พิษเสน่หา 3
3 การสนทนาของคนสามคน

ราเชนยังเดินเล่นต่อไปเรื่อย ๆ โดยไม่มีทีท่าจะกลับเคหาสน์ของตัวเอง ผู้สะกดรอยยังคงทำหน้าที่ตามที่เจ้านายของตัวเองสั่งมาได้อย่างดีเยี่ยม นั่นคือการติดตามการเคลื่อนไหวของผู้ทรงอิทธิพลมืดว่าจะไปยังที่แห่งใดต่อ จนกระทั่งเขาเลี้ยวเข้าแหล่งเริงรมย์ ไปยังหอนางโลมที่ชอบแวะเวียนไปบ่อยครั้งที่สุด ก็ทำเอาผู้สะกดรอยที่เฝ้าตามอยู่ครึ่งคืนรู้สึกท้อ

มันเป็นสิ่งที่ทุกคนรู้อยู่ว่า หากราเชนเข้าแหล่งเริงรมย์คราใด กว่าเขาจะออกมาจากที่นั่นก็เป็นตอนรุ่งสาง เหล่าผู้สะกดรอยที่แม้จะมาจากเจ้านายคนละคน แต่ก็มีความคิดเหมือนกันคือเฝ้ารู้ดูสักพัก เพื่อให้มั่นใจว่าไม่เป็นกลลวง และเมื่อเห็นว่าเจ้าปาเยนทร์ไม่มีวี่แววจะออกมาจากหอนางโลมแห่งนั้นแน่ ก็ตัดสินใจกลับไปรายงานเจ้านายของตน

และพวกเขาก็ไม่รู้เลยว่าตัวเองถูกเฝ้าจับตามองนับตั้งแต่ล่วงเข้ามาในหอนางโลมแห่งนี้

เหล่าคณิกาที่เฝ้าดูการเคลื่อนไหวของผู้แอบแฝงพากันหัวเราะคิกคัก แล้วแข่งกันวิ่งไปยังห้องชั้นบนที่อยู่ด้านในสุด อันเป็นห้องรับรองแขกระดับสูงของหอมวลบุปผา ซึ่งขณะนี้มีบุรุษที่เหล่าสตรีต่างเฝ้าฝันอยากเป็นคู่ชิดสนิทใกล้อยู่ในนั้น แต่พวกเธอก็ต้องผิดหวังเมื่อบุรุษนั้นไม่ได้อยู่เพียงลำพัง

“พอเจ้ามาที่นี่ทีไร เด็ก ๆ ของข้าก็กระตือรือร้นทำงานให้เจ้าทุกทีเลยนะ” เสียงหวานเอ่ยขึ้นแผ่วเบา พลางกลั้วหัวเราะเมื่อได้เห็นสีหน้าผิดหวังของแต่ละคนที่เข้ามา “ลดเสน่ห์ของเจ้าลงสักหน่อย หรือไม่ก็หาคู่ดูตัวเสียที ข้าจะดีใจมากเลย”

คนถูกค่อนขอดโคลงศีรษะไปมา พลางโปรยยิ้มหวานไปยังเหล่าคณิกาที่เริงร่าขึ้นราวปลาได้น้ำ โดยหลงลืมแม่เล้าของตัวเองไปชั่วขณะ พวกเธอพากันแย่งรายงานเรื่องผู้สะกดรอยที่ตัวเองตามประกบ แล้วเฝ้ารอคำชมเชยจากชายหนุ่มที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนโซฟาสีน้ำตาลตัวยาว

“ขอบคุณมาก” แค่เพียงคำพูดนุ่มนวลของราเชน ก็เปรียบดังน้ำอมฤตที่คอยหล่อเลี้ยงจิตใจของผู้ฟังให้สดชื่นได้เป็นอาทิตย์

“เอ้า! มัวยืนเหม่ออยู่ได้ ไปทำงานของตัวเองต่อได้แล้ว” เสียงหวานเจือดุปลุกเหล่าคณิกาให้ตื่นขึ้นจากฝัน พวกเธอพากันทำท่าเสียดายที่ราเชนไม่มีทีท่าจะเรียกใครมาให้ความสำราญต่อ นอกจากแม่เล้าของตัวเองที่นั่งส่งสายตาหวงก้าวอยู่บนโซฟาตัวเดียวกับที่ชายหนุ่มนั่ง

และเมื่อเหล่าดอกไม้งามของหอมวลบุปผาพากันทยอยออกจากห้องรับรองพิเศษด้วยความผิดหวัง ราเชนก็ปล่อยหัวเราะออกมาเสียงดัง ทำให้คนที่ส่งสายตาหวงก้างเมื่อครู่หันมาถลึงตาใส่

“พวกนั้นคงเห็นเงามัจจุราชเข้ามาใกล้ เลยรีบร้อนหาวิธีรวบอำนาจของเจ้าหลวงโดยเร็ว” ราเชนหัวเราะหึในลำคอ “ทำไมพวกนั้นถึงไม่คิดว่าข้าอยู่ข้างเจ้าหลวงบ้างนะ”

“สัมพันธภาพระหว่างเจ้ากับเจ้าหลวงเหมือนลิ้นกับฟัน คงไม่มีใครคิดแบบเดียวกับเจ้าหรอก”

ราเชนเลิกคิ้วขึ้นกับคำตอบของหญิงงามเมืองอันดับหนึ่ง ก่อนกลั้วหัวเราะในลำคอ “ถึงกระทบกระทั่งกันบ้าง แต่ลิ้นกับฟันก็ไม่เคยแยกจากกันเลยไม่ใช่หรือ และเมื่อพลังของพวกเรารวมกัน ก็มีกำลังมากที่จะบดขยี้อาหารสรรพรสให้ละเอียดได้”

“รวมถึงอาหารแข็ง รสฝืดคอของทาลางทูรด้วยหรือเปล่า”

ดวงตาคมตวัดมองไปยังประตูกระจกที่เปิดออกไปยังระเบียงด้านนอก เมื่อสายลมพัดพากลิ่นหอมของบางอย่างเข้ามา ทั้งที่ตรงระเบียงนั้นไม่ได้ปลูกต้นไม้หรือดอกไม้อะไรสักอย่าง ฝ่ายกรรณิการ์เองก็รู้ถึงเป้าสายตาที่อีกฝ่ายจับจ้อง จึงถอนหายใจเฮือก แล้วลุกขึ้นไปหาบุคคลที่สามที่เข้ามาโดยไม่ให้สุ้มให้เสียง

ผู้มาเยือนด้วยวิธีแปลกประหลาดมีผ้าคลุมปิดหน้ามิดชิด เสื้อผ้าที่สวมใส่ดูขมุกขมอมเหมือนกับผ่านการสวมใส่หลายร้อยหลายพันครั้ง รอยปะชุนมีให้เห็นบนเนื้อผ้าสีหม่นนับไม่ถ้วน และพอผู้มาเยือนถูกเชิญเข้ามาด้านใน เขาก็กระตุกผ้าคลุมออก เผยให้เห็นเส้นผมสีน้ำตาลไหม้ยาวสลวยปรกต้นคอ ดวงตาสีเฉกเดียวกับเรือนผมที่เคยราบเรียบดุจผิวน้ำก็แปรเปลี่ยนเป็นแพรวพราวอย่างคนขี้เล่น ริมฝีปากหนาแย้มยิ้มซุกซน พลางเอ่ยทักทายผู้เชื้อเชิญด้วยน้ำเสียงแจ่มใส

“สวัสดีกรรณิการ์ ข้ามาขัดจังหวะอะไรหรือเปล่า”

“ใช่” ราเชนตอบแทนเสียเอง พลางทำหน้าขึงอย่างไม่สบอารมณ์

“ข้าไม่ได้ถามเจ้าเสียหน่อย ราเชน” ผู้มาใหม่เบ้ปากเบี้ยวใส่คนหน้าบึ้ง แล้วหันไปยิ้มหวานเยิ้มให้หญิงงามอันดับหนึ่งที่ถอนหายใจกับการหยอกเย้าที่ดูแล้วเหมือนชวนทะเลาะกันมากกว่า

“พระองค์มาได้ถูกจังหวะเลยต่างหาก เจ้าชายชัยนเรนทร์”

คนมาถูกจังหวะหัวเราะคิกคัก พลางมองหาที่นั่งโดยไม่ต้องรอให้เจ้าของห้องเชิญ กรรณิการ์เดินไปรินชาแล้วส่งถวายให้กับเจ้าชายในคราบคนจรที่ยิ้มกว้าง พลางยื่นหัตถ์ไปกอบกุมมือเรียวบางที่ถือน้ำชาอย่างไม่สนใจดวงตาคมดุของคนที่ถูกทำให้กลายเป็นส่วนเกิน

“ขอบใจกรรณิการ์”

หญิงงามเมืองอันดับหนึ่งคลี่ยิ้มละมุน พลางมองเจ้าชายยาจกที่ยังไม่ยอมรับถ้วยน้ำชาไปจิบ และเมื่อเห็นทีท่าว่าไม่ยอมปล่อยแน่ หญิงสาวจึงพลิกมือแล้วจิกเล็บลงบนเนื้อของคนมือไวจนคนโดนหยิกร้องลั่น

“สมน้ำหน้า” ราเชนหัวเราะกับท่าทางสะบัดมือเร่าของผู้ทรงยศเจ้าชาย แต่การแต่งกายกลับตรงข้าม

“แหม...จับนิดจับหน่อยก็ไม่ได้” เจ้าชายชัยนเรนทร์บ่นหงุงหงิง พลางชิบชาร้อนที่ถูกจับยัดใส่หัตถ์ขึ้นดื่มเพื่อดับความเหน็บหนาวในร่างกาย

“ถ้าพระองค์เข้ามาทางประตูหน้าเมื่อไร หม่อมฉันรับรองว่าจะได้จับมากกว่ามือแน่เพคะ” กรรณิการ์ตอบเสียงหวาน พลางเดินไปนั่งลงบนโซฟาตัวเดียวกับราเชนที่ผุดลุกขึ้นมานั่งเต็มตัว

เจ้าชายชัยนเรนทร์ยิ้มพราย พลางส่ายพักตร์ปฏิเสธคำเชิญด้วยท่าทางเสียดาย “ถ้าข้าไม่ได้เป็นเจ้าชายก็คงอยากเข้าทางประตูหน้า” พอตรัสเสร็จก็แอบชำเลืองไปยังชายหนุ่มอีกคนที่ทำหน้าบอกบุญไม่รับ แล้วแสร้งถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “แต่ปรารถนาของข้าก็คงไม่สมหวัง เมื่อยังมีมารคอยตามผจญอยู่เรื่อยไปเช่นนี้”

ราเชนกลอกตาขึ้น พลางพ่นลมหายใจดังพรืด ในบรรดาผู้สืบสันติวงศ์ของเจ้าหลวงแห่งปามะห์ คนที่เขากระทบกระทั่งด้วยบ่อยที่สุด รองจากองค์เจ้าหลวงก็คือเจ้าชายชัยนเรนทร์นี่แหละ

“เอ้อ...แล้วเมื่อกี้ได้ยินแว่ว ๆ ว่าพูดถึงของกิน จะกินเลี้ยงอะไรกันเหรอ” ดวงเนตรสีน้ำตาลไหม้ทอแววระยิบระยับมากขึ้นเมื่อพูดถึงของกิน

“อาหารของทาลางทูรเพคะ หม่อมฉันคิดว่ามันแข็งแล้วรสชาติก็ฝืดคอไปหน่อย”

“ว้า...งั้นก็แย่สิ ข้าคิดว่าอาหารของทาลางทูรเลิศรส เลยจะส่งคนไปสืบเสาะหามาให้กินเสียหน่อย”

“นั่นมันความคิดของกรรณิการ์” ราเชนทิ้งเสียงหึในลำคอ พลางนึกถึงคนโชคร้ายที่ต้องไปเสาะหาอาหารเลิศรสในดงอมิตร “นางยังไม่รู้ว่าเจ้าหลวงองค์ใหม่มีมเหสีเป็นชาวกูรา บางทีเราอาจจะได้เมนูแปลกใหม่ที่ผสานรสชาติระหว่างทาลางทูรกับกูราก็ได้”

“งั้นก็เยี่ยมสิ ข้าจะได้ไม่ต้องยกเลิกส่งคนไปหาของกินให้ข้า” เจ้าชายยาจกร้องอะฮ้าอย่างถูกใจที่ได้ยินข่าวใหม่

“แล้วคนที่พระองค์จะส่งเข้าไปคือใครล่ะเพคะ มีความรู้เรื่องอาหารของทาลางทูรกับกูราดีหรือ”

เจ้าชายชัยนเรนทร์หยุดจิบชา พลางนึกถึงใบหน้าของคนที่พอรู้ว่าถูกส่งให้เข้าไปหาอาหารต่างถิ่นก็เบ้ปากเบี้ยว ทำหน้าเหมือนกับว่าถูกส่งให้ไปนรกก็ไม่ปาน และยังทำท่าประท้วงแสดงอาการไม่อยากไปเต็มที่ แต่ก็ไม่ยอมปริปากปฏิเสธ แล้วยิ่งนึกถึงดวงตาเคือง ๆ ของคนไม่ชอบพูดก็หลุดหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้

“เจ้านั่นมันเก่ง จมูกดีอย่างกับหมา แต่ถ้าพูดถึงเรื่องอาหาร ข้ากลัวว่าเขาจะเอาแต่อาหารมังสวิรัติมาให้น่ะสิ ถ้าไม่ติดว่าต้องมารับตำแหน่งรองผู้บัญชาการกองทหารรักษาพระองค์ คงออกบวชไปแล้วมั้ง”

“อ้อ! ท่านรองที่ชอบทำตัวลึกลับ เขาไม่ได้ลาออกไปแล้วหรือเพคะ” กรรณิการ์หัวเราะคิก และนึกถึงรองผู้บัญชาการกองทหารรักษาพระองค์ที่อยากจะลาออกจากตำแหน่งนี้ใจแทบขาด แต่คนที่ประทานตำแหน่งให้ก็ไม่ยักอนุญาตให้ลาออกเสียที

“รับป้ายตำแหน่งไปแล้วนี่ ยังไงก็ต้องเป็นล่ะ”

“ยัดเยียดให้เขารับไม่ใช่หรือไง”

ราเชนถอนหายใจเฮือกกับนิสัยมัดมือชกที่เหมือนกันทั้งพ่อทั้งลูก มันทำให้เขานึกถึงข่าวลือที่บอกกล่าวว่าอดีตเจ้าปาเยนทร์ เป็นผู้อยู่เบื้องหลังในการที่เจ้าหลวงแห่งปามะห์ได้ชึ้นครองราชบัลลังก์ ทั้งที่ความจริงแล้วมันตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิงเลยทีเดียว

เจ้าหลวงแห่งปามะห์เป็นตาแก่เจ้าเล่ห์ ล่อหลอกอดีตเจ้าปาเยนทร์ที่เจ้าเล่ห์น้อยกว่าให้ร่วมมือกับพระองค์ในการขึ้นครองบัลลังก์แผ่นดินทองอย่างชอบธรรม ซึ่งจะว่าไปแล้วก็เป็นเพราะเงินมหาศาลที่มาจากการค้าขายกับรัฐต่าง ๆ กับอำนาจ และกองกำลังทหารขนาดย่อมของปาเยนทร์ ที่ปัจจุบันกลายเป็นหนึ่งในหน่วยย่อยของกองทหารรักษาพระองค์ เลยทำให้ไม่มีใครคิดต่อกรกับองค์เจ้าหลวง

ปาเยนทร์ต้องเสียทหารของตัวเองให้เจ้าหลวงแห่งปามะห์ เพราะความเจ้าเล่ห์ที่มีน้อยกว่า เลยทำให้อดีตเจ้าปาเยนทร์บ่นเจ็บใจให้ลูกชายเพียงคนเดียวฟังบ่อยครั้ง แต่ราเชนก็มักเห็นพ่อของตัวเองยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ยามพูดถึงคนที่เป็นทั้งเพื่อนและเจ้าชีวิต และถึงแม้จะตายไปก็ยังให้ลูกชายสืบทอดปณิธานของปาเยนทร์ ที่ให้สัตย์ด้วยเลือดต่อแผ่นดินสีทองผืนนี้

“คนมีฝีมือก็ต้องเอามาใช้งานให้ถูก เรื่องอะไรที่ข้าจะต้องเสียเขาให้อารามล่ะ”

“ไม่ใช่ว่าให้เขารับผิดชอบรายงานแทนผู้บัญชาการของตัวเองที่ชอบโดดงานเป็นว่าเล่นหรอกหรือเพคะ”

เจ้าชายชัยนเรนทร์สำลักน้ำชาพรวด แล้วแสร้งกระแอมแผ่วเบา เพื่อกลบเกลื่อนความจริงที่ถูกจับได้ มีขุนนางบางคนเหมือนกันที่กล่าวหาพระองค์แบบกรรณิการ์ ซ้ำร้ายกว่านั้นยังนินทาลับหลังด้วยว่าที่ได้ตำแหน่งผู้บัญชาการกองทหารรักษาพระองค์ ก็เพราะเป็นโอรสที่องค์เจ้าหลวงทรงโปรดปราน ไม่ได้มาจากฝีมือที่แท้จริงของตัวเอง แต่ที่น่าตลกก็คือมีคนโกรธเป็นฟืนเป็นไฟที่ได้ยินคำนินทาเหล่านั้น จนเกือบจะออกไปอาละวาดไม่สมนิสัย โชคดีที่พระองค์ห้ามรั้งไว้ก่อน ไม่งั้นคงเรื่องยาว

และเพราะอย่างนั้น เจ้านั่นก็เลยได้ตำแหน่งรองผู้บัญชาการที่ว่างมานานไป

ครั้นพอนึกถึงใบหน้าคนเรียบร้อยที่ตาลีตาเหลือกตอนรู้ว่าโดนยัดเยียดตำแหน่งที่ตัวเองไม่ต้องการก็อดขำไม่ได้ คงมีแต่เจ้านั่นรายเดียวที่ปฏิเสธตำแหน่งอันทรงเกียรตินี้ชัดเจน แถมยังไม่แลเสียด้วย แม้จะมีสวัสดีการมากมายเข้ามาล่อ เจ้าชายชัยนเรนทร์ก็เลยต้องใช้วิธีเดียวที่เหลืออยู่

นั่นคือการบังคับ!

“แล้วจะให้เขาไปวันไหนล่ะเพคะ เผื่อหม่อมฉันจะได้วานให้เขาช่วยหาของฝากมาให้ด้วย”

ดวงเนตรสีน้ำตาลไหม้ทอแววอ่อนละมุน รอยยิ้มซุกซนเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนอย่างที่หาได้ยากจากเจ้าชายพระองค์นี้ “ให้ผ่านวันคล้ายวันเกิดของชเยนทรไปก่อน ปีนี้ครบรอบแปดขวบของลูก ข้าว่าจะให้เขาหาม้าให้ลูกน่ะ”

“ไม่ลองให้เขาพาชเยนทรไปเลือกม้าที่ป่าตะวันตกดูล่ะ”

เจ้าชายชัยนเรนทร์สบเนตรกับเจ้าปาเยนทร์ที่แฝงความนัยบางอย่างมา พระองค์ขยับเรียวโอษฐ์เล็กน้อย พลางนึกถึงป่าโล่งที่เป็นที่อาศัยของม้าป่าพันธุ์ดีมากมาย และป่าทางแถบนั้นยังเป็นเส้นปันเขตของสามรัฐ คือปามะห์ ทาลางทูร และกูรา โดยทางฝั่งปามะห์จะมีทุ่งโล่งแห่งหนึ่งที่ฝูงม้าป่าชอบออกมาและเล็มกินหญ้า เรียกว่าทุ่งทุงกุ หรือทุ่งสามเส้า

“จะได้เลือกม้าหรือเปล่านี่ล่ะที่เป็นปัญหา” เจ้าชายชัยนเรนทร์ทรงพระสรวล เมื่อนึกถึงโอรสที่แม้จะโปรดม้ามากแค่ไหน ก็ขี่มันไม่เป็นเสียที

“แล้วถ้าถูกม้าเลือกล่ะเพคะ” กรรณิการ์เอ่ยขึ้นมาบ้าง หลังจากที่เงียบฟังการสนทนาของสองบุรุษอยู่นาน ซึ่งตอนนี้ทั้งคู่ก็เลิกคิ้วฉงนกับคำพูดของเธอ

“หม่อมฉันได้ยินมาอีกทีหนึ่งจากลูกค้า เขาบอกว่าที่ทุ่งทุงกุมีเจ้าอัสดรอยู่ พวกมันจะทำตามคำสั่งของเขาแต่ผู้เดียว มีหลายคนที่ผ่านการทดสอบแล้วได้รับการยอมรับ และก็มีอีกหลายคนที่แม้จะไม่มีกำลังอะไร แต่ก็ได้ม้าของเขาไปครอบครอง เพราะถูกม้าตัวนั้นเลือกให้เป็นนาย”

สองบุรุษมองหน้ากันอย่างไม่อยากเชื่อถือคำพูดที่ได้ยินเท่าไรนัก แต่สถานเริงรมย์แห่งนี้ก็ถือเป็นแหล่งข้อมูลข่าวสารชั้นเยี่ยมที่มีสาระสำคัญ และเรื่องเล่าต่าง ๆ นานาที่ปะปนมากับข่าวสารจากหลายรัฐ

“มันเป็นแค่เรื่องเล่าเท่านั้น เพราะแทบไม่เคยมีใครเห็นเจ้าอัสดรคนนั้นเลย”

“ไอ้คำว่า ‘แทบไม่เคยมีใครเห็น’ ถ้าแปลอีกทางก็แปลว่าเคยมีคนเห็นได้เหมือนกันนะ” เจ้าชายชัยนเรนทร์ตรัสอย่างสังเกต พระองค์อยู่บนแผ่นดินของปามะห์มาสามสิบปีเต็ม ยังไม่เคยได้ยินเรื่องนี้เลยสักครั้ง

อ้า...ไม่สิ มีอยู่ช่วงหนึ่งที่พระองค์ไปเรียนหนังสืออยู่ต่างแคว้น เลยไม่ได้อยู่ที่ปามะห์ตลอด อีกทั้งหลังจากจบการศึกษามา ก็ใช่ว่าพระองค์จะอยู่ติดปามะห์เสียหน่อย มีหลายครั้งทีเดียวที่มักล่องเรือไปกับพ่อค้าต่างแคว้นเพื่อหาประสบการณ์ไปพร้อมกับราเชน บ้างก็ท่องเที่ยวอยู่ในอาณาเขตของรัฐเพื่อนบ้านจนรู้จักผู้คนมากมาย กว่าจะได้ประจำอยู่ที่ปามะห์จริง ๆ ก็สามถึงสี่ปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นช่วงที่พระองค์ได้รับพระราชทานตำแหน่งผู้บัญชากองทหารรักษาพระองค์จากองค์เจ้าหลวง

“อย่างนี้ต้องพิสูจน์” พอตัดสินใจได้ว่าจะทำอะไร เจ้าชายยาจกก็จะกระทำโดยไม่ลังเลทันที

“พรุ่งนี้ท่านต้องเข้าเฝ้าตาแก่นั่นนะ”

กรรณิการ์หัวเราะคิกที่ราเชนกล้าเรียกเจ้าหลวงแห่งปามะห์ว่าตาแก่ แต่มันก็ไม่ผิดอะไรมากมายนัก เมื่อต้องเจอความเจ้าเล่ห์ของเจ้าหลวงมาตั้งแต่เด็กชนิดแสบทรวง จนทำใจเรียกพระองค์ว่าเจ้าหลวงไม่ลง นิสัยนี้น่ะสืบทอดมาจากอดีตเจ้าปาเยนทร์มาไม่ผิดเพี้ยนเลยทีเดียว

“งั้นไว้มะรืน”

“หม่อมฉันไปด้วย” หญิงงามรีบขอร่วมวงด้วยทันที เธอเคยได้ยินเรื่องเล่าเกี่ยวกับเจ้าอัสดรแห่งทุ่งทุงกุมานาน แต่ไม่เคยได้ออกไปพิสูจน์หาความจริงเสียที พอรู้ว่าจะมีคนไปตามหาตัวก็อดไม่ได้ที่จะขอร่วมมือด้วย

“งั้นเดี๋ยวข้าปีนระเบียงมารับนะ” เจ้าชายชัยนเรนทร์รีบขันอาสาก่อนจะโดนมารมาขัดขวาง

“หม่อมฉันจะไปรอที่หน้าประตูเมืองตอนสายเพคะ” คำตอบของหญิงงามทำให้เจ้าชายทำพักตร์มุ่ย

“เสียดายที่ข้าไปไม่ได้” ราเชนทอดถอนหายใจอย่างเสียดาย เขาเองก็อยากพิสูจน์เรื่องเล่านี้เช่นกัน ถ้าไม่ติดว่าโดนตาแก่เจ้าเล่ห์เรียกตัวให้เข้าพบเป็นรายถัดไป

“เรื่องที่เสด็จพ่อจะเรียกเจ้ามีอยู่เรื่องเดียวเท่านั้นล่ะ” เจ้าชายร้องเหอะในลำคอ ซึ่งเป็นกรณีเดียวกับพระองค์อย่างไม่ต้องสงสัย

“รีบ ๆ ดูตัวเสียทีก็ดีเพคะ ทั้งพระองค์กับราเชนจะได้เลิกยุ่งกับหม่อมฉันเสียที แค่ที่เป็นอยู่นี่ก็วุ่นวายพออยู่แล้ว”

“พูดจาทารุณหัวใจข้าชะมัด ข้าไปทำอะไรให้เจ้าวุ่นวายกัน” ถ้อยคำขับไล่ทำให้เจ้าชายยาจกร้องเสียงหลง การได้หยอกล้อหญิงงามอันดับหนึ่งถือเป็นงานอดิเรกของพระองค์เลยก็ว่าได้

“ตามใจเจ้าหลวงบ้างก็ดีนะเพคะ” กรรณิการ์ยังคงเอ่ยต่อโดยไม่สนใจเสียงประท้วงของเจ้าชาย

“เจ้ารับสินบนอะไรจากเสด็จพ่อหรือเปล่า” เจ้าชายชัยนเรนทร์ตรัสถามอย่างสงสัย แต่หญิงงามก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับมา

เสียงตีระฆังบอกเวลาสองยามดังแว่วมาแต่ไกล ความเงียบที่เกิดขึ้นชั่วครู่ถูกทำลายลงด้วยเสียงพ่นลมหายใจของเจ้าชายชัยนเรนทร์ พระองค์ผุดลุกขึ้นแล้วหาวออกมาเสียงดัง

“เฮ้อ...ได้เวลากลับแล้วเหรอเนี่ย ไม่อยากไปเลย”

“กลับไปพักผ่อนเถอะเพคะ”

เจ้าชายชัยนเรนทร์ยิ้มพราย พลางหยิบผ้ามาปิดพรางดวงพักตร์อีกครั้ง แล้วดวงเนตรที่ทอแววขี้เล่นซุกซนก็เปลี่ยนเป็นราบเรียบดังเช่นขามาอย่างรวดเร็ว ราเชนส่งยิ้มให้กับผู้บัญชาการกองทหารรักษาพระองค์ ก่อนโค้งศีรษะให้เจ้าชายที่ลอบลงระเบียงไปเหมือนโจร

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


เสียงตีระฆังบอกเวลาสองยามยังดังกังวานอยู่ในความมืดไม่รู้เลือน แต่นอกจากเสียงระฆังแล้ว ยังมีเสียงร้องโหยหวนที่บอกอารมณ์ของเจ้าของว่าอยู่ในห้วงแห่งความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส ซึ่งไม่มีใครคิดยื่นหน้าออกมาดูสิ่งที่เกิดขึ้น ด้วยกลัวว่าจะเดือดร้อนไปด้วย

เจ้าชายในคราบคนจรเดินไปตามต้นเสียงที่ใกล้ที่สุด แล้วพระองค์ก็ได้พบคนกลุ่มหนึ่งที่ปกปิดหน้าตาและร่างกายด้วยผ้าสีดำทั้งตัว คนพวกนั้นถูกรุมล้อมด้วยสุนัขสีดำรูปร่างปราดเปรียวที่แยกเขี้ยวขู่คำรามตามประกบอย่างละคู่ โดยเบื้องหลังของมันมีชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งคนหนึ่ง กำลังยืนกอดอกคล้ายรอดูท่าทีของฝ่ายตรงข้าม และผู้ชายคนนั้นเป็นคนที่เจ้าชายชัยนเรนทร์คุ้นตาเสียเหลือเกิน

คนในชุดดำเริ่มเคลื่อนไหวพร้อมกับที่มัจจุราชหน้าขนพุ่งกระโจนเข้าใส่คู่ที่มันประกบอย่างรวดเร็ว เจ้าชายชัยนเรนทร์ทอดพระเนตรการต่อสู้ที่เกิดขึ้นด้วยความฉงนทุกครั้งที่เห็นการล่าของพวกมัน พระองค์ไม่อยากเชื่อเลยว่าสุนัขที่มนุษย์เลี้ยงไว้เป็นเพื่อนเล่นก็มีบุคลิกของนักล่าแฝงอยู่ในตัว และคนที่ปลุกสัญชาตญาณนักล่าขึ้นมา ก็คือชายหนุ่มที่ยืนกอดอกมองดูผลงานสัตว์เลี้ยงของตัวเองอยู่ตรงนั้น

“ให้ตายเถอะ ใครจะเชื่อว่าคนใจดีอย่างเจ้านั่นจะสอนหมาให้ดุร้ายได้” เจ้าชายชัยนเรนทร์บ่นพึมพำ พลางหยิบมีดสั้นที่เหน็บไว้ใต้ผ้าคาดเอวขึ้นมาควงเล่นไปมา ดวงเนตรจับจ้องไปยังร่างสูงโปร่งของคนคุ้นตา แล้วเขวี้ยงมีดสั้นไปยังจุดที่เล็งไว้อย่างรวดเร็ว

“อ๊ากกก!!......”

เสียงกรีดร้องของชายผู้โชคร้ายฟังไม่ได้ศัพท์ เมื่อมีดสั้นของใครคนหนึ่งปักเข้าที่ข้อมือมิดด้าม และคนที่เกือบถูกลอบทำร้ายก็ไม่ปล่อยช่องว่างให้อีกฝ่ายได้หลบหนี เขาหมุนตัวตวัดขาเตะเข้าที่ปลายคางฝ่ายตรงข้ามให้นอนชมดาว โดยไม่มีสิทธิ์ลุกขึ้นอีก

“ท่าเตะสวยดีเหมือนกันนี่” เจ้าชายชัยนเรนทร์ทรงพระสรวล พลางเดินเข้าไปใกล้ให้อีกฝ่ายได้เห็นดวงพักตร์ที่ถอดผ้าคลุมหน้าออก และคราวนี้พระองค์ก็สรวลดังกึกก้อง เมื่อได้เห็นใบหน้าบิดเบี้ยวของเจ้านายมัจจุราชสี่เท้า

“ทำหน้าอย่างกับเห็นผีแน่ะ ปลายมาศ”

“กระหม่อมอยากเจอผีมากกว่า”

คำบ่นอุบอิบของคนอยากเจอผีไม่อาจรอดพ้นพระกรรณของเจ้าชายชัยนเรนทร์ไปได้ พระองค์ทำท่าจะเอื้อนเอ่ยหาคำหยอกล้อคนรู้จัก แต่ผู้ที่ปรากฏตัวมาใหม่ทำให้ต้องหยุดชะงัก แล้วทอดพระเนตรคนกลุ่มใหม่ที่อยู่ในชุดคนรับใช้แทน คนเหล่านั้นกวาดต้อนคนลึกลับในชุดดำที่จับกุมได้ แล้วทำความเคารพกับเจ้าชายผู้บัญชาการกองทหารรักษาพระองค์

“คนพวกนี้เป็นใคร” เจ้าชายชัยนเรนทร์ตรัสถามอย่างสนใจ พลางกระชากผ้าคลุมสีดำของไอ้โม่งคนหนึ่งออกมาเพื่อดูหน้าให้แจ่มชัด พระองค์ขมวดขนงเข้าหากัน เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ใช่ชาวปามะห์

“ขโมยน่ะกระหม่อม”

เจ้าชายชัยนเรนทร์หัวเราะเหอะอย่างรู้ทัน ไม่มีขโมยที่ไหนกล้าเข้าบ้านของท่านจินดาหรอก เพราะเสียงเล่าลือถึงความดุร้ายของยามสี่ขา กับผลงานที่พวกมันเคยทำมาก็เป็นที่ขยาดของเหล่าโจรแล้ว คนที่ไม่รู้เรื่องเหล่านี้ก็มีแต่คนจากรัฐอื่นเท่านั้น

“มันเข้าไปขโมยอะไร”

เจ้าชายที่ชอบทำตัวเป็นยาจกตรัสถามด้วยน้ำเสียงที่ไม่ต้องการคำตอบจริงจังเท่าไรนัก และปลายมากศก็ไม่ได้ตอบคำถามนั้น นอกจากหันไปสั่งการคนรับใช้ที่ตัวเองเกณฑ์มาตามล่าขโมยให้จัดการคุมตัวอย่างแน่นหนา แล้วให้คนรับใช้พาขโมยที่จับได้ล่วงหน้าไปยังเทศบาลเมือง ก่อนหันไปหาเจ้าชายที่ไม่อยากเจอที่สุดในเวลานี้

“ทำไมยังไม่กลับวัง” น้ำเสียงที่เอ่ยถามห้าวห้วนโดยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายมีพระยศเป็นถึงเจ้าชาย แต่ถึงกระนั้นคนฟังก็ยังจับรอยห่วงใยที่แฝงมาน้อยนิดนั้นได้

“เดินเล่นน่ะ”

“เดินเล่น?” ปลายมาศย้อนคำถามเสียงสูง พลางกลอกตาขึ้นมองฟ้าที่มืดสนิท มันเป็นเวลาที่ไม่สมควรเดินเล่นเลยเสียด้วยซ้ำ

“ทำไมไม่เดินเล่นตอนกลางวันล่ะ กลางคืนมันอันตราย”

เจ้าชายชัยนเรนทร์เลิกพระขนงขึ้นสูงอย่างไม่อยากเชื่อว่าอีกฝ่ายจะเอ่ยคำพูดห่วงใยให้ได้ยิน พระองค์แย้มโอษฐ์กว้างด้วยท่าทางที่ทำให้ปลายมาศอยากไปจากตรงนี้โดยเร็ว การที่เขาได้มาทำความรู้จักกับเจ้าชายพระองค์นี้ถือเป็นความโชคร้ายอย่างยิ่งยวด

“ทีเจ้าล่ะ”

“กระหม่อมไล่ตามจับขโมย” ปลายมาศแย้งเสียงฉุน แล้วเขาก็สะดุ้งเฮือกเมื่อเจ้าชายชัยนเรนทร์กระชากแขนข้างขวาไป คราวนี้ชายหนุ่มชักฉุนไม่ออก เมื่อดวงเนตรที่เคยแพรวพราวด้วยความขี้เล่นฉายแววดุกับรอยแดงช้ำที่เป็นปื้นคล้ายถูกกระแทกอย่างรุนแรงบนท่อนแขน

“นี่อะไร”

ปลายมาศกลืนน้ำลายลงคออย่างลำบากกับสุรเสียงดุ แต่ก็ไม่ยอมตอบอะไรกลับไป เจ้าชายชัยนเรนทร์ระบายปัสสาสะแผ่วเบา พลางปล่อยแขนของอีกฝ่ายให้เป็นอิสระ เมื่อเห็นท่าทีของคนดื้อเงียบ “ตั้งใจจับขโมยมันก็ดี แต่ต้องระวังตัวเองบ้าง เมื่อกี้ก็โดนเล่นทีเผลอ แผลนี่ก็คงโดนตอนทีเผลอเหมือนกันล่ะสิ”

“พระองค์รู้ได้ยังไง” ชายหนุ่มเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่แสดงความยำเกรงขึ้นมาบ้าง เขาอุตส่าห์ซ่อนแขนไว้ในความมืดเพื่อไม่ให้เจ้าชายเห็นรอยช้ำ แต่ก็ไม่วายถูกจับได้

“เห็นทำท่าพิรุธเลยคิดว่าต้องปิดอะไรไว้แน่ เจ้าเป็นแบบนี้เวลาเจ็บตัวแล้วไม่อยากให้ข้ารู้ทุกทีแหละ” เจ้าชายเอ่ยเสียงนุ่ม แล้วโอบบ่าอาจารย์ของโอรสที่ทำตัวเป็นมิตร ส่งรอยยิ้มอ่อนละมุนให้กับคนอื่นเขาไปทั่ว แต่พออยู่ต่อหน้าพระองค์ทีไรเป็นต้องตีหน้าหงิก และพาลจะหนีอยู่เรื่อยไปทุกที

“เจอหน้าก็ดีแล้ว ข้าอยากถามเจ้าพอดีเลยว่าใครมาที่บ้านเจ้า”

ปลายมาศขมวดคิ้วยุ่งกับคำถามของเจ้าชาย แล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่กับหูตาของพระองค์ที่สาดส่องไปทั่วทุกสารทิศ “มีพ่อค้าเพชรมาที่บ้าน เป็นชาวทาลางทูรกระหม่อม”

เจ้าชายชัยนเรนทร์นิ่งเงียบไปนาน แต่ปลายมาศรู้สึกถึงน้ำหนักของหัตถ์ใหญ่ที่กดลงมาบนบ่า “เจ้าหลวงองค์ใหม่ของทาลางทูรมีจิตใจที่ทะเยอทะยาน และกระหายที่จะครอบครองแคว้นปัญจปุระ ไม่ใช่แค่รัฐของตัวเอง ยิ่งตอนนี้ภายในของเรากำลังวุ่นวาย อาจโดนแทรกแซงได้ง่าย ข้าไม่อยากเห็นคนของเราโดนหลอกใช้ ท่านจินดาเป็นคนดีและไม่รู้อะไรเลย แต่ภัยจะมาหาท่านเพราะลูกของท่าน”

หนึ่งในลูกชายของท่านจินดาพยักหน้ารับรู้ พลางนึกถึงพ่อค้าเพชรที่นอกจากจะเอาอัญมณีมากมายมาขายให้เหล่าท่านและลูกท่านในบ้านแล้ว เขายังเอาแผนการบางอย่างที่จะทำให้ปามะห์วุ่นวายมาด้วย

“กระหม่อมจะระวัง”



Create Date : 23 สิงหาคม 2550
Last Update : 5 กันยายน 2550 18:34:07 น.
Counter : 546 Pageviews.

2 comments
  
แวะมาอ่านคร่า
โดย: แยมส้มนมเนยช๊อกโกแลตหวานมัน วันที่: 23 สิงหาคม 2550 เวลา:20:45:40 น.
  
ขอบคุณค่ะ
โดย: ฌา วันที่: 30 สิงหาคม 2550 เวลา:18:36:29 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ฌา
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



New Comments
All Blog