มงกุฎรักตำหนักขาว 1

บทที่ ๑ โจรขโมยกุหลาบ

ท้องฟ้าคำรนคำรามมาได้สักระยะหนึ่งแล้วแม้แต่เมฆยังม้วนตัวบิดเป็นเกลียว และเคลื่อนเข้าบดบังผืนฟ้าจนมืดมิด อีกทั้งสายลมยังเป็นใจช่วยโห่ไล่และข่มขวัญเหล่าต้นไม้น้อยใหญ่ให้เอนลู่ไปตามแรงกรรโชก จนผู้คนที่อยู่เบื้องล่างแทบจะหลบอารมณ์แปรปรวนบนฟากฟ้าไม่ทัน

แต่คงต้องยกเว้นร่างหนึ่งในชุดคลุมสีดำที่ยังนอนแผ่หลาอยู่กลางดงดอกไม้ขาวที่ถูกสายลมเด็ดกลีบปลิดใบทอดเศษร่างให้สายลมพัดพาไปอย่างไร้จุดหมายกระนั้นก็มีกลีบหนึ่งลอยผ่านลมเปรยแล้วทิ้งร่างลงบนริมฝีปากที่มีสีแดงระเรื่อเหมือนตัวของมัน

มือหนาไล้กลีบดอกด้วยสัมผัสผะแผ่วดวงตาปรือเปิดขึ้นอย่างเชื่องช้าราวกับมีบางอย่างมาดลใจให้มองภาพกลีบดอกไม้สองสีที่เคลียเคล้าคู่กันเขามองเหม่ออยู่นานจนกระทั่งได้ยินเสียงสนทนาของใครบางคนลอยแว่วมาให้ได้ยิน

“อา...ทุ่งกุหลาบที่นี่สวยจัง ใครเป็นเจ้าของหรือ ข้าอยากได้กุหลาบขาวพวกนี้มากเลยนะ”

สุ้มเสียงหวานที่ดังมาพร้อมกับเสียงลมพอจะช่วยให้เจ้าของร่างในชุดคลุมสีดำหลุดออกมาจากวังวนความคิดที่ไร้ทางออกได้บ้างเขาผงกศีรษะขึ้นเล็กน้อยเพื่อจับตำแหน่งที่มาของเสียง

“ไม่ได้หรอกค่ะท่านพี่ ที่นี่คือทุ่งมาวารไกลาสของเจ้าชโยทะนา ท่านหวงมันมากจนแทบไม่เคยอนุญาตให้ใครเก็บเลยค่ะ”อีกเสียงหนึ่งที่หวานไม่แพ้กันตอบกลับมาบ้าง แต่ในน้ำเสียงนี้ฟังดูค่อนข้างลำบากใจกับการตอบคำถามและความต้องการของอีกฝ่าย

“เมื่อกี้เจ้าบอกว่าแทบไม่เคยอนุญาต แสดงว่ามีคนได้รับอนุญาตให้เก็บกุหลาบขาวพวกนี้ได้ใช่ไหม”

“อา...ก็พวกคนสวนนั่นแหละค่ะพวกเขาได้รับอนุญาตให้เก็บกุหลาบพวกนี้เพื่อไปทำน้ำหอมที่คนในวังนิยมใช้กันไงคะ”

“อย่าริมาโกหกข้านะ มีวิธีไหนบ้างที่ข้าจะได้กุหลาบพวกนี้ แม่หญิงแก่นจันทร์”

“โธ่...ท่านพี่คะ”

“แก่นจันทร์...” ชื่อนี้เป็นที่รู้จักของคนทั้งเมืองเลยทีเดียว เพราะหากจะถามว่าหญิงใดงามที่สุดในเมืองนี้คำตอบคงไม่พ้นแก่นจันทร์ บุตรีคนเล็กของกรวิกเป็นแน่

ถ้าแก่นจันทร์คนนี้เป็นคนเดียวกับบุตรีของอดีตข้าหลวงใหญ่จากเมืองหลวง“ท่านพี่” ที่หญิงสาวพูดคุยด้วยก็เดาได้ไม่ยากว่าเป็นใคร เพราะเธอมีพี่สาวต่างมารดาอยู่คนหนึ่งอีกทั้งยังมีเสียงร่ำลือถึงนิสัยที่ตรงกันข้ามกับขนิษฐาราวนางฟ้ากับแม่มดเลยทีเดียว

ผิดแต่ว่าน้ำเสียงของ “ท่านพี่” คนนี้ดูไม่เหมือนแม่มดตามคำกล่าวของคนในเมืองเท่าไรนัก

“นั่นใครน่ะ! มาทำอะไรในสวนของเจ้าชโยทะนา”

“อ๊ะ! ท่านพี่คะเรารีบออกไปจากทุ่งนี้กันเถอะค่ะเราไม่ควรให้ใครรู้ว่าท่านพี่อยู่ที่นี่นะคะ”แก่นจันทร์ละล่ำละลักเอ่ยออกไปด้วยความตกใจ เมื่อได้ยินเสียงตะโกนดังมาแต่ไกลแต่ดูเหมือนว่าคนที่ถูกชักชวนให้รีบกลับจะยังอิดออดไม่ยอมไป

“แต่ว่าแก่นจันทร์ ข้าอยากได้กุหลาบขาวพวกนี้จริง ๆ นะช่วยหาวิธีให้ข้าได้มันมาหน่อยสิ”

“ไว้ก่อนเถอะค่ะถ้าถูกจับได้แล้วเรื่องรู้ไปถึงหูพี่กุสุมาว่าข้าพาท่านหนีมาเที่ยวข้างนอกโดยไม่ขออนุญาตข้าโดนตีตายแน่”

ชายหนุ่มหลับตาลงเมื่อทุกอย่างกลับคืนสู่สภาพเดิมแต่ละอองฝนที่โปรยปรายลงมาทำให้เขาต้องลืมตาขึ้นมาอีกครั้งคราครั้งนี้เขาพบกับร่างโปร่งระหงของหญิงสาวนางหนึ่งที่ยืนเท้าสะเอวอยู่ตรงปลายเท้าพลางทำหน้าถมึงทึงราวกับแม่ยักษ์ก็ไม่ปาน

“ท่านมณินทร! ในที่สุดก็หาตัวเจอเสียที”

ฝนตกลงมาแล้ว แต่โศธินยังไม่เห็นแม้แต่เงาของคนที่หายตัวไปถึงสองคนชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองฟ้าที่ทิ้งสายฝนเม็ดหนาลงมา เขาทอดถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ พลางเดาว่าตัวเองจะโดนอะไรบ้างหลังจากที่ทั้งสองคนนั้นกลับมา

“โศธิน! โศธินอยู่ที่ไหน!”

เจ้าของเสียงนี้จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากจารวีหัวหน้าแม่บ้านที่ออกตระเวนตามหาเจ้านายตั้งแต่ช่วงเที่ยง และการที่เธอมาเรียกชื่อของเขาได้อย่างนี้ก็แปลว่าพบตัวคนที่ตามหาแล้วชายหนุ่มสูดลมหายใจลึกเพื่อเตรียมรับคำบ่นของหัวหน้าแม่บ้านผู้แสนเอาการเอางานแต่เขาสารภาพกับตัวเองเลยว่าไม่ได้เตรียมใจกับสภาพของคนที่ตัวเองต้องออกมาต้อนรับเลย

“จารวี! นี่เจ้าพาท่านมณินทรไปเล่นน้ำที่ไหนกันมาเปียกโชกเหมือนลูกหมาตกน้ำเชียวนะ” โศธินเอ่ยถามพลางพยายามกลั้นเสียงหัวเราะไม่ให้หลุดออกไปอย่างเสียมารยาททั้งต่อเจ้านายและหญิงสาวที่ชายหนุ่มทั้งรักทั้งเกรงอยู่ในที

“น้ำฝนนอกตำหนักนี่ไงล่ะ ตาบอดหรือไงกัน” จารวีสะบัดเสียงตอบ แต่ไม่วายส่งสายตาแกมดุไปยังเจ้านายที่ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ว่าตัวเองเป็นสาเหตุให้ทั้งเธอและเขาเปียกปอนจนดูไม่ได้แบบนี้“ท่านมณินทรนี่น่าตีนักเชียว กว่าจะยอมออกมาจากทุ่งมาวารไกลาสได้ต้องรอให้ฝนมาไล่ถ้าไม่สบายขึ้นมาจะทำอย่างไรกัน”

นอกจากจะอยากตีคนที่ทำให้ตัวเองเปียกโชกแล้วจารวีก็นึกอยากหยิกใบหน้าเปื้อนยิ้มของหัวหน้าพ่อบ้านที่ชอบทำอะไรเอื่อยเฉื่อยขึ้นมาครามครันแต่ติดตรงที่ยังมีเจ้านายยืนนิ่งไม่ต่างจากตุ๊กตาไม้อยู่ด้านข้างจึงไม่อาจทำได้ตามใจคิดหญิงสาวจึงทำเพียงถลึงตาดุใส่

“โศธิน ข้าฝากท่านมณินทรให้เจ้าช่วยดูแลต่อทีข้าจะรีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วเดี๋ยวจะตามไปที่ห้อง” จารวีฝากวานให้ชายหนุ่มรับช่วงต่อพลางขึงตาใส่คนที่ยังยืนยิ้มพรายอยู่ตรงหน้า“และข้าก็หวังว่าจะเห็นเจ้ากับท่านมณินทรที่ห้องนะ”พอมอบหมายงานให้หัวหน้าพ่อบ้านที่ชอบอู้งานเสร็จร่างโปร่งระหงก็เดินลิ่วจากไปแบบไม่เหลียวหลัง ทิ้งให้โศธินไล่สายตามองตามด้วยความทึ่งปนชื่นชม

“จารวีนี่เอาการเอางานเสมอเลยนะขอรับข้าเห็นนางแล้วรู้สึกเหนื่อยแทนอย่างไรไม่รู้” ชายหนุ่มหันไปทางเจ้านายที่ยังยืนนิ่งเหมือนหุ่นไม่พูดจาหรือสนทนาอะไรราวกับเป็นคนบ้าใบ้

หากจะบอกว่าเจ้ามณินทรเป็นคนบ้าก็ดูจะไม่ผิดเพี้ยนไปจากความจริงเท่าไรนักซึ่งพอโศธินนึกถึงต้นเหตุที่ทำให้เจ้านครของตัวเองต้องมีสภาพเช่นนี้ชายหนุ่มก็ต้องถอนหายใจออกมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า “เรารีบกลับห้องดีกว่าครับถ้าจารวีไปถึงห้องก่อนพวกเราคงได้มีเทศน์อีกชุดใหญ่ข้าว่าท่านคงไม่อยากฟังนางอบรมตลอดเย็นนี้แน่”

“มาช้า

จารวีขึ้นเสียงสูงทันทีที่เห็นโศธินเพิ่งพาเจ้ามณินทรเข้ามาในห้องมิหนำซ้ำยังมองชายหนุ่มด้วยสายตาถมึงทึงจนน่าหวั่นว่าหากเจ้าตัวไม่บ่นจนเสียงหมดไปก่อน คนมาช้าคงได้หูหนวกเพราะคำบ่นที่จะตามมาเป็นแน่ แต่จารวีไม่ได้ทำอย่างที่โศธินนึกกลัวหญิงสาวสะบัดหน้าเมินชายหนุ่มจนชวนให้หัวใจเจ็บจี๊ด แล้วเดินตรงไปหาเจ้ามณินทรที่ไม่อินังขังขอบต่อสิ่งใดทั้งสิ้นก่อนลากพาร่างสูงใหญ่เข้าไปยังส่วนที่ใช้อาบน้ำหลังฉากกั้นมีอ่างไม้บรรจุน้ำอุ่นเตรียมรอไว้เสร็จสรรพซึ่งเธอก็รีบถอดชุดคลุมสีดำที่เปียกชื้นออกจากตัวของคนตรงหน้า

“ท่านมณินทร...” หญิงสาวติงเสียงเบา เมื่อมือใหญ่รวบผ้าคลุมที่ปิดซ่อนเรือนกายและใบหน้าไว้แน่นราวดรุณีน้อยที่ขลาดอายเธอส่ายหน้าพร้อมกับถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่พลางมองร่างสูงใหญ่เดินโซซัดโซเซเข้าไปนอนแช่ในอ่างน้ำอุ่นทั้งสภาพอย่างนั้น

ท่อนขาแข็งแรงพาดยาวออกมานอกอ่างไม้ให้จารวีเดินเข้าไปถอดบูทหนังที่มีสีเดียวกับผ้าคลุมพอถอดเสร็จหญิงสาวก็ยกมือขึ้นเท้าเอวพลางมองสภาพของชายหนุ่มในอ่างน้ำที่ไม่ต่างอะไรกับเด็กชายวัยสิบขวบโดยมีโศธินพยายามกลั้นยิ้มไว้อย่างเต็มที่และพยายามอย่างมากที่จะไม่หลุดเสียงหัวเราะออกมา

จารวีคงลืมไปแล้วกระมังว่าเจ้านายของตัวเองไม่ใช่เด็กชายวัยห้าขวบที่เคยวิ่งไล่จับอาบน้ำอีกแล้วเจ้ามณินทรเป็นชายหนุ่มที่มีอายุล่วงเข้าเบญจเพสและเคยหล่อเหลาจนมีหญิงสาวมากมายอยากเข้ามาปรนนิบัติรับใช้ แต่เพราะเจ้ามณินทรมีนิสัยหวงเนื้อหวงตัวจึงไม่เคยมีหญิงสาวคนไหนเข้ามารับใช้ใกล้ชิดแบบจารวีเท่าไรนักอีกทั้งพอเกิดเหตุการณ์ในคืนโศกขีดความหวงเนื้อหวงตัวของเจ้ามณินทรก็พุ่งทะลุเกินระดับคนทั่วไป

“ทำไมถึงได้ดื้อแบบนี้ ไม่ใช่เด็กแล้วนะเจ้าคะ”

โศธินอยากโต้กับจารวีนักว่าเจ้ามณินทรก็ดื้อมาตั้งแต่เล็กจนโตนั่นล่ะ และยังเป็นคนที่ดื้อเงียบอีกด้วยตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ เรื่องที่อดีตเจ้าชโยทะนาเคี่ยวเข็ญให้บุตรชายร่ำเรียนเชิงดาบแต่เจ้าตัวกลับสนใจแต่หนังสือโดยเฉพาะด้านโหราศาสตร์และดาราศาสตร์ถึงขนาดแอบหนีไปหมกตัวอยู่บนยอดหอคอยที่อยู่ด้านข้างติดริมผาของตำหนักหริจันทน์ จนมีเสียงลือไปว่าบุตรชายของผู้ครองนครฝักใฝ่ในศาสตร์มืด

ไม่มีใครรู้ว่าเรื่องของเจ้ามณินทรถูกลือไปทางนั้นได้อย่างไรแต่โชคดีนักที่ไม่มีใครเชื่อถือข่าวลือจวบจนเกิดเหตุเพลิงไหม้ตำหนักหริจันทน์เมื่อห้าปีก่อนที่ได้สั่นคลอนความเชื่อของคนทั้งชโยทะนาเหตุการณ์นั้นทำให้คนทั้งชโยทะนาต้องสูญเสียเจ้าผู้ครองนครไปพร้อมกับชายา และอารมณ์ของเจ้ามณินทรเองก็เริ่มปรวนแปรวิปริต

อย่างเช่นในวันที่ฟ้าครึ้มและมีฝน เจ้ามณินทรมักจะพูดน้อยหรือบางทีอาจจะไม่พูดอะไรเลยหลายคนต่างชอบอาการนี้ของเจ้านครมากกว่าตอนที่อีกฝ่ายแสดงอาการโมโหร้ายเสียอีกโดยเฉพาะวันไหนที่มีฝนตกฟ้าคะนอง เจ้าของตำหนักหริจันทน์ก็ดูจะถูกความปั่นป่วนของสภาพอากาศทำให้อาละวาดหนักยิ่งกว่าคนบ้า

โศธินมองจารวีที่ยื้อยุดฉุดดึงผ้าคลุมดำออกมาจากตัวของเจ้ามณินทรเผยให้เห็นรอยแผลที่จารอยู่เต็มครึ่งหน้าซีกซ้ายและตามลำตัว ซึ่งคงมีเพียงคนชิดใกล้ที่จะไม่ผงะไปหลังจากได้เห็นรอยแผลฉกรรจ์ที่เป็นต้นเหตุให้บรรดาหญิงสาวที่อยากใกล้ชิดผู้ปกครองหนุ่มพากันถอยหนีแทบไม่ทัน

“จะมีผู้หญิงคนไหนที่ไม่หวาดกลัวต่อบาดแผลนี้บ้างนะ”

หัวหน้าพ่อบ้านพ่นลมหายใจกับถ้อยคำที่ฟังมาไม่ต่ำกว่าพันรอบแต่ละรอบที่จารวีเอ่ยมักเกิดขึ้นจากความวิตกของพี่เลี้ยงสาวที่หวาดกลัวว่าจะไม่มีหญิงสาวที่ดีพร้อมและเหมาะสมกับเจ้ามณินทรมาอยู่เป็นคู่ตุนาหงันซึ่งมาตรฐานของเธอมีเพียงแค่อยากได้ผู้หญิงที่ไม่กลัวเกรงต่อรอยอัปลักษณ์บนใบหน้าของผู้ปกครองหนุ่มรวมถึงอุปนิสัยที่ค่อนข้างจะรับได้ยากสำหรับคนทั่วไป ซึ่งคนที่โศธินเห็นว่าเข้าข่ายนี้ก็มีแต่คนพูดแต่เขาไม่คิดจะยกเธอให้กับผู้ชายหน้าไหน แม้ว่าผู้ชายคนนั้นจะเป็นเจ้านายที่เล่นด้วยกันมาตั้งแต่เยาว์วัยก็ตามที

“ท่านมณินทร

เสียงร้องของจารวีฉุดสติของโศธินให้ออกมาจากภวังค์ความคิดแล้วรีบหันไปมองต้นเหตุที่ทำให้หญิงสาวร้องเสียงหลงชายหนุ่มหลุดหัวเราะออกมาเสียงดังเมื่อภาพที่เห็นคือภาพของผู้ปกครองหนุ่มที่ถูกจับเปลื้องผ้าเสียเกือบล่อนจ้อนที่เอนตัวลงนอนราบใต้ผิวน้ำและไม่มีทีท่าจะผุดขึ้นมาหายใจเสียด้วย

“ท่านมณินทรอย่าทำแบบนี้นะ โผล่ขึ้นมาเดี๋ยวนี้เลย ท่านมณินทร

หลังจากโดนจารวีบ่นจนหูชาไปทั้งนายและบ่าว เจ้ามณินทรก็ตรงดิ่งไปยังหอคอยข้างตำหนักทันทีหอคอยแห่งนี้เป็นสถานที่ส่วนบุคคลที่ไม่อนุญาตให้ใครเข้าไปได้นอกจากโศธินกับจารวีที่เข้ามาคอยดูแลทำความสะอาดแบบวันเว้นวัน

มีหลายเสียงที่ไม่ทราบแหล่งที่มาบอกว่าบนยอดหอคอยตำหนักหริจันทน์เป็นสถานที่ที่เจ้ามณินทรใช้ประกอบพิธีไสยศาสตร์มนตร์ดำจนถึงขนาดมีคนริลองของแอบลักลอบเข้าไปในหอคอยเพื่อพิสูจน์เรื่องนี้ แต่ก็โดนผู้ปกครองหนุ่มจับได้ทุกครั้งราวกับมีภูตผีมากระซิบบอกซึ่งผลของการลองดีคือการถูกลงโทษหนักปางตาย และทำให้ไม่มีใครกล้าเสี่ยงเข้ามาพิสูจน์ข้อเท็จจริงของข่าวลือนั้นอีก

แสงจากดวงโคมที่ถูกจุดเผยให้เห็นสภาพรอบห้องบนยอดหอคอยที่มีชั้นหนังสือเป็นผนังรอบด้านส่วนที่อยู่ตรงข้ามกับประตูที่เข้ามาในห้องหอคอยคือ แผนที่อาณาจักรอุษาปารีกับอาณาจักรเพื่อนบ้านที่อยู่ในทวีปเดียวกันและทวีปใกล้เคียง

นครชโยทะนาอยู่สุดเขตแดนตะวันตกของทวีป มีอาณาเขตติดทะเลยาวไปถึงด้านเหนือที่มีแนวเขากั้นอาณาจักรเพื่อนบ้านไว้ซึ่งตำหนักหริจันทน์ก็ตั้งอยู่บนเชิงเขาที่เป็นดั่งเส้นกั้นพรมแดนนั่นเอง

ถัดจากแผนที่แผ่นใหญ่เป็นบันไดที่ขึ้นไปสู่ชั้นสองที่เป็นรูปครึ่งวงกลมพื้นที่นี้อยู่เหนือประตูทางเข้าหอคอย ซึ่งมีหน้าต่างที่จะเปิดให้เห็นพื้นที่โดยรอบของชโยทะนาที่มีอาณาเขตจรดกับพื้นน้ำมหาสมุทรที่อยู่ไกลสุดลูกหูลูกตาและยังมีบันไดเล็กที่สามารถขึ้นไปบนยอดหอคอยที่แขวนธงสัญลักษณ์ประจำตระกูลของเจ้าผู้ปกครองเมือง

เจ้ามณินทรขึ้นบันไดชั้นสองขึ้นไปอย่างเชื่องช้าผ่านมุมที่มีเตียงสี่เสาขนาดหกฟุตครึ่งที่ใช้หลับนอนบ่อยครั้งยิ่งกว่าห้องพักจริงในตำหนักแล้วตรงไปยังหน้าต่างที่อยู่ในมุมตั้งฉากกับชั้นล่างซึ่งบานนี้เปิดให้เห็นทุ่งกุหลาบขาวที่ทอดตัวบานสะพรั่งไปจรดชายป่าสนและตัวเมืองเลียบชายเขาที่ถูกกั้นด้วยคลองเส้นใหญ่

ตัวเมืองถูกปกคลุมด้วยฝนโปรยปรายปกปิดความเคลื่อนไหวบางอย่างที่ไม่ได้เป็นความลับเสียเท่าไรนักแต่ก็มีน้อยคนที่จะสังเกตเห็นรถม้าที่ไม่ระบุสัญชาติและยังมีการคุ้มกันแน่นหนาผ่านเข้าอาณาเขตคฤหาสน์เอราวัณเมื่อสัปดาห์ก่อน

การมาของบุคคลที่อยู่ในรถม้าคันนั้นถูกปกปิดเป็นความลับอย่างที่สุดอีกทั้งยังมีการลวงผู้เฝ้ามองการเคลื่อนไหวด้วยรถม้าที่คล้ายกันนี้อีกเก้าสิบเก้าคันพวกมันวิ่งกระจัดกระจายไปตามบ้านพักของเหล่าข้าราชสำนักน้อยใหญ่ทั่วอาณาจักรเพื่อสร้างความสับสนและคลุมเครือแต่เจ้ามณินทรก็ไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะส่งว่าที่ราชินีของตัวเองมาให้คนที่เคยมีเรื่องบาดหมางกับราชสำนักคอยดูแลแบบนี้

สายตาของเจ้ามณินทรมุ่งตรงไปยังยอดหลังคาที่โผล่วับแวมในทิวสนเขาจำได้ว่าส่วนของยอดหลังคานั้นเป็นของคฤหาสน์เอราวัณ ที่พำนักของกรวิกที่ชอบทำตัวคะคานอำนาจกับเจ้าชโยทะนาชายหนุ่มกระตุกมุมปากขึ้นหยัดยิ้ม เมื่อนึกไปถึงบทสนทนาที่บังเอิญได้ยินมา

เขาเชื่อว่าคนที่ส่งตัวหญิงสาวที่แก่นจันทร์เรียกว่า “ท่านพี่”จะต้องแก้เผ็ดอดีตข้าหลวงที่เคยเมินหน้าหนีจากราชสำนักอย่างไม่ต้องสงสัยและด้วยสถานภาพของเธอคนนั้นก็คงทำให้อีกฝ่ายผลักไสไล่ส่งเธอไม่สะดวกเท่าไร

เจ้ามณินทรอยากรู้นักว่ากรวิกจะทำอย่างไรหากหญิงสาวคนนั้นริอยากจะเป็นโจรขโมยกุหลาบขึ้นมา

พอเข้าช่วงพลบค่ำสายฝนที่ซัดกระหน่ำมาตั้งแต่บ่ายก็ซบเซาลงจนเหลือแต่เม็ดฝนปรอยและบรรยากาศเย็นชื้นชวนให้ใจสงบแต่ก็มีข้ารับใช้บางคนในคฤหาสน์เอราวัณที่ไม่อาจสงบใจได้เท่าไรเมื่อถูกดวงตาคมกริบของหญิงสาวในชุดแดงจดจ้องไม่วางตาอีกทั้งไม้แส้ที่ขยับขึ้นลงในมือเรียวบางก็ดูราวกับช่วยเสริมความน่าเกรงขามของหญิงสาวให้เพิ่มมากขึ้น

หากจะให้ถามว่าใครน่ากลัวรองลงมาจากเจ้าชโยทะนาหลายเสียงอาจจะบอกว่าเป็นกรวิก กระนั้นก็มีอีกหลายเสียงบอกว่าผู้ที่สามารถสร้างความหวาดหวั่นระคนหวาดกลัวได้นั้นไม่ใช่กรวิกหรอก แต่เป็นกุสุมาบุตรีคนโตของท่านที่มีเสียงลือถึงความน่ากลัวของนางไว้มากมาย

เรื่องที่เด่นดังมากที่สุดก็เห็นจะไม่พ้นเรื่องการผลักภรรยาคนที่สองของกรวิกให้ตกลงมาจากบันไดชั้นบนสุดของคฤหาสน์ซึ่งขณะนั้นเจ้าตัวมีอายุเพียงสิบขวบปีเท่านั้น

ส่วนเรื่องที่ทำให้ข้ารับใช้เหล่านั้นหวาดหวั่นจนแทบจะจับไข้หัวโกร๋นคงเริ่มมาตั้งแต่สองชั่วยามที่แล้วพวกเขาไม่รู้ว่าภูตผีตนไหนไปกระซิบบอกว่าคุณหนูของพวกเขาแอบหนีเที่ยว หญิงสาวที่มีดวงตาน่าขนลุกจึงได้ออกมาจากเรือนเดือนแดงเพื่อมาเยี่ยมเยือนน้องสาวต่างมารดาโดยไม่มีการบอกกล่าว

จวบจนเมื่อคุณหนูของพวกเขากลับมาพร้อมกับญาติผู้พี่ที่เป็นตัวต้นเหตุของการหนีเที่ยวครั้งนี้เป้าสายตาของหญิงสาวที่น่ากลัวที่สุดในชโยทะนานครจึงเบี่ยงเบนไปทางผู้มาใหม่ทันที แต่ยังไม่ทันที่เหล่าข้ารับใช้ทั้งหลายจะได้โล่งอกโล่งใจกับความอึดอัดที่บรรเทาลงพวกเขาก็พร้อมใจกันกลั้นหายใจด้วยความหวาดหวั่นอีกระลอก เมื่อหนึ่งในนั้นโอบอุ้มดอกกุหลาบขาวเข้ามาราวกับเป็นของรักของหวงก็ไม่ปาน

“เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของแก่นจันทร์หรอกกุสุมาข้ารั้นต่อคำกล่าวห้ามของนางและแอบไปเอามันมาเอง” ทอฟ้าเอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบที่ชวนให้รู้สึกอึดอัดแต่อีกฝ่ายกลับมีท่าทางไม่สนใจเธอเลยสักนิดซึ่งเธอก็ยอมรับว่าตัวเองแพ้ทางอีกฝ่ายอยู่ไม่น้อยยิ่งพอได้สบกับดวงตาดุคมยิ่งกว่ามีดความคิดที่อยากพูดอะไรต่อมิอะไรก็ถูกกลืนหายลงลำคอไป

“แก่นจันทร์”

ถ้าไม่ติดว่าเจ้าของเสียงเจือรอยดุมาด้วยสุ้มเสียงของคนพูดก็เพราะนุ่มอยู่ไม่น้อยแต่คงมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่คอยเฝ้าฟังเสียงเสนาะของหญิงสาวที่ชอบสร้างความหวาดหวั่นให้กับคนรอบข้างซึ่งแก่นจันทร์เองก็เป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ว่าเพียงแต่ยามนี้เสียงของพี่สาวต่างมารดากลับทำให้เจ้าของชื่อสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจ

“ค่ะ...คะ พี่กุสุมา”

“เจ้าพาทอฟ้าไปที่เขตท่าเรือมาอย่างนั้นหรือ”

แก่นจันทร์ทำเสียงอึกอักในลำคอไม่กล้าตอบคำถามของผู้เป็นพี่สาวเท่าไรนักเพราะหากจะแอบย่องออกไปนอกคฤหาสน์โดยไม่ให้กุสุมารู้ก็มีแต่เส้นทางข้ามคลองที่ติดกับทุ่งมาวารไกลาสเท่านั้นที่จะไปได้ ซึ่งพอผ่านพ้นสะพานข้ามคลองไปก็จะล่วงเข้าสู่เขตท่าเรือที่อีกฝ่ายเคยห้ามไม่ให้ไปเดินเที่ยวตามลำพัง

หญิงสาวพอจะรู้สาเหตุที่กุสุมาไม่ยอมให้ไปที่เขตท่าเรือเพราะแม้ที่นั่นจะมีของน่าสนใจจากอีกฟากฝั่งทะเลมากมาย แต่เขตท่าเรือก็เต็มไปด้วยกะลาสีคนงาน รวมถึงหญิงหากิน คนเหล่านี้มีบางจำพวกที่หยาบโลนเหนือสิ่งอื่นใดคือในช่วงที่เธอยังอยู่ในช่วงวัยกำดัดอยากรู้อยากเห็นสิ่งรอบข้างถึงขนาดเรียกได้ว่าซุกซนพอตัวก็เคยถูกคนพวกนี้คุกคามจนเกือบเอาตัวไม่รอดแต่ก็ได้คนรู้จักของพี่สาวเข้ามาช่วยเหลือ

ทั้งที่รู้ว่าเขตท่าเรืออันตราย แก่นจันทร์ก็ยังพาทอฟ้าไปเที่ยวที่นั่นโดยมีแค่คนรับใช้ติดตามไปเพียงหนึ่งคนนั่นคือความผิดที่กุสุมากำลังกล่าวเป็นนัยมาทางคำถามแต่เรื่องนี้คงยังไม่ร้ายแรงเท่ากับเรื่องที่หญิงสาวปล่อยให้ลูกพี่ลูกน้องกลายเป็นโจรขโมยกุหลาบได้

เพราะสิ่งเดียวที่กุสุมาเกลียดที่สุด คือการลักเอาของของผู้อื่นมาเป็นของตัวเอง

“ขออภัยค่ะท่านพี่”

พอเห็นท่าทางน่าสงสารของแก่นจันทร์แล้ว ทอฟ้าก็อดรู้สึกสงสารขึ้นมาไม่ได้หญิงสาวมองกุหลาบขาวในมือตัวเองพลางนึกไปถึงผู้สมรู้ร่วมคิดตัวจริงที่ให้คำมั่นเหมาะแล้วว่าทุกอย่างจะไม่เป็นไร “อย่าได้ห่วงไปเลยข้าจะรับผิดชอบเรื่องที่เอากุหลาบขาวของเจ้าชโยทะนาไปโดยไม่ได้รับอนุญาตเอง”

“รู้ไหมว่ากุหลาบนั้นเคยทำให้ลูกเศรษฐีในเมืองนี้กลายเป็นทาสในเรือพาณิชย์ของเจ้าชโยทะนามาแล้วข้าได้ยินมาว่าเวลาสามเดือนนั้นช่างโหดร้ายและทารุณสำหรับเขามาก”กุสุมาบอกเล่าสิ่งที่เป็นไปด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยแต่ท่าทางของคนฟังไม่มีทีท่าหวาดหวั่นเลยสักนิดคงมีเพียงแก่นจันทร์ที่ตัวสั่นงันงกราวกับตัวเองจะโดนโทษทัณฑ์นั้นเสียเอง

“เจ้าชโยทะนาไม่เคยไว้หน้าใคร แม้ว่าคนผู้นั้นจะเป็นว่าที่ราชินีของกษัตริย์ที่กำลังตั้งครรภ์ก็ตามดังนั้นสิ่งเดียวที่ข้าอยากได้ในตอนนี้คือ จงอยู่กันอย่างสงบเสงี่ยม ปิดปากเรื่องที่ตัวเองทำไว้ให้เงียบที่สุดแล้วอย่าคิดทำอะไรไร้สาระให้เรื่องยุ่งยากไปมากกว่านี้เป็นพอ”

หลังจากผ่านค่ำคืนที่อบอวลด้วยสายฝนบรรยากาศตอนเช้าจึงเต็มไปด้วยความสดชื่นและเย็นสบายจนยากที่จะลุกออกมาจากที่นอนได้กระนั้นผู้คนในตำหนักหริจันทน์ก็ต้องหักห้ามใจเด็ดความขี้เกียจทิ้งแล้วลุกขึ้นมาทำกิจวัตรของตนให้เสร็จเรียบร้อย

โศธินเรียกประชุมเหล่าข้ารับใช้แล้วมอบหมายงายประจำวันให้แต่ละคนรับไปทำตามหน้าที่แต่ดูเหมือนจะมีอยู่คนหนึ่งที่ไม่ยอมให้หัวหน้าพ่อบ้านทำตามหน้าที่เท่าไรเมื่อเจ้าของตำหนักออกมาข้างนอกตั้งแต่เช้าตรู่ด้วยชุดคลุมดำเต็มยศ

“ทำไมวันนี้ออกมาข้างนอกตั้งแต่เช้าล่ะครับ ท่านมณินทร”

เจ้าครองนครไม่ได้ตอบคำถามของหัวหน้าพ่อบ้านนอกจากเดินตรงไปยังเส้นทางที่มุ่งสู่ทุ่งมาวารไกลาส ตรงชายทุ่งมีกลุ่มคนสวนกำลังมุงดูบางอย่างด้วยท่าทางเป็นกังวลโศธินจึงเรียกคนที่อยู่ใกล้ตัวที่สุดให้ไปสอบถามเหล่าคนสวนว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น

เมื่อสอบถามได้ความมาแล้ว โศธินก็เดินตามเจ้ามณินทรไปยังจุดเกิดเหตุพลางมองเจ้าครองนครที่ยื่นมือไปแตะกิ่งก้านกุหลาบที่ถูกตัดแผ่วเบา ร่องรอยของผู้บุกรุกที่ทิ้งเอาไว้ช่างดูอุกอาจและหยามน้ำหน้าเจ้าของทุ่งอยู่ไม่น้อยเขาอดรำพึงในใจไม่ได้ว่าใครกันหนอที่ช่างกล้าลองดีกับเจ้ามณินทรแบบนี้แล้วยิ่งพอได้เห็นริมฝีปากได้รูปของเจ้าครองนครแสยะยิ้มขึ้นมาวูบหนึ่งเขาก็อดหวั่นใจแทนคนผู้นั้นขึ้นมาครามครัน

“โศธิน” เจ้ามณินทรเรียกขานหัวหน้าพ่อบ้านด้วยน้ำเสียงต่ำพร่าเจ้าของชื่อรีบขานรับเสียงเรียกทันที

“ขอรับนายท่าน”

“ตามรอยโจรขโมยกุหลาบไปว่าเป็นใครแล้วสืบเรื่องราวรอบตัวของคนผู้นั้นทุกอย่างอย่าให้พลาดแม้รายละเอียดเพียงเล็กน้อย ข้าจะรออยู่ที่ห้องสมุดในตอนบ่าย”

โศธินค้อมศีรษะน้อมรับคำสั่งของเจ้าครองนครที่หมุนตัวกลับเข้าตำหนักทันทีที่มอบหมายงานเสร็จซึ่งเขาก็อดหนักใจกับคำสั่งของเจ้ามณินทรไม่ได้เพราะดูทีท่าแล้วเจ้านายของเขาคงรู้แล้วว่าโจรขโมยกุหลาบเป็นใครชายหนุ่มรู้สึกสังหรณ์ใจพิกลว่าเรื่องคงไม่ได้จบแค่การตามหาโจรขโมยกุหลาบเป็นแน่

พอตกบ่ายโศธินก็นำข้อมูลที่ตัวเองหามาได้เข้าไปรายงานเจ้ามณินทรที่ห้องสมุดซึ่งผลปรากฏว่าโจรขโมยกุหลาบในรอบนี้เป็นถึงคนในรั้วคฤหาสน์เอราวัณแต่จะพูดว่าเป็นคนของเอราวัณก็ไม่ถูกเสียทีเดียวนักเมื่อคนผู้นั้นเพียงแค่เข้ามาอยู่เป็นการชั่วคราวจนกว่าเรื่องวุ่นวายของที่ทางเจ้าตัวจากมาจะจบลง

หัวหน้าพ่อบ้านถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่กับความวุ่นวายที่จะตามมาหลังจากนี้บุคคลในคฤหาสน์เอราวัณเป็นหนึ่งในเรื่องยุ่งยากที่มีมาแต่ช้านานสำหรับเจ้าครองนครเพราะอิทธิพลและเส้นสายที่เจ้าคฤหาสน์หลังนั้นมีล้วนแล้วแต่เป็นกองกำลังที่เข้มแข็งยิ่งกว่าที่เจ้าชโยทะนามีเสียอีก

แต่ก็อย่างว่า เจ้านายของเขาสนเสียที่ไหนล่ะ

“โศธิน” เจ้ามณินทรเอ่ยเรียกหัวหน้าพ่อบ้านด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยแน่นอนว่าโศธินขานรับตอบทันทีและรู้ว่าเจ้านายของเขาจะทำอย่างไรต่อไป

“ขอรับนายท่าน”

“เตรียมคนของเราให้พร้อมภายในหนึ่งชั่วยามข้าจะไปเยี่ยมเยียนท่านกรวิกเสียหน่อย”





Create Date : 25 มิถุนายน 2554
Last Update : 20 มกราคม 2557 15:56:51 น.
Counter : 235 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ฌา
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



New Comments
All Blog