พิษเสน่หา 22
๒๒ ประตูสู่เมืองเหนือ

“อาการของเขาเป็นอย่างไรบ้าง”

เสียงนุ่มเสนาะหูปนด้วยกระแสอ่อนโยน ช่วยดึงสติของราเชนที่จมจ่อมอยู่กับความมืดให้กลับคืนมา และมือเย็นที่สัมผัสอยู่บนหน้าผากก็ช่วยบ่งบอกว่าเขาไม่ได้เวียนวนอยู่ในภาพฝันอีกต่อไป เขามีชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง ทั้งที่คิดว่าอาจไม่รอดจากการถูกทำร้ายเสียแล้ว

“อาการไม่ทรุดลงอีกแล้วล่ะค่ะ บาดแผลไม่มีการอักเสบ แต่ยังมีไข้อยู่ เมื่อคืนที่ผ่านมาเขาก็ได้สติแล้วด้วยค่ะ”

อีกเสียงที่ดังขึ้นบอกถึงความเคารพนบนอบต่อผู้ถาม และดูท่าจะเป็นคนที่คอยดูแลอาการบาดเจ็บของราเชนมาตลอด จึงสามารถบอกอาการของชายหนุ่มในขณะนี้ได้ว่าเป็นอย่างไร

“แล้วที่เจ้าบอกว่าเขามีสร้อยเส้นนั้น...” เจ้าของเสียงแรกชะงักคำพูดไว้แค่นั้น คล้ายกับไม่รู้ว่าควรถามออกไปดีหรือไม่

“ข้าเก็บไว้ในที่มิดชิดแล้วค่ะ”

เสียงถอนหายใจดังขึ้นแผ่วเบา หลังจากได้ยินคำตอบของคนที่ทราบดีว่าเจ้าของเสียงนุ่มต้องการถามอะไร ราเชนที่ได้สติคืนมาครบแล้ว แต่ยังไม่ยอมลืมตาตื่นเฝ้าฟังบทสนทนาของสตรีปริศนาทั้งสองคนอย่างตั้งใจ เพราะสร้อยที่เขาพกติดตัวอยู่ตลอดมีเพียงเส้นเดียว ดังนั้นสร้อยที่พวกเธอพูดถึงต้องเป็นสร้อยห้อยจี้รูปเต่า ที่บ่งบอกถึงความเป็นกูรา

“นี่คงเป็นลิขิตกระมัง ทั้งที่ทุกอย่างถูกปิดตายด้วยฝีมือของท่านพี่ แต่มันก็ถูกเปิดขึ้นมาอีกครั้งจนได้”

“เป็นเพราะความละโมบของทางฝ่ายนั้นกระมังคะ ที่พยายามคุ้ยแคะเรื่องราวของเรา แล้วท่านผู้นั้นก็ต้องเข้ามาตกอยู่ในบ่วงแห่งความทุกข์ทรมานอีกครั้ง เพื่อชดเชยความผิดพลาดที่เกิดขึ้นในอดีต หลายปีที่ข้าเฝ้ามองดู ท่านช่างน่าสงสารมาก” เจ้าของเสียงเกริ่นด้วยความหมองเศร้า และทุกข์ไปตามคนที่ตัวเองกล่าวถึง

“ท่านพี่รักในสายเลือดสีน้ำเงินมากที่สุด และขณะเดียวกันท่านก็เกลียดสายเลือดนี้” เสียงนุ่มทอดถอนรำพึงออกมาอย่างสะท้านใจ และบอกถึงความเจ็บปวดอยู่ลึก ๆ “ตอนนั้นท่านพี่จึงมองผ่านเรื่องของกลุ่มกบฎ ผลสุดท้ายตัวท่านเองที่ต้องมาเจ็บปวด คอยแบกรักความโศกเศร้าเสียใจ และความสำนึกผิดต่อความชิงชังของตนเอง”

ความเงียบเข้ามาปกคลุมทั่วทั้งห้อง จนได้ยินเสียงลมหายใจสม่ำเสมอ และเสียงน้ำกระเพื่อมจากการนำผ้าลงไปซักน้ำ มันเป็นไปอย่างเนิ่นนาน จนกระทั่งราเชนสัมผัสได้ถึงผ้าเปียกที่วางลงมาบนหน้าผาก และการลุกขึ้นอย่างเชื่องช้าของคนที่นั่งอยู่ข้างเตียง

“แผ่นดินนั้นเป็นของวิวัสวัตอย่างชอบธรรม เขากอบกู้มันคืนมาจากกบฎ ก็มีสิทธิ์ในบัลลังก์สีน้ำเงิน ไม่ใช่ของคนที่คิดจะมาชุบมือเปิบจากเขา ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ของใครที่ละทิ้งบัลลังก์นั้นมา” เจ้าของเสียงหวานนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา แต่ทว่าหนักแน่นและมั่นคงดุจดั่งขัตติยะนารี

“การมาถึงของเจ้าปาเยนทร์ที่นำพาเอาสร้อยเส้นนั้นมา ทำให้เราตัดสินใจได้ว่าไม่ควรเฝ้าดูอีกต่อไป เรามาหาทางจบตำนานโอรสสวรรค์ด้วยกันเถอะ เดือนฟ้า เพื่อท่านพี่ของเรา เพื่อเทพราชาแห่งน่านฟ้ามืดจะได้หลับอย่างเป็นสุข”

“เพคะ...”

“ขอบใจเจ้ามากนะเดือนฟ้า ที่คอยดูแลท่านพี่มาตลอด แล้วเจ้ายังมาดูแลเราด้วยเช่นนี้ ข้าไม่รู้จะกล่าวขอบใจเจ้าอย่างไรดี”

ราเชนไม่มีทางรู้ว่าสีหน้าของหญิงปริศนาทั้งสองคนเป็นเช่นไร แต่เมื่อเจ้าของเสียงเสนาะหูพูดจบ ชายหนุ่มก็ได้ยินเสียงคนหนึ่งเดินออกไป ส่วนอีกคนนั้นส่งเสียงกุกกักราวกับทำอะไรบางอย่าง ก่อนเดินตามออกไปเช่นกัน เขารอให้ความเงียบเข้าครอบคลุมทั่วห้องพักหนึ่ง แล้วลืมตาขึ้นมา

ตอนนี้ราเชนได้รู้แล้วว่าหนึ่งในหญิงปริศนาคือเดือนฟ้า ซึ่งหากเป็นก่อนหน้าที่ชายหนุ่มจะเข้าไปเกี่ยวพันกับคนบ้านพรหมเทวา ก็คงไม่มีทางรู้เลยว่าเจ้าของชื่อนี้เป็นภรรยาคนหนึ่งของท่านจินดา ส่วนอีกคนจะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากพวกสีน้ำเงินที่หนีรอดมาจากการตามล่าของกบฎสิงหาท และบทสนทนาของหญิงทั้งสองคนบอกเล่าถึงเรื่องราวบางอย่างที่ถูกปกปิด รวมถึงการแสดงให้รู้ว่าพวกเธอรู้เห็นการเคลื่อนไหวของแต่ละฝ่ายเป็นอย่างดี แต่มันก็มีปริศนาเพิ่มขึ้นมาให้เขาต้องขบคิดอีกจนได้

‘ท่านพี่’ ที่พวกเธอกล่าวถึงคือใคร มันจะหมายถึงท่านจินดา หรือเป็นคนอื่นในเหล่าสีน้ำเงิน แล้วเรื่องสร้อยที่ราเชนพกติดตัว ก็ทำให้ชายหนุ่มไพล่นึกไปถึงบทสนทนาของเขากับเจ้าชายชัยนเรนทร์ก่อนหน้านั้น ที่เอ่ยถึงสัญลักษณ์แสดงความเป็นบุตรแห่งสวรรค์ ฉับพลันดวงหน้ากลมป้อมที่มีน้ำตาเอ่อคลอเต็มเบ้าของเด็กชายคนนั้นก็ผุดขึ้นมาในมโนสำนึก ดูท่าเขาจะได้พบกับเชื้อสายของโอรสสวรรค์ตัวจริงเข้าโดยบังเอิญเสียแล้ว

แต่ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่เขารู้สึกคาใจ เทพราชาแห่งน่านฟ้ามืดคืออะไร

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


ราเชนใช้เวลาที่เหลือในการเรียบเรียงสิ่งที่ตัวเองได้มาในบูกิต ซึ่งต้องแลกกับความเป็นความตายของตัวเองเลยทีเดียว และมันทำให้ชายหนุ่มนึกไปถึงตอนที่ตัวเองรับคำสั่งของเจ้าหลวงให้มายังบูกิตแทนท่านจินดา ว่าพระองค์จะทรงทราบถึงเรื่องราวในอดีตด้วยหรือไม่ มันเป็นสิ่งที่เขาไม่อาจรู้ได้เลย แต่มีสิ่งหนึ่งที่เขาจับได้ คือเจ้าหลวงทรงระวังไม่ให้ท่านจินดาเข้ามาข้องเกี่ยวกับเรื่องที่อาจโยงไปถึงพวกสีน้ำเงิน

ชายหนุ่มยังจำได้ดีเหมือนเรื่องเพิ่งเกิดขึ้นมาเมื่อวาน เขาเข้าเฝ้าเจ้าหลวงเพื่อทูลเรื่องความก้าวหน้าทางการค้าของปามะห์กับรัฐต่างแคว้นดังเช่นทุกวัน และสิ่งที่เจ้าหลวงจะทรงทักเขาก่อนเป็นอันดับแรก คือเรื่องคู่ครองที่ยังไม่มีเป็นตัวเป็นตนเสียที บางครั้งยังทรงเคยประชดประชัน ว่าให้เขาเลือกเอาจากบรรดาคู่รักที่คบหาอยู่มาสักคนก็ได้ ซึ่งเขาก็มักปฏิเสธความปรารถนาดีของเจ้าหลวงที่ทรงขันอาสาจะเลือกคู่ให้ หากเขายังหาไม่ได้

แต่วันนั้นพระองค์กลับทรงขึ้นต้นด้วยเรื่องงานทันที โดยไม่มีการแซวเรื่องคู่ครองของเขาอีก

“เจ้าไปบูกิตแทนจินดาหน่อยได้ไหม”

คำตรัสของเจ้าหลวงทำให้ราเชนแปลกใจเล็กน้อย ชายหนุ่มเหลือบสายตาไปยังท่านจินดาที่ยังทำเฉย และทำงานของตัวเองต่อไปอย่างไม่สนใจสิ่งใด

“ท่านจินดาไม่สะดวกไปบูกิตหรือพระเจ้าค่ะ”

“สังขารคนแก่ไม่เหมาะกับเรื่องออกแรงเท่าไร เลยเปลี่ยนให้เจ้าไปทำแทนน่ะ”

เจ้าหลวงตรัสตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ซึ่งพระจริยาวัตรนี้ก็แปลกไปจากทุกวันเช่นกัน อีกทั้งช่วงนี้ราเชนยังสังเกตเห็นว่าประธานองคมนตรีกำลังคัดง้างในเรื่องบางอย่างกับนายเหนือหัว ทำให้ในบางวันเหล่าข้าราชบริพารต้องพากันหายใจไม่ทั่วท้องเท่าไร เมื่อฟ้าเบื้องบนส่ออาการมืดครึ้มคล้ายฝนจะตก ดีไม่ดีจะกลายเป็นพายุเสียด้วยซ้ำ

“เรื่องโจรป่าหรือพระเจ้าค่ะ” ราเชนเปรยขึ้นมาแผ่วเบา การออกปล้นสะดมของพวกโจรป่านั้นเกี่ยวข้องกับเขาด้วยไม่น้อย หนึ่งคือเขามีกองคาราวานที่ต้องเดินทางผ่านบูกิต ความเสี่ยงในการถูกปล้นนั้นสูงเอาการ และสองคือสายลับของเขาหลายคนที่ปลอมตัวเป็นพ่อค้า โดนโจรกลุ่มนี้ปล้นมาแล้ว

“ใช่...ข้าได้รับรายงานจากกลุ่มทหารตระเวนชายแดนมาว่าเป็นโจรกลุ่มเล็ก ๆ แต่จากผลงานการออกปล้นทำให้ข้าไม่คิดเช่นนั้น” เจ้าหลวงทรงส่งรายงานฉบับแรกจนถึงล่าสุดให้ราเชนรับไปดู ก่อนตรัสขึ้นมาอีกครั้ง

“เจ้าลองดูจุดที่กลุ่มพ่อค้าหรือกองคาราวานถูกปล้นกับช่วงเวลาสิ อย่างน้อยโจรกลุ่มนี้ต้องมีจำนวนไม่ต่ำกว่าห้าสิบคนแน่”

ราเชนกวาดตามองดูจุดแดงในแผนที่ อันเป็นจุดบอกสถานที่ลงมือของกลุ่มโจรป่า กับช่วงเวลาโดยประมาณที่กระชั้นถี่เกินไป ความต่างของเวลากับความห่างของสถานที่ในการออกปล้น ไม่มีทางที่โจรกลุ่มนี้จะจากจุดหนึ่ง ไปยังอีกจุดหนึ่งเพื่อก่อเรื่องซ้ำสองได้ นอกเสียจากว่าโจรพวกนี้แยกกันเป็นสองกลุ่ม

“ข้ายังไม่คิดส่งทหารไปกำราบ เพราะจุดประสงค์ของโจรกลุ่มนี้ยังคลุมเครืออยู่”

“อย่างไรหรือพระเจ้าค่ะ”

“โจรพวกนี้ไม่ได้ปล้นพวกชาวบ้านที่อยู่ตามชายแดน ผู้เคราะห์ร้ายมีแต่พวกพ่อค้าหรือกลุ่มคาราวานกับพวกคหบดีที่ฉ้อโกงเงินแผ่นดิน”

“พวกชอบทำตัวเป็นศาลเตี้ย...”

เจ้าหลวงทรงส่ายพักตร์ไปมา ก่อนทำพักตร์ขรึม “ถ้าทำตัวเป็นศาลเตี้ยเฉย ๆ ข้าคงไม่คาใจหรอก เจ้าน่าจะลองถามสายลับของเจ้าดูบ้างนะ ว่ากลุ่มที่ถูกปล้นเป็นพวกไหนบ้าง หรือสายลับของเจ้าไม่นึกเอะใจอะไรเลย...ใช้ไม่ได้” คำตรัสสุดท้ายทรงติเตียนสายลับของราเชนที่ไม่เฉลียวใจกับปมบางอย่าง หรือเพราะถูกลวงให้เขวจึงไม่ทันนึกเอะใจก็ไม่อาจทราบได้

“พวกที่ถูกปล้นมีแต่เฉพาะสายลับ” ชายหนุ่มครางแผ่วเบาในลำคอ เมื่อเฉลียวใจในบางอย่างขึ้นมา เขามีกลุ่มคาราวานที่ออกค้าขายไปทั่วแคว้นก็จริงอยู่ แต่ยังไม่เคยได้รับรายงานว่าถูกปล้นเลยสักครั้ง ยกเว้นกลุ่มสายลับที่ปลอมตัวเป็นพ่อค้า หรือแฝงไปในกองคาราวานเท่านั้นที่มักถูกปล้น

“เจ้ายังพอใช้ได้หน่อย” เจ้าหลวงทรงพยักพัตร์อย่างพอพระทัย ก่อนระบายปัสสาสะออกมาอย่างเชื่องช้า “แต่ไม่ใช่เฉพาะสายลับของปามะห์เท่านั้นหรอกนะ รู้สึกว่าถ้าเข้าไปในถิ่นของโจรกลุ่มนี้เมื่อไร เป็นต้องโดนเล่นงานหมด ไม่มีการแบ่งแยกว่าเป็นรัฐไหน”

“ถิ่นของพวกโจรคือบูกิตสินะ”

“ถูกเผง คนของเราถูกฝ่ายนั้นเล่นงานชนิดแสบไปถึงทรวงเลย ไม่ฆ่าแต่ไล่ต้อนให้หนีไปเรื่อย ๆ เสร็จแล้วก็หายเข้ากลีบเมฆไปตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้” เจ้าหลวงทรงตรัสด้วยท่าทางเข่นเขี้ยวแทนสายลับของพระองค์ที่ถูกเหล่าโจรหยอกเล่น

“ถ้าเป็นข้าล่ะก็ จะหาทางแก้เผ็ดพวกมันบ้าง”

“คงไม่มีโจรที่ไหนกล้าเล่นกับพระองค์หรอก” ท่านจินดาที่เงียบมานานเอ่ยขัดท่าทางของเจ้าหลวงด้วยท่าทางอ่อนใจ การมีเจ้าชีวิตที่ชอบลงไปเล่นกับไฟ โดยไม่คำนึงถึงฐานะและความสำคัญของตนเองนั้น ทำให้ฝ่ายที่มีหน้าที่ปกป้องอันตรายทุกอย่างที่มาแผ้วผลาญต้องเหนื่อยไม่ใช่น้อย

“ทีพวกโจรยังเล่นคนของข้าจนหัวหมุนได้ ทำไมข้าจะเอาคืนบ้างไม่ได้”

ท่านจินดาคลี่ยิ้มน้อย ซึ่งดูแล้วบิดเบี้ยวเหยเกอย่างไรพิกล “วิธีเอาคืนของพระองค์เหมือนชาวบ้านเขาที่ไหน กิตติศัพท์นี้น่ะลือกันข้ามรัฐ ต่อให้เป็นโจรที่เก่งกล้าก็คงไม่คิดลองดีด้วยหรอก”

ราเชนหัวเราะหึในลำคอกับคำกล่าวของท่านจินดาที่อดเห็นด้วยไม่ได้ เจ้าหลวงทรงทำพักตร์ยุ่งขึ้นมาที่โดนคนแก่ขัดคนกับโดนผู้เยาว์หัวเราะเยาะใส่ แล้วท่านจินดาก็ลุกขึ้นจากโต๊ะทำงาน พลางหยิบม้วนเอกสารที่ตัวเองทำเสร็จไปวางคืนยังโต๊ะทรงพระอักษร ที่เจ้าชีวิตเบือนพักตร์หนีด้วยท่าทางแง่งอนเหมือนเด็ก

“กระหม่อมทำงานเสร็จแล้ว จะขอทูลลากลับไปกินข้าวเที่ยงที่บ้านนะพระเจ้าค่ะ เดี๋ยวตอนบ่ายจะกลับมาทำงานที่เหลือต่อ”

“อยู่กินที่นี่แหละจินดา จะไปกลับทำไมให้เหนื่อย” เจ้าหลวงทรงหันขวับไปยังตาแก่คนซื่อ ที่ยังส่งยิ้มนุ่มละมุนอย่างเสมอต้นเสมอปลาย ไม่ว่าจะอยู่ในอารมณ์ใด

“กระหม่อมจะกลับไปดูอาการแสงอรุณ”

คำตอบของท่านจินดาทำให้เจ้าหลวงทำพักตร์เปลี่ยนไป ชื่อของแสงอรุณทำให้พระองค์ย้อนนึกไปถึงมารดาของชายหนุ่มที่เกิดมาอ่อนแอตั้งแต่เด็ก หรือจะว่าไปก็คือพระขนิษฐาในพระมารดาองค์เดียวกัน ที่ทรงส่งให้ไปแต่งงานกับสหายสนิท และถ้าจำไม่ผิดก็ทรงจำได้ว่าพระขนิษฐาคลอดลูกแฝดออกมา แต่ก็ตายไปหลังจากเกิดมาได้ไม่กี่วัน

สาเหตุการตายนั้น พระองค์ทรงมาทราบทีหลังว่าพระขนิษฐาถูกลอบวางยาพิษ จนแท้งลูกขณะตั้งพระครรภ์ได้หนึ่งเดือนไปสองครั้ง แต่ถูกคนภายในพรหมเทวาปิดข่าวไว้ จนมาถึงครั้งที่สามที่พิษไม่สามารถทำอะไรเด็กในครรภ์ได้ ถึงกระนั้นคนหนึ่งก็ตายหลังคลอด อีกคนก็เกือบไม่รอด ต้องอยู่อย่างทรมานกับโรคภัยที่มารุมเร้าจนถึงปัจจุบัน

“อาการยังไม่ดีขึ้นอีกหรือ”

ท่านจินดายิ้มโดยไม่ตอบคำถาม ก่อนถวายบังคมลาแล้วเดินจากไป และพอลับร่างประธานองคมนตรีแห่งปามะห์ เจ้าหลวงก็ทรงทำพักตร์เครียดขึ้นมาทันใด ทั้งพระขนิษฐาและท่านหญิงราชาวดี ซึ่งเป็นมารดาของรังสิมา ล้วนต้องตายเพราะถูกลอบวางยาทั้งคู่ พิษนั้นแทรกซึมอยู่ในร่างกาย และทำลายชีวิตของพวกเธอไปทีละเล็กทีละน้อย แล้วผู้วางยาพิษก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นภรรยาเอกของท่านจินดาที่ทรงชิงชังเสมอมา

ถ้าไม่ติดท่านจินดาที่ร้องเตือนว่าไม่มีหลักฐานใดที่จะชี้ตัวคนผิด พระองค์ก็คงทรงจับผู้หญิงคนนั้นมาลงโทษให้สาสมกับความสูญเสียที่เกิดขึ้น ประหารนางเสียก่อนที่สร้อยแสงจันทร์จะตายด้วยวิธีการอย่างเดียวกัน

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


บูกิตเป็นเมืองเล็ก ๆ ที่ตั้งคั่นกลางระหว่างปามะห์กับทาลางทูร ถือได้ว่าเป็นประตูขึ้นสู่เมืองเหนือ สำหรับรัฐที่อยู่ทางภาคใต้เลยทีเดียว เหล่าพ่อค้าที่ต้องการค้าขายกับทาลางทูรต้องผ่านเมืองนี้กันทุกคน เพราะนอกจากจะเป็นประตูสู่ทิศเหนือแล้ว ยังเป็นแหล่งพบปะของพ่อค้าหลากสัญชาติ ศูนย์รวมของเหล่านักแสวงบุญ อีกทั้งยังเป็นบ้านเกิดของราเชนปาเยนทร์

มีน้อยคนที่รู้ว่าราเชนเกิดที่บูกิต และยิ่งกว่าน้อยที่รู้ว่าเขามีคฤหาสน์อีกหลังอยู่ที่นี่ มันเป็นคฤหาสน์ที่ตกทอดมาทางฝ่ายแม่ ซึ่งเป็นชาวบูกิตโดยกำเนิด แต่ก็มีคนเคยคุ้ยแคะเกี่ยวกับประวัติทางฝ่ายแม่ ว่าแท้จริงแล้วเธอเป็นชาวทาลางทูร และเมื่อสืบสาวต้นตระกูลขึ้นไปก็พบว่าบรรพบุรุษทางฝ่ายแม่ของเจ้าปาเยนทร์ เป็นถึงเชื้อพระวงศ์ของทาลางทูร มันจึงเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผู้คนคิดว่าเหตุใดชายหนุ่มจึงไม่ค่อยถูกกับเจ้าหลวงแห่งปามะห์

พอนึกถึงเหตุผลนี้ก็ทำให้ชายหนุ่มอดหัวเราะออกมาไม่ได้ คงมีแต่พวกที่มีเวลาว่างมากเท่านั้น ที่คิดหาเหตุผลไร้สาระแบบนี้ออกมาได้ ถึงแม้จะมีสายเลือดของพวกทาลางทูรอยู่ แต่เขาก็ไม่เคยคิดกลับสัตย์ที่ให้ไว้แก่แผ่นดินสีทอง

ชายหนุ่มกระชับถุงสัมภาระที่พาดอยู่บนบ่า พลางมองดวงอาทิตย์ที่คล้อยต่ำลงไปมาก มันเป็นเวลาที่ไม่ค่อยมีพ่อค้า หรือกองคาราวานผ่านมาให้เห็นเท่าไร ทั้งนี้ก็เนื่องมาจากกลุ่มโจรป่าที่อาละวาดในช่วงนี้ด้วย ที่ทำให้ไม่ค่อยมีใครกล้าเดินทางในเวลาวิเวก แต่สายตาของเขาก็พลัดไปเจอกองเกวียนขบวนหนึ่งที่จอดอยู่ริมทาง ซึ่งดูเหมือนว่าจะมีปัญหาอะไรบางอย่าง จึงทำให้ต้องจอดเข้าข้างทาง

“มีอะไรให้ข้าช่วยไหม” ราเชนเอ่ยทักไปตามอัธยาศัย เมื่อเห็นแล้วว่ากองเกวียนนี้ติดปัญหาอะไร และคนที่กำลังก้ม ๆ เงย ๆ ดูล้อเกวียนที่ติดหล่มก็เงยหน้าขึ้นมองเจ้าของเสียงทัก

“อ้าว! ราเชน” เสียงหวานเอ่ยขึ้นอย่างคาดไม่ถึง เมื่อคนที่เข้ามาทักเธอเป็นคนรู้จัก อีกทั้งเขายังแต่งชุดพ่อค้าที่ขมุกขมอมไปด้วยคราบฝุ่น จึงไม่ทันสังเหตเห็นว่าเพื่อนร่วมอาชีพผู้นี้เป็นใคร

“ไม่ได้เจอกันนานนะสารัสสะ”

สารัสสะพยักหน้ารับด้วยความงุนงง เพราะเธอได้ยินข่าวมาว่าราเชนออกล่องเรือขายสินค้าเมื่อสองวันก่อน มันจึงเป็นไม่ได้ที่เขาจะมายืนอยู่ตรงนี้ หญิงสาวเสยเส้นผมที่ปรกตกรกหน้าขึ้นไป พลางมองหน้าอีกฝ่ายที่ยังส่งยิ้มนุ่มละมุนมาให้

“ให้ตายสิ...ข่าวข้าพลาดหรือไงกันนะ”

“ข่าวของเจ้าไม่พลาดหรอก เพราะข้าจงใจปล่อยข่าวว่าตัวเองออกล่องเรือไปต่างแคว้นเอง” ราเชนตอบพลางกลั้วหัวเราะในลำคอแผ่วเบา

กองเกวียนของสารัสสะเป็นที่รู้จักกันดีในกลุ่มพ่อค้า และกองคาราวานกลุ่มอื่น ด้วยเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใคร นั่นคือมีแต่สมาชิกหญิงล้วน และการที่กองเกวียนนี้มีแต่ผู้หญิงก็ใช่ว่าจะดูถูกได้ง่ายนัก ด้วยข่าวสารของกลุ่มพวกเธอนั้นไปไวมาไว บางทีรายละเอียดของข่าวนั้น ๆ อาจจะมีมากกว่าพวกสายลับเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งพวกเธอยังขึ้นชื่อด้านการชักพาคู่ค้าจากต่างแคว้น มาให้พ่อค้ากลุ่มอื่นได้มีโอกาสขายสินค้าของตัวเอง ทุกคนจึงยกสารัสสะให้เป็นเจ้าแม่แห่งการค้า

และที่สำคัญ ผู้หญิงกองเกวียนนี้มีฝีมือสู้รบเก่งกาจไม่แพ้ใคร!

“ทำไม...”

“เราอย่าเพิ่งพูดกันเรื่องนี้เลยดีกว่า ให้ข้าช่วยไหม” ชายหนุ่มเอ่ยตัดบทก่อนที่จะถูกถามไปมากกว่านี้ แล้วหันไปสนใจล้อเกวียนที่ติดอยู่ในหล่ม สภาพของมันเหมือนกับจงใจทำล่อ เพื่อดักขบวนเกวียนอย่างไรพิกล จนเขาต้องเงยหน้าขึ้นมองหัวหน้ากองเกวียนหญิงที่ทำหน้ายับยุ่ง และรู้ถึงความหมายทางสายตาที่เขาส่งออกไป

“พวกโจรป่า...” หญิงสาวกระซิบตอบเสียงเบา พลางบุ้ยใบ้ไปยังสมาชิกหญิงคนอื่นที่เตรียมพร้อมรับการโจมตีอยู่แล้ว ก่อนเอื้อมมือไปแตะด้ามดาบที่เหน็บอยู่ด้านหลัง และทันทีที่มือเรียวบางสัมผัสกับด้ามดาบ เสียงร้องบุกโจมตีของคนที่ซุกซ่อนอยู่ก็ดังขึ้น

ราเชนโยนถุงสัมภาระลงพื้นทันที พลางชักดาบสั้นที่เหน็บอยู่ด้านหลังเข้าร่วมตะลุมบอนกับสมาชิกกองเกวียนหญิงที่ไม่หวั่นต่อกลุ่มโจรป่าเหล่านี้ ชายหนุ่มกวาดสายตามองหน้าของกลุ่มโจร แล้วรู้สึกคุ้นเคยกับคนพวกนี้ขึ้นมาทันใด ด้วยแต่ละคนต่างมีคดีอุกฉกรรจ์ติดตัว และอยู่ในหมายจับของเจ้าหน้าที่พิทักษ์สันติราษฎร์ของแต่ละรัฐกันถ้วนหน้า

กลุ่มโจรป่ามักโจมตีกลุ่มพ่อค้าและกองคาราวาน แต่จะโจมตีเฉพาะกลุ่มที่มีสายลับจากรัฐต่าง ๆ แฝงตัวเข้ามาเท่านั้น มันจึงไม่น่าใช่กลุ่มโจรป่าที่ราเชนตามหา ชายหนุ่มถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย ก่อนฟาดหน้าแข้งลงบนก้านคอของโจรคนหนึ่งที่เงื้อดาบเข้ามาหาเขาอย่างหมายชีวิต

“กรี๊ด!” เสียงกรีดร้องของสมาชิกหญิงคนหนึ่งดังขึ้น เรียกสายตาจากสมาชิกหญิงคนอื่นให้หันไปมอง และทุกคนก็ต้องเบิกตากว้าง เมื่อเจ้าของเสียงกรีดร้องโดนกลุ่มโจรรุมฟันถึงสามคนจนกลางหลังเปียกโชกไปด้วยเลือดสีแดงเข้ม

“ไอ้หน้าตัวเมีย!” สารัสสะคำรามอย่างเดือดดาล ก่อนพุ่งกระโจนไปช่วยสมาชิกหญิงของตัวเองอย่างไม่สนใจดาบหลายเล่มที่ฟาดฟันลงมา จนราเชนต้องเข้าไปช่วยกันดาบเหล่านั้นให้หัวหน้ากองเกวียนหญิงเลือดร้อน

“สารัสสะ อย่าบุ่มบ่าม...” ราเชนเอ่ยเตือนอย่างเป็นห่วงเมื่อหญิงสาวไม่ห่วงความปลอดภัยของตัวเอง พลางเขวี้ยงดาบสั้นในมือของตัวเองไปยังโจรคนหนึ่งที่กำลังจ้วงแทงสมาชิกหญิงอีกคนทีเผลอ และเมื่อเขาไร้อาวุธ เหล่าโจรก็เข้ามารุมเล่นงานเขาแทน

...แต่ดูเหมือนมันจะเลือกคู่ต่อสู้ผิดคนเสียแล้ว

ชายหนุ่มดึงมีดสั้นที่เหน็บอยู่ใต้ผ้าคาดเอวหกเล่ม แล้วปาปักคอหอยกลุ่มโจรชะตาขาดที่เข้ามากลุ้มรุม ชนิดไม่เว้นช่องว่างให้อีกฝ่ายได้ถอนตัวหนีทัน มีดหนึ่งเล่มต่อหนึ่งชีวิตที่ร่วงหล่นราวใบไม้ที่ถูกปลิด และเพียงเวลาไม่นาน สมาชิกกองเกวียนหญิงก็ควบคุมสถานการณ์ได้

ราเชนมองดูโจรเจ็ดคนที่รอดพ้นจากคมมีดของเขาไปได้อย่างโชคช่วย แต่กรรมของการที่มาปล้นแบบไม่ดูตาม้าตาเรือ ก็ทำให้บาดเจ็บสะบักสบอมกันถ้วนหน้า คนพวกนั้นถูกสมาชิกกองเกวียนหญิงใช้ดาบจ่อให้รวมกลุ่มกัน โดยไม่วายส่งสายตาแค้นเคืองให้กับพวกเธอ เขาปล่อยให้สมาชิกกองเกวียนหญิงจัดการกับโจรอหังการพวกนี้ไป เพราะอย่างไรเสีย เขาก็บังเอิญมาอยู่ตรงนี้เท่านั้น

ร่างสูงเดินเลี่ยงการพิจารณาโทษของสมาชิกกองเกวียนหญิง โดยการปลีกตัวไปเก็บมีดสั้นมาจากร่างไร้ชีวิตของโจรชะตาขาด สายตาพลางเหลือบมองสารัสสะที่หอบพยุงสมาชิกหญิงที่บาดเจ็บ ไปยังเกวียนด้านหลัง ซึ่งใช้เป็นที่ปฐมพยาบาลคนเจ็บชั่วคราว ก่อนเดินมาทางพวกโจรที่ถูกสมาชิกหญิงในกลุ่มควบคุมตัวไว้ แล้วเท้าสะเอวมองดูโจรเหล่านี้ด้วยสายตาถมึงทึง

“พวกเจ้ารอดได้แค่ตอนนี้เท่านั้นแหละ พรรคพวกของข้าไม่ปล่อยพวกเจ้าไว้แน่” โจรกล้าคนหนึ่งที่ไม่ยอมแพ้ เอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงเคียดแค้น พวกเขาไม่คิดเลยว่าตนเองจะต้องมาแพ้ให้กับผู้หญิงท่าทางอ้อนแอ้นบอบบางกันทั้งคณะเช่นนี้

สมาชิกกองเกวียนหญิงมองหน้าสลับกันไปมา แล้วสายตาทุกคู่ก็หยุดอยู่ที่หัวหน้ากองเกวียนที่ยังทำท่าทางเงียบขรึม ซึ่งมีแต่คนที่รู้จักเธอเท่านั้น ที่รู้ว่านี่คือการข่มอารมณ์โกรธอย่างสุดกำลังของเจ้าตัว

สารัสสะต้องคุมอารมณ์ของตัวเองเป็นอย่างมาก เพื่อไม่ให้กระทำอะไรที่รุนแรงเกินไปกับโจรกลุ่มนี้ เพราะแต่ละคนนั้นต่างมีชื่ออยู่ในหมายจับของแต่ละรัฐกันถ้วนหน้า ถ้านำไปส่งให้ทางการ เงินค่าหัวที่ได้มาก็เรียกว่าอยู่สบายโดยไม่ต้องทำมาค้าขายไปได้ถึงหนึ่งปี

“พรรคพวกของเจ้างั้นหรือ...”

เหล่าโจรพากันหัวเราะข่มทับ เมื่อเห็นท่าทางลังเลไม่แน่ใจของเหล่าสมาชิกกองเกวียนหญิง เพราะจะว่าไปโจรที่เหล่าพ่อค้าหวั่นเกรงนั้นมีอยู่แค่พวกเดียว ซึ่งพวกมันก็เฉลยกลับไปอย่างไม่เกรงกลัวเลยว่าขณะนี้ตัวเองกำลังเสียเปรียบอยู่

“พรรคพวกของข้าก็คือกลุ่มโจรที่กำลังอาละวาดอยู่ตอนนี้ไงล่ะ”

ราเชนที่ยืนฟังอยู่ไม่ห่างหลุดหัวเราะออกมาเสียงเบา เขาว่าโจรกลุ่มนี้นอกจากจะเลือกเหยื่อผิดแล้ว ยังเลือกหาข้ออ้างมาโดยไม่ดูคนที่ตัวเองกำลังสนทนาด้วย ไม่มีทางที่สารัสสะจะไม่รู้เรื่องราวของโจรป่าที่กำลังอาละวาดอยู่รอบเมืองบูกิต และนั่นรวมไปถึงรูปแบบการปล้นอันเป็นเอกลักษณ์ของโจรกลุ่มนี้ ที่หากเป็นพ่อค้าธรรมดาก็คงถูกหลอกได้ง่าย ยกเว้นแต่เจ้าแม่การข่าวที่เริ่มอารมณ์ขึ้นคนนี้

ท่าทางเงียบขรึมของหญิงสาวที่แสดงออกอยู่เมื่อครู่ เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นโมโหโกรธา ราวกับพระพิโรธลงมาประทับ มือเรียวบางที่ไม่น่าจะจับดาบได้ ตวัดดาบสั้นที่เหน็บเก็บไว้ด้านหลัง แล้วฟันลงไปบนใบหูของคนปากบอนจนขาดกระเด็นอย่างที่ไม่มีสายตาของใครมองทัน

“ถ้าอย่างนั้นข้าจะตามล่าพรรคพวกของเจ้าก่อนถูกล่า! บอกที่ซ่อนของพวกเจ้ามา ไม่งั้นข้าจะตัดหู เฉือนปากพวกเจ้าทีละคน!”

ยามเจ้าแม่โกรธ ใครเล่าจะกล้าเผชิญหน้า แม้แต่โจรโชคร้ายกลุ่มนี้ก็ยังอดหน้าซีด และตัวสั่นด้วยความหวาดเกรงต่ออาการองค์ลงของหัวหน้ากองเกวียนหญิงผู้นี้ไม่ได้ เธอถลึงตาจ้องพวกโจรด้วยความเดือดดาล พลางยกดาบชี้หน้าพวกโจรทีละคน

“จะบอกความจริง หรือจะให้ข้าเฉือนปากพวกเจ้าจนหมดสิทธิ์พูด!”



Create Date : 06 กุมภาพันธ์ 2551
Last Update : 6 กุมภาพันธ์ 2551 21:42:15 น.
Counter : 563 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ฌา
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



New Comments
All Blog