปรายตามองไปทางนายพลกบฎที่เข้ามาหยุดยืนอยู่เบื้องหลัง และทำท่าจะเอาคนในอ้อมแขนไปจากเธอ

“ส่งนางมาให้ข้า” สิงหนาทเอ่ยเสียงเข้ม เมื่อเห็นว่าแสงสุรีย์ไม่เปิดทางให้เขาพาสิริกัญญาไป

“เจ้าพร้อมที่จะรับความวินาศจากเจ้าแห่งน่านฟ้ามืดแล้วสินะ” แสงสุรีย์กระตุกยิ้มขึ้นอย่างเยาะหยัน เมื่อนายพลกบฎจะต้องพลาดจากลูกสาวของพระองค์เจ้าสร้อยแสงจันทร์ไปอีกครั้ง เฉกเดียวกับที่เคยพลาดไปจากผู้เป็นมารดา

“เจ้าจะพลาดจากสิ่งที่เจ้าปรารถนามากที่สุด...ความยิ่งใหญ่เกรียงไกรที่เจ้าวาดหวังมานาน จะมอดดับลงทันทีที่นางตาย”

นายพลกบฎกัดฟันกรอด และกำมือแน่น ถึงเขาจะอยากครอบครองสิริกัญญามากแค่ไหน แต่มันก็ไม่เท่ากับความที่เขาอยากครอบครองเจ้าแห่งน่านฟ้ามืด เขารู้ดีว่าเทพเจ้าองค์นั้นมักบ้าคลั่งหากเกิดอะไรขึ้นกับคนที่รัก ซึ่งเขาเคยรู้ซึ้งถึงอำนาจของศรแห่งเทพสงครามแล้วว่ามันรุนแรงเพียงใด




Create Date : 24 มีนาคม 2551
Last Update : 24 มีนาคม 2551 21:43:13 น.
Counter : 328 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ฌา
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



New Comments
All Blog