พิษเสน่หา 44
๔๔ ทิศทางของพายุ

ที่ประทับของพระองค์เจ้าโสมสวรรค์ดูวุ่นวายเล็กน้อย เมื่อต้องต้อนรับผู้ที่มาเยือนอย่างกะทันหัน พระองค์ทอดพระเนตรมองแสงสุรีย์ที่ได้พาใครบางคนมาด้วย ซึ่งพระองค์ทรงตกพระทัยไม่น้อยที่ได้ทอดพระเนตรเห็นว่าคนที่สตรีสีแดงพามานั้นเป็นใคร

“พี่สร้อย...”

“สิริกัญญาเพคะ” แสงสุรีย์แก้ชื่อที่ถูกต้องให้ พลางมองพระองค์เจ้าโสมสวรรค์ที่ทรงชะงักกึก หลังจากที่ทรงนึกขึ้นได้ว่าพระเชษฐภคินีได้สิ้นพระชนม์ไปนานแล้ว และหญิงสาวที่นอนสลบไสลไม่ได้สติอยู่หน้าพระพักตร์ ก็คือพระราชนัดดาของพระองค์เอง

“หม่อมฉันพาสิริกัญญาให้มาอยู่ในความดูแลของพระองค์”

พระองค์เจ้าโสมสวรรค์เงยพระพักตร์ขึ้น พลางทอดพระเนตรแสงสุรีย์ด้วยท่าทางสงสัยว่าอีกฝ่ายพาพระราชนัดดาของพระองค์มาจากสิงหนาทได้อย่างไร และดูเหมือนเจ้าตัวจะรู้ถึงคำถามที่ส่งผ่านแววเนตร จึงเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบดุจเดิม

“หม่อมฉันขู่สิงหนาทไปว่านางจะตาย เขาเลยปล่อยนางมา เพราะเขายังไม่หาญกล้า คิดรับพระพิโรธของเทพเจ้า”

“ข้าเข้าใจว่าเจ้าต้องการทำลายพวกเราให้หมดสิ้นเสียอีก”

“หม่อมฉันเหนื่อยที่จะสุมไฟแค้นให้ลุกโชนตลอดเวลาแล้ว มันไม่มีอะไรดีนอกจากจะแผดเผาตัวหม่อมฉันให้มอดไหม้ตามไปด้วย” ...แต่แสงสุรีย์ก็ไม่ได้บอกต่อไปอีกว่ากว่าไฟแค้นที่สุมอยู่ในทรวงจะมอดดับ ทุกอย่างก็สายเกินไป หนทางของเธอไม่เหมือนกับหนทางของท่านจินดาที่ยังมีที่ให้ย้อนกลับเพื่อเริ่มต้นใหม่ได้อีกครั้ง

พระองค์เจ้าโสมสวรรค์พยักพักตร์รับอย่างเข้าพระทัย และไม่ตรัสถามอะไรอีก ก่อนโบกหัตถ์ให้สาวใช้คนหนึ่ง พาสิริกัญญาที่มีสภาพย่ำแย่เข้าไปนอนพักด้านใน แต่สาวใช้คนนั้นก็ต้องหยุดชะงัก เมื่อแสงสุรีย์ยกพัดขึ้นขวาง แล้วใช้มันเชยใบหน้าที่ซุกซ่อนความอัปลักษณ์ไว้ใต้เงาผมที่ปกปิดหน้าไว้ข้างหนึ่งขึ้น

ดวงตาสีแดงหรี่ลงเล็กน้อย เมื่อได้สบกับดวงตาสีฟ้าครามของสาวใช้ เธอหันไปมองดวงพักตร์ของพระองค์เจ้าโสมสวรรค์ ที่ปกปิดความตระหนกไว้ไม่มิด แล้วเสียงหัวเราะก็ดังออกมาจากริมฝีปากสีแดงสด “หึหึ ที่แท้ก็มาอยู่นี่เอง ไอ้ที่เขาว่าไว้ว่าที่ที่อันตรายที่สุดมักปลอดภัยที่สุดยังใช้ได้อยู่เสมอเลยนะ”

“แสงสุรีย์...” พระองค์เจ้าโสมสวรรค์ทรงเรียกขานชายาเอกของเจ้าแห่งน่านฟ้ามืดแผ่วเบา ซึ่งตรงข้ามกับดวงหทัยที่เต้นโครมครามจนแทบทะลุพระอุระ

ส่วนปลายมาศที่พักรักษาตัวจนบาดแผลหายดีและซุกซ่อนตัวอยู่ในคฤหาสน์หลังนี้ เพื่อคอยคุ้มกันพระองค์เจ้าโสมสวรรค์ ก็มองตอบดวงตาสีแดงด้วยท่าทางระแวดระวัง หากแสงสุรีย์นำเรื่องของเขาไปบอกนายพลกบฎ เรื่องที่กำลังเข้าที่เข้าทาง คงได้เลวร้ายลงไปอีกแน่

“ทำสายตาแบบนั้น คิดว่าข้าจะวิ่งโร่ไปบอกสิงหนาทว่าเจ้าแอบซ่อนอยู่ในนี้งั้นหรือ” แสงสุรีย์เลิกคิ้วถาม พลางเหยียดริมฝีปากยิ้มเยาะ “ถ้าข้าไม่ได้ถูกมันจับเป็นตัวประกัน ก็อาจจะทำแบบที่เจ้าคิดอยู่หรอกนะ ช่างน่าเสียดาย...”

แสงสุรีย์สะบัดพัดที่เชยปลายคางสาวใช้หน้าอัปลักษณ์ออก ก่อนหันไปมองพระองค์เจ้าโสมสวรรค์ที่ทำอะไรไม่ถูกยามอยู่ต่อหน้าเธอ “หม่อมฉันขอพักพิงอยู่ที่นี่ด้วยคนนะเพคะ หวังว่าคงไม่รังเกียจ” พอพูดได้แค่นั้นร่างอวบอัดก็เดินจากไป ท่ามกลางความงุนงงของทุกคน ซึ่งไม่มีใครรู้เลยว่าเบื้องหลังประตูที่สตรีสีแดงเป็นคนปิดลงนั้น เจ้าตัวกำลังเหม่อมองดูแหวนโลหะดำที่สวมอยู่บนนิ้วด้วยแววตาคิดคำนึงถึงคนที่อยู่ห่างไกล

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


ข่าวสงครามสามดินแดนเริ่มกระจายไปทั่วแคว้นปัญจปุระ พร้อมกับข่าวกองทัพของทาลางทูรที่เริ่มรุกเข้ามาประชิดชายแดนปามะห์ ก็ลามมาไวถึงเมืองหลวงไม่แพ้กัน ชาวบ้านตามชายแดนเริ่มอพยพหนีตายตามกันมา เมื่อหมู่บ้านหลายแห่งถูกเผาทำลายวอดวาย เช่นเดียวกับภายในเมืองหลวง ที่โดนกลุ่มก่อจลาจลเผาสถานที่สำคัญไปหลายแห่ง

“ตอนนี้กองกำลังรักษาเมืองดำเนินการไปถึงไหนแล้ว” ท่านจินดาเอ่ยขึ้นแผ่วเบา หลังจากขึ้นไปยืนอยู่บนยอดหอคอย เพื่อดูกลุ่มควันที่พวยพุ่งจากเพลิงผลาญทั่วสารทิศในเมืองหลวง เสียงกรีดร้องโหยหวนดังระงม จนทำให้คนที่ได้แต่ยืนฟังต้องปวดร้าวอยู่ในใจ

“ตอนนี้ที่เราตามจับได้ มีแต่พวกที่อยู่ในหมายจับของเรา ซึ่งได้รับการจ้างวานจากคนต่างแคว้นให้ก่อจลาจลในเมือง ส่วนพวกอาวุธที่ยึดมาได้ ก็มีดาบ ปืนกล และดินระเบิดที่ใช้ในการทำลายอาคารต่าง ๆ รอบเมืองครับ” มหาดเล็กของเจ้าหลวงที่ได้รับคำสั่งให้เฝ้าจับตามองประธานองคมนตรีแห่งปามะห์เอ่ยขึ้นแผ่วเบา พลางมองดูบ้านเมืองของตัวเองที่ถูกทำลายด้วยความเห็นแก่ตัวของคนบางคนอย่างเจ็บปวดใจ

“แล้วปัฐวิกรณ์สั่งการอะไรไปบ้างแล้วหรือยัง”

มหาดเล็กทำสีหน้าแปลกเปลี่ยนไปเล็กน้อยที่ได้ยินคำถามของท่านจินดา มันเป็นเหมือนลางสังหรณ์บอกให้รู้ว่าอีกฝ่ายคิดจะทำการอะไรต่อไป และเขาก็นึกอยากหนีไปจากตรงนี้ขึ้นมา เมื่อได้สบกับดวงตาสีฟ้าครามที่สลัดแววอ่อนโยนทิ้งไป เหลือเพียงแววเรียบเย็นของผู้ที่กระสาได้ถึงกลิ่นสงคราม

“ถ้าไม่บอก ข้าจะให้คนของข้าจัดการแล้วนะ” พอสิ้นคำพูดของท่านจินดา มหาดเล็กก็รู้สึกถึงการคงอยู่ของบุคคลอื่น ที่ไม่รู้ว่ามายืนรอบตัวเขาตั้งแต่เมื่อไร และมีอยู่คนหนึ่งที่กระโดดเข้ามากอดคอจากด้านหลัง ทำเอามหาดเล็กสะดุ้งโหยง

“ไม่ได้เจอกันตั้งนาน คิดถึงจังเจ้าตัวเล็ก”

บรรยากาศตึงเครียดที่อบอวลอยู่เมื่อครู่ ถูกทำลายลงไม่มีชิ้นดี เมื่อชายหนุ่มที่มีดวงหน้าพริ้มเพราดั่งอิสตรี กระโดดเข้าคลอเคลียกับมหาดเล็กที่เบี่ยงตัวหนีด้วยความหวาดผวา

“หยุดนะพี่!”

“แหม...อย่ามาเล่นตัวหน่อยเลยน่า มาให้กอดให้หอมให้หายคิดถึงหน่อยนะ คนดี๊...คนดี”

หัวหน้าหน่วยพิฆาตเฝ้ามองดูการหยอกแหย่ของสองพี่น้องด้วยสายตาเหนื่อยหน่าย ก่อนหันไปค้อมศีรษะทำความเคารพท่านจินดาที่เผลอหลุดหัวเราะกับภาพที่ได้เห็น แล้วท่านก็ระบายลมหายใจออกมา เมื่อบรรยากาศนี้ทำให้ท่านคลายความเครียดลงไปได้มาก

“ข้าคิดว่าข่าวเรื่องท่านแสงสุรีย์คงมาถึงนายท่านแล้ว”

“สิงหนาทส่งเทียบเชิญให้ข้าไปหาเขาน่ะ” ท่านจินดาพูดพลางยิ้มน้อย ซึ่งคนฟังไม่เห็นขันตามไปด้วย

“ด้วยสภาพร่างกายของนายท่าน ไม่เหมาะกับการสู้รบแล้วนะครับ”

ประธานองคมนตรีส่ายหน้ากับความห่วงใยของชายหนุ่มรุ่นลูก พลางลูบข้อนิ้วไปมา “ข้าไม่ได้ไปสู้ แต่ข้าก็ไม่ปฏิเสธหรอกว่าจะไปจบเรื่องราวทั้งหมดกับสิงหนาท”

“เจ้าหลวงทรงไม่ยอมแน่ครับ” มหาดเล็กที่รอดพ้นจากการกอดรัดฟัดเหวี่ยงของผู้เป็นพี่ชาย เอ่ยค้านขึ้นอย่างคนที่รู้จักพระนิสัยของเจ้าแผ่นดินสีทองดี “แล้วสิงหนาทก็มากเล่ห์เพทุบาย เขาจะไม่หยุดความปรารถนาของตัวเอง แต่จะเพิ่มความปรารถนามากขึ้นหลังจากได้ยึดครองท่าน”

“ข้าไม่ใช่สิ่งของนะ” ท่านจินดากลั้วหัวเราะในลำคอ ทั้งที่ในใจกลับรู้สึกหนักอึ้ง

“และข้าก็จะไปให้ได้ด้วย”

“แต่ถ้าข้าปล่อยให้ท่านไป ข้าต้องถูกเจ้าหลวงลงโทษแน่” มหาดเล็กร้องเสียงหลง ด้วยรู้ดีว่าเขาไม่อาจห้ามความประสงค์ขององคมนตรีเฒ่าได้ และมีเพียงข้อกล่าวอ้างนี้เท่านั้นที่พอจะหยุดยั้งความคิดของอีกฝ่ายได้

“ไม่ต้องห่วงหรอก ข้าจะคุยกับปัฐวิกรณ์ก่อนไปหาสิงหนาทเอง” ท่านจินดาเอ่ยขึ้นแผ่วเบา เพื่อให้มหาดเล็กคลายความกังวลลง ท่านรู้ดีว่าเจ้าหลวงทรงทราบนิสัยของท่าน ว่าไม่ต้องการให้ใครมาเดือดร้อนกับการกระทำของท่าน จึงได้ออกคำสั่งมาว่าหากท่านหลบหนี จะทรงลงโทษผู้คุมทั้งหมดที่ทำให้ท่านหนีไป

“อ้อ...” องคมนตรีเฒ่าชะงักเท้าที่กำลังเดินจากไปอย่างนึกขึ้นได้ ว่าลืมสั่งเรื่องอะไรกับกลุ่มคนที่ตนเรียกมา “ข้าคิดว่าพวกเจ้ารู้เป้าหมายที่หลบซ่อนในนี้หมดทุกคนแล้ว จัดการเก็บกวาดให้สิ้นซาก” ท่านพูดพลางปรายตามองไปทางมหาดเล็ก ที่เริ่มรู้ชะตาของตนเองแล้วว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป

“แล้วก็พาเขาไปช่วยทำการเก็บกวาดด้วยก็ได้ ท่าทางเขาจะเก็บกดกับการเฝ้ามองมานานพอดู”

“ไม่นะ...ท่านจินดา หน้าที่ของข้าคือการติดตามท่าน!”

ประธานองคมนตรีเดินลิ่วลงบันไดหอคอยไป โดยไม่สนใจเสียงกรีดร้องของมหาดเล็กที่ดังตามหลังมา ซึ่งไม่รู้ว่ามันดังขึ้นเพราะการไม่ได้ติดตามองคมนตรีเฒ่า หรือเพราะถูกพี่ชายหน้าสวยกักตัวไว้ เพื่อหยอกแหย่น้องชายสุดสวาทอีก

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


เจ้าหลวงกะพริบเนตรไปมา เมื่อรู้สึกถึงสัมผัสบางเบาที่แตะไปตามพระนลาฎและดวงพักตร์ แล้วพระองค์ก็ทรงผุดลุกขึ้นด้วยความตกพระทัยที่เผลอบรรทมลึก จนไม่รู้สึกองค์เลยว่ามีคนเข้ามาในห้อง ครั้นได้ทอดพระเนตรเห็นว่าผู้บุกรุกนั้นเป็นใคร หัตถ์ที่เตรียมชักอาวุธก็คลายลงจากด้ามดาบ ก่อนถอนปัสสาสะออกมา

“จินดาเองหรอกรึ เข้ามาไม่ให้สุ้มให้เสียงเลยนะ”

“ตัวรุม ๆ นะ ไม่สบายหรือ” ท่านจินดาไม่ได้โต้ตอบคำตรัสของเจ้าหลวง นอกจากส่งคำถามออกไปด้วยความห่วงใย หลายวันมานี้ท่านเห็นเจ้าหลวงออกไปทรงงานทุกคืน ส่วนตอนกลางวันก็มีประชุมกับคณะเสนาบดี และกองทหารรักษาเมือง จนท่านไม่รู้เลยว่าเจ้ามหาชีวิตได้พักผ่อนบ้างหรือไม่

“ไม่เป็นอะไรมากหรอก” เจ้าหลวงตอบปัดอย่างไม่ใส่พระทัย ก่อนควานหาเอกสารที่ยังคั่งค้างมาทำต่อ

“ตอนนี้อาจไม่เป็นอะไร แต่ก็ไม่รู้ว่าตอนหน้าจะเป็นหรือไม่ ทุกคนยังหวังพึ่งเจ้าอยู่นะ ปัฐ”

เจ้าหลวงทรงเลิกพระขนงขึ้นเล็กน้อย กับคำเรียกขานของพระสหายที่ไม่ได้ยินมานานหลายปี พระองค์ทรงจำได้ว่าท่านจินดาเลิกเรียกพระองค์ด้วยชื่อนี้ นับตั้งแต่ล่วงรู้ว่าพระองค์คือใคร “ปัฐงั้นหรือ...เป็นชื่อที่แสนคิดถึงเหลือเกินนะ จินดา”

“นอนพักสักหน่อยเถอะ เดี๋ยวข้าจะทำงานแทนเอง”

“เจ้าใจดีเกินเหตุ” เจ้าหลวงทรงตรัสอย่างสังเกต แต่ก็ยอมทำตามคำพูดของประธานองคมนตรี โดยทรงลุกขึ้นไปเอนวรกายลงบนเก้าอี้นอนหลังฉากกั้น “เหมือนกับว่าเจ้าจะทำเรื่องบางอย่าง ที่ทำให้ข้าหัวใจวายตายแทนเป็นมะเร็งตาย”

ท่านจินดาคลี่ยิ้มน้อย โดยไม่พูดอะไร ท่านไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นพูดอย่างไรดีว่าท่านจะไปหาสิงหนาท เพื่อจบเรื่องทุกอย่างที่ติดค้างกันมาตั้งแต่อดีต

“เจ้าจะไปไหนหรือจินดา”

ถึงท่านจินดาจะไม่พูด เจ้าหลวงก็ทรงเข้าพระทัยเรื่องต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว พระองค์ทรงรู้การเคลื่อนไหวของท่านตลอด ที่ไม่รู้ก็คงเป็นเนื้อหางานต่าง ๆ ที่ท่านได้มอบหมายให้คนของท่านไปทำ “รู้แล้วใช่ไหมว่าสิงหนาทอยู่เบื้องหลังแผนการทั้งหมด”

“แต่ก็รู้ช้ากว่าเจ้า”

“ขนาดรู้ช้ายังจับข้าขังอยู่ที่นี่ได้นานเป็นเดือน” ไม่วายที่ท่านจินดาจะกัดคนสังหรณ์ดีที่ส่งเสียงสรวลตอบกลับมา

“เจ้ามันพวกเอาแต่ใจ และข้าก็คบกับเจ้ามานานจนพอจับทางเจ้าได้ก็เท่านั้นเอง” เจ้าหลวงทรงถอนปัสสาสะออกมาแผ่วเบา ก่อนผุดลุกขึ้น เมื่อไม่สามารถทำพระทัยให้สงบ เพื่อพักผ่อนตามที่องคมนตรีเฒ่าบอกได้ พระองค์ทรงเสด็จมาประทับนั่งบนขอบโต๊ะทรงงาน ก่อนทอดพระเนตรลึกเข้าไปในดวงตาสีฟ้าครามที่สบจ้องตอบกลับมาแน่วนิ่ง

“จะไปหาสิงหนาทใช่ไหม”

“ถ้าข้าไม่ไป เรื่องทุกอย่างจะไม่จบ” ท่านจินดาตอบกลับด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาดุจเดิม

“หรือบางทีเรื่องมันอาจจะลุกลามมากขึ้น” เจ้าหลวงตรัสเสียงฉิว คนที่รอดตายมาได้ถึงสามครั้งสามหนแบบนายพลงู ไม่มีทางที่จะกำจัดได้ง่ายดายนัก หากอีกฝ่ายไม่ตาย ก็คงเป็นพระสหายที่ทรงหวงแหนมากที่สุดต้องวายชีวาแทน

“ข้าบอกแล้วไงปัฐ ถ้าข้าบอกว่าจบ ทุกอย่างก็ต้องจบ” คำที่ท่านจินดาเน้น บอกให้รู้ว่าไม่ว่าจะเป็นวิธีอะไร ท่านก็จะทำให้มันจบให้ได้ แม้ว่าจะต้องแลกด้วยชีวิตของท่านก็ตาม

“งั้นบอกแผนการของเจ้าให้ข้ารู้หน่อยได้ไหมว่าเจ้าทำอะไรไปแล้วบ้าง และจะทำอะไรต่อ คายออกมาให้หมดเลยนะ”

ท่านจินดาคลี่ยิ้มน้อย ก่อนวางงานทุกอย่างลง แล้วลุกไปยังแผนที่ที่ตั้งอยู่กลางห้อง ซึ่งในแผนที่นั้น มีการวางธงปักตำแหน่งของแต่ละฝ่าย โดยขณะนี้กองทัพของทั้งสองรัฐ กำลังประจันหน้ากันอยู่บนทุ่งราบบริเวณชายแดนของปามะห์

“ข้าไม่ต้องการให้เกิดเหตุการณ์นองเลือดนะปัฐ เจ้าจะทำอย่างไรก็ได้ที่จะไม่ให้เกิดการประยุทธ์ขึ้นบนทุ่งแห่งนี้ และข้าจะให้เจ้ายืมหน่วยพิฆาตของข้าทำการสนับสนุนกองทัพของเจ้า”

“แค่สนับสนุนเนี่ยนะ” เจ้าหลวงทรงเบ้โอษฐ์เบี้ยวกับการช่วยเหลือ ที่ให้มาอย่างไม่เต็มที่ของอดีตหัวหน้าหน่วยพิฆาต และพระองค์ก็ทรงได้รับเสียงหัวเราะจากประธานองคมนตรีตอบกลับมา

“เจ้าก็รู้ว่าหน่วยพิฆาตของข้าเป็นพวกบ้าเลือด ลองปล่อยให้ไปเป็นทัพหน้าดูสักที เจ้าจะรู้ซึ้งถึงคำว่าราพณาสูรนั้นเป็นอย่างไร”

แม้จะไม่ถูกเตือน เจ้าหลวงก็ทรงไม่คิดให้หน่วยพิฆาตบ้าเลือดลงเล่นในสงครามครั้งนี้ด้วยอยู่แล้ว พระองค์จึงทรงทำเสียงครางอืออาในพระศอ “เจ้าสอนลูกน้องมาดีเกินไป”

“เอาล่ะ...ระหว่างที่เจ้าพยายามยืดเวลาสัประยุทธ์ออกไป ก็คือช่วงเวลาของข้าว่าจะหยุดยั้งความปรารถนาของสิงหนาทได้หรือไม่”

“ไม่ใช่ว่าหยุดยั้งได้หรือไม่ แต่ต้องหยุดให้ได้ต่างหาก” เจ้าหลวงตรัสแก้ให้ถูกต้อง ซึ่งท่านจินดาได้แต่ยิ้มโดยไม่ตอบอะไรกลับมา “หน่วยพิฆาตไม่จำเป็นสำหรับสนามรบที่ไม่มีการนองเลือด แต่มันจำเป็นสำหรับสมรภูมิของเจ้าเหมือนเมื่อครั้งนั้น และข้าก็มีผู้ช่วยพิเศษให้เจ้าด้วย”

ประธานองคมนตรีแห่งปามะห์หันไปมองผู้ช่วยพิเศษ ที่ปรากฏตัวออกมาจากเงามืดด้วยดวงตาเบิกกว้าง เจ้าชายชัยนเรนทร์แย้มโอษฐ์ทักทายองคมนตรีเฒ่า ที่ทำหน้าคาดไม่ถึงให้เห็นเป็นครั้งแรก ซึ่งตรงข้ามกับราเชนที่ทำเพียงค้อมศีรษะให้ และทำหน้าราบเรียบไร้อารมณ์อย่างไม่เคยทำให้ใครเห็นเช่นกัน

“ข้าว่านี่คงเป็นลิขิต ที่ขีดกำหนดให้เจ้ากับสองคนนี้มีใจตรงกัน” เจ้าหลวงทรงพระสรวลเล็กน้อย ที่ได้เห็นพระสหายทำอะไรไม่ถูกกับการมาถึงของทั้งคู่ “ความจริงเจ้าชัยกับราเชนมาขออนุญาตข้าไปลุยกับสิงหนาทตั้งแต่สองวันที่แล้ว แต่ข้าบอกให้พวกเขารอดูท่าทีของเจ้าก่อน ซึ่งข้าก็เดาถูกว่าเจ้าจะต้องไปหามัน เพียงแต่ยังไม่รู้ว่าเจ้าจะแอบหนีไป หรือมาบอกข้าตามตรงแบบนี้”

“แล้วถ้าข้าแอบหนีไปล่ะ” ท่านจินดาหันไปถามเจ้าหลวงมากเล่ห์ ที่ส่งเสียงสรวลกลับมาอย่างไม่เห็นเป็นกังวลในเรื่องนี้

“เจ้าไม่กล้าให้มหาดเล็กของข้าถูกลงโทษหรอก เจ้าก็รู้ว่าข้าชอบทำตามที่พูดเสมอ”

ท่านจินดาหลับตาลงอย่างเชื่องช้า กับแผนการของเจ้าหลวงที่ดักทางท่านไว้ทุกทาง อีกทั้งยังทำให้ท่านเดินไปตามหมากที่ทรงวางไว้ได้ ก็ยิ่งทำให้ท่านอยากจะลงเขี้ยวกัดเจ้ามหาชีวิตสักหน “ข้าเองก็เป็นหมากตัวหนึ่งเหมือนกันสินะ ปัฐ”

เจ้าหลวงทรงทำพักตร์ตื่นกับน้ำเสียงเยียบเย็นของประธานองคมนตรี พระองค์ทรงยกหัตถ์ขึ้นตบต้นแขนผอมบางไปมา ก่อนรีบตรัสแก้ตัวในสิ่งที่ทรงกระทำ “ข้าไม่เคยคิดจะให้เจ้ามาเป็นหมากของข้า แต่การกระทำของเจ้าจะทำให้ทุกอย่างยุ่งยากขึ้น ข้าจึงต้องเตรียมแผนการทุกอย่างให้รอบคอบ หากเจ้าคิดจะมายุ่งกับเรื่องนี้ด้วย” พอตรัสจบก็ทรงถอนปัสสาสะออกมาเฮือกใหญ่กับความขี้ใจน้อยขององคมนตรีเฒ่า

“มันเหนื่อยเหมือนกันนะกับการหาทางปกป้องเจ้า ที่เอาแต่พุ่งเข้าไปหาอันตรายตลอด”

“นั่นมันคำพูดของข้าต่างหาก” ท่านจินดาถอนหายใจตามคนที่มีนิสัยมุทะลุไม่แพ้กัน ก่อนเขม่นมองเจ้าหลวงที่ทรงก่อวีรกรรมต่าง ๆ ให้ท่านคอยตามจัดการจนเหนื่อย

“เอาน่า เรามาพูดกันเรื่องปัจจุบันดีกว่า จินดา”

“จะพูดเรื่องอะไรอีกล่ะ ในเมื่อเจ้าจัดการเองเสร็จสรรพ ข้าควรจะถามมากกว่าว่ามีใครไปกับข้าบ้าง นอกเหนือจากเจ้าชายชัยนเรนทร์ เจ้าปาเยนทร์ และหน่วยพิฆาตของข้า” มีน้อยครั้งที่ท่านจินดาจะแสดงท่าทางโกรธออกมาให้เห็น และมันก็ทำให้เจ้าหลวงทรงชอบพระทัยนัก เพราะพระองค์ทรงอยากให้องคมนตรีเฒ่าแสดงอารมณ์อย่างอื่นออกมาบ้าง นอกเหนือจากอาการซึมเศร้าที่ทรงทอดพระเนตรเห็นมานานหลายปี

“มีแค่นั้นแหละ ไปมากจะกลายเป็นที่เตะตา เดี๋ยวสิงหนาทมันจะไหวตัวทันเสียก่อน เจ้าไปจัดรูปแบบกันเองแล้วกันว่าจะเดินทางกันอย่างไร และจะแจ้งข่าวมาให้พวกข้าที่อยู่ทางสนามรบแบบไหน”

“ถ้าอย่างนั้นกระหม่อมขอทูลลา เพื่อไปเตรียมแผนการก่อนแล้วกัน”

เจ้าหลวงทรงส่งเสียงจิ๊จ๊ะ ที่องคมนตรีเฒ่าออกอาการงอน โดยการเปลี่ยนสรรพนามที่เคยใช้ในอดีตมาเป็นแบบปัจจุบัน “คนแก่งอนไม่น่ารักหรอกนะจินดา อายเด็กมันด้วย”

ท่านจินดาขึงตาใส่คนชอบหยอกแหย่ ก่อนถอนหายใจเฮือกที่ได้ยินเสียงพระสรวลจากเจ้าชายชัยนเรนทร์ที่ทรงกลั้นไว้ไม่อยู่ “ถ้าอย่างนั้นข้าขอตัวก่อนแล้วกัน เจ้าเองก็ระวังตัวด้วยล่ะปัฐ”

ดวงเนตรสีน้ำตาลไหม้ทอแววอ่อนละมุนลงกับคำกล่าวลา ที่ไม่รู้ว่าในอนาคตอันใกล้นี้จะได้พบกันอีกครั้งหรือไม่ แล้วพระพาหาแข็งแรงก็สวมกอดผู้เป็นดั่งสหายที่ได้แต่ยืนงงกับการกระทำนี้ “อย่าเพิ่งกลับพิภพสวรรค์ไปก่อนนะจินดา ช่วยอยู่เป็นเพื่อนข้าจนกว่าข้าจะตายที”

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


แผนการของท่านจินดาไม่ได้ซับซ้อนอะไรมากมายจนยากเกินเข้าใจ ท่านแค่เสนอข้อคิดเห็นให้คนหนุ่มฟัง ว่าขอเดินทางไปยังแหล่งกบดานของสิงหนาทตามลำพัง โดยมีคนสนิทของท่านเป็นคนขับรถให้ ส่วนทางเจ้าชายชัยนเรนทร์ ราเชนและหน่วยพิฆาต ที่อยู่ใต้ชื่อกองทหารรักษาพระองค์หน่วยฟ้าคราม ก็ให้จับกลุ่มแยกย้ายกันเดินทางไปกลุ่มละสามคน แล้วไปสมทบกันอีกครั้งรอบแหล่งกบดานของนายพลกบฎ ก่อนรอสัญญาณเพื่อทำการกวาดล้างครั้งใหญ่

เจ้าชายชัยนเรนทร์กลืนพระเขฬะลงคออย่างลำบาก หลังจากทรงได้ยินประธานองคมนตรีออกคำสั่งฆ่ากลุ่มทหารรับจ้าง ด้วยสีหน้าที่ไม่เปลี่ยนแปลงไปเลยสักนิด ภาพพจน์ของตาแก่คนซื่อที่ชอบยิ้มแย้มใจดีอยู่เป็นนิจ พังทลายลงไม่มีชิ้นดี แล้วพระองค์ก็ผินพักตร์ไปทางราเชนที่มองท่านจินดาด้วยท่าทางทึ่งแกมอึ้ง

“ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ยังนึกภาพท่านจินดาตอนโหดไม่ออกสักที” เจ้าชายตรัสพึมพำ เมื่อได้พักทานน้ำชาระหว่างประชุมวิสามัญนายพลกบฎ เรียกรอยยิ้มจากราเชนที่เผยให้เห็นเป็นครั้งแรกในรอบสัปดาห์ หลังจากผ่านเหตุการณ์สูญเสียผู้หญิงที่ใกล้ชิดที่สุดไปถึงสองคน ซึ่งคนหนึ่งเป็นอดีตคนรักที่หลับไปนิรันดร์ ส่วนอีกคนนั้นก็เป็นว่าที่คู่หมั้นที่ถูกลักพาตัวหายไปอย่างไม่รู้ชะตากรรม

“ถ้านึกภาพท่านจินดาโหดไม่ออก ก็นึกตอนปลายมาศโหดแทนสิ เหมือนกันนั่นแหละ”

เจ้าชายทรงนึกภาพตามที่ราเชนบอก แล้วภาพของสองพ่อลูกที่ทำเรื่องโหดไม่เข้ากับใบหน้าก็ผุดขึ้นมา พระองค์ส่งเสียงสรวลกับเชื้อลูกหลานบ้านพรหมเทวาที่มีทั้งดื้อเงียบ โหดเงียบ และยังชอบทำตามใจตนเองที่ซ่อนอยู่ใต้ภาพคนว่าง่าย แล้วพระองค์ก็ทรงถอนปัสสาสะออกมา เมื่อเห็นพระสหายคลายบรรยากาศตึงเครียดรอบตัวลง

“ข้าเชื่อว่าสิริกัญญาไม่เป็นอะไรหรอก” เจ้าชายตรัสพลางยกหัตถ์ขึ้นตบต้นแขนของราเชนที่ระบายลมหายใจออกมาอย่างเชื่องช้า

“ข้าไม่ห่วงว่าสิริกัญญจะถูกฆ่าหรอก แต่ข้าห่วงอย่างอื่นมากกว่า”

ภาพที่สิงหนาทบังคับขืนใจสิริกัญญายังแจ่มชัดอยู่ในความทรงจำ ราเชนรู้ดีว่านายพลผู้นั้นมีความปรารถนาต่อคนที่ไม่รู้ว่าตอนนี้จะถูกข่มเหงจนเจ็บช้ำไปมากน้อยแค่ไหน และเขาก็รู้ว่าสตรีสีน้ำเงินนั้นหยิ่งในศักดิ์ศรีของตนเองกันทุกคน เขากลัวว่าเธอจะทำอะไรวู่วาม อันเป็นอันตรายต่อตัวเองไป

“ไม่ต้องห่วงสิริกัญญา ลูกสาวข้ายังปลอดภัยดีอยู่ทุกส่วน” เสียงนุ่มละมุนที่แทรกขัดความคิดของราเชน ทำให้ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมององคมนตรีเฒ่าที่แย้มยิ้มตามน้ำเสียง ท่านนั่งลงบนเก้าอี้ที่ว่างอยู่ ก่อนหันไปมองเจ้าชายชัยนเรนทร์ที่แม้จะทำองค์ให้ร่าเริงเพียงใด ก็ไม่อาจปิดบังความห่วงกังวลต่อใครบางคนที่อยู่ในแววเนตรได้

“ส่วนปลายมาศก็ปลอดภัยเช่นกัน และกำลังรอให้เราไปสมทบ”

“รอไปสมทบ...” เจ้าชายชัยนเรนทร์ตรัสทวนคำด้วยความสงสัย แล้วก็ทรงอุทานขึ้นมา เมื่อเฉลียวไปถึงความหมายที่องคมนตรีเฒ่าต้องการสื่อ “หรือว่าปลายมาศไปอยู่ที่แหล่งกบดานของสิงหนาทแล้ว”

ท่านจินดาไล้ข้อนิ้วไปมา พลางไพล่นึกไปถึงเหล่าบุตรชายหญิง ที่กำลังตกอยู่ในอันตรายกันทุกคนด้วยความห่วงใย มันเป็นความโชคดีที่แสงอรุณไปพบแผนผังทางลับของคฤหาสน์หลังนั้น จนสามารถติดต่อกับคนด้านในได้ ซึ่งคนนั้นก็คือปลายมาศที่บังเอิญเข้าไปหลบซ่อนอยู่ในนั้นนั่นเอง และมันก็ทำให้ท่านทราบสภาพภายใน ผ่านข่าวสารที่ลูกชายทั้งสองส่งมา

“ถึงจะได้เข้าไปแบบบังเอิญ แต่ก็ยังบาดเจ็บอยู่ คงทำอะไรไม่ได้มากหรอกพระเจ้าค่ะ เราก็ได้แต่หวังว่าอย่าให้ทางโน้นจับตัวปลายมาศได้ก่อน”

แค่ได้ยินข่าวว่าปลายมาศยังปลอดภัยดี และไม่มีอันตรายถึงชีวิตก็ทำให้เจ้าชายชัยนเรนทร์คลายความหนักอึ้งในดวงหทัยลงไปได้มาก อีกทั้งยังทรงกระตือรือร้นที่จะไปคฤหาสน์สิงหนาท เพื่อพาคนของพระองค์กลับมา จนเรียกรอยยิ้มให้กับองคมนตรีเฒ่า

“น่าเสียดายที่ปลายมาศเป็นลูกชาย”

“เป็นลูกชายก็ดีแล้วนี่” เจ้าชายทอดพระเนตรมองท่านจินดา ที่แสร้งถอนหายใจออกมาด้วยความสงสัย โดยไม่รู้องค์เลยว่ากำลังโดนประธานองคมนตรีเล่นเข้าให้เสียแล้ว

“เป็นลูกชายก็ดีอยู่ แต่ถ้าเป็นลูกสาวคงส่งให้พระองค์ทรงพิจารณาดูได้ ว่าถูกพระทัยลูกของกระหม่อมหรือไม่”

ราเชนที่เฝ้าฟังบทสนทนามาตั้งแต่ต้นจนจบหลุดหัวเราะออกมา เมื่อเห็นดวงพักตร์ของสหายขึ้นสีแดงเข้มกับการหยอกเย้าขององคมนตรีเฒ่า และคนถูกหยอกก็ทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ อีกทั้งยังใบ้กิน เรียกเสียงหัวเราะบางเบาจากคนหวงลูกที่ไม่รู้ว่าพูดออกไปแบบนั้นได้อย่างไร

“ถือว่าเป็นการผ่อนคลายความเครียดก็แล้วกัน กระหม่อมขอตัวไปวางแผนงานกับหน่วยพิฆาตของกระหม่อมต่อนะพระเจ้าค่ะ”

ครั้นพอลับร่างท่านจินดาไป ราเชนก็หยุดหัวเราะและมองเจ้าชายที่ยังพักตร์แดงไม่เลิก “โดนพูดแทงใจหรือไง ถึงทำอะไรไม่ถูก พูดอะไรไม่ออก”

“เงียบไปเลย!” เจ้าชายชัยนเรนทร์ทรงขึงเนตรตอบกลับมา ก่อนโคลงศีรษะไปมากับตลกหน้าตายของท่านจินดา ที่ชวนให้ขันไม่ออกเอาเสียเลย

ใครเลยจะรู้เล่าว่าคำพูดของท่านจินดา ทำให้เจ้าชายชัยนเรนทร์ว้าวุ่นในพระทัยมากแค่ไหน ในเมื่อพระองค์ก็เคยคิด ว่าหากปลายมาศเป็นผู้หญิงก็คงดีไม่น้อย แต่นี่ดันเป็นผู้ชายจะให้ทรงทำอย่างไร นอกจากทอดถอนปัสสาสะด้วยความเสียดาย



Create Date : 24 มีนาคม 2551
Last Update : 24 มีนาคม 2551 21:44:44 น.
Counter : 369 Pageviews.

1 comments
  
ว้าว......
ใกล้จะจบแล้วใช่ไหมค่ะ สนุกจังแหมสิรีก็ใจเด็ดจัง
แต่เราก็คิดตลอดเลยว่าอยากให้ปลายมาศเป็นผู้หญิง
ก็จะได้คู่กับเจ้าชายไง เห็นห่วงใยกันมาต้งนานแล้ว
โดย: ตัวเล็ก IP: 203.158.4.155 วันที่: 25 มีนาคม 2551 เวลา:14:25:31 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ฌา
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



New Comments
All Blog