มนต์พยัพ บทนำ
“กรองแก้ว…กรองแก้ว…” เสียงทุ้มนุ่มดังแว่วมาแต่ไกล เด็กสาวหันขวับกลับไปมองต้นเสียงอย่างสงสัย น้ำเสียงนั้นแฝงแววหวานเจือเศร้า จนผู้ที่ได้ยินใจสะท้านไหว ขานหาคำเรียกด้วยรอยหวานนุ่มไม่แพ้กัน

“ใครคะ…” ศิราชะโงกหน้าข้ามชานเรือนออกไป เบื้องนอกไม่มีใคร นอกจากไก่ที่ชาวบ้านปล่อยออกมาเดินเล่น

คิ้วดกหนาขมวดเข้าหากัน สายตาสอดส่ายหาเจ้าของเสียงทุ้มนุ่ม แต่ไม่พบร่างใครนอกชานเรือน ศิราหมุนตัวกลับเข้าข้างในแล้วต้องสะดุ้งตกใจ เมื่อร่างผอมแห้งของตายืนมองเธอด้วยแววตาที่อ่านไม่ออก คิ้วขาวที่ไว้ยาวถึงโหนกแก้มพลิ้วไหวด้วยแรงขยับตัว ชายชราลูบเคราขาวยาวถึงอกไปมา พลางเดินเข้าไปใกล้หลานสาว

“ใครมาหรือ ศิรา”

“ไม่รู้ค่ะตา หนูได้ยินแต่เสียง เขาเรียกหาคนชื่อกรองแก้ว” ศิราตอบหน้าซื่อ มองชายชราที่คนในหมู่บ้านกล่าวขานว่าเป็นปู่โสมเฝ้าทรัพย์ ส่วนจะเฝ้าทรัพย์อะไรนั้นคงต้องถามตาเธอ

“แล้วเสียงเป็นยังไงล่ะ”

“เป็นเสียงผู้ชายค่ะตา นุ้มนุ่มและหวานมากเลย” เด็กสาวหัวเราะคิกคัก ดวงตาสีดำทอดแววหวานซึ้งยามนึกถึงเจ้าของเสียงปริศนา

มือเหี่ยวย่นยกขึ้นลูบเรือนผมสีดำสนิทของหลานสาว ใบหน้าดุระบายยิ้มให้เห็นเพียงเล็กน้อย ศิราเป็นเด็กกำพร้า เด็กสาวมีชายชราเป็นคนในครอบครัวทั้งที่ไม่มีความสัมพันธ์กันทางสายเลือด เธอเติบโตมาในสังคมเล็ก ๆ ที่พบเจอหน้าผู้คนไม่กี่คน แต่อีกไม่กี่วันข้างหน้าเธอจะต้องจากอ้อมอกของชายชราไปเผชิญกับโลกกว้าง พบเจอกับผู้คนมากมายที่มีดีและเลวผสมกันไป

“บางทีเสียงนั้นอาจไม่ใช่คนก็ได้นะ”

ศิรามีสีหน้าฉงน เอียงคอมองชายชราอย่างต้องการคำตอบเต็มที่ เด็กสาวพอรู้มาบ้างว่าผู้เป็นตามีความรู้ทางด้านไสยศาสตร์ หลายคนเล่าว่าแกเคยไล่ผีที่ขนาดหมอผียังเอาไม่อยู่ให้หนีกระเจิงไปได้ แม้แต่บ้านหลังที่อยู่นี้ ศิรายังเคยนึกอยู่บ่อยครั้งว่าไม่ได้มีแค่เธอกับตาอยู่ตามลำพังกันสองคน แต่ยังมีสมาชิกผีทั้งหลายที่คนข้างนอกเล่าว่าเป็นบริวารของตาอยู่ด้วย

“เจ้าของเสียงนั้นอาจมีความผูกพันบางอย่างกับหลาน”

“ไม่ใช่พวกสัมภเวสีที่มาขอส่วนบุญหรอกหรือคะ” ศิราถามเสียงซื่อ ทั้งที่ใจจริงแล้วเธอไม่คิดว่าเจ้าของเสียงนั้นจะมาขอส่วนบุญอะไร เสียงออกจะนุ่มนวลชวนฟังขนาดนั้น…

“ตาคิดว่าเขาไม่น่าจะมาขอส่วนบุญหรอก อาจจะมาเตือน” เป็นครั้งแรกที่ชายชราตอบไม่เต็มคำนัก ได้แต่ใช้สายตาฝ้าฟางมองออกไปนอกบ้านที่มีแต่ความมืดมิด

“แต่เขาเรียกหาคนชื่อกรองแก้วนะคะ” เด็กสาวแย้งเสียงเบา หูเธอไม่ฝาดแน่

ชายชราส่ายหน้าไปมาโดยไม่พูดอะไร ก่อนตัดบทไล่หลานสาวให้เข้าไปนอน ศิราทำหน้าสงสัยแต่ไม่ขัดคำสั่งของตา ตอนนี้เด็กสาวรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้ไปเรียนในกรุงเทพฯ เพราะผลการเรียนอยู่ในระดับดี จึงมีคนใจดีส่งเสียให้เธอได้มีโอกาสเรียนในระดับที่สูงขึ้นไปอีก และคนนั้นไม่ใช่ใคร นอกจากป้ามณีที่เป็นเพื่อนบ้านอยู่ติดกัน โดยส่งมนทกานต์ลูกชายคนเล็กที่อยู่ในวัยเดียวกันให้ไปอยู่เป็นเพื่อนคลายเหงา

ศิราอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว ก่อนเข้าห้องไปเตรียมอ่านหนังสือสอบที่สดายุ พี่ชายของมนทกานต์ส่งให้มาเป็นแนว เขาไปเรียนต่อที่กรุงเทพฯ ตั้งแต่ขึ้นชั้นมัธยมต้นและได้คะแนนเรียนดีเสมอมา ประกาศนียบัตรที่เขาส่งมาให้แม่เก็บเพราะตัวเองขี้เกียจเก็บ ทำให้ป้ามณีปลื้มอกปลื้มใจ อวดลูกชายให้เพื่อนบ้านฟังหลายครั้งหลายครา

ป้ามณีมีชื่อเต็มว่าปิ่นมณีเป็นลูกสาวนายอำเภอที่แต่งงานกับเศรษฐีเมืองกาญจน์ แต่ไม่รู้ทำไมพวกเขาจึงมาลงหลักปักฐานอยู่ที่ศรีสะเกษ หมกตัวอยู่ในชนบทเล็ก ๆ ที่ไม่มีความเจริญและสิ่งอำนวยความสะดวก แต่การมาของสองสามีภรรยา ทำให้หมู่บ้านกระโพธิ์ที่ศิราอาศัยอยู่เจริญขึ้นทันตา

จากถนนหนทางที่ทุรกันดารเดินทางไปมาไม่สะดวก บัดนี้ถูกถางทางทำเป็นถนนเทปูนพอช่วยให้ไปไหนมาไหนได้บ้าง และยังเป็นตัวตั้งตัวตีให้หมู่บ้านมีไฟฟ้าและน้ำประปาใช้ ถึงกระนั้นคงหมู่บ้านนี้ก็ยังถือเอาความเคยชิน งดการกระทำทุกอย่างตั้งแต่สามทุ่ม ซึ่งทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างเงียบสงัดจนกว่าจะถึงเวลาตีสี่ของวันรุ่งขึ้น

ศิรารู้สึกขอบคุณในความเอื้อเอ็นดูของป้ามณีมาก อาจเป็นเพราะว่าเธอเป็นลูกกำพร้า และมีแต่ชายแก่คอยเลี้ยงดู ป้ามณีจึงช่วยเหลือจุนเจือด้วยการออกค่าเล่าเรียนและเอ็นดูเธอเหมือนลูกสาวคนหนึ่ง ศิราจึงไม่รู้สึกตัวเลยว่าเป็นลูกกำพร้า เพราะมีสดายุกับมนทกานต์เป็นพี่ชายและเพื่อนเล่นมาแต่เด็ก

นาฬิกาบนที่นอนบอกเวลาสี่ทุ่มกว่า ศิรารีบเก็บหนังสือเข้าที่ก่อนนั่งคุกเข่าหันหน้าไปทางที่วางหมอน พลางก้มลงกราบแบมือสามครั้งและสวดมนต์อย่างเช่นที่ทำเป็นประจำจนติดเป็นนิสัย เมื่อสวดมนต์ไหว้พระเสร็จเรียบร้อย เด็กสาวจึงล้มตัวนอนหลับไปอย่างรวดเร็วตามประสาคนนอนง่าย

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


“กรองแก้ว…กรองแก้ว…”

เสียงทุ้มนุ่มหูฟังดูเศร้าสร้อยอย่างไรพิกล ศิราลืมตาตื่นขึ้นมาเมื่อน้ำเสียงนั้นทะลวงเข้าไปถึงหัวใจ เด็กสาวเหลือบมองดูเวลาบนนาฬิกาปลุก เห็นเข็มสั้นชี้ไปที่เลขสามอันเป็นเวลาอีกไม่กี่ชั่วโมงก็ถึงรุ่งเช้า เธอคอยเงี่ยหูฟังเสียงเรียกอีกครั้ง แต่ทุกอย่างกลับเงียบสงัด มีเพียงกลิ่นหอมของดอกไม้ลอยโชยมาตามลม

กลิ่นนั้นก่อให้เกิดความรู้สึกเศร้าอย่างน่าประหลาด เป็นกลิ่นที่ไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ ศิรารู้สึกสะท้านในอกเมื่อได้ยินเสียงเรียกหาอันแสนเศร้าอีกครั้ง เด็กสาวลุกขึ้นจากที่นอน เดินออกไปนอกห้องด้วยฝีเท้าเบากริบ ตรงไปยังที่มาของเสียงนั้นอย่างเชื่องช้า

เบื้องนอกเต็มไปด้วยหมอกหนาทึบจนมองอะไรแทบไม่เห็น ศิราเดินลงจากบันไดไปยังที่มาของเสียง เด็กสาวยกมือขึ้นคลำหาสิ่งที่พอจะยึดจับได้ แต่รอบตัวกลับเวิ้งว้างจนต้องโอบกอดรอบตัวเองด้วยความหวาดหวั่น สายตาเฝ้ามองหาเจ้าของเสียงจากที่แสนไกล

เสียงสวบสาบจากด้านข้างทำให้เด็กสาวหันขวับ ดวงตาเบิกกว้างขึ้นเมื่อเห็นบางสิ่งบางอย่างโผล่พ้นม่านหมอกมา มันคืองูตัวใหญ่ที่มีลำตัวหนาราวสองคนโอบและตัวสีดำมะเมื่อม ลิ้นสีแดงสดแลบปลิ้นออกมาห่างจากจุดที่ยืนเพียงสองฟุต รูปร่างของมันผิดแผกไปจากงูทั่วไป ด้วยมีหงอนสีเขียวเข้มราวหินมรกตอยู่บนหัว และมีเคราเหมือนแพะอยู่บนปลายคาง

งูยักษ์นั้นมีท่าทางมาดร้าย ส่ายหัวร่อนและยกตัวสูงขึ้นเกือบสองเมตร ปลายหางอวบใหญ่ตวัดส่ายไปมาและเริ่มล้อมรอบตัวร่างเล็กในสายตาของมัน ก่อนตวัดรัดเหยื่อให้เข้ามาอยู่ในวงขดอย่างรวดเร็ว ศิราหวีดร้องดังลั่นด้วยความตกใจกลัวปนขยะแขยง เกล็ดของมันบาดผิวอ่อนบางจนมีเลือดไหลซิบ

ไอความร้อนที่พ่นออกมาจากปากกำลังแผดเผาศิราให้มอดไหม้ ท่าทีคุกคามและอาการมุ่งร้ายของงูยักษ์ทำให้เด็กสาวแทบเสียสติ เธอไม่เคยเห็นงูประหลาดตัวนี้มาก่อน แต่ดูเหมือนมันจะรู้จักเธอและจองเวรด้วยความอาฆาตแค้น

“กรองแก้ว!…”

เสียงทุ้มปนโศกดังขึ้นเหมือนเป็นเครื่องช่วยชีวิตเด็กสาว งูยักษ์ส่งเสียงร้องอย่างไม่พอใจ ก่อนคลายตัวหนีหายไปในม่านหมอก ทิ้งร่างเล็กที่กำลังจะเซล้มลงไปอย่างไม่ไยดี แต่อ้อมแขนแข็งแรงของใครบางคนเข้ามาโอบประคองกอดแน่นไว้ก่อน

ศิรากอดเอวเจ้าของอ้อมแขนพลางร้องไห้โฮออกมาด้วยความหวาดกลัว มือเย็นลูบไล้ไปตามผิวเนื้อที่ปวดแสบปวดร้อนด้วยพิษของงูยักษ์ ช่วยบรรเทาความเจ็บปวดให้ลดน้อยลง ริมฝีปากหนาจูบเรือนผมสีดำนุ่มแผ่วเบา ก่อนลากลงมาบนหน้าผากและเปลือกตาที่ชุ่มไปด้วยน้ำตา

“เงียบเสีย คนดีของพี่…”

เสียงร้องไห้หยุดลงเหลือเพียงแรงสะอื้นที่ทำให้ไหล่บอบบางไหวโยน มือหนาลูบแผ่นหลังศิราไปมาให้หายจากความหวาดกลัว ซ้ำยังพรมจูบปลอบขวัญเสียจนเด็กสาวหน้าแดงด้วยความอาย เธอเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของวงแขน สบจ้องดวงตาที่ฉายแววอ่อนโยนปนเศร้าโศก

“เพราะพี่ไม่ทันระวัง ถึงให้วิษธรมาทำร้ายเจ้าได้”

“คุณเป็นใครคะ” ศิราถามเสียงแหบเครือ เธอไม่รู้จักผู้ชายคนนี้ แต่ทำไมน้ำเสียงของเขาถึงได้บาดจิตขนาดนี้นะ

ดวงตาสีดำราวเม็ดนิลสุกปลั่งทอแววสั่นไหว ก่อนยิ้มเศร้าสร้อยและเดินประคองศิราไปส่งถึงบันไดเรือน “ขึ้นเรือนนอนเสียเถิดคนดีของพี่ เป็นความผิดของพี่เองที่เรียกเจ้าออกมา และเมื่อเจ้าตื่นขึ้นมาอีกครั้งจะลืมเรื่องร้ายนี้ไปเอง”

“หนูจะจำคุณไม่ได้หรือคะ” ศิราเอ่ยถามด้วยท่าทางร้อนรน ความรู้สึกเบื้องลึกบอกให้เธอไม่อยากลืมชายหนุ่มผู้นี้

“เจ้าอาจจำพี่ได้เพียงในความฝัน”

“หนูไม่อยากลืมคุณ” น้ำใสเอ่อคลอเบ้า ศิราเม้มปากแน่นเมื่อรู้ว่าตื่นขึ้นมาเธอจะจำเขาไม่ได้

นิ้วเรียวแกร่งปาดเช็ดน้ำตาที่ไหลเอ่อออกมาทางหางตาแผ่วเบา พลางยื่นหน้าเข้าไปจุมพิตแพขนตาหนา ระเรื่อยมาตามพวงแก้มและมุมปาก ศิราช้อนสายตาขึ้นสบดวงตาหวานเศร้า มองริมฝีปากสีแดงเรื่อที่เอ่ยคำพูดช้าชัดแต่โหยหาในความรู้สึกของคนฟัง

“หากวาสนาเรายังมีด้วยกันอยู่ เจ้าจะจำพี่ได้เอง”



Create Date : 09 มิถุนายน 2554
Last Update : 26 ตุลาคม 2556 17:17:35 น.
Counter : 215 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ฌา
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



New Comments
All Blog