พิษเสน่หา 35
๓๕ หึงหวง

ยามสนธยาเคลื่อนผ่านเข้ามาอย่างรวดเร็ว แต่เจ้าของดวงตาคมกริบก็ยังไม่เห็นวี่แววของคนที่ต้องการพบ ออกมาจากที่ประทับของเจ้าหลวงแห่งปามะห์ ดวงจิตที่เยือกเย็นเริ่มร้อนรุ่มตามเวลาที่ผันผ่าน จนกระทั่งร่างบอบบางในชุดสีน้ำเงินผ่านพ้นประตูออกมา ร่างสูงใหญ่จึงตรงไปยังร่างนั้นทันที

สิริกัญญาหวีดร้องด้วยความตกใจ เมื่อถูกฉุดจากด้านหลัง แล้วมือหนาก็เข้ามาปิดริมฝีปากเรียวบางไว้ ก่อนลากร่างบอบบางให้เข้าสู่มุมมืด หญิงสาวพยายามดิ้นรนขัดขืนให้หลุดจากท่อนแขนที่ตวัดรัดรอบเอว จนนาสิกสัมผัสได้ถึงกลิ่นเครื่องหอมที่เคยคุ้น เธอจึงหยุดดิ้นด้วยรู้แล้วว่าอีกฝ่ายที่บังคับพาตัวเธอมานั้นเป็นใคร

“ราเชน ปาเยนทร์...” หญิงสาวเอ่ยชื่ออีกฝ่ายทันทีที่ถูกปล่อยริมฝีปาก แต่เธอก็ส่งเสียงได้แค่นั้น เมื่ออีกฝ่ายปิดประทับริมฝีปากลงมาแทนฝ่ามือ

เสียงอู้อี้ที่ถูกบังคับจูบอีกครั้งดังขลุกขลักอยู่ในลำคอ และเธอก็หายใจตามไม่ทัน เมื่อชายหนุ่มพรมจูบบนริมฝีปากครั้งแล้วครั้งเล่า อ่อนหวานและเนิ่นนาน รุนแรงและเร่งเร้าคละเคล้ากันจนสมองขาวโพลน ลืมสิ้นเรื่องการขัดขืน

ราเชนกระชับกอดร่างบอบบางในวงแขนให้แน่นขึ้นอีก คล้ายกับกลัวว่าอีกฝ่ายจะหายไปทั้งที่เขายังกอดเธออยู่เช่นนี้ ความกังวลมาคอยรุมเร้า นับตั้งแต่ตัวเองถอยออกมาให้ญาติสีน้ำเงินได้พูดคุยกัน และเรื่องที่คนพวกนั้นคุย ก็คงไม่พ้นสถานการณ์ล่อแหลมในตอนนี้ ไปจนถึงสิทธิ์ครองบัลลังก์ของสิริกัญญา และกว่าเขาจะปลดปล่อยร่างในวงแขนให้เป็นอิสระ กลีบปากนุ่มก็ช้ำระบมจากการสัมผัสของเขาไปเสียแล้ว

สิริกัญญากะพริบตาปริบด้วยความสับสนงุนงง หญิงสาวยังจับต้นชนปลายต่อสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ถูก จนเมื่อใบหน้าของราเชนใกล้เข้ามาอีกครั้ง มือเรียวบางจึงยกขึ้นปิดริมฝีปากสีสด ที่คิดจะฝากฝังสัมผัสที่ทำให้เธอหายใจตามไม่ทันไว้

“ข้า...” หญิงสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นพร่า พลางส่ายหน้าเพื่อบอกถึงการปฏิเสธของตนเอง “ข้าไม่ยอมให้ท่านรังแกอีกแล้ว ได้โปรดปล่อย”

มือหนาดึงมือเล็กออกจากริมฝีปากของตัวเอง พลางจ้องมองร่างในวงแขนด้วยดวงตาวาวโรจน์ “หรือเพราะรู้แล้วว่าตัวเองเป็นใคร เลยคิดว่าข้าไม่สมควรแตะต้องเจ้า”

ดวงตาสีน้ำเงินเบิกกว้างขึ้นอย่างไม่อยากเชื่อ ว่าคำที่ได้ยินนั้นจะหลุดออกมาจากชายหนุ่มตรงหน้า คำพูดของเขาเต็มไปด้วยรอยประชดประชัน และในหางเสียงของเขาคล้ายจะมีรอยหึงหวง แต่เขาจะหึงอะไรในตัวเธอล่ะ

“แม้จนตอนนี้ข้าก็คิดว่าตัวเองเป็นลูกทาส!” หญิงสาวโต้คำประชดกลับไปด้วยความฉุน ทำไมเธอจะต้องกลายเป็นฝ่ายผิดทั้งที่ไม่ได้ทำอะไรเสมอ “ข้าถูกล้างสมองมาตลอดว่าเป็นลูกทาส จนบัดนี้ก็ยังไม่เคยนึกว่าตัวเองเป็นเจ้าหญิง ไม่แม้แต่จะคิดว่าตัวเองคู่ควรกับใคร เพราะแม้แต่ทาสชายก็ยังไม่แลข้าเลยสักคน!”

ราเชนผงะกับคำที่โต้ตอบกลับมา มันเต็มไปด้วยคำตัดพ้อต่อว่า และชายหนุ่มก็นึกเสียใจที่เกิดอาการหึงจนหน้ามืด เผลอปล่อยถ้อยคำที่ทำร้ายจิตใจอีกฝ่ายออกไป แต่นั่นก็เป็นเพราะเขาไม่อยากเสียเธอให้กูรา

“ข้าเสียใจ...” ชายหนุ่มพึมพำด้วยน้ำเสียงสำนึกผิด

“เสียใจเรื่องอะไรหรือคะ ท่านไม่ได้ทำอะไรผิดนี่ ท่านแค่พูดเรื่องจริงให้ข้าสำนึกได้ว่าแท้จริงแล้วตัวเองเป็นใคร” สิริกัญญาโต้คำกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ และใช้สองมือปลดท่อนแขนแข็งแรงที่รัดรอบเอวออกไป

“ต่อไปนี้ข้าคงต้องวางตัวให้สมกับเป็นเจ้าหญิงแห่งกูราเสียที เจ้าหลวงวิวัสวัต...เสด็จน้าของข้าบอกว่าจะประทานยศให้ เพื่อให้ข้าเตรียมพร้อมสู่การขึ้นครองบัลลังก์สีน้ำเงิน มันเป็นทางออกที่จะทำให้ความวุ่นวายทุกอย่างจบลง ท่านว่าอย่างนั้นไหมคะ เจ้าปาเยนทร์”

“ไม่ให้ไปหรอก” ราเชนตอบเสียงขึง ก่อนคว้าจับต้นแขนเล็กแล้วดึงเข้ามาใกล้

“ท่านเป็นใคร ถึงมาห้ามข้าไม่ให้ไป!” หญิงสาวตอบกลับด้วยถ้อยคำรุนแรง ไม่สนใจดวงตาสีถ่านที่คุโชนด้วยเพลิงอารมณ์บางอย่าง และเพลิงนั้นก็ปะทุขึ้นด้วยคำพูดของเธอ

“แล้วเจ้าอยากให้ข้าเป็นอะไรสำหรับเจ้าล่ะสิริกัญญา คู่นอนหรือคู่รัก”

ฝ่ามือเรียวกระทบลงบนใบหน้าคมคายเต็มฉาดใหญ่ สิริกัญญาขบริมฝีปากของตัวเองแน่น พยายามข่มอารมณ์โกรธที่ถูกเหยียดหยามไม่ให้พลุ่งพล่านออกมา “หยาบคาย...”

ใบหน้าคมคายหันกลับมาอย่างเชื่องช้า ดวงตาสีดำลึกล้ำฉายแววเยียบเย็นเสียจนคนถูกจ้องรู้สึกกลัวขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่ด้วยทิฐิที่มีจึงกัดฟันฝืนสบจ้องกับดวงตาอันตรายคู่นั้นต่อไป ชายหนุ่มหัวเราะหึในลำคอ แล้วเลิกคิ้วขึ้นกับคำที่หญิงสาวยัดเยียดมาให้

“หยาบคายงั้นรึ” ร่างสูงใหญ่ขยับเข้าใกล้อีกฝ่ายที่ผงะถอยด้วยความตกใจ พลางรุกไล่ไปเรื่อย ๆ จนแผ่นหลังบอบบางชนเข้ากับผนัง แล้วชายหนุ่มก็ยกท่อนแขนขึ้นขวางกั้นไม่ให้ร่างที่ถูกต้อนได้หนีไปไหน

“ข้าพยายามอย่างที่สุดที่จะไม่หยาบคายกับเจ้า ทั้งที่ข้าอยากจะครอบครองทุกอย่างของเจ้า ทั้งเส้นผม...ดวงตา...หรือริมฝีปากคู่นี้ ให้มีแต่ร่องรอยของข้า” ชายหนุ่มใช้มือข้างหนึ่งไล่สัมผัสไปตามโครงหน้าหวานละมุน ก่อใช้นิ้วโป้งเกลี่ยไปตามกลีบปากที่กำลังสั่นระริกชวนให้อยากสัมผัส

“เจ้าทำให้ข้าลุ่มหลงในตัวเจ้านะสิริกัญญา เจ้าจะช่วยข้าจัดการกับความรู้สึกนี้อย่างไรดี”

ความหวาดกลัวต่อการคุกคามทำให้สิริกัญญาพูดอะไรไม่ออก ราเชนในเวลานี้ดูอันตรายเกินกว่าที่เธอจะต่อต้านเขาได้ และหากเธอไม่หนีเสียตั้งแต่ตอนนี้ เธอก็หวาดกลัวว่าจะตกอยู่ในบ่วงพันธนาการของเขาจนดิ้นไม่หลุดอีกต่อไป

หญิงสาวย่อตัวมุดใต้ท้องแขนของราเชนเพื่อหนีออกไป แต่ชายหนุ่มกลับตวัดร่างเธอให้ชิดติดผนัง ก่อนทาบกายทับลงมา จนเป็นพันธนาการอีกชั้นไม่ให้เธอดิ้นหลุดไปได้ และก่อนที่เธอจะได้ร้องขอความช่วยเหลือจากใคร ริมฝีปากอิ่มเอิบก็บดขยี้ลงมา ปิดกั้นเสียงร้องของเธอให้หยุดอยู่แค่ลำคอ

มือแข็งแรงที่จับยึดบ่าทั้งสองข้าง แทบจะหักกระดูกของสิริกัญญาให้ป่นปี้คามือ หญิงสาวยกมือขึ้นทุบอกกว้าง จงใจให้โดนแผลเก่า แต่เขาก็ไม่กระเทือนเลยสักนิด หรือว่าเรี่ยวแรงของเธอจะหดหายไป เพราะรสสัมผัสรุนแรงก็ไม่อาจทราบได้ แล้วริมฝีปากของชายหนุ่มก็ผละจากเธอไป ก่อนเปลี่ยนเป้าหมายเป็นลำคอระหง และเลื่อนต่ำลงจนเธอหวีดร้องด้วยความกลัว

“อย่านะ!”

แม้จะส่งเสียงร้องห้าม และพยายามใช้สองมือดันใบหน้าที่คลอเคลียกับทรวงอกอิ่มให้ออกไป แต่ราเชนก็ไม่ยอมผละจาก ซ้ำยังพรมจูบไปตามลำคอ และเนินอกขาวผ่อง พร้อมทั้งฝังรอยประทับเพื่อตีตราแสดงความเป็นเจ้าของ คอยย้ำเตือนว่าเธอไม่ได้เป็นของกูราหรือของใคร นอกจากของราเชน ปาเยนทรแต่ผู้เดียว!

“หยุดนะ! อย่า...”

ราเชนได้ยินเสียงกรีดร้องที่ดังออกมาอย่างหวาดหวั่น แต่อารมณ์ที่พลุกพล่านเหมือนธารลาวาร้อน ก็ไม่อาจยับยั้งการกระทำนี้ได้ ชายหนุ่มไล่สัมผัสไปตามใบหน้าที่หลีกหนี ขบเม้มผิวขาวจนเป็นรอยแดงช้ำ พลางยึดข้อมือเรียวบางกดติดกับผนัง จนเธอไม่อาจปัดป้องตัวจากริมฝีปากเร่าร้อนนี้ได้ จนกระทั่งสายสร้อยที่สิริกัญญาสวมใส่ติดกายเกี่ยวเข้าที่หูของเขา มันช่วยดึงสติครึ่งหนึ่งให้กลับคืนมา ส่วนอีกครึ่งถูกกระชากกลับ เมื่อเขาดึงสายสร้อยที่เกี่ยวหูออก จนแหวนวงหนึ่งที่คล้องอยู่กับสายสร้อยหลุดเข้ามาอยู่ในครรลองสายตา

“นี่มัน...”

แหวนมรกตสีใสที่ลงลายดอกราชาวดีอันเป็นสัญลักษณ์ประจำตัวของเจ้าปาเยนทร์ เป็นสิ่งที่เขาเคยให้เด็กชายคนหนึ่งไปเมื่อสิบปีก่อน แต่ทำไมมันมาอยู่ที่สิริกัญญาได้ ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองดวงหน้างามที่เต็มไปด้วยหยาดน้ำพราวที่ไหลรินมาจากดวงตา ภาพนี้ซ้อนทับกับภาพของเด็กชายที่ตราตรึงอยู่ในใจของเขาทุกขณะจิต มือหนารวบผมสีดำยาวขึ้น และเขาก็ได้เห็นเค้าโครงหน้าที่เหมือนกับเด็กชายขี้แยคนนั้น

“เจ้าเป็นเด็กคนนั้น...”

อาการวูบวาบบางอย่างผุดขึ้นมาในอก เมื่อรู้ว่าเด็กผู้ชายคนนั้น เป็นคนเดียวกับหญิงสาวตรงหน้า ความดีใจนั้นเป็นของแน่นอน ด้วยในที่สุดก็พบคนที่ตามหามาตลอดสิบปี แต่ความเสียใจก็มีเป็นล้นพ้น เพราะเธอปกปิดเรื่องนี้กับเขา

“...ทำไมเจ้าไม่บอกข้า”

แต่เสียงพูดคุยของคนคู่หนึ่งก็ฉุดความสนใจจากราเชนไป เมื่อเสียงของคนคู่นั้นเป็นของบริมาสที่บ่นงึมงำกับการหายตัวไปของเพื่อน และเจ้าชายชัยนเรนทร์ที่ตรัสไม่ให้หญิงสาวคิดมาก พร้อมกับทรงขันอาสาจะช่วยตามหาเพื่อนของคุณหนูพระจันทร์ให้

สิริกัญญาสูดลมหายใจลึก ก่อนผลักชายหนุ่มออกห่างจากตัวเอง แล้ววิ่งผลุนผลันออกจากมุมมืด ไปปะทะเข้ากับคนที่ส่งเสียงช่วยเหลือเธอได้ทันเวลา บริมาสเบิกตากว้างด้วยความตกใจ ที่เห็นใบหน้าของเพื่อนชุ่มโชกไปด้วยรอยน้ำตา แล้วเธอก็ตกใจซ้ำสอง เมื่ออีกฝ่ายโผเข้ากอดเธอและส่งเสียงสะอื้นไห้ราวเขื่อนแตก

“สิรี...”

เจ้าชายชัยนเรนทร์ทอดพระเนตรเห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้น และทรงเข้าใจอะไรได้ไม่ยากนัก พระองค์ปรายเนตรไปทางมุมมืดที่สิริกัญญาผลุนผลันออกมา ก่อนผินพักตร์ไปทางคุณหนูพระจันทร์ ที่ลูบแผ่นหลังที่สั่นสะท้านด้วยแรงสะอื้นไห้ของเพื่อนไปมา

“วันนี้พวกเจ้าไปค้างที่ตำหนักวิหคสุบรรณ ยังไม่ต้องกลับบ้านนะ”

บริมาสก็พอจะเข้าใจอะไรได้บ้าง หญิงสาวจึงค้อมศีรษะรับ แล้วพยุงเพื่อนที่หมดความเยือกเย็นเดินจากไป ครั้นพอลับร่างสองสาวไปแล้ว เจ้าชายชัยนเรนทร์จึงเหลือบเนตรไปทางร่างหนึ่ง ที่ปรากฏกายออกมาจากเงามืด

“เห็นทีเราต้องคุยกันหน่อยแล้วล่ะราเชน”

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


เจ้าชายชัยนเรนทร์ส่งผ้าชุบน้ำเย็น ให้คนที่นอนหงายหน้าอยู่บนตั่งยาว หลังจากที่โดนใครบางคนต่อยเข้าที่หน้า และซ้ำเข้าที่แผลเก่า จนต้องถูกหอบหิ้วให้มานอนหมดสภาพ ภายในตำหนักของคนที่เกือบทำอาการของเขาให้ทรุดหนักลงอีกรอบ

“เอ้า! เห็นว่าเป็นคนเจ็บนะ เลยออมแรงให้ ไม่งั้นหน้าเจ้าเละกว่านี้แน่”

ราเชนกระตุกยิ้มกับคำกล่าวนั้น เพราะมันช่างต่างกับสภาพของเขาที่เป็นอยู่ในตอนนี้ ชายหนุ่มรับผ้าชุบน้ำมา ก่อนเช็ดไปตามใบหน้าที่ร้าวระบม ซึ่งพรุ่งนี้มันคงบวมเห่อขึ้นมาอย่างน่าเกลียดเลยทีเดียว

“แล้วคราวนี้ก็แก้ตัวมาสิว่าทำไมถึงไปทำให้นางร้องไห้แบบนั้น มันดูไม่ใช่ตัวเจ้าเลย”

คนไม่เป็นตัวของตัวเองถอนหายใจเฮือก พลางหลับตานึกภาพใบหน้าชุ่มน้ำตาด้วยความเสียใจ ต่อการกระทำของตัวเอง “ข้าหึงน่ะ...” ชายหนุ่มทอดเสียงตอบอย่างเชื่องช้า ก่อนลืมตาขึ้นสบกับดวงเนตรที่เบิกกว้างอย่างไม่อยากเชื่อคำพูดเท่าไรนัก

“หึงนี่นะ!?”

“ใช่...ข้าหึงที่นางเป็นของกูรา ไม่ใช่ของข้า!” ราเชนสารภาพตามความรู้สึก แค่รู้ว่าเธอจะต้องกลับกูรา อารมณ์หึงหวงก็ยิ่งพลุกพล่าน ยิ่งโดนคำถามแทงใจที่บอกว่าเขาไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเธอ ความที่อยากทำให้เป็นของตัวก็พลุ่งขึ้นมาจนยากจะห้ามได้

“ให้ตายเถอะ ราเชน!” ไม่รู้ว่าเจ้าชายจะทรงพระสรวล หรือสมเพชพระสหายของพระองค์ดี เมื่อคนมากรักกลับจัดการกับรักครั้งนี้ไม่ถูก

“นี่เจ้าบอกรักนางหรือยัง”

“การกระทำของข้ายังไม่บ่งบอกอีกหรือว่าคิดยังไงกับนาง” ราเชนตวัดเสียงขุ่นที่ถูกถามเข้าแบบนั้น หลังจากที่เขาพบกับสิริกัญญา ชายหนุ่มก็ไม่ได้ข้องแวะกับหญิงใดอีก สิ่งนี้ก็เท่ากับเป็นการยืนยันแล้วไม่ใช่หรืออย่างไร ว่าเขาหยุดความรักทั้งหมดนี้ไว้ที่ใคร

“ราเชน...ราเชน...” เจ้าชายส่ายพักตร์ไปมา ก่อนทอดถอนปัสสาสะกับความไม่ได้เรื่องของพระสหาย

ทีหญิงอื่นยังพร่ำบอกรักได้ไม่กลัวหมด แต่พอเป็นหญิงที่ตัวเองเทใจให้ กลับกลัวว่าคำนั้นจะหมดไปด้วยการบอกรักเพียงครั้งเดียว

“ผู้หญิงน่ะต้องการความมั่นใจนะ การกระทำเพียงอย่างเดียวน่ะไม่ได้ช่วยอะไรหรอก ยิ่งเจ้าน่ะชอบบังคับขืนใจ แกล้งหญิงสาวตัวน้อย ๆ ให้สับสนงุนงงว่าเจ้าจริงจังหรือหยอกเล่นกันแน่ แล้วอย่างนี้นางจะรู้ได้ไงเล่าว่าเจ้ารัก” เจ้าชายทรงพระสรวลออกมา เมื่อดูจากอาการของพระสหายแล้วรู้ว่ามันคงไม่ใช่แค่รักธรรมดา

“แถมยังรักจนหน้ามืด หึงแม้แต่เชื้อสายของนาง ให้ดิ้นตายเถอะว่ะว่าคนอย่างราเชน ปาเยนทร์จะมีวันนี้กับเขาด้วย”

คนขี้หึงถลึงตาใส่คนที่ยังหัวเราะเยาะเย้ยไม่เลิก แล้วเจ้าชายก็ถอนปัสสาสะออกมาอีกครั้ง เมื่อนึกถึงสิริกัญญาที่ป่านนี้คงยังไม่หายตกใจกับการกระทำของราเชน พระองค์ก็ได้แต่หวังว่าหญิงสาวจะไม่หนีเตลิดกลับกูราไปเสียก่อน ไม่อย่างนั้นพระสหายที่ดันมาซื่อบื้อกับรักแท้คงน่าสงสารแย่

“เดี๋ยวรอให้สิริกัญญาหายตกใจเสียก่อน แล้วเจ้าค่อยไปหานางแล้วกัน แต่ข้าว่าเตรียมตัวคุยกับท่านผู้หญิง เพื่อเป็นผู้ใหญ่สู่ขอนางเลยดีกว่า ตอนนี้สิริกัญญายังเป็นลูกทาส หากนางเป็นเจ้าหญิงเมื่อไร ดีไม่ดีอาจกลายเป็นราชญีด้วย หนทางรักของเจ้าคงลำบากกว่านี้”

“ไม่ให้ไปหรอก” ราเชนเอ่ยเสียงห้าวห้วน เรียกอาการหมั่นไส้จากเจ้าชายขึ้นมา

“เออ! ข้าก็อยากรู้นักว่าเจ้าจะรั้งนางแบบไหนอีก แต่แบบวันนี้ข้าไม่ปลื้มด้วยแน่”

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


“สิรี...ข้าเข้าไปนะ”

เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นเบื้องนอก ฉุดสติให้คนที่จมปลักอยู่ในโลกส่วนตัวผงกศีรษะจากหมอนหนานุ่ม แล้วมองดูคุณหนูพระจันทร์ที่เดินยิ้มแย้ม ตามมาด้วยสาวใช้สามใบเถาแห่งตำหนักวิหคสุบรรณ ที่ถืออ่างล้างหน้า เครื่องแต่งกายของคนที่ไม่ยอมออกจากห้องเข้ามา

เป็นเวลากว่าสองวันแล้วที่สิริกัญญาใช้ตำหนักวิหคสุบรรณเป็นที่หลบหน้า หลบสายตาจากผู้อื่น โดยเฉพาะกับราเชน ที่ไม่มีวี่แววมาให้เห็น แม้แต่ชื่อก็ยังไม่มีมาให้ระแคะระคายหู แล้วหญิงสาวก็มองเพื่อนที่ทรุดนั่งลงข้างเตียง ก่อนยื่นผ้าชุบหน้าส่งให้

“เช็ดหน้าเช็ดตาหน่อยเถอะ ตาเจ้ายังบวมอยู่เลย หวังว่าเมื่อคืนคงไม่ได้ร้องไห้อีกหรอกนะ”

หลายคนพากันตกใจที่สิริกัญญามาตำหนักวิหคสุบรรณด้วยน้ำตานองหน้า ซึ่งไม่มีใครรู้เลยว่าใครหรืออะไรที่ทำให้คนสุขุมเยือกเย็นสติแตกได้ และดูเหมือนบริมาสจะรู้อะไรอยู่บ้าง แต่คุณหนูพระจันทร์ก็กลับทำตัวเป็นคนสุขุมเสียเอง ไม่ยอมปริปากบอกอะไรแม้แต่กับเจ้าหญิงแสงอัปสร

บริมาสโบกมือให้สามใบเถาออกไปทันทีที่เสร็จธุระ ก่อนพิศมองหน้าเพื่อนที่สงบลงไปมาก หญิงสาวไม่ได้บอกเพื่อนว่าเจ้าชายชัยนเรนทร์เสด็จมาหา พร้อมกับตรัสบอกเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นระหว่างราเชนกับสิริกัญญาอย่างไม่ปิดบัง ซึ่งพระองค์ก็ขอร้องให้เธอช่วยดูแลเพื่อนสีน้ำเงิน และหาวิธีอะไรก็ได้ที่จะช่วยเหลือให้คนทั้งคู่ได้ปรับความเข้าใจกัน

“วันนี้มีคนถามอาการของเจ้ามากมาย ข้าเลยบอกว่าเจ้ายังป่วยอยู่ แต่เจ้าคงป่วยตลอดไม่ได้หรอกนะ สิริกัญญา” ถ้อยคำของบริมาสเหมือนกับเป็นคำที่ผู้ใหญ่ใช้ติเตียนเด็กไม่รู้จักโต มันทำให้สิริกัญญามองคุณหนูพระจันทร์ด้วยความแปลกใจในท่าทางที่เปลี่ยนไป

“เจ้า...”

“หืม?” บริมาสเอียงคอมองเพื่อนที่ทิ้งคำพูดไว้แค่นั้น

ดวงตาสีน้ำเงินกวาดมองท่าทางของเพื่อนที่ดูจะเป็นผู้ใหญ่ขึ้นเพียงชั่วข้ามคืน ก่อนตัดสินใจพูดในสิ่งที่ตัวเองสงสัย “เจ้าเปลี่ยนไปนะบริมาส”

บริมาสหัวเราะเสียงเบากับคำที่คล้ายจะเป็นคำถามก็ไม่น่าใช่ จะรำพึงรำพันก็ไม่เชิง ดวงตาสีมรกตทอประกายหวานราวกับหญิงสาวที่กำลังมีความรัก ริมฝีปากเรียวบางคลี่ยิ้มละมุน ยามนึกถึงเจ้าหลวงพระอาทิตย์ ที่เสด็จกลับไปปฏิบัติราชภารกิจที่บ้านเมืองของพระองค์ต่อ

“ข้ากำลังทำตัวให้เหมาะสมกับท่านพระอาทิตย์น่ะ ข้าอยากเป็นผู้หญิงที่เพียบพร้อมและสง่างาม ข้าคิดว่าตัวเองคงทำตัวเป็นเด็กต่อไปไม่ได้แล้ว เพราะข้าไม่อยากให้ใครมาครหาท่านพระอาทิตย์ของข้า ว่าคบหากับสตรีที่เป็นเด็กไม่รู้จักโต”

ความรักสามารถเปลี่ยนผู้หญิงคนหนึ่งให้เป็นได้ขนาดนี้เชียวหรือ แม้สิริกัญญาจะยังไม่เข้าใจในความรัก แต่คำตอบก็อยู่ตรงหน้าเธอแล้วว่ามันสามารถเปลี่ยนได้ คุณหนูซุกซนกลายเป็นคุณหนูคนงามในพริบตา และตอนนี้อีกฝ่ายก็ดูมีเสน่ห์ขึ้นมาก เหมือนดอกไม้ที่แย้มกลีบบาน ที่อาจทำให้เหล่าภุมรินสนใจในดอกไม้งามดอกนี้ไม่น้อยเลยทีเดียว

“ดีจังเลยนะที่เจ้ามีความรักที่น่าอิจฉา” สิริกัญญายิ้มน้อย และอดดีใจไปกับเพื่อนไม่ได้ ในขณะที่ตัวของเธอกลับทุกข์เพราะรัก...รักที่คิดว่าจะไม่มีวันมีได้

“เจ้าก็มีได้จ้ะ ถ้าเจ้าเปิดใจ”

สิริกัญญาเหลือบตามองเพื่อนเล็กน้อย บริมาสไม่ได้เค้นถามอะไรเธอเหมือนเมื่อก่อนอีก จนคนที่มีเรื่องทุกข์ตรมต้องเอ่ยถามออกไปเอง “เจ้าไม่คิดจะถามอะไรข้าเลยหรือ”

“หึ...” บริมาส่ายหน้าไปมา พลางแย้มยิ้มกว้าง “รอให้เจ้าบอกดีกว่าว่าอะไรที่ทำให้เจ้าสติแตก หาดูได้ง่ายเสียที่ไหนล่ะที่เจ้าจะร้องไห้ขี้มูกโป่งแบบนั้น” คุณหนูซุกซนก็ยังคงนิสัยแบบเดิมไว้ ทำให้คนสติแตกถลึงตาใส่ให้ด้วยความหมั่นไส้

“งั้นข้าไม่บอกแล้วกัน”

“แน่ใจเร้อ” คุณหนูพระจันทร์หัวเราะคิก พลางมองเพื่อนด้วยดวงตาพราวระยับ “ข้าว่า...เจ้าน่ะคงอยากหาทางระบายจะแย่อยู่แล้ว ถ้าไม่พูดตอนนี้ ข้าจะไม่รับฟังแล้วนะ เจ้าจะได้ลองอกแตกตายเพราะความปากแข็งของตัวเองดูบ้าง”

“ข้าไม่ได้ผิดอะไรนี่ ฝ่ายนั้นต่างหากที่ผิด” สิริกัญญาสะบัดเสียงใส่อย่างไม่ชอบใจ

“พูดอย่างนี้ แสดงว่ายอมเล่าแล้วสินะ ข้าจะยอมเป็นที่ปรึกษาปัญหาหัวใจให้สักวันแล้วกัน มามะ...” บริมาสพูดพลางขยับตัวเข้าไปใกล้เพื่อนสีน้ำเงิน พร้อมทำหน้าสนอกสนใจเต็มที่ “เล่าให้ฟังได้แล้วว่าวันนั้นเกิดอะไรขึ้นกันแน่”

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


สิริกัญญาจำใจเล่าเรื่องในคืนเกิดเหตุ ยกเว้นเรื่องแหวนของราเชนให้บริมาสฟังทั้งหมด ซึ่งคุณหนูพระจันทร์ก็ครางอืออาในลำคอด้วยท่าทางครุ่นคิด ว่าเหตุใดราเชนจึงบ้าได้เพียงนั้น และเมื่อเธอประมวลผลที่เกิดขึ้น ก็สรุปได้ว่าชายหนุ่มไม่ต้องการให้เพื่อนของเธอกลับกูรานั่นเอง

“ทั้งเจ้าทั้งเจ้าปาเยนทร์ชอบทำตัวสุขุมกับเรื่องอื่นนะ แต่พอเป็นเรื่องความรักก็ทำตัวเหมือนเด็กทั้งคู่”

“ใครรักใคร” หญิงสาวยังคงปากแข็ง ไม่ยอมรับว่าตัวเองรักราเชนเข้าแล้ว

“เพราะความปากแข็งของเจ้า ก็เลยต้องทุกข์แบบนี้ไง” บริมาสย่นจมูกใส่เพื่อนที่ไม่ยอมรับความจริง “เจ้ากลัวอะไรน่ะสิรี คิดว่าเจ้าปาเยนทร์จะไม่รักเจ้าตอบงั้นหรือ”

ดวงตาสีน้ำเงินกลิ้งกลอกไปมา เรียกเสียงถอนหายใจจากคุณหนูพระจันทร์ “เจ้าปาเยนทร์ก็แย่ ไม่ยอมบอกรักเจ้าเสียที ไม่อย่างนั้นเรื่องก็จบอย่างมีความสุขไปนานแล้ว”

“ข้าบอกแล้วว่าจะบวชชี” สิริกัญญาโต้กลับเสียงเบา คุณหนูพระจันทร์จึงจุ๊ปากกลับมา

“เจ้าบวชไม่ได้หรอก ในเมื่อใจเจ้ายังติดบ่วงอยู่แบบนี้”

สิริกัญญาเม้มริมฝีปากแน่น เมื่อบริมาสพูดแทงใจจนเจ็บแปลบ ทุกคำพูดของเพื่อนล้วนแต่ตอกย้ำสิ่งที่อยู่ในใจ ก่อนหน้าที่จะรู้ว่าตัวเองมีเชื้อสายเป็นถึงเจ้าหญิง เธอก็เป็นแค่ลูกทาสที่ไม่มีอะไรเลยสักอย่าง ต้องพึ่งตัวเองและทำตนให้เข้มแข็งอยู่เสมอ เพื่อให้สามารถอยู่รอดต่อไปในโลกที่โหดร้าย จนเมื่อราเชนก้าวเข้ามาในชีวิต เธอจึงรู้ว่าตัวเองเป็นเพียงผู้หญิงธรรมดาที่ต้องการการปกป้องจากใครสักคน

“เราสามารถเลือกได้นะสิรี ว่าจะอยู่อย่างมีความสุขหรือต้องอยู่อย่างทุกข์ระทมไปตลอดชีวิต” บริมาสลูบหลังมือเพื่อน พลางยิ้มน้อย “และคู่แท้ก็ใช่ว่าจะโผล่มาได้ง่าย ๆ ถ้าเจอก็รีบคว้าไว้ดีกว่า ไม่งั้นจะมาเสียใจทีหลังนะ”

“แล้วเจ้ารู้หรือว่าคู่แท้เป็นอย่างไร” สิริกัญญาอดถามด้วยความหมั่นไส้แกมสงสัยไม่ได้

คุณหนูพระจันทร์หัวเราะคิก ก่อนยืดอกอวดตัวเองด้วยท่าทีที่บอกให้รู้ว่าถามถูกคนแล้ว “คู่แท้ก็เป็นอย่างข้าไง แค่แรกพบเพียงสบตาก็รู้ว่าเขานี่แหละเกิดมาเพื่อเรา”

“ไม่ใช่ว่าคิดไปเองข้างเดียวหรือไง”

คนถูกขัดจังหวะย่นจมูกใส่ พลางส่งค้อนให้อีกแปดตลบ “อย่าเพิ่งขัดสิ ข้ายังพูดไม่จบเลย” หญิงสาวเอ่ยเสียงหงุงหงิง และพูดต่อด้วยดวงตาเคลิ้มฝัน “มันก็อย่างที่เจ้าว่าแหละว่าความรู้สึกนั้นเกิดขึ้นแต่ฝ่ายเดียวไม่ได้ มันต้องรู้กันทั้งสองฝ่ายว่าเรานั้นต่างเป็นของกันและกัน”

“งั้นก็แสดงว่าเจ้าถามพระอาทิตย์ของเจ้าแล้วล่ะสิ” สิริกัญญาอมยิ้มถามกับท่าทางเพ้อในรักของคุณหนูพระจันทร์ และภาพหญิงสาวท่าทางสุขุมที่เห็นอยู่เมื่อครู่ก็พังทลายลงไม่มีชิ้นดี

“แหม...ของอย่างนี้เขาไม่ต้องถามกันหรอก” บริมาสส่ายหน้า พลางทำท่าเป็นบรมครูผู้เชี่ยวชาญความรัก “ของอย่างนี้น่ะ แค่มองตาก็รู้ใจกันแล้ว”

สิริกัญญาถอนหายใจด้วยความอ่อนใจ หญิงสาวคิดว่าอย่าหลงเชื่อบทเรียนสอนรักของคุณหนูพระจันทร์จะดีกว่า ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวเธอจะกลายเป็นคนขี้ตู่หาว่าคนนั้นคนนี้เป็นคู่แท้ของตัวเองไปเสียหมด

“ไม่เชื่อหรือไง” บริมาสเลิกคิ้วถาม เมื่อเพื่อนไม่มีทีท่าเชื่อถือเลยสักนิด แล้วหญิงสาวก็แสยะยิ้มด้วยท่าทางเจ้าเล่ห์ ซึ่งคนรู้ฤทธิ์ของคุณหนูพระจันทร์มาแล้ว ต้องไหวตัวด้วยความหวาดระแวง “งั้นเจ้าไปลองสบตากับเจ้าปาเยนทร์เพื่อพิสูจน์ดูสิ เผื่อว่าเขาจะเป็นคู่แท้ที่ตามหามานาน”

ประโยคสุดท้ายของบริมาสจี้ใจสิริกัญญาจนสะดุ้งโหยง คุณหนูพระจันทร์ยังไม่รู้ว่าเธอเคยพบกับราเชนมาก่อน ตอนนั้นทั้งเธอและเขาต่างฝ่ายต่างก็ไม่รู้ตัวตนของกันและกัน จึงไม่สามารถไปตามหาอีกฝ่ายได้ นอกจากไปยังสถานที่ที่พบกันครั้งแรก เธอเพียรไปยังสถานที่แห่งนั้น เพื่อตามหารักครั้งแรกที่สูญหาย จนความหวังค่อยมอดมลายไป เมื่อไปแล้วไม่เคยเจอเขาเสียที

“เพ้อเจ้อใหญ่แล้วบริมาส”

คนงามย่นจมูกใส่ให้ ก่อนฉุดเพื่อนให้ลุกขึ้นจากเตียง เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายมีอาการดีขึ้นมาก และกลับไปเป็นสิริกัญญาที่สุขุมคนเก่า “ออกไปข้างนอกกันเถอะ เจ้าอุดอู้อยู่ในนี้มาตั้งสองวันแล้วนะ”

สิริกัญญายิ้มพลางลุกจากเตียงตามแรงดึงของคุณหนูพระจันทร์ “ขอบใจนะบริมาสที่คอยปลอบข้า” แล้วอ้อมแขนเพรียวก็สวมกอดเอวเพื่อนที่กระชับกอดตอบกลับมาเช่นกัน

“ข้าอยากให้เจ้ามีความสุขนะสิรี”

“จ้ะ ข้าเองก็จะพยายามไขว่คว้าหาความสุขดูบ้าง เพื่อที่ข้าจะได้ไม่ต้องมาเสียใจทีหลังเหมือนกับครั้งก่อนอีก” หญิงสาวพูดพลางหลับตาลง และนึกภาพตอนที่ได้พบกับราเชนครั้งแรก

ผู้ชายที่มาพร้อมกับแสงสุดท้ายของอัสดง และรักครั้งแรกที่ไม่ทันได้เริ่มก็สิ้นสุดลงในพริบตา มันคงดีหากสามารถย้อนเวลากลับไป เพื่อให้เธอได้เริ่มต้นกับความรักครั้งนั้นใหม่อีกครั้ง แต่เวลาคงไม่จำเป็นต้องย้อนไป เมื่อผู้ชายที่เป็นรักครั้งแรกย้อนกลับมายืนตรงหน้าเธอ




Create Date : 05 มีนาคม 2551
Last Update : 5 มีนาคม 2551 20:22:28 น.
Counter : 327 Pageviews.

3 comments
  
อัพไวๆนะคะ อยากให้ออกเป็นหนังสือจัง ถ้าออกอย่าลืมแจ้งนะคะ
โดย: ตัวเล็ก IP: 203.158.4.155 วันที่: 5 มีนาคม 2551 เวลา:23:05:59 น.
  
ราเชนเอาแต่ใจจริงๆ แต่ก็น่ารักค่ะ
โดย: nekojung IP: 58.9.87.145 วันที่: 6 มีนาคม 2551 เวลา:9:47:33 น.
  
ชอบพระเอกแบบราเชนจังค่ะ เอาใจแต่ก็เป็นเพราะรักนางเอก
โดย: ตัวเล็ก IP: 203.158.4.155 วันที่: 15 มีนาคม 2551 เวลา:23:06:30 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ฌา
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



New Comments
All Blog