พิษเสน่หา 19
๑๙ สองพระพี่เลี้ยง (๒)

“เจ้าหญิง...ตื่นเถอะเพคะ เดี๋ยวคุณสิริกัญญาจะมาแล้วนะเพคะ” เหล่านางกำนัลพากันเขย่าวรองค์เล็กที่ซุกอยู่ใต้ผ้าห่ม ที่ไม่ยอมออกมาด้วยท่าทางหวาดผวา

ขณะนี้ทุกคนที่อยู่ในตำหนักวิหคสุบรรณต่างหวาดกลัวพระพี่เลี้ยงที่มาใหม่กันถ้วนหน้า ไล่เรียงมาตั้งแต่เจ้าหญิงแสงอัปสรที่โดนตีไปหลายที กับความดื้อดึงที่ไม่ยอมลงให้กับพระพี่เลี้ยง ไปจนถึงเหล่านางกำนัลที่โดนกำราบเสียจนไม่กล้ายุ่งกับพระพี่เลี้ยงนิสัยดุ และมือหนักคนนี้ด้วยอีก

“ไม่เอา...ไม่ตื่น...ข้าไม่อยากเจอผู้หญิงคนนั้น” เจ้าหญิงแสงอัปสรตรัสเสียงอู้อี้ลอดใต้ผ้าห่มออกมา พลางยึดพระที่แน่นจนไม่ว่าใครก็ดึงพระองค์ให้ลุกขึ้นมาไม่ได้

“เจ้าหญิงยังไม่ตื่นบรรทมอีกหรือจ๊ะ” เสียงหวานใสที่ดังขึ้นเบื้องนอก ทำให้เหล่านางกำนัลพากันสะดุ้งตกใจ แล้วหันขวับไปมองผู้ที่เข้ามาโดยไม่ให้สุ้มให้เสียง แม้แต่เจ้าหญิงแสงอัปสรยังทรงสะดุ้งโหยง และแอบทอดพระเนตรผ่านใต้ผ้าห่มว่าพระพี่เลี้ยงสีน้ำเงินคนนั้นเข้ามาในห้องบรรทมของพระองค์ด้วยหรือไม่

เหตุการณ์เมื่ออาทิตย์ก่อนยังคงตามหลอกหลอนทุกคนในตำหนักวิหคสุบรรณอยู่จนถึงทุกวันนี้ หลังจากที่สิริกัญญาทำการลงโทษเด็กดื้อไปอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย และพาเจ้าหญิงแสงอัปสรเข้าเรียนตามหมายกำหนดการเป็นที่เรียบร้อย เช้าวันรุ่งขึ้น เจ้าหญิงองค์น้อยก็ทรงต่อต้านพระพี่เลี้ยงคนใหม่ โดยไม่ยอมออกมาจากห้องบรรทม

ตอนแรกคนในตำหนักวิหคสุบรรณคิดว่าสองพระพี่เลี้ยงจะล่าถอยกลับไป แต่สิริกัญญากลับสั่งทหารยามประจำตำหนักให้พังประตูห้องบรรทมของเจ้าหญิงเข้าไป ซึ่งพวกทหารก็ไม่กล้าทำตามคำสั่งของหญิงสาว ด้วยเจ้านายของพวกเขา คือพระองค์หญิงที่ไม่ยอมออกมาจากห้องบรรทม ไม่ใช่พระพี่เลี้ยงที่ส่งสายตาดุแม้แต่ผู้ชายยังนึกขยาดที่อยู่ตรงหน้า จนกระทั่งได้ยินคำขู่ว่าหากให้เธอทำเอง เจ้าหญิงจะถูกตีเหมือนเมื่อวาน พวกทหารจึงจำต้องพังประตูเข้าไป

“รีบลุกเถอะเพคะ เจ้าหญิงคงไม่อยากให้สิริกัญญาเข้ามาปลุกหรอกนะ”

คำขู่ของบริมาสทำให้เจ้าหญิงแสงอัปสรสะดุ้งโหยง หลังจากที่ประตูถูกพัง สิริกัญญาก็เข้ามาลากเจ้าหญิงน้อยให้ไปเรียนหนังสือตามกำหนดการได้อย่างทันท่วงที แต่เช้าวันถัดมาพระองค์ก็ทรงดื้ออีก โดยไม่ยอมลุกจากแท่นบรรทมแทน ซึ่งหลังจากนั้นพระองค์ก็ได้รับน้ำเย็นเจี๊ยบจากพระพี่เลี้ยงสีน้ำเงินที่ราดลงมาเต็มพักตร์ พร้อมกับรอยยิ้มหวานจ๋อย และรอยยิ้มนี้ มักมาตอนที่จะถูกตี ดังนั้นพระองค์จึงต้องรีบเผ่นจากแท่นบรรทมไปเปลี่ยนฉลองพระองค์ เพื่อเข้าเรียนเช่นทุกวัน

“ข้าไม่ไป...ข้าไม่ไป...โฮ!” พอเห็นว่าพระพี่เลี้ยงสีน้ำเงินไม่ตามเข้ามาด้วย เจ้าหญิงแสงอัปสรก็ทรงทำท่างอแงใส่พระพี่เลี้ยงพระจันทร์ทันที

“อย่าดื้อสิเพคะ วันนี้ได้ออกไปเรียนนอกสถานที่ ถือว่าเปลี่ยนบรรยากาศ ดีออกจะตาย” บริมาสเดินเข้านั่งริมแท่นบรรทม พลางมองวรองค์เล็กที่ซุกอยู่ใต้ผ้าห่มด้วยแววตากึ่งเห็นใจกึ่งสงสาร

ใครเลยจะคิดว่าสิริกัญญาจะดุได้ปานนั้น แม้แต่บริมาสยังไม่กล้าที่จะขัด เธอเลยกลายเป็นคนดีในสายตาของคนตำหนักนี้ทันที

“ข้าไม่ชอบออกไปข้างนอก” เจ้าหญิงน้อยยังงอแงไม่เลิก

“จะอุดอู้อยู่แต่ในตำหนักได้ไงล่ะเพคะ พระองค์ต้องพบหน้าผู้คนบ้าง” บริมาสถอนหายใจออกมาอย่างหนักอก และนึกถึงคำพูดของบิดาที่กล่าวถึงเจ้าหญิงแห่งตำหนักวิหคสุบรรณขึ้นมา ท่านกล่าวไว้ว่าการที่เจ้าหญิงน้อยไม่ยอมออกจากตำหนัก เป็นเพราะมีใครบางคนคอยเป่าหู ว่าพระองค์จะถูกคนภายนอกลอบปลงพระชนม์เช่นเดียวกับพระมารดา และคนที่ว่าก็อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลตัวเจ้าหญิงเสียด้วย

“ข้าไม่ไป!”

หญิงสาวถอนหายใจออกมาอีกเฮือกใหญ่ ความจริงเธอก็อยากแสดงบทร้ายอยู่หรอกนะ แต่โดนเพื่อนแย่งบทไปแล้ว เธอเลยร้ายไม่ออกก็เท่านั้น “จะไปหรือไม่ไปไว้ค่อยว่าทีหลังเถอะเพคะ แต่ถ้าไม่รีบเสด็จออกไป ไม่รู้ว่าวันนี้สิริกัญญาจะใช้วิธีไหนลากพระองค์ลงจากแท่นบรรทม หรือทรงอยากให้สิริกัญญาเข้ามาแทนหม่อมฉันเพคะ”

เจ้าหญิงแสงอัปสรทรงผุดลุกขึ้นมาทันทีที่ได้ยินชื่อพระพี่เลี้ยงอีกคน ท่าทางของพระองค์ทำให้บริมาสอดเห็นขันไม่ได้ หญิงสาวส่ายหน้าไปมา พลางลุกขึ้นให้นางกำนัลทั้งสามทำงานของตัวเองต่อไป แล้วออกไปหาเพื่อนที่นั่งรออยู่ในห้องรับรองเล็ก ที่พวกเธอใช้ยึดเป็นที่สอนการบ้านให้เจ้าของตำหนัก

“คุณผกาแก้วไปไหนแล้วล่ะ” บริมาสเอ่ยถามอย่างสงสัย เมื่อเห็นเพื่อนนั่งดื่มน้ำชาอยู่เพียงลำพัง และคำตอบที่ได้มาคือรอยยิ้มนุ่มละมุนจากเพื่อนที่แสร้งทำหน้าซื่อ

“ไม่รู้สิ”

ไม่มีทางที่สิริกัญญาจะตอบแบบนี้ นอกเสียจากว่าหญิงสาวจะทำอะไรอีกฝ่ายไป ตอนที่บริมาสเล่าสาเหตุที่เจ้าหญิงแสงอัปสรไม่ยอมเสด็จออกนอกตำหนักว่าเป็นเพราะอะไร เพื่อนก็ทำแววตาเหมือนกับตอนที่จะสำเร็จโทษเจ้าหญิงน้อยที่ซุกซนเกินเหตุ

“อย่าเอานิสัยตอนเป็นสิรีมาใช้สิ รู้ไหมว่าตอนนี้เจ้าดูร้ายกว่าข้าแล้วนะ”

สิริกัญญาหัวเราะคิกกับถ้อยคำเหน็บแนมของเพื่อน พลางวางถ้วยชาลงอย่างเบามือ “สิรีก็เป็นตัวตนของข้าเหมือนกันนะ แล้วสิ่งที่ข้าทำกับเจ้าหญิงแสงอัปสรก็ไม่เห็นว่ามันจะผิดตรงไหน ตอนข้าเป็นเด็กและดื้อกับแม่เดือนฟ้าหรือพี่ปลายมาศยังโดนแบบนี้ อาจจะแรงกว่าด้วยซ้ำ”

บริมาสถอนหายใจเฮือก พลางนวดขมับที่ปวดจี๊ดไปมา “ข้าไม่เข้าใจเจ้ากับพี่ปลายมาศเลย ตอนแรก็ดูจะเป็นพี่น้องที่รักกันปานจะกลืนกิน แต่ไอ้เรื่องที่เจ้าเล่านี่ มันออกจะเหลือเชื่อเกินไปหน่อยนะ”

“อย่าคิดมากน่าบริมาส ดูท่าคนบ้านข้าจะเป็นพวกนิยมความรุนแรงน่ะ”

“ข้าก็ว่างั้น ขืนคิดเรื่องบ้านเจ้าไปมากกว่านี้คงบ้าตายก่อนพอดี” คุณหนูคนงามถอนหายใจอีกเฮือก ซึ่งไม่รู้ว่าหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมา เธอถอนหายใจไปกี่เฮือกแล้ว แถมเจ้าตัวต้นเหตุยังนั่งยิ้มแป้นเหมือนเป็นเรื่องปกติธรรมดา แล้วเธอจะคิดมากเกินไปทำไม

“แล้วเจ้าหญิงแสงอัปสรล่ะ ยอมลุกออกมาจากที่บรรทมหรือยัง” สิริกัญญาเปลี่ยนไปพูดเรื่องอื่นทันที เพื่อไม่ให้เพื่อนพูดถึงเรื่องตัวเองอีก ทั้งที่ความจริงแล้ว หญิงสาวก็ไม่คาดคิดเลยว่าจะทำอะไรตรงกันข้ามกับสิ่งที่ตัวเองเคยเป็นชนิดหน้ามือกับหลังมือแบบนี้ได้

ทุกอย่างคงเริ่มต้นตั้งแต่คืนที่ปลายมาศปลดปล่อยพันธนาการในจิตใจของเธอด้วยคำพูดนั้น...สิรีไม่จำเป็นต้องทนแล้ว...แค่คำพูดนั้นเพียงประโยคเดียว ก็เหมือนกับว่าเธอไม่ใช่ตุ๊กตาที่ต้องทำตามคำสั่งอีกต่อไป

“แค่ใช้ชื่อเจ้าขู่ไปหน่อยเดียว ก็ทรงลุกขึ้นมาแทบไม่ทันทีเดียวล่ะ”

คำตอบและท่าทางย่นจมูกของคุณหนูคนงาม เรียกเสียงหัวเราะขบขันจากลูกสาวทาสของท่านจินดา ที่โคลงศีรษะไปมาอย่างอ่อนใจ “ข้าไม่ได้ตั้งใจจะทำให้พระองค์กลัวอะไรมากมาย แต่ทรงดื้อ ข้าเลยต้องดุบ้าง”

“ย่ะ ดุจนข้ายังกลัว” ไม่วายที่บริมาสจะประชดเพื่อนกลับ และนั่นก็ทำให้สิริกัญญาหลุดหัวเราะออกมาอีกครั้ง

“ขออภัยขอรับ คุณสิริกัญญา คุณบริมาส” เสียงของทหารยามรักษาตำหนักขัดบทสนทนาของสองสาวให้หยุดชะงัก แล้วหันไปมองเจ้าของเสียงที่ค้อมตัวลงอย่างนอบน้อม

“มีอะไรหรือจ๊ะ” สองสาวถามออกไปพร้อมกัน แล้วต้องชะงักกับคำถามที่เหมือนกันจนต้องกลั้นยิ้มไว้

“เมื่อครู่มีคนรับใช้ของพระอาจารย์มาฝากจดหมายให้กับพระพี่เลี้ยงทั้งสองครับ ข้าเลยนำมาให้” พอพูดจบ นายทหารหนุ่มก็ส่งซองจดหมายสีขาวให้กับสิริกัญญาที่ลุกขึ้นมารับถึงมือ โดยที่เขาไม่จำเป็นต้องก้าวเข้าไปส่ง และการกระทำของเธอก็ทำให้เขาตกใจไม่น้อย เพราะไม่เคยมีคุณหนูสูงศักดิ์คนไหนเดินมารับจดหมายจากนายทหารระดับต่ำเองกับมือ

“ขอบคุณมากนะ” สิริกัญญาส่งยิ้มละมุน พลางมองทหารรักษาตำหนักโค้งคำนับ ก่อนหมุนตัวกลับไปทำหน้าที่ของตนเองต่ออย่างรวดเร็ว

ครั้นพอลับบุคคลที่สามไป สิริกัญญาก็แกะจดหมายที่ได้รับออกมาดูทันที หญิงสาวใช้เวลากวาดตาเพียงไม่นาน ก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เธอหันไปมองบริมาสที่ส่งคำถามมาทางสายตา พลางคลี่ยิ้มน้อย ก่อนโบกจดหมายในมือไปมา

“พระอาจารย์ติดธุระกะทันหัน ทำให้มาสอนไม่ได้ และขออภัยที่จะต้องงดการเรียนนอกสถานที่อีกหนึ่งวัน” หญิงสาวพูดพลางขมวดคิ้วมุ่นกับความบังเอิญที่เกิดขึ้นติดต่อกันสามครั้งภายในเวลาหนึ่งอาทิตย์

“ติดธุระอะไรกันนักกันหนา แล้วจำต้องมาติดธุระในวันที่ออกไปเรียนนอกสถานที่ด้วยนะ บังเอิญเกินไปแล้วมั้ง” บริมาสบ่นพึมพำออกมาอย่างหงุดหงิด แลเธอก็พอเดาได้ว่าสาเหตุนี้มาจากใคร

“แล้วเจ้าจะทำอะไรได้ล่ะ เขาไม่ยอมให้ออก เราจะรั้นออกไปให้ได้หรือไง”

บริมาสเม้มริมฝีปากบางอย่างครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนแย้มยิ้มออกมาเมื่อนึกอะไรขึ้นมาได้ “เราก็แอบออกไปกันสิ ไปเที่ยวป่าปัจฉิมกันเถอะสิรี”

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


เสียงพูดคุยเฮฮาของเด็กกลุ่มใหญ่หน้าประตูวังหลวง เรียกสายตาชาวเมืองที่เดินผ่านไปมาแถวนั้นให้หันไปมองอย่างสนใจ เพราะเครื่องแต่งกายของแต่ละคนล้วนบ่งบอกว่ามาจากตระกูลสูงศักดิ์ ยิ่งมีผู้คุ้มกันติดอาวุธที่ยืนเยื้องออกไปเบื้องหลังอีกสามคน ก็เหมือนกับเป็นเครื่องยืนยันความคิดของผู้คนแถวนี้ได้ดี

สิริกัญญากับบริมาสมองหน้ากันอย่างคนที่ไม่รู้ว่าจะพูดความรู้สึกของตัวเองในตอนนี้ออกไปอย่างไรดี ในเมื่อหัวหน้าคณะที่จะพาพวกเธอและเด็กเหล่านี้ไปทัศนศึกษารอบเมือง คือปลายมาศที่ยังยิ้มแย้มใจดีจนดูน่าหวั่น และมันก็ทำให้พวกเธอนึกไปถึงสาเหตุที่ทำให้ตัวเองต้องมาอยู่ตรงนี้

หลังจากที่บริมาสตัดสินใจพา...ไม่สิ ต้องเรียกว่าลักพาตัวเจ้าหญิงแสงอัปสรออกมานอกตำหนัก โดยมีสิริกัญญาเป็นผู้ช่วยนั้น ทุกอย่างดูจะผ่านไปแบบทุลักทุเลพอสมควร เพราะเจ้าหญิงน้อยไม่ได้ทรงอยู่เฉยให้พวกเธอพาหนีออกมาได้โดยง่าย พระองค์ทรงร้องลั่น และดิ้นขัดขืนมาตลอดทาง และนับว่าโชคดีที่ได้พระพี่เลี้ยงคนดุคอยขู่ เลยมีแค่เสียงร้องครางในลำคอ ที่บริมาสเดาไม่ออกว่ามาจากอาการกลัว หรือหายใจไม่ออกที่ถูกปิดพระนาสิกกันแน่

และบริมาสก็เกือบพาผู้สมรู้ร่วมคิดในการลักพาตัวเจ้าหญิงไปให้ทหารจับ จนพากันใจหายใจคว่ำอยู่หลายครั้ง ซึ่งคุณหนูพระจันทร์ก็ได้แต่บ่นอุบอิบกับเส้นทางลับออกนอกวังที่หายากหาเย็นเหลือเกิน และพาลไปยังคนบอกเส้นทางลับที่ให้ความไม่กระจ่าง กระทั่งสองสาวไปเจอะกับคนบอกเส้นทางที่กำลังจะหนีออกไปนอกวังเข้าพอดี

มันเป็นความโชคดีหรือโชคร้ายที่ไม่รู้ที่สองพระพี่เลี้ยง ดันมาปะเข้ากับพลพรรคของเจ้าชายชเยนทร และพอเจ้าชายน้อยรู้ว่าสองสาวกำลังพาเจ้าหญิงแสงอัปสรออกไปเล่นนอกวัง พระองค์ก็ทรงรับพวกเธอเข้ากลุ่มคนหนีเที่ยวทันที แล้วพากันไปยังทางลับที่มีใครบางคนยืนรออยู่

แต่ละคนพากันทำหน้าเซียว เมื่อคนที่มาดักทางหนีออกไปนอกวังคือปลายมาศ ชายหนุ่มส่งยิ้มให้กับบรรดาลูกศิษย์ที่พากันพร้อมใจหลบอยู่ด้านหลังสองพระพี่เลี้ยง ให้พวกเธอคอยรับหน้าด้วยสีหน้าซีดเซียวพอกัน เมื่อเห็นว่าดวงตาสีฟ้าครามทอแววดุออกมา

“คิดถูกจริง ๆ ที่มารออยู่ที่นี่ เลยจับได้ทั้งสองก๊ก” ปลายมาศกลั้วหัวเราะเล็กน้อย พลางกวาดตามองเหล่าลูกศิษย์ที่วันนี้ทำตัวเป็นเด็กดีผิดปกติจนน่าสงสัย และเขาก็เดาทางเด็กซนถูกเสียด้วย

ครั้นพอชายหนุ่มสำรวจเหล่าลูกศิษย์ที่ให้สองพระพี่เลี้ยงเป็นที่กำบัง ก็เริ่มหันมาสนใจสองสาวที่ริอาจเป็นผู้ร้ายลักพาตัว พวกเธอจะรู้บ้างไหมนะว่าทิ้งเรื่องให้คนตำหนักวิหคสุบรรณวิ่งวุ่นจนหัวหมุนไปหมด คุณผกาแก้วถึงกับเป็นลมรอบแล้วรอบเล่า กับการกระทำอันอุกอาจของสองพระพี่เลี้ยง

“ขอจัดการก๊กแรกก่อนแล้วกัน เตรียมหาข้อแก้ตัวไว้ด้วยนะสิริกัญญา บริมาส” ชายหนุ่มพูดพลางยิ้มน้อย ก่อนหันไปจ้องเขม็งเหล่าลูกศิษย์ที่แม้จะพากันหลบอยู่ด้านหลังสองพระพี่เลี้ยงก็หลบกันไม่มิด

“ครูจำได้ว่าไม่เคยห้ามให้ออกไปเล่นนอกวังเสียหน่อย แต่แค่ขอให้มีทหารติดตามไปด้วยสักคนหรือสองคนเท่านั้นเอง ทำไม่ได้หรือไง”

“ก็พี่ทหารนั่นแหละตัวดีเลย ทำให้หมดสนุก” เด็กคนหนึ่งในกลุ่มเจ้าชายชเยนทรเอ่ยขึ้นทันทีที่อาจารย์ของตัวเองพูดจบ

“ชอบเตือนให้รีบกลับอยู่เรื่อย”

“บางทีก็บอกว่าโน่นทำไม่ได้ นี่อย่าทำ กลายเป็นว่าเล่นอะไรไม่ได้สักอย่าง”

แล้วอีกหลายเสียงก็พากันยกเหตุผลของตัวเองขึ้นมาสนับสนุน ซึ่งปลายมาศก็รับฟังโดยไม่เอ่ยขัดข้ออ้างของเหล่าลูกศิษย์จอมซนขึ้นมาสักคำ และนั่นก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่เด็กหลายคนชอบเขา เพราะเขามักเปิดโอกาสให้ทุกคนพูด ไม่เหมือนกับพี่เลี้ยงของตัวเองที่มักขัด และไม่เคยฟังเหตุผลของพวกเขาสักที

“ก็เลยไม่ชอบให้มีทหารติดตาม” ปลายมาศถามพลางมองเหล่าลูกศิษย์ที่พากันพยักหน้ารับคำพูดของเขาอย่างแข็งขัน ชายหนุ่มครางอือในลำคอ ก่อนแย้มยิ้มหวานละมุนที่ชวนให้แต่ละคนพากันหนาวสันหลัง มากกว่าจะปลื้มใจที่เหตุผลของตัวเองฟังขึ้น

“แล้วที่โดนพี่ทหารห้ามโน่นห้ามนี่ เพราะคิดจะทำอะไรกันล่ะ”

เหล่าจอมซนพากันอึกอัก หาข้ออ้างมาพูดต่อไม่ออก แต่ละคนพากันมองหน้าเลิ่กลั่ก แล้วสายตาทุกคู่ก็พากันจดจ้องเจ้าชายชเยนทรกันเป็นจุดเดียว อย่างน้อยพระองค์ก็เป็นลูกศิษย์คนโปรด หากทรงตรัสอะไรออกไป แม้จะมีความผิดติดไปบ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็คงได้รับการอภัยจากอาจารย์

“พวกชายอยากไปเล่นม้าที่ป่าปัจฉิม แต่พี่ทหารไม่ยอมพาไป”

“แล้วมีอะไรอีกพระเจ้าค่ะ...” ชายหนุ่มถามกลับเสียงนุ่ม ซึ่งพอทำให้จำเลยทั้งแปดพากันโล่งใจขึ้นมาบ้าง เพราะนั่นหมายความว่าพวกเขาจะโดนดุไม่มาก

“พวกชายอยากไปเล่นกับเด็กในเมือง อยากไปงานเทศกาลประจำปี แล้วก็ทำอะไรเหมือนกับเด็กคนอื่น”

ปลายมาศทอดสายตามองเจ้าชายชเยนทรด้วยแววตาอ่อนโยน พระนิสัยของเจ้าชายน้อยคล้ายกับผู้เป็นพระบิดาในด้านรักอิสระ และไม่ยึดติดในธรรมเนียมราชประเพณีมากทีเดียว ยิ่งวัยของพระองค์เป็นวัยที่อยากเรียนรู้เรื่องราวของโลกภายนอก ทำให้ทรงกระตือรือร้นอยากเรียนรู้สิ่งที่อยู่นอกตำรา

“แล้วพวกเจ้าล่ะ นึกยังไงถึงพาตัวเจ้าหญิงแสงอัปสรออกมาโดยไม่บอกกล่าวผู้ใหญ่”

ถึงคราวที่สองสาวจะโดนสอบความบ้างแล้ว บริมาสแตะแขนสิริกัญญาที่กำลังจะพูดแก้ต่างแทนเพื่อนที่เป็นเจ้าของความคิด ก่อนยืดอกยอมรับความผิดของตัวเองออกไปตรง ๆ

“เพราะผู้ใหญ่ไม่อนุญาตให้พวกเราพาจ้าหญิงออกไปค่ะ”

“พวกเจ้าเลยแอบออกมา จนทำให้คนอื่นวุ่นวาย” คำถามนี้จี้เข้ากลางใจคนผิด แต่เจ้าตัวก็ยังเชิดหน้ารับข้อกล่าวหา

“เรื่องนี้มีสาเหตุอยู่ค่ะ พี่ปลายมาศจะรับฟังไหมคะ”

ดวงตาสีฟ้าครามหรี่ลงเล็กน้อยอย่างใช้ความคิด ความจริงชายหนุ่มพอรู้ต้นสายปลายเหตุของเรื่องราวที่สองพระพี่เลี้ยงก่อขึ้น แต่ก็อยากฟังความคิดของพวกเธอดูบ้าง จึงพยักหน้าตอบกลับไป และเมื่อบริมาสได้รับอนุญาตให้แก้ตัว หญิงสาวจึงสูดลมหายใจ พลางร่ายยาวถึงเหตุผลของตัวเองทันที

“ข้าไม่ชอบใจที่พระอาจารย์พากันเบี้ยวนัดยามต้องพาเจ้าหญิงไปเรียนนอกสถานที่ และข้าไม่คิดว่ามันจะเป็นเรื่องบังเอิญ แล้วถ้าข้าไปขออนุญาตคุณผกาแก้ว พาเจ้าหญิงไปเรียนนอกสถานที่ด้วยตัวเอง อาจจะกลายเป็นว่าก้าวก่ายหน้าที่การงานของพระอาจารย์ หรือเธอคงทำท่าบ่ายเบี่ยงไม่ยอมให้พวกเราพาเจ้าหญิงออกมา เราจึงเหลือวิธีนี้เพียงวิธีเดียว” แต่บริมาสก็ไม่ได้บอกปลายมาศออกไปทั้งหมด ว่าสาเหตุส่วนหนึ่งนั้นมาจากความนึกสนุกของตัวเธอเองด้วย

ปลายมาศถอนหายใจดังเฮือก พลางส่ายหน้าไปมากับวิธีการของสองพระพี่เลี้ยง “ทำอะไรไม่รู้จักคิด พวกเจ้าลืมแล้วหรือไงว่าเป็นพระพี่เลี้ยงกิตติมศักดิ์ ถ้าไปขออนุญาตกับเจ้าหลวงโดยตรง คิดหรือว่าจะไม่ทรงอนุญาต” แล้วชายหนุ่มก็ถอนหายใจออกมาอีกเฮือก เมื่อเห็นสองพระพี่เลี้ยงทำหน้าเหวอ เหมือนกับเพิ่งนึกเรื่องนี้ได้

“แล้วก๊กนี้คิดจะหนีไปเที่ยวที่ไหนล่ะ”

บริมาสมองหน้าสิริกัญญา พลางหัวเราะแหะตอบกลับไป เหมือนเด็กที่ถูกจับผิดตั้งแต่ยังไม่เริ่มทำอะไร “ที่เดียวกับก๊กแรกนั่นแหละค่ะ...ป่าปัจฉิม”

คนถามเลิกคิ้วขึ้นกับคำตอบของหนึ่งในสองพระพี่เลี้ยง แล้วชายหนุ่มก็รู้สึกถึงแรงวิงวอนที่ส่งออกมาจากดวงตาหลายคู่ ครั้นจะไม่ใส่ใจขึ้นมา ความรุนแรงของดวงตานับสิบคู่ก็ทำเอาเขาต้องถอนหายใจออกมาเป็นรอบที่สาม เด็กพวกนี้ช่างไม่รู้เอาเสียเลยว่าหาเรื่องลำบากมาให้เขา แต่จะปฏิเสธเด็กพวกนี้ก็ดูน่าสงสารเกินไป ดีไม่ดีคงหาทางหนีไปเที่ยวตามลำพังอีกแน่

“ถ้าให้ครูพาไป ต้องทำตามเงื่อนไขของครูนะ”

คำตอบนี้เพียงคำตอบเดียวของปลายมาศ เรียกเสียงเฮจากเหล่าจอมซนให้ดังขึ้นมา ร่างเล็กป้อมของเด็กชายแปดคนวิ่งเข้าไปล้อมรอบพระอาจารย์ที่ดุแต่ใจดี พลางดึงคนแก่วัยให้เข้าร่วมกลุ่มคนหนีเที่ยวทันที แล้วการทัศนศึกษานอกสถานที่ ก็ถูกวางแผนไว้อย่างคร่าว ๆ โดยหัวหน้าคณะจำเป็น

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


ดวงตาหลายคู่เบิกกว้างขึ้น เมื่อรถม้าพาพวกเขามาถึงทุ่งโล่งที่เต็มไปด้วยม้าป่าหลากสีหลากขนาดที่ออกมาและเล็มกินหญ้าเป็นฝูงใหญ่ ห่างออกไปมีกลุ่มคนกำลังจัดเตรียมงานปราบพยศอาชาผยอง ที่ตอนนี้เริ่มมีการตั้งปะรำขึ้นมาให้เห็นส่วนหนึ่ง คนเหล่านั้นพากันหันมามองรถม้าสี่คันที่ผ่านเข้ามาในทุ่งโล่ง แล้วหยุดลงที่ชายทุ่งฝั่งตรงข้าม ซึ่งมีคนกลุ่มหนึ่งยืนคุมลูกม้าทั้งเก้าตัวคอยท่าไว้อยู่แล้ว

“ลูกม้าป่า!?” เสียงของใครคนใดคนหนึ่งดังขึ้นทันทีที่ลงจากรถ เรียกเสียงหัวเราะจากเจ้าของม้าที่ลงมาได้ยินพอดี

“ม้าเลี้ยงจ้ะ จากคอกเลี้ยงม้าของกองทหารรักษาพระองค์”

แต่ละคนพากันครางอย่างผิดหวังกับคำตอบที่ได้รับ พวกเขาคิดว่าจะได้ขี่ม้าเจ้าพยศ ที่แม้แต่ผู้ใหญ่วัยฉกรรจ์ยังครั่นคร้าม แต่อาจารย์ดันเอาม้าเลี้ยงมาให้ขี่ มันก็เหมือนกับว่าพวกเขามาไม่ถึงป่าปัจฉิมนั่นแหละ

“อย่าทำหน้ากันแบบนั้นสิ” ปลายมาศหลุดเสียงหัวเราะขบขัน พลางมองเหล่าจอมซนด้วยสายตาเอื้อเอ็นดู “ม้าปัจฉิมขึ้นชื่อด้านความพยศ แม้แต่ลูกม้าแรกเกิดยังพยศเกินวัย คนของครูไม่มีความสามารถพอจะเอาลูกม้าปัจฉิมมาให้ขี่เล่นได้หรอกนะ” บางทีดีไม่ดีคนของเขานั่นแหละจะถูกดีดกระเด็นออกมา ก่อนที่จะได้แตะต้องม้าเหล่านั้นเสียด้วยซ้ำ

แต่ปลายมาศก็ลืมนึกไปว่าตรงนี้ยังมีคนอีกสองคนที่รู้ตัวจริงของเขาอยู่ บริมาสอยากจะร้องแรกแหกกระเชอว่าผู้ชายตรงหน้านี่แหละที่สามารถควบคุมม้าป่าพวกนี้ได้ แค่เขาผิวปากเพียงนิดเดียว พวกมันก็พร้อมใจกันหันมาฟังแล้ว แถมม้าที่ชายหนุ่มครอบครองอยู่ก็เป็นถึงจ่าฝูงของม้าปัจฉิม ที่ขึ้นชื่อด้านความดุร้ายจนผู้คนพากันครั่นคร้าม

แล้วม้าป่าจ่าฝูงตัวเดียวกันนี้แหละที่ยามอยู่ต่อหน้าคนอื่น ก็ทำให้ผู้คนที่คิดจะควบคุมมันต้องบาดเจ็บคางเหลืองกันไปมากต่อมาก แต่ยามอยู่ต่อหน้าเจ้านายตัวเองก็กลับกลายจากหน้ามือเป็นหลังมือ ไม่เหลือมาดอาชาผยองที่ผู้คนพากันยกขึ้นทำเนียบม้าที่ปราบยากที่สุด

“ข้าว่าให้พี่ปลายมาศเปลี่ยนอาชีพเป็นนักแสดงเถอะ น่าจะรุ่งกว่าเป็นอาจารย์อีก”

สิริกัญญาหัวเราะคิกกับถ้อยคำที่เพื่อนกระซิบมา หญิงสาวมองดูพี่ชายที่เข้าไปคลุกคลีอยู่กับเหล่าลูกศิษย์ตัวน้อย แล้วสายตาก็ไปสะดุดเข้าที่เจ้าหญิงแสงอัปสรที่ยังไม่ยอมไปขี่ม้าเล่นเหมือนคนอื่น หญิงสาวจึงเดินเข้าไปหาเจ้าหญิงน้อยอย่างสงสัย

“ไม่ไปเล่นกับพวกน้อง ๆ หรือเพคะ” เสียงทุ้มนุ่มของพระพี่เลี้ยงสีน้ำเงิน ทำให้พระองค์หญิงสะดุ้งโหยง พระองค์หันไปสบเนตรตอบเจ้าของดวงตานุ่มละมุนที่คลายความดุลงไปมาก

“ข้าขี่ม้าไม่เป็น”

สิริกัญญาหลุดเสียงหัวเราะกับคำตรัสอ้อมแอ้ม ดูจากท่าทางของเจ้าหญิงน้อยแล้ว คงอยากจะทรงม้าเล่นอย่างเด็กชายคนอื่น แต่ก็ทรงทิฐิไม่ยอมเอื้อนเอ่ยขอร้องให้ใครช่วยสอน ส่วนคนคุมม้านั้นก็หยิ่งพอกัน เมื่อเจ้าหญิงน้อยไม่ทรงตรัสอะไร เขาก็ยืนเฉย ไม่ขันอาสาช่วยเหลือพระองค์ให้ทรงม้าเป็น และไม่สนดวงเนตรที่ส่งค้อนคว่ำมาเป็นระยะเสียด้วย

“ถ้าอย่างนั้นหม่อมฉันสอนให้เอาไหมเพคะ”

เจ้าหญิงแสงอัปสรทอดพระเนนตรมือเรียวบางที่ยื่นมาตรงหน้าพระพักตร์อย่างชั่งพระทัย จะว่าไปแล้วพระองค์ยังกลัวพระพี่เลี้ยงคนนี้อยู่ แต่รอยยิ้มและแววตาที่ทอดมองมานั้นก็ทำให้ทรงคลายความกลัวลงไปได้มาก ที่สำคัญคืออยากทรงม้าเหมือนคนอื่นบ้าง จึงตรัสถามออกไปอย่างไว้องค์

“เจ้าขี่ม้าเป็นหรือ”

“มาเถอะเพคะ เราอย่าปล่อยให้เขาว่างงานเลย” สิริกัญญาพูดพลางส่งลูกกระทบไปให้คนคุมม้าที่ค้อมศีรษะลง เมื่อหญิงสาวพาเจ้าหญิงน้อยมาทางเขา “ต่อให้หม่อมฉันไม่สอนพระองค์ เขาก็ต้องรับหน้าที่นี้อยู่แล้ว จริงไหม” ประโยคสุดท้ายนี้เธอหันไปถามคนหยิ่งด้วยน้ำเสียงนุ่มละมุน แต่คนถูกถามกลับรู้สึกว่ามันเป็นการคาดคั้นกึ่งออกคำสั่งมากกว่า

“ถ้าท่านกัญญาต้องการให้เป็นอย่างนั้นขอรับ”

หญิงสาวคลี่ยิ้มหวานยิ่งขึ้นไปอีก ซึ่งตรงข้ามกับหัวใจที่กำลังหนักอึ้ง คนพวกนี้ยอมทำตามคำสั่งของเธอ เพราะเห็นว่าเป็นน้องสาวของปลายมาศ แต่หากเวลาใดที่พี่ชายจากคฤหาสน์พรหมเทวาไป พวกเขาจะยังคงทำตามคำสั่งของเธออีกหรือไม่ หรือจะเพิกเฉย ด้วยไม่เห็นค่าอะไรในผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนหนึ่ง เธอจะทำอย่างไรถึงจะให้คนพวกนี้ยอมรับนับถือตัวเอง เหมือนกับที่ได้มอบความภักดีไว้ที่ตัวพี่ชาย

เธอจะทำอย่างไร...สิริกัญญา!





เนื่องจากว่าวันพุธนี้ไม่ได้เข้าน่ะค่ะ เลยแจ้นเข้าร้านกลางดึก มาลงให้ก่อนที่จะไม่ได้โพสต์ไปตลอดอาทิตย์
ตอนนี้อยากเขียนฉากหวาน ฉากหวานอยู่หนาย...กระหายฉากหวาน



Create Date : 21 มกราคม 2551
Last Update : 21 มกราคม 2551 23:23:53 น.
Counter : 363 Pageviews.

4 comments
  
Right! where's the romance scene
Wow!I'm the first one for this chapter.


โดย: jintana IP: 71.125.206.192 วันที่: 22 มกราคม 2551 เวลา:0:11:47 น.
  

พระเอกหายไปหนายจ๊ะ หลายวันแล้ว

ไม่โผล่มาซักที ชักคิดถึง
โดย: nekojung IP: 58.9.89.231 วันที่: 22 มกราคม 2551 เวลา:8:38:15 น.
  
รออยู่เหมือนกันค่ะฉากหวาน เมื่อไหร่พระเอกจะมาซักที
โดย: น้อง IP: 124.121.186.206 วันที่: 22 มกราคม 2551 เวลา:9:09:36 น.
  
นั่นสิคะ คิดถึงเจ้าปาเยนทร์เต็มทีแล้วล่ะค่ะ เมื่อไหร่จะกลับมาซักกะทีล่ะคะ
โดย: pumpam IP: 58.8.70.164 วันที่: 22 มกราคม 2551 เวลา:12:59:27 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ฌา
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



New Comments
All Blog