พิษเสน่หา 7
๗ ผู้หญิงที่มาพร้อมกับแผนการร้าย

สิริกัญญามองราเชนที่ยอมกลับไปด้วยดี โดยไม่มีทีท่ารุกไล่เธอที่แข็งขืนต่อเขาอย่างเช่นคืนวาน และนั่นก็ทำให้เธอโล่งใจได้เปราะหนึ่ง แต่ก็อดสงสัยในคำพูดก่อนจากลาของเจ้าปาเยนทร์ไม่ได้ เขาบอกว่าจะเอาคืนเรื่องบาดแผลของสองพี่น้องให้เท่าตัว มันทำให้หญิงสาวอยากรู้นักว่าเขาจะทำอะไรกับคนที่ทำร้ายเธอกับพี่ชาย

“มายืนเหม่ออะไรอยู่ตรงนี้ กัญญา” เสียงหวานใสดุจระฆังแก้ว เรียกสติของสิริกัญญาให้กลับคืนมา แล้วหันไปมองหญิงสาวร่างปราดเปรียวที่กำลังแย้มยิ้มหวานส่งความเป็นมิตรมาให้อย่างระแวดระวัง

“ท่านพี่รังสิมา”

“ทำไมทำหน้าตกใจอย่างนั้นล่ะ” รังสิมายังคงยิ้มหวาน พลางมองดูน้องสาวต่างมารดาที่ทำท่ากระอักกระอ่วนโดยไม่โต้ตอบอะไรกลับมา

“พวกเจ้ากลับบ้านไปได้แล้ว ข้ากับสิริกัญญามีธุระจะคุยกัน” รังสิมาหันไปสั่งเด็กชายหญิงที่พากันค้อมตัวลงต่ำ ก่อนล่าถอยไปยกกลุ่ม ปล่อยทิ้งให้สิริกัญญาทำสีหน้าลำบากใจกับธุระของพี่สาวต่างมารดา

รังสิมาเป็นลูกสาวที่เกิดจากภรรยาคนที่แปดของท่านจินดา ซึ่งสายเลือดที่เธอสืบเชื้อสายมาเป็นถึงขุนนางใหญ่ที่ภักดีต่อปามะห์มาแล้วหลายรุ่น และปลายมาศก็เคยเล่าให้ฟังว่ารังสิมาถูกกำหนดให้เป็นว่าที่พระชายา แต่จะเป็นพระชายาของเจ้าชายองค์ไหนนั้นยังไม่มีการระบุ

“ท่านพี่รังสิมามีธุระอะไรกับข้าหรือคะ” สิริกัญญารีบเข้าประเด็นทันที เพื่อที่จะได้ผละจากพี่สาวคนนี้ไปโดยเร็ว

“ความจริงข้าไม่ได้มีธุระกับเจ้าโดยตรงหรอกนะ แต่ข้าได้ยินจากท่านแม่ว่าปลายมาศไม่กลับบ้าน เลยต้องมาหาเจ้าแทน” รังสิมาเอ่ยเสียงนุ่ม พลางก้าวเท้านำให้น้องสาวต่างมารดาเดินตาม

“พอดีว่าอาทิตย์หน้าข้าต้องเข้าวัง เลยอยากจะมาขอยืมหนังสือเกี่ยวกับมารยาทในวังจากปลายมาศเสียหน่อย เขาเป็นอาจารย์ให้กับเจ้าชายชเยนทรไม่ใช่หรือ น่าจะมีหนังสือประเภทนี้นะ มีใช่ไหม สิริกัญญา” ประโยคสุดท้ายนี้รังสิมาหันไปถามอีกฝ่ายที่เดินตัวลีบตามหลังมา

“มีค่ะ”

ดวงตาของรังสิมาทอประกายสดใส และแย้มยิ้มอย่างยินดี “ถ้าอย่างนั้นข้าจะขอยืมหนังสือเล่มนั้นไปอ่านได้ไหม”

สิริกัญญากลอกตาไปมาอย่างสับสน รังสิมาที่มีตำแหน่งเป็นว่าที่พระชายาจะไม่รู้เรื่องธรรมเนียมในวังเลยอย่างนั้นหรือ มันไม่น่าเป็นไปได้หรอก แล้วถึงเธอจะทำท่าเป็นมิตรกับสิริกัญญาและปลายมาศ แต่พี่สาวต่างมารดาคนนี้มักนำเรื่องวุ่นวายมาให้สองพี่น้องเดือดร้อนทุกที

“ได้ค่ะ” ถึงเธออยากปฏิเสธมากแค่ไหน แต่ก็ไม่อาจทำได้ เพราะกฎของสองพี่น้องที่ถูกตราไว้โดยแสงสุรีย์ คือให้ตอบรับคำสั่งของเหล่าท่านและลูกท่านว่าได้เพียงอย่างเดียว

“งั้นเราไปเอาที่บ้านกันเลยเถอะ” รังสิมาแย้มยิ้มกว้าง แล้วเร่งฝีเท้าไปยังบ้านของน้องสาวต่างมารดาทันที

“ท่านพี่รังสิมากลับไปรอที่เรือนก็ได้ค่ะ เดี๋ยวข้าเอาหนังสือไปให้” สิริกัญญาเอ่ยเสียงเรียบ ซึ่งตรงกันข้ามกับจิตใจที่คอยระแวดระวังว่ารังสิมาจะเอาเรื่องอะไรมาให้เธอเดือนร้อนอีก ยิ่งตอนนี้ไม่มีปลายมาศอยู่ด้วย อันตรายจะเพิ่มขึ้นหลายเท่าเลยทีเดียว

“ไม่เป็นไรหรอก อุตส่าห์เดินมาถึงนี่แล้ว ข้าเองก็อยากได้หนังสือเร็ว ๆ ด้วย” รังสิมายิ้มหน้าซื่อ ซึ่งดูแล้วไม่น่าจะมีพิษภัยอะไร แต่สำหรับคนที่รู้ฤทธิ์อย่างสิริกัญญากลับเห็นว่ามันอันตราย

สองสาวเดินไปยังเรือนจันทร์กระจ่าง อันเป็นบ้านไม้หลังเล็กที่สิริกัญญากับปลายมาศใช้เป็นที่พักอาศัยแยกออกมาจากคนในบ้านใหญ่ มันอยู่ในส่วนที่พักของคนรับใช้ และแวดล้อมด้วยต้นไม้น้อยใหญ่นานาชนิด ทั้งจากเทือกสวนที่เป็นอาชีพเสริมของคนรับใช้ และสวนหย่อมขนาดเล็กที่เจ้าของบ้านปลูกไว้ยามว่าง

“ว้าย!”

เสียงร้องของใครบางคนดังขึ้น พร้อมกับเสียงเห่ากรรโชกของยามเฝ้าบ้าน สิริกัญญาขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนเร่งฝีเท้าไปดูต้นเสียง แล้วเธอก็ทำหน้าประหลาดใจ เมื่อหนึ่งกล้ายืนจังก้าอยู่หน้าประตูบ้าน พลางส่งเสียงเห่าไม่ยอมให้สาวใช้คนหนึ่งที่ถือตะกร้าผ้าใบใหญ่ผ่านเข้าไป ทีท่าของมันบอกถึงความเป็นศัตรูต่อหญิงสาวตรงหน้าอย่างโจ่งแจ้ง และเตรียมพร้อมเข้ากระโจนใส่ หากอีกฝ่ายก้าวเข้ามาใกล้กว่านี้

“หนึ่งกล้า!”

เสียงของสิริกัญญาทำให้ยามหน้าขนที่กำลังกระโจนเข้าหาฝ่ายตรงข้ามหยุดชะงัก มันส่งเสียงงี้ดง้าดให้กับเจ้านายที่เดินขมวดคิ้วมาหาสัตว์เลี้ยงของตัวเอง

“เป็นอะไรไป หนึ่งกล้า” หญิงสาวมองท่าทีของหนึ่งกล้าดูแปลกไปจากทุกวัน มันไม่เคยเห่าใส่คนในบ้านหลังนี้ และยิ่งไม่เคยตั้งท่ากระโจนเข้าทำร้ายใคร นอกจากผู้บุกรุกตามที่ถูกฝึกสอนมาอย่างเคร่งครัด

เจ้าหนึ่งกล้าใช้จมูกดุนฝ่ามือของเจ้านาย ก่อนหันไปส่งเสียงขู่คำรามในลำคอใส่สาวใช้ที่มีดวงหน้าซีดเผือด ตรงหน้ามีตะกร้าผ้าใบใหญ่ที่ล้มตะแคงอยู่บนพื้นที่เผลอปล่อยทิ้งด้วยความตกใจ สิริกัญญาเดินไปหยิบตะกร้าผ้าให้ตั้งขึ้นเหมือนเดิม แต่สาวใช้รีบเอ่ยห้ามทันที

“อย่าค่ะคุณหนู! ข้าทำเอง”

สิริกัญญามองสาวใช้ที่ไม่คุ้นตาอย่างพิจารณา แล้วเธอก็จำได้ว่าผู้หญิงคนนี้เป็นสาวใช้ที่เพิ่งเข้ามาใหม่ และยังเคยมาบ้านหลังนี้แล้วเมื่อตอนเช้า ซึ่งหนึ่งกล้ายังไม่มีทีท่าเป็นศัตรูให้เห็น

“จิตตีใช่ไหม”

“ค่ะ…ค่ะ” จิตตีค้อมตัวลงด้วยท่าทางเก้ ๆ กัง ๆ พลางเหลือบมองสัตว์หน้าขนที่ยังไม่เลิกคำรามฮึ่มแฮ่ใส่ ถ้าเมื่อครู่สิริกัญญาไม่ส่งเสียงออกมา เธอคงโดนมันกัดตายไปแล้วเป็นแน่

“เอาผ้ามาส่งเหรอ” สิริกัญญาถามเสียงอ่อน เมื่อเห็นท่าทางหวาดปนขลาดของหญิงสาวตรงหน้า

“เจ้าค่ะ”

“งั้นเอามาให้ข้าเถอะ เดี๋ยวที่เหลือข้าจัดการเอง”

จิตตีมองสิริกัญญาที่ไม่มีทีท่าถือตัว ซ้ำยังไม่มีท่าทางรังเกียจงานของคนรับใช้อย่างงุนงง ความหวาดกลัวต่อเจ้าของคมเขี้ยวที่พร้อมจะกระโจนเข้าหาได้ทุกเมื่อ ทำให้เธออยากคล้อยตามคำพูดนั้น แต่เมื่อได้สบกับดวงตาคมวาวของหญิงสาวอีกคนที่มาพร้อมกับสิริกัญญา ก็ทำให้เธอรู้สึกหวาดกลัวยิ่งกว่า

“ไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ ถ้าคุณหนูเอาไปทำเอง ข้าคงถูกทำโทษ”

สิริกัญญาเหลือบตาไปทางรังสิมาที่ยังยิ้มหน้าซื่อ ก่อนถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ แล้วพยักหน้าโดยไม่คัดค้านอะไร มือเรียวคว้าปลอกคอสีน้ำเงินเข้มของหนึ่งกล้าที่ตั้งท่ากระโจนเข้าใส่จิตตีไว้ พลางพยักเพยิดให้อีกฝ่ายถือตะกร้าผ้าเข้าไป

“เจ้าเข้าไปเถอะ ข้าจะรั้งปลอกคอเจ้าหนึ่งกล้าไว้”

“ขอบคุณค่ะ คุณหนู” จิตตีรีบอุ้มตะกร้าผ้าเข้าไปอย่างรวดเร็ว โดยมีเสียงคำรามฮึ่มแฮ่ของสุนัขดำไล่ตามหลัง และเมื่อเธอเข้าไปในบ้านเรียบร้อย สิริกัญญาจึงปล่อยปลอกคอของหนึ่งกล้าที่ยังแสดงท่าทางเหมือนเจอผ้บุกรุกไม่เลิก

“เป็นอะไรไปหนึ่งกล้า นั่นคนในบ้านนี้นะ ไม่ใช่คนนอก” สิริกัญญาเอ็ดสัตว์เลี้ยงแสนรู้แผ่วเบา พลางขมวดคิ้วยู่ย่นกับท่าทีของมัน

“มันคงไม่กัดข้าเหมือนกับนางใช่ไหม กัญญา” รังสิมาเอ่ยถามน้องสาวต่างมารดาด้วยความขบขันมากกว่าความหวาด และมันก็ทำให้คนถูกถามขมวดคิ้วขึ้นมาอีกปม

“หนึ่งกล้าถูกสอนไม่ให้กัดคนในบ้าน”

“แต่ท่าทางของมันดูไม่เป็นอย่างที่เจ้าพูดเลยนะ ท่าทางของมัน…” คราวนี้รังสิมาเป็นฝ่ายขมวดคิ้วบ้าง “ขอโทษนะ ท่าทางของมันเหมือนกับหมาบ้า”

“หนึ่งกล้าไม่ใช่หมาบ้า” สิริกัญญาเอ่ยเสียงเรียบ พลางข่มความรู้สึกโกรธกับคำกล่าวหาของพี่สาวต่างมารดาไว้

“เอาเถอะ ข้าไม่โต้แย้งให้มากความหรอก มันเป็นหมาของเจ้านี่ แต่ดูแลมันให้ดีหน่อยแล้วกัน ถ้ามันเผลอไปกัดคนในบ้านเข้า ไม่ใช่แต่มันเท่านั้นที่ต้องรับโทษหรอกนะ เจ้าของอย่างเจ้ากับปลายมาศก็ต้องโดนลงโทษด้วยเช่นกัน รู้ไม่ใช่เหรอว่าการลงโทษของท่านแม่แสงสุรีย์หนักเพียงไร ข้าเป็นห่วงเจ้านะ”

รังสิมากลั้วหัวเราะแผ่วเบา แล้วเอียงคอมองสิริกัญญาที่นิ่งขึงไปเมื่อเธอกล่าวถึงบทลงโทษของแม่เลี้ยง และรอยแผลน่ากลัวบนใบหน้าของน้องสาวต่างมารดา ก็เป็นหลักฐานพิสูจน์คำพูดของเธออย่างดี น่าเสียดายที่เธอไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ด้วย เลยไม่รู้ว่ารอยแผลนั้นเกิดขึ้นจากอะไร

“เราเข้าบ้านกันเถอะ”

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


บ้านจันทร์กระจางถูกแบ่งออกเป็นสามส่วน คือเรือนทางด้านขวาเป็นอาณาเขตของสิริกัญญาที่ถูกกั้นด้วยฉากไม้ แบ่งสัดส่วนของห้องย่อยออกมาอีกสามส่วน โดยด้านหนึ่งเป็นห้องนั่งเล่นที่มีตะกร้าไหมพรมหลากสีวางอยู่ข้างเก้าอี้บุนวมตัวใหญ่ อีกด้านหนึ่งเป็นห้องทำงานส่วนตัวที่หันหน้าต่างไปยังบ้านเรือนของคนรับใช้ ซึ่งบริมาสมักใช้เส้นทางเข้าออกของพวกคนรับใช้เข้ามาหาเธอเป็นประจำ และด้านในสุดคือห้องนอนที่มีหน้าต่างอีกบานหนึ่งหันไปยังสวนหย่อม

ส่วนเรือนส่วนกลางถูกแบ่งสัดส่วนเป็นห้องนั่งเล่นของสองพี่น้อง บ้างก็ใช้เป็นที่ต้อนรับผู้มาเยือนที่มักจะเป็นท่านจินดาเสียมากกว่า อีกส่วนหนึ่งเป็นชุดโต๊ะอาหารสำหรับสี่คนที่สิริกัญญาชอบหาดอกไม้มาประดับไว้กลางโต๊ะไม้สีน้ำตาลแก่ เพื่อไม่ให้มันดูจืดชืดเกินไปนัก โดยด้านหนึ่งเป็นประตูเข้าไปสู่ห้องครัว ซึ่งอุปกรณ์ทำอาหารมักมาจากผักสวนครัวที่ปลูกอยู่ด้านหลัง บ้างก็ได้รับการแบ่งปันมาจากพวกคนรับใช้

และพื้นที่ส่วนสุดท้ายคือเรือนทางด้านซ้าย อันเป็นอาณาเขตของปลายมาศ เมื่อก่อนมันเคยเป็นส่วนที่สิริกัญญากับเดือนฟ้าเคยอยู่ แต่พอแม่บุญธรรมย้ายออกไป เธอก็ยกพื้นที่นี้ให้พี่ชาย เพราะขนาดของมันกว้างเกินกว่าที่ผู้หญิงตัวเล็กที่ไม่มีอะไรเลยอย่างเธอจะใช้ได้ครอบคลุมหมด ปลายมาศเลยเอาห้องนอนเก่าของแม่ซึ่งเป็นห้องที่กว้างที่สุดรองจากห้องนั่งเล่นส่วนกลางมาทำเป็นห้องสมุด แล้วใช้ห้องนอนเก่าของน้องสาวมาทำเป็นห้องนอนกึ่งห้องทำงานของตัวเอง

สิริกัญญาพารังสิมาไปยังห้องสมุดของปลายมาศด้วยกัน เธอหวาดระแวงว่าพี่สาวต่างมารดาจะใช้ช่วงเธอไปเอาหนังสือในห้องปลายมาศคิดวางแผนการร้าย ซึ่งบุตรีเชื้อสายขุนนางไม่ได้แสดงท่าทางอิดเอื้อนขออยู่รอเบื้องนอก นอกจากกระตือรือร้นตามเข้าไปในห้องหนังสือด้วยความอยากรู้อยากเห็น แล้วเธอเธอก็มีท่าทางตื่นตาตื่นใจ เมื่อในห้องสมุดนี้ไม่ได้มีแต่หนังสืออย่างเดียว มันยังมีแผนที่ของแคว้นปัญจปุระ เรือสำเภาและเรือกลไฟของพวกต่างแคว้น อีกทั้งยังมีปืนกลกับอาวุธรูปร่างแปลกตามากมาย

“อื้อหือ ปลายมาศไปเอาของพวกนี้มาจากไหนน่ะ”

“ส่วนใหญ่มาจากเจ้าชายชัยนเรนทร์น่ะค่ะ เมื่อก่อนพระองค์ชอบท่องเที่ยวไปแคว้นต่าง ๆ แล้วได้ของพวกนี้มา แต่ท่านขี้เกียจเก็บเลยเอามาให้พี่ปลายมาศ” สิริกัญญาตอบโดยไม่หันไปมองรังสิมาที่จดจ้องอยู่ที่ภาพวาดของผู้หญิงคนหนึ่งที่แขวนอยู่บนฝาผนังด้านหนึ่ง

หญิงสาวในรูปวาดดูมีอายุมากกว่ารังสิมาไม่เท่าไร เธอมีดวงตาสีฟ้าคราม เส้นผมสีดำยาวเป็นลอนเคลียอยู่ด้านหลัง ริมฝีปากของเธอเป็นสีชมพูตามธรรมชาติ และเมื่อดูจากการแต่งตัวแล้ว น่าจะเป็นคุณหนูของตระกูลชั้นสูง ด้วยรูปหน้าของเธอแม้จะทอแววอ่อนละมุน แต่ก็แฝงไว้ด้วยความหยิ่งทะนงในศักดิ์ฐานะ ที่สำคัญคือเธอจับได้ถึงรัศมีของอำนาจจากหญิงสาวในรูปวาด มันทำให้ผู้มองอย่างรังสิมารู้สึกว่าตัวเองด้อยค่าลงในพริบตา

“ผู้หญิงคนนี้เป็นใครน่ะ”

สิริกัญญาหันไปมองรังสิมาที่ยืนนิ่งราวกับถูกสะกดอยู่หน้ารูปวาด หลังจากหาหนังสือที่พี่สาวต่างมารดาต้องการได้ และท่าทีของพี่สาวก็ไม่ได้ทำให้เธอแปลกใจ เพราะยามใดที่เธอจ้องมองรูปวาดนี้ ก็รู้สึกแบบเดียวกัน ขนาดเดือนฟ้ายังเคารพยำเกรงหญิงสาวในรูปวาดเลย

“ท่านแม่ของพี่ปลายมาศค่ะ”

รังสิมาหันไปมองน้องสาวต่างมารดาอย่างไม่อยากเชื่อในคำตอบที่ได้ยินเท่าไรนัก แต่เมื่อได้ลองพินิจดูใบหน้าของหญิงสาวในรูปวาด ก็พบว่ามีบางส่วนที่คล้ายกับปลายมาศอยู่ไม่น้อย ทั้งดวงตาสีฟ้าคราม และรอยยิ้มนุ่มละมุนที่ประดับอยู่บนใบหน้าเป็นนิจ

“เธอดูสง่าเหมือนเจ้าหญิงเลยนะ”

การเข้ามาพบภาพแม่ของปลายมาศอยู่นอกเหนือความคาดหมายของรังสิมาไม่น้อย และจะว่าไปแล้วก็ไม่มีใครในบ้านหลังนี้รู้จักแม่ของเขา เธอยังจำได้ดีถึงตอนที่ท่านจินดาพาเด็กผู้ชายท่าทางเรียบร้อยคนหนึ่งเข้ามาในบ้าน แล้วแนะนำว่าเป็นพี่น้องกัน

สิริกัญญาไม่ได้ตอบอะไรกลับไป เธอรู้จักแม่ของปลายมาศแค่เพียงรูปวาดเท่านั้น ขนาดตัวลูกชายของผู้หญิงในรูปยังจำแม่ของตัวเองได้รางเลือน

เมื่อไม่ได้ยินคำโต้ตอบจากสิริกัญญา รังสิมาจึงหันหลังไปมองน้องสาวต่างมารดาที่ยื่นหนังสือเกี่ยวกับมารยาทในวังมาให้สามเล่ม หญิงสาวรับหนังสือที่ตัวเองต้องการอย่างไม่ใส่ใจเท่าไร แล้วหันไปมองสตรีสูงศักดิ์ในรูปวาดอย่างติดใจอีกครั้ง สร้อยสีเงินที่อยู่บนลำคอของผู้หญิงคนนั้นห้อยจี้ไพลินเม็ดใหญ่ รอบด้านล้อมกรอบด้วยโลหะเงินสลักด้วยลวดลายที่มองเห็นไม่ชัดนัก แต่มันดูคุ้นตาเหมือนกับเคยเห็นที่ไหนมาก่อน ครั้นทำท่านึกก็จำไม่ได้ว่าเคยเห็นที่ไหน

“ขอบใจสำหรับหนังสือนะ ไว้วันหลังข้าจะมาเที่ยวที่ห้องนี้ใหม่”

สิริกัญญาทำท่าแบ่งรับแบ่งสู้กับคำพูดของรังสิมา พี่สาวต่างมารดาของเธอไม่ได้ขอมาที่นี่อีก แต่เธอจะมาโดยไม่สนใจว่าเจ้าของบ้านจะเชิญให้มาหรือไม่ เธอจึงจำต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่เป็นทั้งการตอบรับและปฏิเสธไปในตัว

“ข้าไม่ใช่เจ้าของห้องนี้ค่ะ คงไม่สามารถทำอะไรตามใจได้ ท่านพี่รังสิมาต้องไปบอกพี่ปลายมาศให้เขารับรู้ว่าท่านจะมาที่นี่”

รังสิมาเบิกตาขึ้นเล็กน้อยกับคำตอบของน้องสาวต่างมารดา ก่อนแย้มยิ้มหวานที่ทั้งเธอกับปลายมาศเคยเปรียบรอยยิ้มของรังสิมาว่าเป็นความหวานที่เจือด้วยยาพิษ ถึงแม้พิษนั้นจะไม่ร้ายแรงถึงตาย แต่ก็แสบไปถึงทรวงทีเดียว

“ข้าจะลองทำตามคำแนะนำของเจ้าดู สิริกัญญา”

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


จิตตียืนกระสับกระส่ายอยู่ตรงประตูหน้าบ้าน พลางชะเง้อออกไปด้านนอกด้วยท่าทางหวาดปนขลาด เจ้าหนึ่งกล้ายังยืนจังก้าอยู่ด้านนอก และส่งเสียงคำรามอยู่ในลำคอ ท่าทางของมันทำให้เธอไม่กล้าออกไป ด้วยกลัวว่ามันจะกระโจนเข้าใส่แบบคราวแรก หญิงสาวจึงได้แต่ชะเง้อหน้ามองหาเจ้าของยามดุ เพื่อให้อีกฝ่ายช่วยเหลือเธออีกครั้ง

สิริกัญญาชะงักกึกเมื่อเห็นจิตตียืนทำหน้าละห้อยอยู่ในห้องนั่งเล่น สายตาของสาวใช้คนนี้ส่งแววขอความช่วยเหลือที่ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเป็นเรื่องอะไร หญิงสาวถอนหายใจเฮือกพลางพยักหน้า แล้วหันไปมองรังสิมาที่เอาหนังสือเกี่ยวกับมารยาทในวังไปเพียงเล่มเดียว และเป็นเล่มที่บางที่สุด

“ท่านพี่รังสิมาจะกลับเลยไหมคะ”

“กลับเลยสิ ข้าหมดธุระกับที่นี่แล้วนี่นา” รังสิมาหัวเราะคิก แล้วหันไปมองจิตตีด้วยแววตาวาววาบ ซึ่งสาวใช้รีบก้มหน้างุดไม่กล้าสู้ตาตอบ

เมื่อได้ยินคำตอบจากพี่สาวต่างมารดา สิริกัญญาจึงเดินไปเปิดประตูบ้าน แล้วเธอก็พบเจ้าหนึ่งกล้าหันขวับไปยังหญิงสาวสามคนที่เดินออกมา มันสูดจมูกฟึดฟัด แต่ยังไม่หยุดคำรามในลำคอ และเป้าความสนใจของมันก็ไม่ได้อยู่ที่จิตตีอีกต่อไป มันกำลังขู่คำรามอากาศที่ว่างเปล่า พลางจดจ้องเข้าไปในบ้าน

“ขอบใจสำหรับหนังสือนะ กัญญา” รังสิมาเอ่ยเสียงหวาน แล้วเดินจากไปทันที โดยมีจิตตีวิ่งตามไปด้วยท่าทางตื่น ทิ้งให้เจ้าของบ้านมองพี่สาวต่างมารดาด้วยความสงสัยไม่คลาย

รังสิมามาที่นี่ทำไม?

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


เสียงหัวเราะคิกคักของรังสิมาดังขึ้นหลังจากเดินห่างออกมาจากบ้านจันทร์กระจ่างไม่ไกล จิตตีเงยหน้าขึ้นมองร่างบอบบางที่เดินนำหน้าด้วยท่าทางกระอักกระอ่วน พลางนึกถึงสิ่งที่ตนเพิ่งกระทำไปเมื่อครู่ หากสิริกัญญารู้ว่าเธอทำอะไรลงไปคงไม่ให้อภัย แต่ถ้าเธอไม่ทำก็จะถูกลูกสาวของคุณหญิงทั้งหลายลงโทษเป็นแน่

“เจ้าเอามันไปวางไว้ในห้องนอนของสิริกัญญาแล้วใช่ไหม”

“ค่ะ” จิตตีตอบกลับเสียงเบาหวิว น้ำตาแห่งความสำนึกผิดไหลซึมออกมาทางหางตา

รังสิมากลั้วหัวเราะแผ่วเบา พลางก้มลงมองหนังสือเล่มหนาที่ได้มาจากห้องสมุดของปลายมาศแล้วอมยิ้ม ป่านนี้สิริกัญญาคงหวาดระแวงอยู่เป็นแน่ว่าเธอเอาเรื่องวุ่นวายอะไรมาให้อีก และเธอก็อยากให้เหตุการณ์นั้นมาถึงโดยเร็วเสียเหลือเกิน เพื่ออยากรู้ว่าน้องสาวต่างมารดาคนนั้นจะแก้ปัญหาเฉพาะหน้าอย่างไร

“เจ้ากลับไปทำงานต่อเถอะ ท่านพี่อรัญญาคงอยากฟังข่าวแล้วว่าเจ้าทำงานให้นางได้สำเร็จหรือไม่”

จิตตีโค้งตัวลงต่ำ แล้ววิ่งจากไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้รังสิมาหยุดยืนรับลมเย็นอยู่เพียงลำพัง และพอลับร่างของหญิงรับใช้ไป หญิงสาวก็ปรายตามองไปยังบุคคลที่สามที่ปรากฏตัวออกมาจากหลังต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง เขาเป็นชายหนุ่มรูปร่างผอมบาง ผิวสีขาวซีดเหมือนคนขี้โรค แต่ดวงตากลับคมวาวเหมือนใบมีด

“อ้าว! ท่านพี่แสงอรุณ น่าแปลกจริงเชียวที่ข้าเห็นท่านออกมาจากห้องได้ ร่างกายไม่เป็นอะไรแล้วหรือคะ” รังสิมาทักทายพี่ชายต่างมารดาเสียงหวาน แล้วจ้องตอบสายตาคมกริบอย่างไม่กลัวเกรง เพราะถึงอย่างไรเขาก็ทำอะไรเธอไม่ได้

แสงอรุณไม่ตอบอะไรกลับไป เขาไอค่อกแค่กแผ่วเบา แล้วปรายตามองหนังสือเล่มบางในมือเรียว ก่อนมองรอยยิ้มหน้าซื่อของน้องสาวต่างมารดาอีกครั้ง “ไปที่บ้านั้นมาเหรอ รังสิมา” เสียงแหบแห้งเอ่ยเบาหวิว แต่คนฟังกลับได้ยินคำถามนั้นชัดเจน

“ค่ะ”

“ไปทำไม”

รังสิมาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยกับคำถามของพี่ชาย แสงอรุณไม่ค่อยสนใจเรื่องราวภายในบ้านเท่าไรนัก แต่เขาก็รู้ถึงความเคลื่อนไหวของคนในนี้ทุกอย่าง ทั้งเรื่องการกลั่นแกล้งสองพี่น้องผู้อาภัพที่อยู่เรือนหลัง หรือการแข่งขันชิงดีชิงเด่นของเหล่าพี่น้องที่ทะเยอทะยาน

“ไปยืมหนังสือมาค่ะ”

“เจ้าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องยืมหนังสือเล่มนั้นเลยแม้แต่น้อย” แสงอรุณเอ่ยต่ออย่างเชื่องช้า แล้วระบายลมหายใจเพื่อเว้นช่วงการพูด ก่อนมองน้องสาวที่ยังแย้มยิ้มอย่างไม่สะทกสะท้าน “ยกเว้นว่าเจ้ามีเป้าหมายบางอย่างกับคนในบ้านหลังนั้น”

คนถูกจับได้หลุดหัวเราะคิก แล้วเดินเข้าไปใกล้พี่ชายที่มีสุขภาพอ่อนแอ และชอบหมกตัวอยู่แต่ในห้องของตัวเองที่มีหนังสือมากมายไม่แพ้ห้องของปลายมาศ ซึ่งแน่นอนว่าห้องหนังสือของเขาก็มีหนังสือที่เธอถืออยู่ในมือด้วย “จะมีเรื่องอะไรบ้างไหมนะที่ท่านพี่จะไม่รู้” หญิงสาวพูดพลางส่งสายตาระยิบระยับใส่

“ข้าแค่ได้ยินเรื่องสนุกเข้า เลยตามไปดูเสียหน่อยเท่านั้นเอง”

แสงอรุณหรี่ตาลงเล็กน้อย พลางพ่นลมหายใจแผ่วเบา “แต่ที่ข้าเห็นคือเจ้าเข้าไปเล่นด้วยไม่ใช่เหรอ” พูดแล้วก็ถอนหายใจออกมาอีกเฮือก “ถ้าเกิดอะไรขึ้น เจ้าจะพลอยเดือดร้อนไปด้วย”

รังสิมาหัวเราะคิก แล้วเอียงคอมองพี่ชายที่เอ่ยเตือนด้วยความเป็นห่วง แต่เธอชักสงสัยว่าแสงอรุณห่วงใคร “ท่านพี่คิดว่าข้าจะเอาตัวไม่รอดงั้นเหรอ” หญิงสาวเว้นจังหวะไว้เพื่อรอให้อีกฝ่ายตอบกลับมา แต่เมื่อเขาไม่โต้ตอบอะไร เธอจึงพูดต่อ “ท่านพี่ก็รู้ว่าข้าไม่ชอบกลั่นแกล้งใคร ข้าแค่เห็นว่ามันเป็นเรื่องน่าสนุก เลยขอเข้าไปเป็นผู้สังเกตการณ์เท่านั้น หากเกิดอะไรขึ้น คนที่ต้องรับผิดชอบคืออรัญญา ไม่ใช่ข้า”

“น่าสงสาร” แสงอรุณส่ายหน้าไปมาอย่างเศร้าสร้อย

“สงสารใครคะ”

“สาวใช้คนนั้น” ชายหนุ่มไอแค่ก พลางยกมือขึ้นโอบตัวเมื่อลมเย็นพัดผ่านร่างไป

“ช่วยไม่ได้นี่คะ นางโชคร้ายที่ต้องไปรับใช้อรัญญาในช่วงที่อยากแกล้งสิริกัญญาพอดี”

พอนึกถึงคนที่คิดแผนการนี้ขึ้นมา แสงอรุณต้องส่ายหน้าอย่างเหนื่อยหน่ายใจ อรัญญายืนอยู่ในจุดสูงสุดของบรรดาพี่น้องผู้หญิง ดังนั้นเธอจึงรู้สึกเหมือนโดนหักหน้าเมื่อราเชน ปาเยนทร์ไม่ได้มีท่าทีสนใจเธออย่างที่คาดหวัง แล้วยิ่งเธอได้ยินคำรายงานจากสาวใช้ว่าเห็นเจ้าปาเยนทร์จูบกับสิริกัญญาอยู่หน้าบ้านกลางดึก ไฟริษยาก็โหมปรือขึ้นมา

“ทำอะไรไม่รู้จักคิด”

“ใครทำอะไรไม่รู้จักคิดงั้นเหรอ แสงอรุณ” เสียงยียวนกวนประสาทของบุคคลที่สามดังแทรกขึ้น เรียกสายตาของทั้งคู่ให้หันไปมองอย่างแปลกใจที่อีกฝ่ายมาแบบไม่ให้สุ้มให้เสียง

“วโรดม”

“น่าแปลกที่เจ้าออกมาเดินเล่นจนถึงเรือนหลัง ร่างกายแข็งแรงขึ้นกะทันหันหรือไง” คนถูกทักแสยะยิ้มตอบด้วยท่าทางเจ้าเล่ห์ พลางเดินไปโอบบ่าคนร่างกายอ่อนแอแล้วออกแรงบีบแน่น ก่อนก้มลงกระซิบที่ริมหูอีกฝ่ายให้รู้กันแค่สองคน

“อย่ายุ่งไม่เข้าเรื่อง กลับไปหมกตัวอยู่แต่ในห้องของเจ้าซะ”

แสงอรุณกลั้วหัวเราะแผ่วเบา พลางปลดมืดแกร่งที่บีบบ่าของเขาจนเจ็บระบมออกอย่างไม่ยี่หระ เขาผละจากลูกชายคนโตของแสงสุรีย์ แล้วเดินไปแตะแผ่นหลังของรังสิมาที่หรี่ตามองพี่ชายต่างมารดาคนนี้อย่างไม่ชอบใจเท่าไร เพราะถ้าพูดตามศักดิ์แล้ว แสงอรุณมีฐานะสูงกว่าอีกฝ่ายมากนัก

“ไม่ต้องห่วงหรอกวโรดม ข้าก็เป็นผู้สังเกตการณ์เหมือนกับรังสิมา” ชายหนุ่มเว้นช่วงการพูดไว้ แล้วปรายตามองวโรดมด้วยสายตาของคนสูงศักดิ์ที่มองคนต่ำศักดิ์กว่า

“แต่ข้าขอเตือนไว้อย่างนะ ความอดทนย่อมมีที่สิ้นสุด ระวังความวินาศที่จะเกิดขึ้นไว้ให้ดี”




Create Date : 20 กันยายน 2550
Last Update : 20 กันยายน 2550 18:17:41 น.
Counter : 442 Pageviews.

5 comments
  
ถ้าไม่โดนคุณ ninja ทักมา ก็คงไม่เอะใจว่า เอ๊ะ! ปกติแล้วผู้ชายแข็งแรงสักคนหนึ่งจะอุ้มผู้หญิงตัวเล็ก ๆ สักคนหนึ่งลงมาจากต้นไม้ไม่ได้เชียวเหรอ พอไปถามน้องก็โดนน้องบอกมาว่า ไม่น่าจะทำได้ นอกเสียจากว่าผู้หญิงคนนั้นจะตัวเล็กมาก แต่สิริกัญญาก็ไม่ได้ตัวเล็กเหมือนลูกหนูนา ออกจะสูงโปร่งเพรียวบาง แล้วก็แรงเยอะ แต่ก็มีอีกจุดที่อาจทำให้คนอ่านกับคนเขียนเข้าใจผิดได้อีก นั่นคือต้นไม้

ต้นไม้อะไรที่คนอ่านเห็น ใช่ต้นเดียวกับที่คนเขียนคิดหรือเปล่า

ดูจากสภาพการณ์แล้ว คนอ่านจะเข้าใจว่าเป็นต้นไม้ที่มีลำต้นสูง แล้วค่อยไปแตกกิ่งก้านด้านบนเหมือนต้นมะม่วงใช่หรือเปล่าคะ แต่คนเขียนกลับนึกไปถึงต้นไม้ที่มีสภาพเหมือนต้นไทร

จากเมื่อตอนที่แล้วขอถามความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้หน่อยนะคะ



แล้วสำหรับความคิดเห็นของคุณ pumpam ความจริงก็อยากเอาตัวสิริกัญญาออกจากบ้านนี้ใจแทบขาด แต่เอาออกมาก็ไม่สามารถสร้างสิริกัญญาให้เติบโตได้ ทั้งในแง่ความคิดและอีกหลายแง่ที่ตอนนี้ยังคิดไม่ออก

แต่เหตุผลหลักก็คือ ถ้าเอาออกมาตอนนี้ก็ไม่สนุกน่ะสิ แหะๆ

รับรองค่ะว่าแม้แต่ในนิยาย กรรมก็ติดจรวดตามทันคนก่อเสมอ

โดย: ฌา วันที่: 20 กันยายน 2550 เวลา:18:34:27 น.
  

เนื้อเรื่องเครียดนะ แต่ก็เป็นเรื่องที่น่าติดตาม

สงสารสองพี่น้องนี่จริงๆ

โดย: nekojung IP: 58.9.82.137 วันที่: 20 กันยายน 2550 เวลา:18:39:46 น.
  
i was imagining such a big and tall tree. logically, no matter what kind of tree, mature guy cannot hold a woman in their gesture while they're climbing the tree. but if they carry a woman on their back, it might be possible. unless, that guy is superhero and strong like herculis, they can do it. anyway, i just think realistic.

another my doubt, does kanya's dad know about horrible punishment in his family???

a lot of mytery in this story, i do like it so cheer up, author.
โดย: ninja IP: 137.224.235.22 วันที่: 20 กันยายน 2550 เวลา:21:09:10 น.
  
โดย: jintana IP: 71.246.108.56 วันที่: 20 กันยายน 2550 เวลา:21:51:04 น.
  
กว่าจะได้เข้าวัง สิริกัญญาคงจะน่วมเหมือนพี่ปลายมาศพอดี
โดย: pumpam IP: 58.8.78.109 วันที่: 21 กันยายน 2550 เวลา:9:42:35 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ฌา
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



New Comments
All Blog