พิษเสน่หา 41
๔๑ เมื่อความตายพลัดพราก (๑)

สิริกัญญาไปถึงที่นัดหมายตอนสองยามพอดี และเธอก็ได้เห็นวโรดมมาคอยอยู่ก่อนแล้ว ชายหนุ่มไหวตัวเล็กน้อย เมื่อเห็นน้องสาวมาตามนัด เขาแสยะยิ้มอย่างไม่ปิดบังสันดานร้ายของตัวเอง ก่อนกลั้วหัวเราะออกมาแผ่วเบา

“หึ! ไม่น่าเชื่อว่าเจ้าจะมา แสดงว่าเรื่องของปลายมาศสำคัญกว่าเจ้าหมานั่น”

หญิงสาวเม้มปากแน่นโดยไม่คิดต่อความเพื่อก่อเรื่อง ก่อนกวาดตามองรอบป่าปัจฉิมด้วยท่าทางระแวดระวัง เพราะถึงแม้เธอจะคุ้นเคยกับป่านี้มากเพียงไร มันก็ดูจะไม่ปลอดภัยเมื่อมาอยู่กับคนที่มีแววตาอันตรายอย่างวโรดม

“เราจะเดินทางกันยังไง เดินเท้าหรือขี่ม้า”

วโรดมลูบปลายคางไปมา ก่อนเงยหน้าขึ้นมองจันทร์แรมข้างต้นที่ส่องสว่างราวกับจันทร์เพ็ญ “เราจะเดินเท้ากันก่อนในช่วงแรก พอพ้นป่านี้ไปจะมีม้าที่ข้าเตรียมไว้รออยู่ แต่นั่นก็ขึ้นอยู่กับว่าจะมีคนตามมาหรือเปล่า เพราะดูท่าเจ้าจะเป็นคนสำคัญเอาการเหมือนกันนี่”

“ข้าไม่ได้บอกใครว่าจะมาที่นี่”

คำตอบของสิริกัญญาไม่ได้ทำให้วโรดมนึกเชื่อถือ ตลอดหลายวันที่ชายหนุ่มเฝ้าจับจ้องน้องสาวทาสผู้นี้ เขาก็สังเกตเห็นว่าอีกฝ่ายมักมีคนอยู่ด้วยเสมออย่างน้อยหนึ่งคน หรือบางทีที่อยู่ตามลำพัง ก็มักจะเป็นการอยู่ในสายตาของผู้เฝ้าจับจ้องเสียมากกว่า ทำให้เขาหาโอกาสกระทำตามแผนการไม่ได้เสียที จนกระทั่งมีเรื่องของปลายมาศหลุดออกมาจากทาลางทูร

ข่าวของนักแสวงบุญที่ถูกโจรป่าทำร้ายบาดเจ็บ ต่อให้ไม่เดาก็รู้ได้ในทันทีว่าเป็นนักแสวงบุญกลุ่มไหน เพราะข่าวนั้นจงใจปล่อยมาให้คนสำคัญในปามะห์ทราบ ที่สำคัญก็คือท่านจินดาได้ทำการเคลื่อนไหวบางอย่าง ซึ่งถูกเจ้าหลวงยับยั้งไว้ได้ทัน และความวุ่นวายที่เกิดขึ้นนี้ก็ทำให้การทำงานบางอย่างเกิดความหละหลวมขึ้น

วโรดมไม่รีรอที่จะใช้โอกาสนี้ในการเข้าถึงน้องสาวต่างมารดา ระหว่างที่ผู้จับจ้องเผลอคลาดสายตาไปจากเธอ แล้วสิ่งที่เขาประกาศลั่นต่อหน้าความตายของอรัญญาก็จะเป็นจริงในไม่ช้า

“ตามข้ามา” ชายหนุ่มพูดพลางเดินนำเข้าไปในป่า ที่มีเสียงร้องของเหล่าสรรพสัตว์ที่อาศัยอยู่ในนั้นร้องระงม จนกลบเสียงลมหายใจของผู้เดินทางในคืนย่ำ ซึ่งไม่รู้เลยว่าแท้ที่จริงแล้วมีนักเดินทางผ่านเข้าไปในป่านี้กันกี่คน

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


พอล่วงผ่านเข้ายามดึก น้ำค้างก็ดูจะแรงขึ้นจนผ้าคลุมหน้าของสิริกัญญาเปียกชื้นไปด้วยหยาดน้ำค้าง หญิงสาวขยับผ้าไปมา พลางมองดูแผ่นหลังกว้างที่เดินนำโดยไม่พูดอะไรออกมาอีกตลอดทาง ซึ่งนั่นก็เป็นผลดีกับเธอ ที่ไม่คิดอยากสนทนาสัพเพเหระกับคนที่ฆ่าสุนัขแสนรักของตัวเองไปเมื่อเย็น

“โอ๊ย!” สิริกัญญาร้องออกมาเสียงดัง ก่อนล้มหน้าฟาดพื้นเมื่อเท้าสะดุดเข้ากับอะไรบางอย่าง ครั้นพอตวัดตามอง ก็เห็นว่าเท้าของตัวเองติดอยู่กับแร้ว ซึ่งเป็นบ่วงที่ใช้ดักสัตว์ และปลายของบ่วงนั้นก็มัดติดกับปลายไม้ที่ปักลงบนดิน

หญิงสาวพยายามดึงบ่วงที่รัดข้อเท้าตัวเองออก แต่ยิ่งดึงบ่วงนั้นก็ยิ่งรัดแน่นขึ้น ริมฝีปากบางปิดเม้มแน่น เพื่อกลั้นเสียงครางที่จะหลุดออกมา แล้วเปลี่ยนเป็นดึงปลายไม้ ซึ่งมันฝังลึกอยู่ในดินแน่น จนยากจะถอนออกมาด้วยมือได้

“บทเรียนนี้สอนให้รู้ว่า ควรระวังภัยที่มาจากรอบด้าน ไม่เว้นแม้แต่พื้น”

เสียงกลั้วหัวเราะของวโรดม ฉุดดวงตาสีน้ำเงินให้ตวัดขึ้นมองคนที่ยืนกอดอกค้ำศีรษะ ชายหนุ่มลูบคางดูผลงานความประมาทของน้องสาวทาส ซึ่งเริ่มมีทีท่าระแวดระวังภัยเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว และท่าทางนั้นก็เรียกเสียงหัวเราะจากเขาให้ดังยิ่งขึ้น

“ถึงเจ้าจะระมัดระวังตัวอย่างไร แต่ประสบการณ์ในโลกภายนอกก็มีน้อยนัก เจ้าคิดว่าเจ้าจะทันเล่ห์เหลี่ยมของข้างั้นหรือ”

ใช่...สิริกัญญาไม่มีวันทันเล่ห์เหลี่ยมของวโรดมได้หรอก หญิงสาวพอรู้อยู่บ้างว่าหากเดินทางไปกับพี่ชายต่างมารดาคนนี้ อาจจะไปไม่ถึงบูกิต แต่ที่ไม่รู้ก็คือกับดักที่เดาได้ว่าอีกฝ่ายต้องเป็นคนเอามาวางไว้ เพื่อใช้ดักเธอแทนสัตว์ที่จะเข้ามาติดบ่วง

“ใช้เรื่องพี่ปลายมาศล่อให้ข้าดิ้นรนออกมาเพื่ออะไร” สิริกัญญาข่มความเจ็บ แล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแหบพร่า สายตาก็กวาดมองไปรอบบริเวณ

นับว่าวโรดมมีความอดทนมากทีเดียว กับการเดินล่อสิริกัญญาจนใกล้ถึงทางออกป่าปัจฉิม และหญิงสาวต้องยอมรับว่าตัวเองคลายความระมัดระวังลงมาก หลังจากที่เห็นว่าทางออกอยู่ไม่ไกล มันทำให้เธอพลาดและกลายเป็นเหยื่อแร้วดักของชายหนุ่ม

“ไม่รู้จริงรึ” วโรดมเลิกคิ้วขึ้น ดวงตาทอแววเยียบเย็นออกมา จนรู้สึกได้ถึงไอแห่งความตายที่ลามไล้อยู่รอบกาย “เพราะเจ้าฆ่าอรัญญา...ฆ่าลูกของข้า...ข้าจะให้เจ้าชดใช้ความตายของคนที่ข้ารักด้วยชีวิต!”

ดวงตาสีน้ำเงินเบิกกว้างด้วยความตกใจกับข้อเฉลยของวโรดม แล้วหลุดเสียงครางออกมาอย่างไม่อยากเชื่อ ว่าคนทั้งคู่จะมีความสัมพันธ์มากกว่าความเป็นพี่น้อง แต่หญิงสาวก็ไม่มีเวลาตกใจกับเรื่องที่เพิ่งรับรู้มากนัก เมื่อวโรดมกระชากดาบประจำตัว แล้วฟันดาบสะพายแล่งลงมาบนตัวเธอ

สิริกัญญาปาเศษดินที่กำรอไว้ เขวี้ยงใส่ตาของคนที่หมายคร่าชีวิตทันทีที่เห็นคมดาบเข้ามาใกล้ วโรดมชะงักกึกกับเศษดินที่เข้าลูกตา ซึ่งมันเป็นเวลาที่มากพอให้สิริกัญญาใช้เท้าข้างที่ไม่ถูกแร้วดัก ตวัดเตะเข้าที่ข้อมืออวบ จนดาบประจำตัวของชายหนุ่มหล่นมาอยู่ตรงหน้า

“เจ้า!...” วโรดมพูดได้แค่นั้น ก็ร้องไม่ออกอีกต่อไป เมื่อสันมือของสิริกัญญาฟันฉับเข้าที่คอหอยเต็มแรง และชายหนุ่มก็ไม่รู้เลยว่าน้องสาวต่างมารดาจับตัวเองให้นอนจุกอยู่บนพื้นได้อย่างไร

พอสิริกัญญาจัดการกับวโรดมได้ หญิงสาวก็ใช้ดาบประจำตัวหัวหน้ากองพันทหารราบตัดบ่วงแร้วที่รัดข้อเท้าออก ก่อนลุกขึ้นยืนด้วยท่าทางทุลักทุเล พลางตวัดสายตามองพี่ชายต่างมารดาที่ยังมึนกับการถูกทุ่ม ซึ่งเธอก็ไม่คิดรอให้เขาเอาดาบมาฟันเธออีกแน่

ร่างโปร่งบางวิ่งกะโผลกกะเผลกไปยังทางออกป่าปัจฉิมที่อยู่ใกล้ที่สุด แต่หญิงสาวก็หวีดร้องออกมาดังลั่น เมื่อลูกดอกหน้าไม้พุ่งเข้าเสียบบริเวณสะบัก จนร่างพลิกคว่ำตามแรงยิง และเธอก็รู้สึกว่าตัวเองหมดสติไปวูบหนึ่ง ครั้นพอรู้สึกตัวอีกที วโรดมก็มายืนค้ำศีรษะเธออีกครั้ง

“คิดว่าข้าวางกับดักไว้แค่อันเดียวงั้นหรือ ข้าไม่ประมาทเจ้าที่เป็นน้องของปลายมาศมันหรอกนะ” วโรดมพูดพลางเหยียบลูกดอกที่ปักตรึงบนร่างบอบบางให้ฝังลึกลงไปอีก

“อ๊า!!...” สิริกัญญากรีดร้องลั่น เมื่อปลายลูกดอกหน้าไม้ทะลุผ่านผิวเนื้อจนปักติดกับดิน

“แต่ทั้งที่คิดอย่างนั้น ข้าก็ยังโดนเจ้าเล่นกลับมาเสียระบม” ชายหนุ่มทิ้งเสียงหึลงลำคอ ก่อนก้มลงหยิบดาบประจำตัวที่ถูกแย่งไปมาถือไว้ แล้วควงมันไปมาคล้ายเพชฌฆาตที่กำลังรอลงดาบนักโทษ

“หมดเวลาเล่นแค่นี้แหละ สิริกัญญา ข้าจะส่งเจ้าไปเป็นข้ารับใช้อรัญญาในปรโลก!”

แต่ดูท่าสิริกัญญาจะยังมีดวงที่ยังไม่ถึงฆาต เมื่อหญิงสาวดึงลูกดอกที่ปักติดดินออกมาได้สำเร็จ พร้อมกับพลิกตัวหลบคมดาบที่ฟาดลงมา จนหน้าดินที่เธอเคยฟุบคว่ำอยู่กระจายฟุ้งตามแรงดาบที่ฟาดฟัน

“ตายยากตายเย็นเสียจริงนะ!” วโรดมเข่นเขี้ยวด้วยท่าทางขัดใจที่อีกฝ่ายยังดิ้นรนเอาชีวิตรอดต่อไปได้อีก ชายหนุ่มคว้าเปียของคนที่กระเสือกกระสนหนี แล้วกระชากอีกฝ่ายเข้ามาเต็มแรง

สิริกัญญากัดฟันแน่น สองมือปัดป่ายไปมาในอากาศจนมือปัดไปโดนของแข็งบางอย่าง ที่อยู่ใต้ผ้าคาดเอว แล้วหญิงสาวก็นึกขึ้นมาได้ว่าตัวเองก็มีอาวุธติดตัว มือเรียวล้วงมีดสั้น ก่อนชักมีดออกมาตัดเปียที่ถูกดึงกระชาก

วโรดมผงะหงายเมื่อแรงต้านขาดหาย แต่เขาก็ตั้งหลักได้ ซ้ำยังฟาดขาเตะเข้ากลางลำตัวร่างบอบบางด้วยท่าทางโกรธเกรี้ยว จนร่างของหญิงสาวกระเด็นไปตามแรงปะทะ

ดวงตาสีน้ำเงินมองเห็นดาบที่กำลังฟาดฟันลงมา มันเป็นไปอย่างเชื่องช้า คล้ายกับจะเยาะเย้ยหญิงสาวที่ไม่อาจฝืนต้านความตายได้อีก แล้วเธอก็เห็นดาบนั้นหยุดชะงักกลางอากาศ และกลายเป็นร่างของวโรดมเองที่มีเลือดไหล ชายหนุ่มยกมือขึ้นคลำลำคอที่ถูกฟันจนเป็นแผลเปิดกว้าง ก่อนหันไปมองคนที่ลอบกัดจากด้านหลัง ซึ่งทำให้ศีรษะของเขาเอียงกะเท่เร่อย่างไรพิกล

“เจ้าเองก็ตายยากตายเย็นเหมือนกันนะ” เจ้าของเสียงหวานเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ก่อนจัดการตวัดดาบขึ้นฟันแสกหน้าอีกฝ่ายตบท้าย

ดวงตาสีแดงเบิกมองร่างอวบอัดที่ลงดาบใส่ด้วยท่าทางเยือกเย็น ในลำคอที่คั่งไปด้วยเลือดดังขลุกขลัก คล้ายเจ้าตัวพยายามจะเอ่ยชื่อของใครบางคน และน่าแปลกที่เจ้าของดาบเพชฌฆาตได้เห็นใบหน้าเปี่ยมสุขของฝ่ายตรงข้าม แทนที่จะเป็นสายตาที่แสดงความเคียดแค้นชิงชัง มันทำให้เธอคลายท่าทีเย็นชาลง แล้วตัดสินใจรับร่างที่เซล้ม ก่อนประคับประคองให้ผู้วายชีวาได้นอนราบกับพื้นอย่างสงบ

สารัสสะหรือหัวหน้ากองเกวียนหญิง ที่บังเอิญตั้งค่ายอยู่ไม่ห่างจากป่าปัจฉิมเท่าไร ได้พบกับราเชนที่ออกตามหาหญิงสาวคนหนึ่งที่มีดวงตาสีน้ำเงิน ท่าทางว้าวุ่นและร้อนรุ่มในจิตใจของเขา ทำให้หญิงสาวขันอาสาออกตามหาคนที่ว่าด้วย ซึ่งเธอก็ได้มาพบกับอีกฝ่ายที่กำลังจะถูกสังหารพอดิบพอดี

“ขอโทษนะ แต่ข้าจำเป็นต้องปกป้องนางจากเจ้า” หญิงสาวเอ่ยขึ้นแผ่วเบากับร่างไร้ชีวิตที่พริ้มตาหลับอย่างเป็นสุข คล้ายกับว่าการตายนี้จะทำให้ได้พบกับคนที่อยู่ในที่ไกลแสนไกล แล้วเธอก็หันไปมองเจ้าของร่างบอบบางที่ฟุบลงกับพื้นทันทีที่ผ่านพ้นความตาย

...หรือบางทีอาจเป็นการนอนรอความตายที่กำลังคืบคลานเข้ามา

สารัสสะมองดูหญิงสาวสีน้ำเงินที่มีรูปลักษณ์ตรงตามที่ราเชนบอกกล่าวทุกประการ หญิงสาวมองดูร่างที่มีลูกดอกหน้าไม้ติดตรึง โดยไม่คิดเข้าไปช่วยเหลือ ซึ่งเป็นวูบที่เธอเกิดความคิดชั่วร้ายขึ้นมา แต่สติส่วนดีก็หยุดยั้งความคิดนั้นไว้ได้ทัน หญิงสาวตบหน้าตัวเองฉาดใหญ่ เพื่อลงโทษสันดานร้ายที่อยู่ในใจ ก่อนทรุดนั่งลงดูอาการบาดเจ็บของสิริกัญญา

“รู้สึกว่าจะไม่โดนกระดูกนะ แต่เจ้าต้องทนเจ็บหน่อยแล้วกัน ข้าจะพาเจ้าไปให้หมอที่ค่ายของข้าผ่าตัดเอาลูกดอกนี่ออกให้”

นั่นเป็นคำพูดสุดท้ายของหญิงสาวแปลกหน้าที่สิริกัญญาได้ยิน แล้วเธอก็หมดสติไปด้วยทนพิษบาดแผลไม่ไหว แต่อนุสติส่วนลึกของเธอก็ยังสัมผัสได้ถึงอ้อมแขนแข็งแรงที่คุ้นเคย คนที่เธออยากพบ ก่อนที่ความตายจะมาพรากชีวิตของเธอไป

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


ในช่วงหลายวันที่ผ่านมา สิริกัญญารู้สึกเหมือนตัวเองครึ่งหลับครึ่งตื่นอยู่ตลอด และในโลกของความจริงกึ่งความฝัน หญิงสาวได้เห็นคณะกองเกวียนที่มีแต่ผู้หญิงล้วน โดยมีหัวหน้ากองเกวียนที่เก่งกล้าสามารถ อีกทั้งยังมีนิสัยห้าวห้วนเหมือนผู้ชาย แต่ทว่าเธอกลับงดงามเสียจนดูไม่ออกเลยว่าจับดาบเป็น

และในโลกที่สิริกัญญาบอกไม่ได้ว่าอันไหนจริงอันไหนฝัน หญิงสาวได้เห็นราเชนอยู่ในกลุ่มกองเกวียนนี้ด้วย ดูเหมือนว่าชายหนุ่มจะรู้จักหัวหน้ากองเกวียนหญิงเป็นอย่างดี และหญิงสาวก็คล้ายจะได้ยินเขาพูดขอบอกขอบใจอีกฝ่ายที่ช่วยตามหาตัวเธอจนพบ

สีหน้าของราเชนที่เห็นสิริกัญญากลับมาในสภาพครึ่งเป็นครึ่งตาย ดูเจ็บปวดทรมานยิ่งกว่าตัวคนเจ็บเสียอีก มันทำให้หญิงสาวอยากสัมผัสใบหน้านั้น เพื่อปลอบโยนว่าเธอไม่ได้เป็นอะไรมากมายเสียหน่อย แต่ร่างกายทุกส่วนก็หนักอึ้งเสียจนขยับไม่ได้ เธอจึงได้แต่มองคนอื่นเข้ามาเปลี่ยนผ้าพันแผลให้ บ้างก็เช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้า บ้างก็จับให้เธอลุกขึ้นทานอาหารและยา จนกระทั่งสติสัมปชัญญะที่กระจัดกระจายไปเริ่มกลับคืนมา และรับรู้สภาพรอบตัวอย่างชัดเจนเป็นครั้งแรกในรอบสิบห้าวัน

“กินอะไรหน่อยไหมราเชน” สิริกัญญาได้ยินเสียงหวานของหัวหน้ากองเกวียนที่เอ่ยขึ้นมาด้วยความห่วงใย และมันได้ฉุดดึงสายตาของหญิงสาวให้มองหาต้นเสียงนั้น ซึ่งมันดังมาจากอีกด้านของฉากกั้น

“เดี๋ยวข้าจะกินพร้อมสิริกัญญาน่ะ” สุ้มเสียงของราเชนแฝงความอ่อนล้าออกมาให้คนฟังรู้สึกเป็นห่วง และหากเธอลุกขึ้นได้ก็อยากออกไปดูสีหน้าของคนพูดว่าตอนนี้เป็นอย่างไร

“อย่าห่วงนางมากนักเลย ตอนนี้นางพ้นขีดอันตรายแล้ว เจ้าน่ะห่วงตัวเองดีกว่า ยังไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่เช้ายันเย็น มีแต่น้ำชาที่ตกถึงท้อง” สารัสสะเอ่ยอย่างหงุดหงิดที่เห็นอดีตคนรักไม่สนใจตัวเองเท่าไร เอาแต่เฝ้ารอสายข่าวที่ป่านนี้ยังไม่มีใครกลับมาสักคน

“เจ้าก็รู้ว่าสถานการณ์ในตอนนี้เริ่มย่ำแย่ลงทุกที”

ราเชนคลี่ยิ้มน้อยให้หัวหน้ากองเกวียนหญิงที่ทิ้งตัวนั่งลงบนเบาะสูง และมีสีหน้าเหนื่อยล้าไม่แพ้กัน “ข้ารู้ว่าเรื่องมันแย่นับตั้งแต่ทาลางทูรประกาศสงครามสองด้าน แล้วทางนั้นยังยึดบูกิตไปโดยที่เราตั้งตัวไม่ทัน ตอนนี้เราจึงทำอะไรไม่สะดวกนัก”

พอได้ยินคำพูดของราเชนก็ทำให้สารัสสะขบคิดหนัก “ข้าไม่รู้ว่าเจ้าจะรู้สึกแบบเดียวกับข้าหรือเปล่า แต่ดูเหมือนทหารที่ยึดบูกิตจะไม่ใช่ชาวทาลางทูรนะ”

“พวกต่างแคว้น...”

ราเชนรู้สึกอย่างเดียวกันกับหัวหน้ากองเกวียนหญิง แต่ที่เขารู้มากกว่านั้นก็คือมีพวกต่างแคว้นแทรกซึมอยู่ทั่วแคว้นปัญจปุระ คล้ายรอเวลาและโอกาสในการกระทำอะไรบางอย่าง ซึ่งหากสิ่งที่เจ้าหลวงตรัสเป็นความจริง นั่นก็หมายความว่าคนพวกนี้อยู่ใต้อำนาจบังคับบัญชาของคนที่สมควรตายมาเนิ่นนาน และชายหนุ่มได้ส่งคนข่าวของตัวเองไปบอกเจ้าหลวงวิวัสวัตเกี่ยวกับเรื่องกบฎสิงหนาท ที่น่าจะยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งเขาไม่รู้เลยว่าฝ่ายนั้นรอดพ้นความตายไปได้อย่างไร

“ไม่น่าเชื่อว่าทาลางทูรจะยืมมือพวกต่างแคว้น” สารัสสะพึมพำด้วยน้ำเสียงแกมสังเวช เธอเคยชื่นชมในกองกำลังที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกรของแผ่นดินสีแดง แต่ความรู้สึกนั้นก็มลายหายไปเหมือนถูกน้ำชะล้าง

“หึ...อย่าเพิ่งรำพึงรำพันกับเรื่องนั้นเลย” ราเชนกลั้วหัวเราะในลำคอ พลางยกมือขึ้นเท้าคาง และเอียงคอมองหัวหน้ากองเกวียนหญิง ที่ตอนนี้กำลังพะวักพะวนกับสายข่าวของตนเอง ที่ไม่มีวี่แววว่าจะกลับมาที่ค่ายเหมือนคนของเขา

“เรามาห่วงคนของตัวเองที่อยู่ในบูกิตก่อนดีกว่าว่าตอนนี้ยังมีชีวิตอยู่หรือตายไปแล้ว”

“อย่ามาแช่งคนของข้าได้ไหม” สารัสสะแหวใส่เสียงดัง ในน้ำเสียงแฝงความหวาดหวั่นด้วยวูบหนึ่งก็คิดแบบเดียวกับชายหนุ่ม

ราเชนโคลงศีรษะไปมา ก่อนยิ้มพรายกับท่าทางไม่แน่ใจของหญิงสาว “ข้าก็ไม่ได้อยากแช่งนักหรอก แต่ข่าวล่าสุดที่พวกเรารู้ คือมีการตายรายวันเกิดขึ้นในบูกิต ซึ่งคนที่ตายส่วนใหญ่มักถูกตั้งข้อสงสัย ว่าให้ที่พักพิงแก่นักโทษที่หลบหนีออกมาจากทาลางทูร แล้วเจ้าลองทายดูสิว่านักโทษคนนั้นเป็นใคร”

“ท่านมานัย” สารัสสะตอบโดยไม่ต้องคิด เพราะแหล่งข่าวของเธอก็มาจากที่เดียวกับราเชน

“สายลับที่อยู่ในนั้นจึงถูกตามล่าและถูกฆ่า เหมือนกับว่าพวกมันพยายามไม่ให้ข่าวบางอย่างหลุดออกมาหาเรา” ราเชนครุ่นคิดกับข้อสันนิษฐานของตัวเองที่เพิ่งนึกขึ้นมาได้สด ๆ ร้อน ๆ เพราะข่าวของมานัยกับปลายมาศที่ถูกโจรป่าทำร้ายกลับหลุดออกมาได้ง่าย เหมือนมีคนจงใจปล่อยข่าว

“แต่ที่น่าห่วงก็คือพวกนักบวชที่อยู่ในนั้น ข้ากลัวว่าทหารพวกนั้นคงฆ่าไม่เว้นแม้แต่นักบวชด้วยแน่”

สิ้นคำพูดของราเชน เสียงดังตึงด้านหลังฉากกั้น ก็ทำให้ชายหนุ่มลุกพรวดขึ้นไปดูต้นเสียง แล้วดวงตาสีถ่านก็เบิกกว้างขึ้น เมื่อเห็นร่างของสิริกัญญาทรุดฮวบอยู่หลังฉากกั้น ด้วยสีหน้าเหมือนกับตกใจในอะไรบางอย่าง ซึ่งหากให้เดาก็คงเป็นเรื่องที่เธอได้ยินเมื่อครู่เป็นแน่

“สิริกัญญา...” ชายหนุ่มครางด้วยความตกใจระคนดีใจ ก่อนทรุดนั่งลงตรงหน้าร่างบอบบาง พลางยื่นมือไปสัมผัสดวงหน้านวลเนียนที่เริ่มมีสีเลือดให้เห็น หลังจากที่ซีดเซียวไร้สีเลือดมานาน

“ขออภัยที่แอบฟังค่ะ แต่ข้าได้ยินเรื่องที่บูกิต” สิริกัญญาตอบเสียงแผ่ว พลางมองหน้าของราเชนด้วยแววตาที่มีแต่คำถาม “ที่พวกท่านพูดออกมาเป็นความจริงงั้นหรือคะ”

“อย่าเพิ่งคิดมากเลยสิริกัญญา ตอนนี้เจ้าควรพักผ่อนเพื่อให้ร่างกายหายดีก่อนนะ” ราเชนพูดปลอบ เมื่อเดาได้ว่าหญิงสาวต้องการถามอะไรกันแน่

“แต่เรื่องพวกนี้เกี่ยวพันกับข้านะคะ” สิริกัญญาเอ่ยเสียงแหบ พลางยกมือขึ้นกุมแผลที่เริ่มปวดมากขึ้น “ทั้งเรื่องของครูมานัย พี่ปลายมาศ แล้วยังท่านแม่เดือนฟ้ากับท่านพี่รังสิมาที่บวชชีอยู่ในอารามที่บูกิตอีกล่ะ ข้าทำเฉยไม่ได้หรอกค่ะ เมื่อรู้ว่าทุกคนกำลังตกอยู่ในอันตราย”

“เจ้าคิดว่าตัวเองทำอะไรได้งั้นหรือสิริกัญญา” มือใหญ่จับบ่าบอบบางทั้งสองข้าง แล้วบีบแน่นเมื่อชายหนุ่มรำลึกถึงคืนเกิดเหตุอีกครั้ง “เมื่อรู้ข่าวพวกนี้ เจ้าคิดว่าตัวเองทำอะไรได้ จึงได้หนีออกไปในคืนนั้น แถมยังไปกับวโรดม ทั้งที่ตัวเจ้าก็รู้อยู่แก่ใจว่าเจ้านั่นเป็นคนอันตราย และเจ้าก็เกือบตายเพราะมัน!”

สิริกัญญานิ่วหน้าด้วยความเจ็บ กับแรงเขย่าของราเชนที่ไปสะเทือนบาดแผลจนมันเริ่มทวีความปวดมากกว่าช่วงแรก

“เจ้าคิดว่าตัวเองรู้เรื่องโลกภายนอกดีพอแล้วหรือสิริกัญญา จึงได้ออกไปตามลำพังเช่นนั้น เจ้าเคยคิดถึงตอนที่ตัวเองพลาดบ้างไหม...เคยคิดบ้างไหมว่าจะมีผลอะไรตามมาหากเจ้าเกิดพลาดพลั้ง!”

“...เพราะข้ากลัวเกินกว่าจะคิด” หญิงสาวตอบกลับเสียงแหบ พลางสบจ้องกับดวงตาสีถ่านนิ่ง “ข้าก็เหมือนกับท่านพ่อที่กลัวการสูญเสีย ในตอนนั้นมีแต่วโรดมที่บอกความจริงกับข้า ขณะที่พวกท่านปกปิดความจริงนั้น ถึงจะรู้ว่ามันอาจเป็นกับดัก...รู้ว่ามันอาจเป็นอันตราย ข้าก็อยากไป เพราะข้าไม่ต้องการสูญเสียครูมานัยกับพี่ปลายมาศ เหมือนกับท่านแม่!” เมื่อพูดถึงมารดาที่แทบจะจำหน้าไม่ได้แล้ว น้ำตาที่ไม่รู้ว่ามาจากไหนก็เอ่อล้นเต็มเบ้า

“ข้ารู้ว่าตัวเองไม่มีความสามารถอะไรสักอย่างที่จะช่วยเหลือครูมานัยหรือพี่ปลายมาศ แต่ข้าก็อยากทำอะไรก็ได้ที่จะให้ความห่วงกังวลนี้คลายลง ข้าพยายามทำตัวให้เข้มแข็ง ทั้งที่ใจจริงก็กลัวใจแทบขาด ตอนที่วโรดมจะฆ่าข้า...ข้าก็กลัวว่าจะไม่ได้พบท่าน” หญิงสาวส่งเสียงสะอื้นฮัก และเปิดเผยส่วนอ่อนแอให้เห็น

“และสิ่งที่ข้ากลัวมากที่สุดก็คือการไม่ได้พบท่านอีก...ราเชน”

คำสารภาพของสิริกัญญาดับความร้อนที่คุกรุ่นอยู่ในจิตใจของราเชนให้มอดลงเพียงพริบตา นิ้วเรียวปาดเช็ดน้ำตาที่ไหลอาบแก้มแผ่วเบา ก่อนโอบร่างบอบบางที่เอนตัวลงซบหน้าเช็ดน้ำตากับอกกว้าง พลางกอดไว้อย่างหลวม ๆ

“เพราะข้าห่วงและกลัวว่าเจ้าจะทำอะไรหุนหันพลันแล่นตอนรู้ข่าวของท่านมานัยกับปลายมาศ” ราเชนเอ่ยกลับเสียงเบา พลางลูบแผ่นหลังบอบบางไปมา “แต่มันกลับกลายเป็นทำให้เจ้าต้องดิ้นรนหาทางออก ที่ได้พาให้เจ้าเกือบพบกับความตาย”

สารัสสะที่กลายเป็นส่วนเกิน มองดูภาพตรงหน้าด้วยความปวดใจ ถึงแม้เธอจะตัดใจจากราเชนได้ แต่เธอก็มิอาจตัดเยื่อใยความรักที่มีต่อเขาให้ขาดลงได้ หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ก่อนตัดสินใจปลีกตัวออกจากกระโจมพักอย่างเงียบเชียบ ทิ้งให้คนทั้งคู่ปรับความเข้าใจกันตามลำพัง

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


“หัวหน้าคะ...”

เมื่อหัวหน้ากองเกวียนออกมาจากกระโจมพัก สมาชิกหญิงที่เฝ้ารออยู่เบื้องนอกก็รีบเข้าไปหาผู้นำของตัวเองด้วยท่าทางร้อนรน หญิงสาวเลิกคิ้วมองด้วยความฉงน แล้วดวงตาก็เบิกกว้างขึ้น หลังจากได้เห็นสายลับหญิงของตัวเองกลับมาในสภาพเจียนตาย

“นี่มันเกิดอะไรขึ้น!” สารัสสะเดินตรงไปยังสายลับหญิง ที่เงยหน้าขึ้นมองหัวหน้ากองเกวียนด้วยสายตาอ่อนล้า ร่างอวบอัดทรุดลงดูสภาพบาดแผลที่เดาได้ว่าเกิดจากการทรมานอย่างแสนสาหัส อันเป็นหลักฐานบ่งบอกได้ว่าทำไมคนของตัวเองจึงกลับมายังค่ายช้ากว่ากำหนด

“ทหารต่างแคว้น...” เสียงหวานเอ่ยออกมาเสียงระโหย พลางเลียริมฝีปากแห้งผากที่เต็มไปด้วยรอยเลือดแห้งกรังไปมา “ข้าไม่รู้ว่าพวกมันรู้ตัวได้อย่างไร...แต่มันจับข้า...ไปรวมกับสายลับคนอื่น ๆ ที่...ถูกจับไปก่อนหน้านี้ แล้วทรมาน...”

สารัสสะรู้สึกห่วงใยต่ออาการของสายลับหญิง มากกว่าคำรายงานที่ได้รับ หญิงสาวยกมือขึ้นห้ามรั้งไม่ให้อีกฝ่ายพูดอะไรไปมากกว่านี้ “เจ้าอย่าเพิ่งพูดอะไรตอนนี้เลย ไปทำแผลที่กระโจมพยาบาลก่อน แล้วค่อยเล่าเรื่องทั้งหมดให้ข้าฟัง”

เสียงนกอินทรีประจำกองเกวียน กรีดร้องอยู่บนท้องฟ้าเหนือคณะ เรียกอาการสะดุ้งจากเหล่าสมาชิกหญิงที่รู้ได้ถึงสัญญาณบางอย่างของสัตว์เลี้ยง มันกำลังบอกกล่าวให้ทุกคนรู้ว่ามีคนหรือกลุ่มคน กำลังพุ่งตรงมายังค่ายที่ตัวเองอยู่

สารัสสะกวาดตามองสมาชิกหญิงทุกคนด้วยสายตาเคร่งเครียด พลางส่งสัญญาณพร้อมรับมือกับกลุ่มคนแปลกหน้าที่กำลังจะมาถึงในไม่ช้า “ท่าทางว่าพวกมันจะไม่ได้ปล่อยให้เจ้าหนีรอดมาเฉย ๆ เสียแล้วล่ะ มันจงใจให้เจ้านำพาพวกมันมาสู่ค่ายของเรา”

สายลับหญิงเบิกตามองกว้าง ก่อนร้องไห้สะอึกสะอื้นกับภัยที่ตัวเองนำมา “ข้าขออภัยด้วย หัวหน้า...”

หัวหน้ากองเกวียนลูบเรือนผมสายลับหญิงอย่างปลอบโยน ก่อนก้มลงจูบหน้าผากอีกฝ่ายแผ่วเบา “ข้าไม่ถือโทษโกรธเคืองเจ้าหรอก ขอแค่ให้คนของข้ากลับมาอย่างปลอดภัย ข้าก็ดีใจแล้ว ที่เหลือก็อยู่ที่ชะตาฟ้าลิขิตว่าครั้งนี้เราจะปกป้องตัวเองให้อยู่รอดต่อไปอีกได้หรือไม่”

ร่างอวบอัดลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ก่อนพยักหน้าให้สมาชิกหญิงนำพาคนเจ็บไปยังกระโจมพยาบาล หญิงสาวส่งสัญญาณให้ทุกคนเตรียมอาวุธพร้อมรับมือ แล้วเดินกลับไปยังกระโจมของราเชนอีกครั้ง แต่ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ต้องไปบอกข่าวอะไรกับชายหนุ่ม เมื่อเขาออกมานอกกระโจมด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

“ข้าได้ยินเสียงวิรุฬห์ร้องบอกอะไรบางอย่าง...” ราเชนเอ่ยกับหัวหน้ากองเกวียนหญิงด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาดุจกระซิบ พลางกวาดตามองไปยังสมาชิกหญิงคนอื่นที่จัดเตรียมอาวุธสำหรับตัวเองครบมือ

“ข้าเดาว่าน่าจะเป็นทหารต่างแคว้นที่คุมเชิงอยู่ในบูกิต พวกมันปล่อยสายลับของข้าออกมา เพื่อให้นางนำทางพวกมันมาหาเรา”

ราเชนครางอือในลำคอ พลางขบคิดหนักว่าควรรับมือกับปัญหาเฉพาะหน้าอย่างไรดี ชายหนุ่มเคยเห็นฝีมือของพวกทหารต่างแคว้น ในงานเทศกาลจับม้ามาแล้ว และเขาก็เดาได้ว่าคนพวกนี้เป็นทหารรับจ้างที่ทำได้ทุกอย่างเพื่อเงิน ซึ่งฝีมือของเหล่าสมาชิกกองเกวียนหญิง ไม่อาจสู้รบปรบมือกับพวกมันที่อยู่คนละระดับได้

“สารัสสะ...” ชายหนุ่มเอ่ยเรียกหัวหน้ากองเกวียนหญิงที่ถือเกียรติและศักดิ์ศรียิ่งกว่าสิ่งใด ดวงตาสีถ่านแสดงความกังวลออกมา เมื่อรู้ว่าการต่อสู้นี้อาจให้ผลที่ไม่ค่อยดีเท่าไรนัก “ถ้าพวกมันเป็นพวกเดียวกับทหารในบูกิต ข้าว่าเจ้ากับสมาชิกหญิงคนอื่นสู้พวกมันไม่ได้แน่ พวกนี้เป็นทหารรับจ้าง มันฆ่าได้ทุกคน ไม่เว้นแม้แต่เด็ก ผู้หญิงหรือคนชรา”

เจ้าของชื่อสบตาตอบกับดวงตาสีถ่าน ด้วยแววตาที่แสดงอาการรับรู้ถึงคำบอกเล่าของราเชน แล้วหญิงสาวก็คลี่ยิ้มน้อยตอบกลับมา “ท่านต่างหากที่ต้องหนี พาหญิงสาวสีน้ำเงินคนนั้นหนีไป”

“ข้าจะหนีได้อย่างไร สารัสสะ...” ราเชนเอ่ยเสียงอ่อน พลางยกมือเรียวขึ้นมากอบกุมไว้แน่น

หัวหน้ากองเกวียนหญิงส่ายหน้ากับคำพูดที่ทำให้เธอตัดเยื่อใยไม่ขาดสักที ก่อนยกมือขึ้นสัมผัสดวงหน้าคมคายไปมา “อาการบาดเจ็บของท่านยังไม่หายขาด ท่านในตอนนี้คงสู้กับพวกมันไม่ได้แน่ และข้าก็รู้นะว่าพวกมันต้องการหญิงสาวสีน้ำเงินคนนั้น นางกำลังตกอยู่ในอันตราย...”

“สารัสสะ...”

“นางไม่ได้เป็นแค่คนสำคัญของท่านเท่านั้น นางยังสำคัญต่อกูรา หากนางเป็นอะไรไป เรื่องอาจจะแย่ยิ่งกว่านี้” สารัสสะขัดขึ้นก่อนที่ราเชนจะได้พูดอะไร แล้วชายหนุ่มก็เบิกตากว้าง เมื่ออีกฝ่ายรู้ถึงความหมายของสีน้ำเงินแล้ว ซึ่งหัวหน้ากองเกวียนหญิงก็ยิ้มส่งให้อีกครั้ง

“หากเป็นเมื่อก่อน ข้าคงไม่รู้อะไรเกี่ยวกับสีน้ำเงินเลย แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว...ได้โปรดเถอะราเชน พานางหนีไป เพื่อกูรา...ไม่สิ เพื่อปามะห์ของเราต่างหาก”



Create Date : 18 มีนาคม 2551
Last Update : 18 มีนาคม 2551 22:37:18 น.
Counter : 365 Pageviews.

1 comments
  
วโรดมตายอีกแล้ว แล้วแสงสุรีย์จะว่าไงเนี่ย ลูกตายหมดเลย เฮ้อ มาอัพไวๆนะค่ะ
โดย: ตัวเล็ก IP: 203.158.4.155 วันที่: 19 มีนาคม 2551 เวลา:17:03:45 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ฌา
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



New Comments
All Blog