พิษเสน่หา 32
๓๒ ชมโฉมสาวงาม

ในค่ำคืนเดือนเพ็ญที่คฤหาสน์พรหมเทวามีธรรมเนียมปฏิบัติติดต่อกันมาหลายปี ว่าเป็นค่ำคืนที่ทุกคนในครอบครัวจะต้องมาอยู่กันพร้อมหน้า ดังนั้นในห้องพรพรหม ซึ่งเป็นห้องนั่งเล่นกึ่งห้องจัดเลี้ยงที่สามารถบรรจุคนได้ร่วมร้อย ก็เต็มไปด้วยเหล่าภรรยาและลูกหลานที่จับกลุ่มพูดคุยกับถึงเรื่องที่มีสาระและไม่มีสาระ

ของหวานและเมรัยกระจายเวียนวนไปทั่วห้อง ตามแต่ใครจะสนใจสิ่งไหน ซึ่งน่าแปลกที่เจ้าของบ้านนิยมทานของหวานมากกว่าเครื่องดื่มของมึนเมา และทานได้มากกว่าเหล่าผู้หญิงเสียด้วย แต่ค่ำคืนนี้ก็มีอยู่คนหนึ่งที่ไม่ยอมแตะอะไรเลยสักอย่าง อีกทั้งยังทำท่าทางผะอืดผะอมกับกลิ่นต่าง ๆ ที่ลอยอยู่ทั่วห้อง

“เป็นอะไรไปอรัญญา ไม่สบายหรือ” ท่านจินดาเอ่ยทักลูกสาวคนโตที่มีอาการผิดปกติไปจากทุกวัน ก่อนลุกขึ้นจากเก้าอี้โต๊ะประธาน แล้วไปนั่งข้างลูกสาวที่ไหวตัวเฮือกด้วยความตกใจ ที่อยู่ ๆ ผู้เป็นบิดาก็แตะหลังมือเข้ากับหน้าผากมนด้วยสัมผัสแผ่วเบา

“ตัวเย็นเชียว ไปเดินตากน้ำค้างก่อนเข้าห้องมาหรือลูก”

เป็นเวลานานเท่าไรแล้วไม่รู้ที่อรัญญาไม่ได้ชิดใกล้ และเฝ้าฟังเสียงหวานนุ่มหูของท่านจินดา ที่มักเอ่ยกับเหล่าภรรยา และลูกหลานจนติดปาก ยิ่งช่วงหลังที่ท่านมีภารกิจเข้ามามากมาย จึงแทบไม่ค่อยได้เข้ามาพูดคุยสังสรรค์กับลูกหลานในคืนจันทร์เพ็ญ เธอจึงแทบจะลืมหน้าของผู้เป็นบิดาไปเลย

“เปล่าค่ะ” อรัญญาตอบกลับไปแผ่วเบา พลางหลบสายตาของแสงสุรีย์ที่ปรายมองมาอย่างจับสังเกต

“แต่ดูเหมือนว่าลูกจะไม่อยากกินอะไรเลยนะ ได้ยินทางห้องครัวบอกมาว่าลูกแทบไม่แตะอะไรเลยตั้งแต่เช้า” ท่านจินดาเอ่ยถามด้วยความห่วงใย ซึ่งทำให้ดวงตาสีแดงเพลิงเบิกกว้างขึ้นด้วยความแปลกใจที่บิดาเอาใจใส่ต่อสภาพไม่อยากอาหารของตัวเอง

“ท่านพ่อรู้ด้วยหรือคะ”

“มีอะไรที่พ่อไม่รู้บ้างล่ะ” องคมนตรีเฒ่ากลั้วหัวเราะถามออกไปด้วยท่าทางแสนซื่อ

อรัญญายิ้มตอบกลับคำของบิดาโดยไม่พูดอะไร มันมีหลายเรื่องทีเดียวที่ท่านจินดาไม่รู้เกี่ยวกับตัวเธอ เช่นอาการผะอืดผะอม และการอาเจียนที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่เช้า มันเป็นอาการที่ผู้ชายอย่างท่านจินดาไม่อาจล่วงรู้ได้เลยว่ามันเกิดขึ้นจากอะไร

“พ่อว่าเดี๋ยวให้หมอมาตรวจอาการลูกในวันพรุ่งนี้ดีไหม จะได้รู้ว่าป่วยอะไรหรือเปล่า”

“ไม่ต้องหรอกค่ะ ลูกรู้สภาพร่างกายของตัวเองดี” หญิงสาวพยายามข่มเสียงที่สั่นให้ราบเรียบไร้อารมณ์ ทั้งที่ในใจนึกหวาดหวั่น ว่าหากท่านจินดาพาหมอมาตรวจหาอาการป่วยของเธอ เรื่องที่พยามยามปิดไว้คงแดงขึ้นมา

“ถ้าท่านพ่อไม่ว่าอะไร ลูกขอลากลับไปนอนพักที่ห้องได้ไหมคะ วันนี้ลูกเหนื่อยและล้าเต็มทีแล้ว”

ท่านจินดาทำหน้าหมอง เมื่อโดนลูกสาวคนโตปฏิเสธความหวังดีของท่านอย่างไร้เยื่อใย ท่านถอนหายใจเฮือก แล้วคลี่ยิ้มอีกครั้ง พลางพยักหน้าให้ลูกสาวที่ผุดลุกขึ้น และเดินจากไปทันทีที่ได้รับอนุญาต ทิ้งให้บิดามองตามหลังด้วยสายตาปวดใจ

“เพิ่งคิดมาใส่ใจลูกสาวคนนี้ ไม่เป็นการกระทำที่สายไปหน่อยหรือคะ” แสงสุรีย์เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ได้ยินกันเพียงสองคน หลังจากที่ลูกหลานรอบด้านพากันเว้นช่องว่าง ไม่มาเข้าใกล้นายหญิงของบ้านพรหมเทวาเกินจำเป็น

“หากสำนึกได้เมื่อตอนที่ยังมีชีวิต ก็ถือว่ายังไม่สายทั้งนั้นแหละ” ท่านจินดาตอบกลับด้วยน้ำเสียงหมองเศร้า เพราะเมื่อท่านสำนึกได้ ก็เป็นตอนที่ใครต่อใครที่ท่านอยากขอโทษพากันล้มหายตายจากกันไปหมด

แสงสุรีย์กระตุกยิ้มหยัน พลางยกมือปัดผ่านของหวานจานใหม่ที่เวียนเข้ามาให้ผ่านเลยไป โดยที่สายตายังคงจดจ้องอยู่ที่องคมนตรีเฒ่าผู้ทุกข์ตรม “ข้าก็ขออวยพรให้มันไม่สายเกินไปตามที่ท่านหวังนะ...” สุ้มเสียงหวานทอดทิ้งคำพูดสุดท้ายไว้อย่างชั่งใจ ก่อนตัดสินใจเอ่ยคำที่ค้างคาไว้ออกมาทั้งหมด

“...แต่สำหรับข้า ทุกอย่างมันสายเกินไป”

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


เสียงข้าวของแตกกระจายดูจะเป็นที่ชินหูสำหรับคนรับใช้ในคฤหาสน์พรหมเทวาไปเสียแล้ว และเดาได้ว่าเสียงนั้นดังมาจากไหน แต่สำหรับสาวใช้ที่อยู่ในเหตุการณ์ก็ไม่สามารถทำตัวชาชิน กับการทำลายข้าวของของหญิงสาวสีแดงที่มีพายุอารมณ์รุนแรงตลอดเวลาได้ และมันก็เป็นความโชคดีของพวกเธอ ที่เดี๋ยวนี้อรัญญาไม่ลงอารมณ์กับเหล่าสาวใช้อีกต่อไป พวกเธอจึงยังสามารถยืนตัวสั่นงันงกเกาะกลุ่มกันอยู่ในมุมห้องหนึ่ง พลางเฝ้ามองพายุร้ายที่ไม่มีใครทราบว่าเกิดขึ้นมาด้วยสาเหตุอะไร

“มันไม่มาสามเดือนแล้ว...” อรัญญาพึมพำกับตัวเองแผ่วเบา พลางเดินวนรอบห้องด้วยท่าทางหวาดหวั่น หลังจากนับระยะประจำเดือนขาดช่วงไปเสร็จ

ในเดือนแรกที่ประจำเดือนไม่มา อรัญญาไม่ทันนึกเอะใจเสียด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของตัวเอง เธอคิดว่ามันคงเป็นผลมาจากช่วงอารมณ์ที่แปรปรวนไปมาบ่อย เลยทำให้ประจำเดือนมาช้า จนกระทั่งเวลาล่วงผ่านไป อาการบางอย่างที่ไม่สมควรเกิดก็ปรากฏขึ้นมาให้เห็น

ตอนนี้ยังไม่มีใครรู้สภาพร่างกายของอรัญญา แต่อีกไม่นานก็จะถูกจับได้ ยิ่งช่วงนี้แสงสุรีย์กำลังจับจ้องลูกสาวคนโตอย่างสังเกต คล้ายจะล่วงรู้ถึงสิ่งผิดปกติบางอย่าง แล้วหากความลับที่หญิงสาวปิดไว้แตกออกมา เธอก็ล่วงรู้อนาคตของตัวเองเลยว่าจะเป็นอย่างไร

“รู้สึกว่าช่วงนี้จะอารมณ์เสียบ่อยจังเลยนะ”

อรัญญาสะดุ้งเฮือกขึ้นมา เมื่อถูกอ้อมแขนแข็งแรงของคนที่รังเกียจมากที่สุดสวมกอดมาทางด้านหลัง หญิงสาวกวาดตามองหาสาวใช้ที่อยู่ในห้อง แล้วก็พบว่าตอนนี้ตนเองอยู่ตามลำพังกับน้องชายฝาแฝด ที่ยังไม่รู้ตัวว่าเป็นต้นเหตุของอารมณ์ทั้งหมด

ใบหน้างามเบี่ยงหนีจมูกคมสัน และริมฝีปากที่ไล่สัมผัสไปตามเนียนแก้ม สองมือพยายามหยุดยั้งมือใหญ่ที่ป่ายเปะปะไปตามลำตัว ก่อนส่งเสียงฮึดฮัดอย่างขัดใจที่อีกฝ่ายไม่ยอมเลิกราไปเสียที “หยุดนะ...วันนี้ข้าไม่มีอารมณ์”

“ข้าก็เห็นเจ้าไม่มีอารมณ์ทุกวันนั่นแหละ” วโรดมตอบกลับด้วยน้ำเสียงหยอกเย้า ก่อนขบเม้มติ่งหูคนในวงแขนที่ไม่ได้ขืนตัวหนีเช่นปกติ พลางกระซิบเสียงต่ำพร่า “ข้าเลยต้องช่วยปลุกอารมณ์ให้ไง”

“วันนี้ข้าไม่สบาย อยากนอนพัก” อรัญญาตอบเสียงสั้นห้วน พลางปรายตามองคนที่ทาบทับอยู่เบื้องหลังด้วยท่าทางระแวดระวังว่าอีกฝ่ายจะล่วงรู้ถึงความผิดปกติบางอย่างในตัวเธอหรือไม่

วโรดมพ่นลมหายใจหนัก ก่อนกดคางลงบนบ่าบอบบางของคนในอ้อมแขนด้วยท่าทางว่าง่าย “พี่สาวที่รักของข้าว่าอย่างไร ข้าก็ต้องว่าตามนั้นอยู่แล้ว” เสียงบ่นงึมงำดังเข้าหูหญิงสาวที่ทิ้งเสียงหึลงลำคอด้วยท่าทางเยาะหยัน เธอเคยขอร้องให้หยุด เคยห้ามไม่ให้ทำ แต่ก็ไม่เห็นอีกฝ่ายกระทำตามที่ว่าเสียที

“งั้นเจ้าก็กลับไปได้แล้ว ข้าจะนอนพัก” เมื่อวโรดมยอมเลิกราแต่โดยดี หญิงสาวก็ออกปากขับไล่อย่างไม่ไยดี แต่ชายหนุ่มกลับส่งเสียงจิ๊จ๊ะ และหลุดเสียงหัวเราะที่ทำให้คนฟังรู้สึกว่ามันชั่วร้ายอย่างไรพิกล

“พี่สาวที่รักของข้าไม่สบายอย่างนี้ ข้าก็ต้องคอยดูแลอย่างใกล้ชิดสิ”

“ข้าอยากนอนคนเดียว!” อรัญญาแหวใส่เสียงดัง พลางผลักไสร่างสูงใหญ่ให้ออกไป แล้วหญิงสาวก็หวีดร้องลั่น เมื่ออีกฝ่ายตวัดร่างของเธออุ้มตรงไปยังเตียงด้วยใบหน้ายิ้มระรื่น

“นานเท่าไรแล้วนะที่ข้าไม่ได้ดูแลเจ้าตอนไม่สบาย ช่างเป็นเวลาที่ชวนให้หวนคิดถึง”

หากวโรดมยังทำตัวเป็นน้องชายฝาแฝด อรัญญาก็อยากหวนนึกถึงอดีตที่มีเธอกับเขา แต่ตอนนี้อีกฝ่ายกลับสลัดคราบน้องชายแสนรักออกไปเสียแล้ว และกลายเป็นผู้ชายที่ไหนไม่รู้ ที่เอาแต่บังคับขืนใจเธอให้ยินยอมคล้อยตามแรงปรารถนา ซึ่งมันน่าเจ็บใจตัวเองที่เธอก็เพริดไปกับเพลิงกามาที่ถูกปลุกปั่น จนมันก่อเรื่องให้เธอขึ้นมาจนได้

อรัญญจะทำอย่างไรกับพยานบาปที่กำลังถือกำเนิดขึ้นมา หนทางที่เธอเห็นคงมีให้เลือกอยู่ทางเดียว หากไม่กำจัดทิ้ง...ก็ต้องหาแพะมารับบาปนี้

และแน่นอนว่าแพะตัวนั้นต้องไม่ใช่วโรดม!

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


เมื่อถึงวันงานเทศกาลจับม้า ผู้คนจากทั่วทุกสารทิศก็พากันหลั่งไหลเข้าไปในสถานที่จัดงานจนแทบล้นทะลักออกมา ฝ่ายเจ้าหน้าที่พิธีการพากันวิ่งวุ่นตั้งแต่เช้า หรือบางทีคงวุ่นตั้งแต่วันที่ราชอาคันตุกะของบีอากับกรารูวา มาถึงปามะห์ก่อนกำหนดการที่แจ้งไว้ถึงสองวัน ซึ่งทำเอากำหนดการเดิมของปามะห์ที่วางไว้คลาดเคลื่อนไปหมด

ฝ่ายทาลางทูรนั้น แม้จะมาก่อนกำหนดการที่แจ้งไว้ด้วยเช่นกัน แต่ก็ไม่มีท่าทางเรื่องมากเช่นสองรัฐแรก และในส่วนของกูราก็เรียกว่าน่าปวดหัวไม่น้อย เมื่อสาส์นตอบรับส่งมาในช่วงสี่วันสุดท้ายก่อนเริ่มงาน ซึ่งตอนนี้ยังไม่มีใครเห็นวี่แววคนของกูราว่าจะมาตอนไหน ทำเอาฝ่ายเจ้าหน้าที่ใจเต้นตุ้มต่อมอย่างหวาดวิตก ด้วยกลัวว่าฝ่ายสุดท้ายจะโผล่เข้ามาตอนกลางงาน

“นี่สิรีอย่ายึกยักมากนักสิ ข้าทำผมให้เจ้าไม่ถนัดนะ” บริมาสตีต้นแขนเปลือยที่อวดผิวขาวผ่องให้เห็นเป็นครั้งแรกอย่างขัดใจ เมื่อคนที่นั่งหน้าเบี้ยวอยู่หน้ากระจกขยับตัวไปมาด้วยความไม่เคยคุ้นต่อชุดที่สวมใส่

“บริมาส...” สิริกัญญาเอ่ยเรียกเพื่อนเสียงเบาหวิว พลางยึดมือที่กำลังยุ่งอยู่กับการจัดทรงผมให้เธอด้วยสีหน้าไม่สู้ดีเท่าไรนัก

“มีอะไรอีกล่ะ”

“ไม่มีชุดอื่นให้ข้าใส่แล้วหรือ” หญิงสาวพูดพลางมองเงาที่สะท้อนอยู่ในกระจก มันดูไม่ใช่ตัวตนที่เธอคุ้นเคยมาตลอดสิบแปดปีเลย “มันโป๊...” คำสุดท้ายนี้กว่าจะหลุดออกมาได้ก็ต้องทำใจพูดอยู่นาน

“โป๊ตรงไหน”

บริมาสหยุดมือที่กำลังทำผม แล้วมองภาพของเพื่อนที่สะท้อนอยู่ในกระจกบ้าง ซึ่งเธอต้องใช้เวลาอยู่นานกว่าจะบังคับจับอีกฝ่ายให้แต่งชุดนี้ได้ และกว่าจะได้แต่งหน้าทำผม นางกำนัลของตำหนักวิหคสุบรรณที่พวกเธอเข้ามาขอยืมใช้เป็นสถานที่แต่งตัว ก็วิ่งแจ้นมาบอกว่าเจ้าหลวง พร้อมด้วยพ่อลูกตำหนักอรินทรา และพี่น้องบ้านปาเยนทร์มาถึงแล้ว ทำเอาเธอต้องรีบเร่งจัดการแต่งองค์ทรงเครื่องเพื่อนสีน้ำเงินให้เสร็จโดยไว

“ก็เจ้าดูสิ...” คนไม่เคยคุ้นกับชุดที่สวมใส่ชี้ตรงหน้าอกตัวเอง “ชุดมันคว้านลึกจนเห็นร่องหน้าอก แล้วมันก็เปลือยไหล่ด้วย ข้ากลัวมันจะหลุดกลางงานน่ะสิ”

คุณหนูพระจันทร์หัวเราะคิกกับคำบ่นงึมงำของเพื่อน แล้วดึงชุดที่อีกฝ่ายสวมใส่ จนเจ้าตัวร้องลั่นด้วยความตกใจ “ข้าก็หาดอกไม้ผ้ามาปิดให้แล้วไง ส่วนชุดนี่ก็รัดพอดีตัวเจ้า มันจะไปหลุดได้อย่างไร อย่าบ่นมากน่าสิรี เจ้าจะให้เจ้าหลวงทรงรอนานไปถึงไหน”

เมื่อโดนอ้างถึงเจ้าหลวงที่ประทับอยู่เบื้องนอก คนที่เตรียมหาคำบ่นต้องหุบปากฉับ แล้วมองภาพตัวเองในกระจกด้วยสายตาหวนละห้อย หญิงสาวไม่รู้ว่าตัวเองคิดถูกหรือคิดผิด ที่ยอมให้เพื่อนจับแต่งตัวเหมือนตุ๊กตาเช่นนี้

“อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ เจ้าเป็นคู่เปิดงานกับเจ้าหลวงนะ ดังนั้นเจ้าต้องดูดีที่สุด”

คนที่จำต้องดูดีระบายลมหายใจออกมาอย่างเชื่องช้า แล้วหญิงสาวก็หันไปมองคนที่เข้ามาใหม่ทางกระจกที่แสดงอาการตื่นเต้น เมื่อได้เห็นโฉมงามที่นั่งหน้าม่อยอยู่หน้ากระจกบานใหญ่

“อ้าว! มิรันตี พวกผู้ชายข้างนอกให้เข้ามาตามหรือ” บริมาสร้องทักคุณหนูบ้านปาเยนทร์ผ่านทางกระจกเงา พลางแย้มยิ้มด้วยความภูมิใจที่ทุกคนพากันตกตะลึงกับรูปโฉมของสิริกัญญา ที่ถูกเธอปรุงแต่งอยู่เป็นนาน

“ข้าขี้เกียจรออยู่ข้างนอกน่ะ เลยเข้ามาดูว่ามีอะไรให้ช่วยทำบ้าง”

“อีกนิดก็ใกล้เสร็จแล้วจ้ะ”

มิรันตีขยับตัวเข้ามาดูสองสาวในระยะประชิด พลางครางอือในลำคอกับโฉมงามทั้งสอง ที่ต้องทำให้ผู้ชายที่รออยู่เบื้องนอกตะลึงงันกันเป็นทิวแถว โดยเฉพาะสิริกัญญาที่ฉีกภาพลักษณ์เดิมออกไป จนแทบไม่น่าเชื่อเลย ว่าคุณหนูที่ชอบสวมเสื้อผ้าปกปิดมิดชิด จะเป็นคนเดียวกับผู้หญิงที่นั่งอยู่ตรงหน้าเธอ

“หืม...” มิรันตีครางออกมา เมื่อสายตาพลัดไปเห็นสร้อยเงินเส้นเล็กที่คล้องอยู่บนลำคองามระหง ซึ่งตรงส่วนปลายจมหายเข้าไปในชุดเกาะอกของทั้งสองสาว “สร้อยอะไรน่ะ ไม่ถอดเก็บหรือ”

“ของสำคัญจ้ะ ถอดวางทิ้งไว้ไม่ได้ ต้องพกติดตัวตลอดเวลา” บริมาสตอบพลางยิ้มน้อย ก่อนมองเพื่อนที่แต่งตัวเสร็จเรียบร้อยด้วยสายตาภาคภูมิ “กว่าจะจับให้ใส่ชุดนี้ได้เล่นเอาเหนื่อย ในที่สุดก็เสร็จเสียที” หญิงสาวพูดพลางดึงตัวเพื่อนให้ลุกขึ้นยืน ก่อนส่งสายตาให้มิรันตีล็อกแขนอีกข้างไว้ ด้วยรู้ดีว่าหลังจากนี้พวกเธอต้องใช้ทั้งแรงและกำลัง ในการฉุดลากอีกฝ่ายให้ออกไปอวดโฉมเบื้องนอก

“พาไปอวดพวกผู้ชายกันเถอะ มิรันตี”

“ไม่เอา...” สิริกัญญาขืนตัวไว้ และนึกไม่อยากออกไปขึ้นมาจับใจ หากเบื้องนอกมีแต่เจ้าหลวงประทับอยู่องค์เดียว หญิงสาวก็ทำใจกล้าออกไปได้ แต่ที่ตรงนั้นยังมีเจ้าของดวงตาสีถ่าน ที่ไม่รู้ว่าจะจ้องมองด้วยแววตาเช่นไรอยู่ด้วย เธอจึงไม่อยากออกไปเอาเสียเลย

“อย่าดื้อสิสิรี เจ้าหลวงทรงรอนานแล้วนะ”

“ข้าไม่อยากไปแล้ว” หญิงสาวตอบเสียงเครือ ซึ่งแม้จะฟังดูน่าสงสารเพียงไร แต่บริมาสก็ไม่ยอมให้ความพยายามของตนเองสูญเปล่าแน่

“ไม่ได้! ข้าเปลืองแรงและเวลากับเจ้าไปมาก ยังไงข้าก็ต้องพาเจ้าออกไปให้ได้” คุณหนูพระจันทร์พูดพลางหันไปมองมิรันตีที่ล็อกแขนสิริกัญญาไว้โดยไม่ต้องให้บอกซ้ำสอง แล้วพยักหน้าให้อีกฝ่ายที่เตรียมพร้อมออกแรงรอบสุดท้าย

“ไป...ลากไปเลยมิรันตี”

“ไม่เอา!”

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


เสียงร้องเอะอะของหญิงสาวที่อยู่ด้านใน เรียกความสนใจจากคนที่มานั่งรอชมโฉมสาวงาม ให้หันไปทางประตูกันอย่างพร้อมเพรียง และคำพูดที่ดังออกมาเบื้องนอกก็พอจับใจความได้ ว่ามีโฉมงามคนหนึ่งไม่ยอมออกมา ทำให้โฉมงามอีกคนต้องลงแรงลาก พร้อมทั้งขู่แกมปลอบจนเรียกเสียงสรวลแกมขบขันจากเจ้าหลวง ที่ทรงนึกภาพยื้อยุดฉุดกันไปมาของคนที่อยู่เบื้องหลังประตูขึ้นมาได้

“ถ้าสาวงามขี้อายกันอย่างนี้ทุกคน พวกเราคงแย่เนอะ”

เจ้าชายชัยนเรนทร์ส่งเสียงสรวลตอบ พลางยกพระสุธารสที่ไม่รู้ว่าเติมไปเป็นถ้วยที่เท่าไรขึ้นดื่ม ครั้นพอประตูเปิดออกมา เผยให้เห็นสาวงามที่ทุกคนต่างเฝ้ารอ ราเชนที่กำลังยกถ้วยชาขึ้นก็เผลอปล่อยมัน จนเกิดเสียงดังเคร้งกับจานรองด้วยความตกตะลึง ฝ่ายเจ้าชายก็สำลักพระสุธารส ต้องปัดป่ายหัตถ์ไปมาวุ่นวาย เพื่อหาผ้ามาซับ

“พวกเรามาแล้วเพคะ ขอประทานอภัยด้วยที่ทำให้ต้องทรงรอนาน” บริมาสหัวเราะเสียงใส เมื่อได้เห็นปฏิกิริยาของแต่ละคน โดยเฉพาะเจ้าชายกับเจ้าปาเยนทร์ที่แสดงอาการออกมาให้เห็นเด่นชัด

“นี่ล่ะที่เรียกว่าสวยหยาดฟ้ามาดิน” เจ้าหลวงทรงพึมพำแผ่วเบา เมื่อทอดพระเนตรเห็นหญิงสาวทั้งสองที่งดงามประดุจเทพธิดามายืนอยู่ตรงหน้าพระพักตร์พร้อมกันถึงสองคน

ราเชนไม่ได้ฟังว่าเจ้าหลวงตรัสอะไร ด้วยตอนนี้สายตาของเขาติดตรึงอยู่ที่สิริกัญญาจนไม่สามารถเบนสายตาหันไปทางอื่นได้ ดวงตาคมกริบไล่มองตั้งแต่ดวงหน้างามที่ดูหวานซึ้งกว่าทุกวัน แพขนตางามงอนกะพริบถี่ไปมาด้วยอาการสะทกสะท้านต่อสายตาที่จับจ้อง พวงแก้มนวลแต่งแต้มด้วยสีแดงเรื่อที่มาจากสีเลือดและเครื่องประทินผิว และริมฝีปากเรียวบางที่ชายหนุ่มเคยแตะต้องอยู่บ่อยครั้ง ก็ดูจะดึงดูดให้เขาอยากสัมผัสมากขึ้นกว่าทุกวัน

สิริกัญญายกแขนขึ้นกอดเอวคล้ายอยากจะปิดบังเรือนกายของตัวเอง จากการจับจ้องของราเชน พลางเบือนหน้าหนีไปทางอื่น เมื่อหญิงสาวรู้สึกได้ถึงสายตาที่ลามไล้ไปตามลำคอ และไหล่เปลือยเปล่าทั้งสองข้าง ชุดเกาะอกสีน้ำเงินสดที่แนบพลิ้วกับลำตัว จนเห็นทรวดทรงองค์เอวเด่นชัดก็ดูจะบางลงไปถนัดตา

ทางฝ่ายบริมาสที่ชินกับสายตาของผู้คนก็ทำเพียงยิ้มรับ และยืนอวดให้เจ้าหลวง เจ้าชายชัยนเรนทร์ได้ชื่นชมกับรูปโฉมที่พิถีพิถันในการปรุงแต่ง ซึ่งเธอได้ยกเว้นราเชนไว้คนหนึ่ง ด้วยสายตาของเขาจดจ้องอยู่ที่เพื่อนของเธอ ชนิดไม่ยอมเบนสายตาไปทางไหนเลย

เสื้อผ้าที่สองสาวงามเลือกใส่นั้น เป็นชุดเกาะอกตามสีประจำตัวของตนเอง ซึ่งของบริมาสจะแตกต่างไปจากชุดของสิริกัญญาเล็กน้อย ตรงที่มีแขนเสื้อเกาะบริเวณไหล่ ส่วนทรงผมของพวกเธอก็โดดเด่นไปคนละแบบ ด้วยฝ่ายบริมาสทำการรัดเกล้าขึ้นเป็นแกละทั้งสองข้าง แล้วม้วนเป็นทรงกลม มัดด้วยริบบิ้นสีเขียวใบตองกับสีฟ้าครามอมม่วง และปล่อยชายริบบิ้นที่เหลือให้ยาวเคลียไปกับลอนผมสีทองที่ระบายอยู่เต็มแผ่นหลัง ก่อนตบท้ายด้วยการประดับดอกกุหลาบสีโอรสบนกลุ่มผมที่ม้วนขึ้นทั้งสองข้าง แซมด้วยดอกไม้พันธุ์เล็กที่มีสีคล้ายคลึงกัน

ส่วนทางสิริกัญญาเป็นการมัดเปียพาดด้านหลังศีรษะ ปิดทับด้วยดอกกุหลาบสีน้ำเงิน แซมด้วยดอกไม้พันธุ์เล็กสีขาว และปล่อยผมที่เหลือให้ทิ้งตัวยาวจรดสะโพก ซึ่งในความราบเรียบนี้ ไม่ได้ทำให้หญิงสาวดูโดดเด่นน้อยกว่าคุณหนูพระจันทร์เลย

และเมื่อทั้งสองยืนเคียงคู่ ความงามที่ปรากฏก็ไม่ด้อยไปกว่ากันเสียเท่าไร ด้วยคนหนึ่งงดงามดั่งจันทร์เฉิดฉาย อีกคนก็งามเยือกเย็นดั่งผืนฟ้ายามรัตติกาล

เจ้าหลวงทรงถอนปัสสาสะอย่างโล่งพระทัย ที่ท่านจินดาไม่ได้มาอยู่ที่นี่ด้วย ไม่อย่างนั้นตาเฒ่าหัวดื้อคงทำทุกวิถีทาง ไม่ให้ลูกสาวสีน้ำเงินออกไปปรากฏตัวต่อหน้าผู้คน ซึ่งทรงเดาได้ว่าตอนนี้ก็มีอยู่คนหนึ่งที่คิดแบบท่านจินดา เพียงแต่ไม่ได้แสดงอารมณ์อะไรออกมาให้เห็น นอกจากลูบริมฝีปากที่สวยดั่งอิสตรีไปมา พลางจดจ้องเรือนร่างบอบบางด้วยดวงตาตมกริบ ราวกับว่าดวงตาคู่นั้นจะสามารถกลายเป็นกรงที่กักขังอีกฝ่ายไว้ได้

ประวัติศาสตร์อาจหวนกลับมาซ้ำรอยเดิม หากมีใครสักคนต้องพิษของสตรีสีน้ำเงินเช่นเดียวกับราเชน!

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


เสียงถอนหายใจเฮือกดังมาจากร่างบอบบาง ที่ไม่ได้นึกอยากมางานนี้เสียด้วยซ้ำ แต่ด้วยแรงผลักดันของคนที่นอนป่วยอยู่บนเตียงมานานนับเดือน ที่อยากให้น้องสาวนำภาพเหล่านี้กลับไปบอกเล่าต่อ เธอจึงต้องมาอย่างจำใจ ทั้งที่ในใจนั้นอยากอยู่กับพี่ชายที่อาการทรุดหนักลงทุกวันจนน่าใจหาย

รังสิมาปรายตามองไปรอบบริเวณด้วยสายตาเบื่อหน่าย แม้ที่นี่จะมีผู้คนมากมาย แต่ก็ไม่มีคนที่เคยคุ้น หญิงสาวมองไปยังท่านจินดาที่นั่งอยู่กับแสงสุรีย์ในที่นั่งถัดจากที่ประทับของเจ้าหลวง ถัดมาก็เป็นอรัญญากับวโรดมที่ใส่ชุดสีน้ำตาลแดงเหมือนกันราวกับเป็นคู่รัก ซึ่งหากฝ่ายหญิงทำแววตาให้ดูหวานเชื่อม เฉกยามโปรยเสน่ห์ให้เหล่าบุรุษเสียหน่อย บางทีเธออาจจะคิดว่าสองคนนั้นเป็นคนรักกันก็เป็นได้

แล้วดวงตาของรังสิมาก็แลเลยไปยังที่ประทับของเหล่าราชอาคันตุกะ เจ้าหลวงแห่งบีอากับกรารูวาเสด็จมาพร้อมกับราชินี ซึ่งฝ่ายหลังมีพระธิดาอีกสองพระองค์ตามเสด็จมาด้วย ส่วนทาลางทูรที่ได้ยินว่ามีเจ้าหลวงกับเจ้าฟ้าชายเสด็จมาเพียงสองพระองค์ พร้อมกับกองทหารราชองครักษ์อีกหนึ่งกอง ก็ปรากฎว่ามีเจ้าหลวงประทับอยู่เพียงลำพัง และเมื่อแลเลยไปยังทางฝั่งของกูรา ก็ต้องขมวดคิ้วที่เห็นที่ตรงนั้นว่างเปล่า

“จะไปไหนหรือรังสิมา”

รังสิมาหันไปทางท่านจินดาที่ดูจะไม่ปล่อยใครให้คลาดสายตาไปสักคน แล้วยิ้มน้อย ซึ่งในรอยยิ้มนั้นแฝงความเบื่อไว้ให้ผู้เป็นบิดาจับสัมผัสได้ “ลูกจะขอออกไปเดินเล่นเปลี่ยนบรรยากาศหน่อยน่ะค่ะ ในนี้มีผู้คนมากเหลือเกิน ลูกเวียนหัว”

องคมนตรีเฒ่าส่งยิ้มนุ่มละมุน พลางพยักหน้ารับรู้ “งั้นก็ไปเถอะ เพราะพองานเริ่มก็คงออกไปไหนไม่ได้อีก อย่างไรก็รีบกลับมาก่อนเจ้าหลวงเสด็จนะ”

“ค่ะ” หญิงสาวพยักหน้ารับ และรีบเดินออกไปอย่างรวดเร็ว แต่ยังไม่ทันที่เธอจะได้ปลีกวิเวกก็ต้องชนเข้ากับแผ่นอกกว้างของใครบางคนที่เดินมาไม่ดูทาง จนร่างบอบบางแทบจะล้มลงไป หากไม่ได้อุ้งมือของอีกฝ่ายยึดจับไว้

“ขอโทษที” เสียงทุ้มนุ่มติดจะหวานดังมาจากผู้ชายที่มีใบหน้าละเมียดคล้ายผู้หญิง ซึ่งดูแล้วน่าจะอยู่ในวัยสิบปลาย แต่ส่วนสูงนั้นพุ่งพรวดเกินมาตรฐานจนคนถูกชนต้องเงยหน้ามองคอตั้ง

“ไม่เป็นไร” เสียงหวานใสดุจระฆังแก้ว และรอยยิ้มพิมพ์ใจสะดุดอาการเร่งรีบ คล้ายจะหนีใครบางคนให้หยุดชะงัก แล้วหันไปมองฝ่ายตรงข้ามเต็มสายตา แต่ยังไม่ทันได้พิศให้นานสมใจ เสียงร้องของคนที่ตัวเองหนีมาก็ดังลั่น

“เจอทูลกระหม่อมฟ้าชายแล้ว ใครก็ได้จับที!”

รังสิมาหันไปทางเสียงร้อง แล้วหญิงสาวก็หวีดร้องด้วยความตกใจ เมื่อโลกทั้งใบหมุนคว้างอย่างไม่ทันตั้งตัว มือเล็กยึดบ่ากว้างที่จับเธอพาดบ่าไว้แน่น พลางหลับตาปี๋กับการหลบหนีที่สร้างความระทึกและหวาดเสียวจนหัวใจแทบจะหลุดกระดอนออกมา

“เฮ้อ...ในที่สุดก็หนีรอดมาได้”

รังสิมาได้ยินเสียงทุ้มนุ่มดังแผ่วเบาอยู่ริมหู พร้อมกับรู้สึกถึงปลายเท้าที่สัมผัสกับพื้นดินอีกครั้ง หญิงสาวกะพริบตาปริบ พลางเงยหน้าขึ้นมองคนที่ทำให้เธอแทบหัวใจวายตาย ซึ่งขณะนี้กำลังแย้มยิ้มกว้างอย่างไม่รู้สึกผิดอะไรที่พาเธอมาเดือดร้อนด้วย

“ขอโทษนะ บังเอิญว่าข้ากำลังหนีคนอยู่ แล้วเจ้าก็ทำหน้าเหมือนกับอยากจะหนีไปอยู่ที่ไหนสักแห่ง ข้าเลยเผลอคว้าเจ้ามาด้วย”

เมื่อครู่หญิงสาวได้ยินอีกฝ่ายเรียกผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าว่า ‘ทูลกระหม่อมฟ้าชาย’ ซึ่งเธอก็เดาได้ไม่ยากว่าคนผู้นี้คือใคร ร่างบอบบางย่อตัวลงเล็กน้อย พลางคลี่ยิ้มอย่างไม่ถือสา “ไม่เป็นไรเพคะ หม่อมฉันอยากหลบความวุ่นวายจากข้างในออกมาพอดี”

เจ้าฟ้าชายอารยมันเลิกพระขนงด้วยความแปลกพระทัย แล้วนึกขึ้นได้ว่ามหาดเล็กจอมจุ้นตะเบ็งเรียกพระองค์ด้วยสุ้มเสียงดังลั่นขนาดนั้น มันจึงไม่แปลกหากหญิงสาวตรงหน้าจะล่วงรู้ถึงฐานะของพระองค์ และกระนั้นก็อดที่จะแสร้งถามออกไม่ได้

“เจ้ารู้จักข้าด้วยหรือ”

“ถ้าฐานะของพระองค์ก็พอรู้อยู่เพคะ เพราะมีแต่ทาลางทูรที่ส่งเจ้าฟ้าชายมา ส่วนอย่างอื่นหม่อมฉันไม่รู้หรอก”

เสียงสรวลหลุดออกมาแผ่วเบากับคำตอบที่ได้รับ แล้วคราวนี้พระองค์ก็ได้พิศใบหน้าของหญิงสาวที่สะดุดพระหทัยได้นานสมพระทัยอยาก ซึ่งรังสิมาก็สบตาตอบดวงเนตรที่พินิจดวงหน้าของเธอ โดยไม่แสดงท่าทางสะท้านอายที่ถูกจับจ้องให้เห็น

“ข้าชื่ออารยมัน แล้วเจ้าล่ะ” เจ้าฟ้าชายทอดน้ำเสียงให้ดูนุ่มนวลลงไปอีก แต่ก็ยังแพ้รอยยิ้มหวานหยดของรังสิมา ที่เป็นเอกลักษณ์ติดตัวมาเนิ่นนาน

แสงอรุณอาจจะรู้เรื่องราวอะไรมากมาย ทั้งเรื่องในบ้านและนอกบ้าน แต่เขาคงไม่รู้เรื่องเจ้าฟ้าชายอารยมันแห่งทาลางทูรเป็นแน่ หากรังสิมาเอาเรื่องนี้ไปเล่าให้พี่ชายฟัง เขาคงสนใจไม่น้อย คิดได้ดังนั้น หญิงสาวก็แย้มยิ้มหวาน และย่อตัวลงเต็มพิธีการ

“รังสิมาเพคะ”



Create Date : 29 กุมภาพันธ์ 2551
Last Update : 29 กุมภาพันธ์ 2551 22:29:41 น.
Counter : 648 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ฌา
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



New Comments
All Blog