พิษเสน่หา 24
๒๔ ตำนานสีน้ำเงิน

บรรยากาศหดหู่แผ่คลุมไปทั่วห้อง เมื่อเจ้าหลวงวิวัสวัตทรงหวนนึกไปถึงอดีตอีกครั้ง และเมื่อรู้สึกองค์ก็ทรงแย้มโอษฐ์ขอโทษ ที่เผลอทำให้อีกฝ่ายรู้สึกอึดอัดไปกับบรรยากาศเคร่งเครียดที่ทรงปล่อยออกมา

“ขอโทษนะที่ทำให้รู้สึกไม่ดีกัน”

“ข้าต่างหากที่ต้องขอโทษ ที่ทำให้ต้องนึกเรื่องไม่ดี” ราเชนตอบกลับไปอย่างรู้สึกผิด ความจริงเขาอยากบอกเรื่องที่ตัวเองอาจได้เจอเชื้อสายโอรสสวรรค์ แต่พอจะเอื้อนเอ่ยออกไป ริมฝีปากก็พลันหนักอึ้ง พูดไม่ได้เสียอย่างนั้น

“ไม่หรอก มันทำให้ข้านึกอะไรหลาย ๆ เรื่องขึ้นมาได้” เจ้าหลวงวิวัสวัตทรงแย้มพระสรวลไม่ให้อีกฝ่ายคิดมาก แต่มันก็เป็นรอยสรวลที่แห้งเหี่ยวนัก ด้วยรอยแผลแห่งอดีตหนักหนาเสียจนยากจะรักษาให้หายขาดได้

“จิรัฐจินดา...”

ชื่อที่ถูกเอ่ยออกมาทำให้ราเชนสะดุดหูยิ่งนัก นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่ชายหนุ่มได้ยินชื่อนี้ และเจ้าชายชัยนเรนทร์ก็สนพระทัยกับชื่อที่ไปคล้ายกับชื่อของประธานองคมนตรีแห่งปามะห์

“ใครน่ะ”

เจ้าหลวงวิวัสวัตแย้มโอษฐ์เล็กน้อยโดยไม่ตรัสตอบอะไร ชื่อนี้ปรากฏขึ้นในตอนที่ทรงหลบหนีออกมาจากปราสาทเทพบันเทิง พระองค์ทรงพลัดหลงกับกลุ่มของสมเด็จพระราชินีที่ทรงหลบหนีมาด้วยกัน ตอนนั้นพระองค์เกือบสิ้นพระชนม์ไปแล้วเสียด้วยซ้ำ เมื่อกลุ่มมือสังหารของกบฎสิงหนาทตามรอยของมาทัน จนเกิดการตะลุมบอนโดยมีพระองค์อยู่ตรงกลางวง แต่ชะตาของพระองค์คงยังไม่ถึงฆาต เมื่อมีใครคนหนึ่งพาคนฝ่าทะลวงจากการรายล้อมของกลุ่มมือสังหาร เข้ามาช่วยเหลือทหารราชองครักษ์ที่ถูกรุมสิบต่อหนึ่ง

ชายคนนั้นมีผมสีขาวพิสุทธิ์ และดวงตาสีฟ้าครามที่แสนเศร้าสร้อย เขาบุกฝ่ากลุ่มมือสังหารที่ได้ชื่อว่าแข็งแกร่งที่สุดในกูราเข้ามาอย่างง่ายดาย และแต่ละครั้งที่เขาลงดาบฟาดฟันศัตรู มันก็ได้นำพาความตายสู่คนผู้นั้นอย่างไม่ทันตั้งตัว แล้วดูเหมือนทหารราชองครักษ์ของพระองค์จะรู้จักชายผู้นั้นดี จึงได้เรียกชื่อของเขาให้พระองค์ได้ยินก่อนหมดพระสติไป และพอพระองค์ฟื้นขึ้นมาอีกทีก็อยู่ในเรือที่ล่องไปต่างแคว้นเสียแล้ว ซึ่งการหลบหนีออกนอกแคว้นครั้งนั้น ก็มาจากการช่วยเหลือของชายที่ชื่อว่าจิรัฐจินดา

“ข้าเองก็ไม่รู้อะไรมาก คนเก่าคนแก่ที่พอจะรู้เรื่องของเขาก็ตายไปหมดแล้ว แต่ข้าสังเกตเห็นรอยต่อบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับเขา...จิรัฐจินดา”

หากเจ้าหลวงวิวัสวัตทรงคาดเดาสิ่งที่คิดไว้ถูก มหาเสนาบดีผู้ลึกลับคนนั้น อาจเป็นคนเดียวกับจิรัฐจินดา ที่ยกกำลังพลของตัวเองเข้าช่วยเหลือเจ้าหลวงแห่งกูราปราบกบฎ พระองค์ทรงได้ยินข่าวลือจากทหารราชองครักษ์ที่รอดชีวิตมาได้ และซ่องสุมกำลังพลเป็นกองทัพต่อต้านกบฎสิงหนาทอยู่ตามตะเข็บชายแดน ว่าเห็นชายหนุ่มผมขาวคนนั้นเข้าไปในปราสาทเทพบันเทิง และมันเป็นครั้งสุดท้ายที่ทุกคนเห็นเขา ก่อนมีข่าวการสิ้นพระชนม์ของเจ้าหลวงตามมา

แต่ไม่มีใครพบศพของเขาสักคน มันจึงบอกไม่ได้ว่าเขาเสียชีวิตไปแล้ว หรือยังมีชีวิตอยู่มาจนถึงปัจจุบัน

“เขายังมีชีวิตอยู่” ในที่สุดราเชนก็เอ่ยออกมาได้ หลังจากที่ทำเสียงหายไปนาน บทสนทนาของพวกโจรก่อนที่เขาหมดสติไป บอกถึงชื่อผู้อยู่เบื้องหลังที่แท้จริง “เขาอยู่เบื้องหลังกลุ่มโจรที่ข้ากำลังตามสืบอยู่”

และหากจิรัฐจินดาคนนี้เป็นคนเดียวกันกับคนที่เจ้าหลวงวิวัสวัตตรัสถึง ชายหนุ่มก็สงสัยว่าทำไมฝ่ายนั้นจึงได้เล่นงานสีน้ำเงินที่เป็นพวกเดียวกัน

“จินดา...จิรัฐจินดา” เจ้าหลวงวิวัสวัตทรงทวนสองชื่อนี้สลับไปมา พลางขมวดพระขนงยุ่ง

“ทั้งสองชื่อนี้ต่างเกี่ยวข้องกับสีน้ำเงินเหมือนกัน คิดว่าจะเป็นคนเดียวกันได้ไหม”

“ท่านจินดาไม่เคยแม้แต่จะจับดาบให้เห็น” เจ้าชายชัยนเรนทร์ส่ายพักตร์อย่างไม่เห็นด้วย เช่นเดียวกับราเชนที่ยังหาความน่าจะเป็นไม่ได้ “แล้วคนอย่างพ่อข้าน่ะมีนิสัยประหลาด เห็นยอดฝีมือทีไรเป็นต้องเข้าไปท้าตีอยู่เรื่อย ถ้าท่านจินดาเก่งจริงก็คงโดนพ่อข้าท้าตีไปนานแล้ว ไม่ปล่อยให้อยู่อย่างสงบหรอก”

เจ้าหลวงวิวัสวัตแย้มโอษฐ์ออกมาเล็กน้อย กับสิ่งที่เจ้าชายชัยนเรนทร์กล่าวถึงพระบิดาที่มีพระนิสัยแปลกไม่เหมือนใคร พระองค์เคยพบเจ้าหลวงพระองค์นั้นอยู่ไม่กี่ครั้ง เท่าที่ทรงจำได้ก็มีตอนงานพระราชพิธีอภิเษกสมรสของเจ้าหลวงแห่งกูรา ที่ได้ทรงทำความรู้จักอย่างเป็นทางการ

“แล้วท่านจินดาเป็นใครมาจากไหน พวกเจ้ารู้หรือเปล่า”

ราเชนกับเจ้าชายชัยนเรนทร์มองหน้าสลับกันไปมา และเกิดอาการอ้ำอึ้งเป็นครั้งแรก เพราะตั้งแต่จำความได้ก็เห็นชายผู้นั้นทำงานอยู่ข้างองค์เจ้าหลวงมาตลอด ยิ่งเจ้าหลวงทรงตรัสออกมาจากโอษฐ์เอง ว่าเป็นเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ที่ทรงไว้ใจมากที่สุด ทำให้พวกเขาไม่เคยแม้แต่จะคิดสืบประวัติของประธานองคมนตรีแห่งปามะห์ ว่าเป็นคนจากแว่นแคว้นใด

“แล้วเรื่องสตรีสีน้ำเงินที่เป็นภรรยาของท่านล่ะเป็นใคร” เจ้าหลวงวิวัสวัตตรัสถามต่อ ซึ่งคราวนี้ราเชนกับเจ้าชายชัยนเรนทร์ถึงกับใบ้กิน เพราะไม่มีคำตอบให้ เจ้าหลวงจึงหลุดเสียงพระสรวลอย่างอ่อนพระทัย พลางส่ายพักตร์ไปมา

“พอเป็นเรื่องคนใกล้ตัวนี่ไม่มีใครสังเกตเห็นอะไรเลยนะ ต้องให้คนไกลตัวมาช่วยจี้ ถึงเพิ่งรู้สึกตัวกัน”

“แล้วเรื่องของเจ้าฟ้าหญิงที่ทรงหลบหนีเข้ามาในปามะห์ล่ะ” คำถามของราเชนทำให้เจ้าหลวงวิวัสวัตถอนปัสสาสะออกมาเฮือกใหญ่

หลังจากที่เจ้าหลวงวิวัสวัตกลับคืนแผ่นดินในอีกสามปีต่อมา ก็ทรงเข้าร่วมกับกลุ่มต่อต้านต่อสู้กับกบฎสิงหนาทเป็นเวลาหลายปีกว่าจะได้รับชัยชนะ และสิ่งแรกที่ทรงกระทำเมื่อได้แผ่นดินกลับมา คือการส่งคนตามหาพี่น้องที่สาบสูญ ซึ่งข่าวส่วนใหญ่ที่ทรงได้รับมานั้นมีแต่ข่าวความสูญเสียที่ทำร้ายพระหทัยของพระองค์จนปวดร้าว โดยเฉพาะเรื่องของสมเด็จพระราชินีที่มีปริศนาทิ้งไว้มากมาย

กลุ่มของสมเด็จพระราชินีที่หลบหนีออกมาเป็นพวกแรกนั้น มีเจ้าฟ้าชายและเจ้าฟ้าหญิง พระองค์เจ้าสร้อยแสงจันทร์ พระองค์เจ้าโสมสวรรค์ที่ทุกคนพากันเรียกว่าองค์โสมกันจนติดปาก และพระองค์เจ้าวิวัสวัต ซึ่งผลจากการตามล่าของมือสังหาร ทำให้เจ้าชายน้อยพลัดหลงไปก่อนพระองค์แรก และดูเหมือนจะเป็นพระองค์เดียวที่รอดพ้นเงื้อมมือมัจจุราชไปยังที่ห่างไกลได้สำเร็จ

ส่วนพระองค์เจ้าสร้อยแสงจันทร์กับองค์โสมนั้น ถูกฝ่ายทาลางทูรที่อยู่เบื้องหลังกบฎสิงหนาทจับตัวไป พระองค์แรกถูกพาหนีออกมาได้ และหายตัวไปอย่างลึกลับ ส่วนอีกองค์ก็กลายเป็นมเหสีของเจ้าหลวงแห่งทาลางทูร จนทำให้เกิดปัญหาอยู่ในตอนนี้ แต่เจ้าหลวงวิวัสวัตก็ไม่ได้โกรธเคืององค์โสมที่เป็นต้นเหตุของปัญหานี้ พระองค์ทรงดีพระทัยเสียด้วยซ้ำที่พระพี่นางยังทรงมีพระชนม์ชีพอยู่ เพราะนั่นทำให้ยังทรงรำลึกได้ว่ายังมีครอบครัวที่ต้องปกป้อง

“ไม่ใช่เจ้าฟ้าหญิง เป็นสมเด็จพระราชินีต่างหาก ความจริงเราปล่อยข่าวไปว่าทรงสิ้นพระชนม์ทั้งสองพระองค์ แล้วก็ตามหาพระองค์อย่างลับ ๆ แต่ในหมู่เราก็ยังมีคนทรยศ มันนำเรื่องนี้ไปแจ้งแก่ทาลางทูร รวมถึงเรื่องที่ทรงนำสัญลักษณ์ของเชื้อสายเทพมาด้วย แล้วเรื่องราวหลังจากนั้นก็เป็นไปตามที่พวกเจ้ารู้นั่นแหละ”

“แล้วสัญลักษณ์ที่ว่ามันคืออะไรล่ะ” เจ้าชายชัยนเรนทร์ตรัสถามอย่างสนพระทัย เรื่องราวของกูรานั้นอิงตำนานมากมาย ซึ่งหากมีเวลาพระองค์ก็อยากถามถึงตำนานทั้งหมดของกูราว่ามันมีความจริงปะปนมากน้อยแค่ไหน

“สร้อยไพลินที่ตกทอดกันมาตั้งแต่รุ่นบรรพบุรุษ ด้านหลังฐานประดับไพลิน มีแผนที่ที่จะพาผู้ครอบครองไปสู่ท้องพระคลังลับ กับพระธำมรงค์ที่เป็นกุญแจเข้าสู่ท้องพระคลัง ในนั้นมีสมบัติซุกซ่อนอยู่มากมายมหาศาล สิงหนาทก็รู้เรื่องนี้ และเคยเข้าไปเห็นมาแล้ว” เจ้าหลวงวิวัสวัตแย้มโอษฐ์ด้วยท่าทางดูหมิ่น ความโลภเพียงตัวเดียวที่บังตานายพลผู้นั้น และมันก็ได้นำภัยมาสู่ชาวสีน้ำเงิน

“สมบัติ!” คงมีแต่เรื่องนี้เพียงเรื่องเดียวที่ทางปามะห์ไม่เคยล่วงรู้ และหากทางปามะห์รู้ถึงสมบัติมหาศาลที่ทางกูราซุกซ่อนไว้ จะเกิดความละโมบเช่นเดียวกับพลเอกสิงหนาท และทาลางทูรหรือไม่

...คงมีแต่สวรรค์เท่านั้นที่ล่วงรู้

แต่ถึงไม่ถามสวรรค์ เจ้าหลวงวิวัสวัตก็ทรงมั่นพระทัยในความซื่อสัตย์ของปามะห์ที่ทรงสัมผัสได้หลายครา ดังนั้นพระองค์จึงทรงยอมไขความลับของชาวสีน้ำเงินที่ไม่มีใครรู้ออกมาอย่างไม่ปิดบัง

“กูราไม่เคยเป็นลานุน...โจรสลัด” เจ้าหลวงวิวัสวัตตรัสอย่างเชื่องช้า เพื่อเรียบเรียงตำนานที่ถูกเล่าขานกันมาปากต่อปาก “ลานุนผู้นั้นต่างหากที่เข้ามาเป็นกูรา เขาเป็นหัวหน้าโจรสลัดที่เลื่องชื่ออยู่ในน่านน้ำแถบนี้ และครอบครองสมบัติที่ได้มาจากการปล้นสะดมมากมาย สมบัติที่อยู่ในท้องพระคลังลับก็มาจากเขา”

“เอ๊ะ! แล้วเรื่องตำนานเทพเจ้าเอย เชื้อสายโอรสสวรรค์เอย เรื่องนี้มันเป็นศูนย์รวมศรัทธาของกูราเลยไม่ใช่หรือ”

เจ้าหลวงวิวัสวัตแย้มพระสรวลกับคำตรัสของพระสหาย สำหรับพระองค์แล้วตำนานนั้นดูจะเป็นตำนานรักเสียมากกว่า ลานุนหนุ่มผู้คร่าชีวิตคนไม่เลือกหน้า ประกาศศักดาถึงความเหี้ยมหาญ จนผู้คนพากันครั่นคร้าม กลับมาสยบต่อผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนหนึ่ง...เจ้าหญิงผู้ทรงมีพระสิริโฉมงดงาม แต่มีดวงเนตรที่เศร้าสร้อย

ในตำนานเล่าขานว่าขณะที่กูราประสบกับเภทภัยทางธรรมชาตินานาชนิด ผู้คนพากันล้มตายเป็นจำนวนมาก เจ้าหญิงรัชทายาทได้วิงวอนเทพเจ้าขอให้แผ่นดินกลับคืนสู่ความสงบสุบ โดยขอใช้ชีวิตของพระองค์เป็นเครื่องบูชา แล้วในคืนนั้นก็ทรงพระสุบินเห็นเทพเจ้าองค์หนึ่งเสด็จมาหา ท่านบอกว่าเชื้อสายของเทพเจ้าผู้มีดวงตาดุจสีรัตติกาลจะเสด็จมา เพื่อหยุดยั้งภัยพิบัติ จงมอบชีวิตของเจ้าหญิงให้กับเขา

และทุกอย่างมันช่างประจวบเหมาะ หลังจากที่ลานุนหนุ่มผู้นั้นเหยียบย่างเข้ามาในแผ่นดินกูราได้ไม่นาน ภัยพิบัติจากธรรมชาติก็เริ่มหายไปทีละอย่าง เจ้าหญิงตามหาโอรสสวรรค์ด้วยองค์เอง และพบกับลานุนหนุ่มคนนั้น ทั้งคู่ตกหลุมรักกันทันทีที่ได้พบหน้าสบสายตา และดูเหมือนธรรมเนียมรักแรกพบจะตกทอดมายังลูกหลานทุกรุ่น ดังเช่นเจ้าหลวงพระอาทิตย์ที่ได้ตกหลุมรักคุณหนูพระจันทร์

“เพราะเรามีตาสีน้ำเงินแบบนี้กันหมดทุกรุ่น สีตาที่แสดงถึงความเป็นเชื้อสายของโอรสสวรรค์ ไม่ว่าเราจะอภิเษกกับใคร สายเลือดสีน้ำเงินก็ไม่มีวันจางหาย ยังคงตกทอดอยู่ในดวงตาของเรามาหลายร้อยปี”

“แล้วเทพราชาแห่งน่านฟ้ามืดล่ะ” คำถามของราเชนที่โพล่งออกไป ทำให้ดวงพักตร์ของเชื้อสายโอรสสวรรค์แปลกเปลี่ยนไปเล็กน้อย พระองค์ทอดพระเนตรพระสหายที่ทำหน้าเหมือนกับว่าได้เผลอหลุดคำถามที่ไม่ควรถามออกไปเสียแล้ว จึงได้แต่ถอนหายใจเฮือกออกมา

“ไปเอาชื่อนั้นมาจากไหน ราเชน”

“ที่นี่...ข้าคิดว่าที่นี่มีสีน้ำเงินซุกซ่อนอยู่”

“ใช่เรื่องเดียวกับที่เจ้าให้คนส่งข่าวมาหาข้าใช่ไหม” เจ้าชายชัยนเรนทร์ตรัสถามอย่างนึกขึ้นได้ และนี่ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่พระองค์ทรงเตรียมตัววางแผนมายังบูกิต เพื่อถามรายละเอียดเกี่ยวกับสีน้ำเงินจากราเชน แต่พระองค์ก็ดันได้ข่าวว่าเจ้าตัวบาดเจ็บสาหัสเสียก่อน เจ้าชายจึงทรงวางงานทั้งหมดลง แล้วมายังบูกิตทันที

“จริงหรือ” เจ้าหลวงวิวัสวัตทรงรู้สึกตื่นเต้นที่ได้ยินข่าวคราวพี่น้องที่สาบสูญ “องค์ไหน”

“ข้าไม่รู้หรอก ตอนนั้นข้ารู้สึกเหมือนครึ่งหลับครึ่งตื่น และได้ยินนางพูดถึงเรื่องเทพราชาแห่งน่านฟ้ามืด”

เจ้าหลวงวิวัสวัตถอนปัสสาสะอย่างสะทกสะท้านใจ หากพี่น้องสีน้ำเงินซุกซ่อนอยู่ในเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้จริง มันก็เป็นเรื่องที่น่าอับอายขายหน้ามาก ทั้งกูรา ปามะห์หรือทาลางทูรต่างไม่เคยคิดเลย ว่าเชื้อสายเทพจะอยู่ใต้จมูกของรัฐทั้งสามเช่นนี้ อีกทั้งมือสังหารที่ทาลางทูรส่งมาตามล่าสีน้ำเงินก็ผ่านเมืองนี้อยู่บ่อยครั้ง แต่คนพวกนั้นก็ไม่ระแคะระคายถึงคนที่ตัวเองตามล่า

“หากเปรียบเจ้าหลวงฑิคัมพรเป็นเทพแห่งกลางวัน ก็ย่อมต้องมีเทพแห่งกลางคืน” เจ้าหลวงทรงตรัสเสียงแผ่วเบา ยามนึกถึงราชาเงาผู้ไม่เคยปรากฏองค์ให้ผู้ใดได้เห็น “เทพราชาแห่งน่านฟ้ามืด คือภาคที่แสดงความบ้าคลั่งของเทพเจ้า...ดุดันดั่งเทพสงคราม แต่ก็เศร้าสร้อย”

ประโยคหลังเป็นคำตรัสของพระองค์เจ้าสร้อยแสงจันทร์ ยามที่พระอนุชาองค์เล็กตรัสถามถึงเทพเจ้าที่น่ากลัวในสายพระเนตรของเจ้าชายน้อย และพระเชษฐภคินีจะตรัสตอบด้วยท่าทางเศร้าสร้อยทุกครั้งที่เอ่ยถึงราชาเงาแห่งกูรา มันทำให้เจ้าหลวงทรงนึกถึงเจ้าของดวงตาสีฟ้าครามที่แสนเศร้า

คนผู้นั้นจะเป็นราชาเงาที่เจ้าชายน้อยเคยหวาดกลัวหรือไม่ ชายผู้มีรอยยิ้มอบอุ่นอ่อนโยนดั่งแสงสุริยัน สง่าและเยือกเย็นดุจแสงจันทรา

“จิรัฐจินดา...จินดา” เจ้าหลวงทรงทวนสองชื่อนี้อีกครั้ง ก่อนตัดสินพระทัยแน่วแน่ ความลับบางอย่างที่ซุกซ่อนอยู่อาจเปิดเผย หากพระองค์ได้พบคนใดคนหนึ่ง และคนที่ทรงติดตามได้ง่ายในตอนนี้ก็มีอยู่คนเดียว

“ข้าอยากพบท่านจินดา”

“ไม่ยาก...” เจ้าชายชัยนเรนทร์ตรัสขึ้นด้วยท่าทางนึกสนุก พระองค์ได้ยินจากปลายมาศว่าได้ถ่ายโอนอำนาจควบคุมความปลอดภัยในบ้านพรหมเทวาไปยังผู้ควบคุมคนก่อน ที่เคยสร้างความครั่นคร้ามต่อกลุ่มโจรทั่วปามะห์มานักต่อนัก พระองค์อยากทดสอบดูสักหนว่าตนเองจะฝ่าด่านสุดโหดเข้าไปด้านในได้หรือไม่

“ข้าจะพาไปหาท่านจินดาถึงเตียงนอนของท่านเลย”

ราเชนได้แต่ยิ้มและส่ายหน้าไปมาอย่างหน่ายใจ ความหมายของเจ้าชายชัยนเรนทร์บอกให้รู้แล้วว่าจะทรงใช้วิธีไหนเข้าไป “ระวังหน่อยแล้วกัน บ้านนั้นดุทั้งคนทั้งหมา”

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


พอเวลาเย็นมาถึง เดือนฟ้าก็นำสำรับอาหารมาให้คนเจ็บกับผู้มาเยือนทั้งสองด้วยตนเอง เจ้าหลวงวิวัสวัตกับเจ้าชายชัยนเรนทร์ทรงรับรู้จากราเชนแล้ว ว่าหญิงผู้นี้คือหนึ่งในภรรยาของท่านจินดา ที่กุมความลับของสีน้ำเงินที่ซุกซ่อนอยู่ในอารามแห่งนี้ ซึ่งมันทำให้ทั้งสองพระองค์คลายความสงสัยว่าเหตุใดเดือนฟ้าจึงถวายบังคมให้ โดยที่ทั้งสองพระองค์ยังไม่ได้แนะนำตนเอง

“ต้องขออภัยด้วยนะคะที่ไม่มีเนื้อ”

เจ้าชายชัยนเรนทร์แย้มพระสรวลอย่างไม่ถือสา พลางนึกไปถึงคนไม่กินเนื้อสัตว์ขึ้นมา “ขอให้เป็นของกิน ข้ากินได้หมดนั่นแหละ แถมคนรู้จักของข้าก็เป็นมังสวิรัติ วันดีคืนดียังเคยบังคับให้ข้ากินมังสวิรัติด้วยเลย”

มันออกจะเป็นประโยคที่ยาวเกินไปเสียหน่อย สำหรับคนที่ชอบทำมากกว่าพูดอย่างเจ้าชายชัยนเรนทร์ เจ้าหลวงวิวัสวัตจึงผินพักตร์ไปทางราเชน พร้อมทั้งส่งคำถามผ่านดวงเนตรไปว่าคนรู้จักของเจ้าชายเป็นใคร คนถูกถามทางสายตาพ่นลมหายใจใส่จมูกด้วยท่าทางเบื่อหน่าย ก่อนขยับริมฝีปากอ่านได้ความว่า “คนโปรด”

“ลูกชายของหม่อมฉันคงทำความลำบากให้มาก ต้องขอประทานอภัยด้วยนะเพคะ”

เจ้าชายชัยนเรนทร์แทบสำลักพระเขฬะ เมื่อโดนเดือนฟ้าตอบกลับมาด้วยท่าทางรู้เท่าทันว่าคนที่ทรงนินทาอยู่นั้นเป็นใคร เธอกลั้วหัวเราะเล็กน้อย และรักษารอยยิ้มนุ่มละมุนไว้เหมือนเดิม “ทรงถอดแบบมาจากเจ้าหลวงไม่มีผิดเพี้ยน หม่อมฉันย่อมจำพระองค์ได้ แม้จะไม่เคยได้พบพระองค์เลยก็ตาม ต้องขออภัยด้วยนะเพคะที่ทำทีเป็นไม่รู้จักพระองค์ในตอนแรก”

คำตอบของเดือนฟ้าคลายความสงสัยลงไปมาก แต่เจ้าชายก็อยากตรัสถามนักว่าที่ถวายบังคมให้กับเจ้าหลวงวิวัสวัต เพราะจำอีกฝ่ายได้ด้วยหรือไม่ ถึงกระนั้นพระองค์ก็ไม่ได้ตรัสถามออกไป นอกจากแสดงสายพระเนตรเคลือบแคลงใจ “รู้ด้วยหรือว่าปลายมาศทำงานให้ข้า”

“นายท่านเคยแวะเวียนมาที่นี่บ่อยครั้ง และเล่าเรื่องลูกชายให้ฟังเพคะ”

“นายท่าน?”

“ภรรยาเปรียบได้ว่าเป็นคนรับใช้ของสามี และนอกจากท่านจินดาจะเป็นสามีของหม่อมฉัน ก็ยังเป็นผู้มีพระคุณที่เคยช่วยเหลือหม่อมฉันไว้ หม่อมฉันจึงยิ่งสมควรเรียกท่านแบบนั้น”

เจ้าชายชัยนเรนทร์กลอกเนตรขึ้นมองเพดานห้อง ด้วยไม่คุ้นกับคำเรียกแบบนี้เอาเสียเลย และเดือนฟ้าก็ไม่ได้เอ่ยอะไรอีก นอกจากคอยดูแลเรื่องอาหารการกินจนทุกอย่างเสร็จสิ้น เธอจึงให้เด็กรับใช้ยกสำรับออกไปแล้วเข้าไปเปลี่ยนผ้าพันแผลให้ราเชน

“ข้าจะพาราเชนกลับไปรักษาตัวต่อที่ปามะห์ ข้าพาเขากลับไปได้เลยไหม”

“รอให้อาการของเขาทรงตัวมากกว่านี้ก่อนเถอะเพคะ ท่านราเชนเสียเลือดมากและซี่โครงร้าว อาการไข้ก็ยังมีอยู่ รอให้หายไข้ก่อนแล้วค่อยกลับดีกว่า” เดือนฟ้าหันไปตอบคำถามของเจ้าชายชัยนเรนทร์ที่ครางอือรับในพระศอ ซึ่งตามเป้าหมายจริงของพระองค์นั้นยังต้องการอยู่ในบูกิตต่อ เพื่อสืบเรื่องของสีน้ำเงินที่ถูกซุกซ่อน

“ส่วนเรื่องที่พักนั้นหม่อมฉันจะให้เด็กรับใช้เปิดห้องสำหรับผู้แสวงบุญเพิ่ม ระหว่างนั้นจะทรงทำอะไรฆ่าเวลาก็ได้เพคะ ขออย่างเดียวคืออย่าล่วงเข้าไปในเขตอารามชั้นในนะคะ ที่นั่นมีแต่ผู้หญิง มันคงไม่ดีแน่ถ้ามีผู้ชายหลงเข้าไป”

เจ้าชายชัยนเรนทร์แย้มโอษฐ์กว้าง พลางพยักพักตร์รับรู้ แต่จะกระทำตามหรือไม่นั้นก็เป็นอีกเรื่อง ยิ่งพระองค์ได้ยินราเชนพูดว่าที่นี่มีสีน้ำเงินซุกซ่อนอยู่ก็ยิ่งอยากตามหา แล้วสถานที่ที่พระองค์จะไปก็ต้องเป็นเขตหวงห้ามของอาราม ซึ่งไม่พ้นอารามฝ่ายในนั่นเอง

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


ครั้นเมื่อเข้าเวลาดึกสงัด สรรพชีวิตที่หากินยามกลางวันเริ่มเข้าสู่ห้วงภวังค์ลึก และมันเป็นช่วงเวลาที่สรรพชีวิตที่หากินยามกลางคืนจะออกมาจากที่หลบซ่อน หนึ่งในนั้นมีเจ้าชายชัยนเรนทร์ที่เปรียบองค์ดุจขโมย พระองค์ทรงเหยาะย่างไปตามแนวหลังคาด้วยฝีเท้าเบากริบ ทำองค์วับแวมกลมกลืนไปกับความมืดดุจภูตผี จนกระทั่งวรกายของพระองค์โดนแสงจันทร์สาดส่อง

แสงจันทร์...มันเป็นคำเปรียบเปรยที่หาคำใดมาแทนไม่ได้อีกแล้ว เมื่อเงามืดเช่นพระองค์ถูกแสงจันทร์จับจ้อง สตรีที่อยู่ตรงหน้านี้อยู่ในชุดนักบวชสีขาวพิสุทธิ์ ผ้าคลุมศีรษะขยับไปมาราวกับต้องลม ทั้งที่ค่ำคืนนี้สายลมก็พากันเข้าสู่นิทรา จนเจ้าชายชักลังเลว่าบุคคลตรงหน้าเป็นมนุษย์ หรือทวยเทพที่เสด็จลงมาแกล้งพระองค์ให้พระทัยหายเล่น

“หน้าของข้ามีอะไรติดอยู่งั้นหรือ” สตรีผู้มีรัศมีชวนให้ครั่นคร้ามเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเสนาะหู และท่วงท่าการวางตัวอย่างผู้ใหญ่ที่มีต่อผู้น้อยนั้นก็ดูไม่ขัดตากับสตรีนางนี้เลย

“ท่าน...เหมือนคนที่ข้ารู้จักคนหนึ่ง”

ไม่ใช่ดวงตาที่จับได้ถึงการแฝงตัวในเงามืดของเจ้าชายชัยนเรนทร์เท่านั้นที่ทำให้ตกพระทัย แต่ดวงหน้าของสตรีผู้นี้ยังทำให้เจ้าชายไพล่นึกไปถึงคุณหนูสูงศักดิ์ที่ยอมเป็นนกต่อ เดินล่อโจรบนถนนตอนกลางคืนเมื่อหลายปีก่อน และหากมีคนมาบอกว่าทั้งคู่เป็นแม่ลูก พระองค์จะไม่นึกแปลกใจเลย

“เป็นคนที่สวยเหมือนท่าน แต่ดูหยิ่งไปหน่อย”

“ข้าไม่มีลูกสาว”

“อา...ไม่ใช่ผู้หญิงแต่เป็นผู้ชาย”

เจ้าของเสียงเพราะเสนาะหูเอียงคอเล็กน้อย พลางแย้มยิ้มละมุน “ตัวท่านเองก็เหมือนคนที่ข้ารู้จักมาก ทั้งรูปร่างหน้าตา โดยเฉพาะนิสัยที่ชอบออกมาเที่ยวเล่นตอนกลางคืน ที่อาจทำให้คนรอบข้างเป็นห่วงและวุ่นวาย”

ถ้อยคำนั้นเหมือนจะหยอกเย้าเจ้าชายชัยนเรนทร์อย่างไรพิกล และคนที่มิสัยแบบเดียวกับพระองค์ก็เห็นจะมีแต่เจ้าหลวงแห่งปามะห์เท่านั้น มันได้จุดความสนพระทัยและสงสัยว่าสตรีผู้นี้จะรู้จักพระบิดาของพระองค์หรือไม่

“ที่นี่ในตอนกลางคืนอันตรายกว่าตอนกลางวัน หากอยากทำอะไรก็ทำตอนที่แสงอาทิตย์สาดส่องลงมาเถอะ อย่างน้อยแสงนั้นก็จะช่วยปกป้องท่านจากความบ้าคลั่งของเทพราชาแห่งน่านฟ้ามืด ที่ไม่แบ่งแยกว่าใครเป็นสีอะไร แม้ว่าคนผู้นั้นจะเป็นเจ้าชายก็ตาม”

“ท่าน...” วันนี้มีแต่เรื่องที่ทำให้เจ้าชายชัยนเรนทร์ตรัสไม่ออก พระองค์ทอดพระเนตรมองสตรีลึกลับที่ยังแย้มยิ้มดุจเดิม

“รู้สึกว่าท่านจะคุ้นเคยกับเทพเจ้าของเราเป็นอย่างดี ถ้าอย่างนั้นข้าก็อยากบอกเพิ่มว่า บางคนจำเป็นต้องร้าย เช่นเดียวกับเทพราชาแห่งน่านฟ้ามืดที่ไม่ได้อยากบ้าคลั่ง แต่จำต้องทำ โปรดเข้าใจด้วยว่าเราไม่ต้องการทำร้ายใคร”

“ท่านเป็นใคร...เป็นพวกสีน้ำเงินเหมือนกันหรือ” เจ้าชายตรัสถามอย่างไม่แน่พระทัย ระยะห่างระหว่างพระองค์กับสตรีคนนั้นอยู่ไกลกัน จนยากจะสังเกตได้ว่าอีกฝ่ายมีสีตาเช่นไร

“เมื่อมีกลางวันก็ย่อมต้องมีกลางคืน กลับไปพักผ่อนให้เต็มที่เสียเถอะเจ้าชาย เพราะหลังจากนี้ท่านจะต้องเหนื่อยอีกมากทีเดียว” สตรีปริศนาคลี่ยิ้มละมุน ก่อนหมุนตัวหันหลังให้เจ้าชายที่ขยับพระบาทเพื่อเสด็จตามอีกฝ่ายไป แต่จิตสังหารที่พุ่งตรงมายังพระองค์ทำให้ต้องหยุดชะงัก และนึกถึงคำเตือนของเธอขึ้นมา

“เดี๋ยวก่อน!” เจ้าชายจำต้องใช้เสียงหยุดอีกฝ่ายไว้ แล้วตรัสออกไปรัวเร็ว “วิวัสวัตกำลังตามหาพวกท่านอยู่นะ ไม่คิดจะไปพบเขาหน่อยหรือ”

ร่างโปร่งระหงชะงักฝีเท้า และยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นเนิ่นนาน ก่อนตัดสินใจต่อบทสนทนากลับไป “ข้าไม่ใช่พี่น้องที่เขาตามหา ส่วนพี่น้องคนอื่นเต็มใจที่จะยกบัลลังก์สีน้ำเงินให้เขา จึงไม่มีใครคิดอยากไปพบหน้าเขา บอกวิวัสวัตว่าบัลลังก์นั้นเป็นของเขาอย่างชอบธรรม ขอให้เขาดูแลแผ่นดินนั้นให้ร่มเย็นเป็นสุขตลอดรัชสมัยที่เขาปกครอง”



Create Date : 13 กุมภาพันธ์ 2551
Last Update : 13 กุมภาพันธ์ 2551 18:02:06 น.
Counter : 592 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ฌา
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



New Comments
All Blog