2เท้าจะก้าวไปเดินทอดน่องย่องภูกระดึง .. ตอนที่4 ผาหล่มสัก 18โลไปกลับ ไม่ได้โม้




( ลิงค์ตอนที่ 1-3 อยู่ข้างล่างท้ายสุดครับ )ณ องค์พระพุทธเมตตาสิบโมงเป๊ะ ได้ฤกษ์เบิกชัยเริ่มต้นเดินทางไกลบัดเดี๋ยวนี้หลังจากเอื่อยเฉื่อยไปในตอนที่แล้ว ตอนนี้เอาจริงล่ะนะ เอ้า ไหว้พระขอพรอย่าให้ได้ปะทะช้างป่ากัน แล้วออกเดินเลยครับพี่น้อง 9กิโลเมตรไปส่งตะวันตกดินที่ผาหล่มสัก ทำไมต้องส่งด้วย แหม่ เค้าว่ากันว่าไม่ได้ไปนั่งมองตะวันลับเหลี่ยมภูที่ผาหล่มสักเนี่ยเปรียบไปเหมือนกินส้มตำไม่สั่งไก่ย่างนะ เปรียบถูกมั้ย! อิอิ องค์พระพุทธเมตตานี้บนลานหินกว้างห่างแค้มป์เรามาราวหกร้อยเมตร โอ๊ะโอ้ว ก็แสดงว่าจากนี่ถึงปลายทางเหลืออีกเพียงแปดกิโลกว่าหน่ะสิ 5555 ฟังดูดีกว่าเก้ากิโลตั้งเยอะ เอ้า เดินเดินกันได้ 




เสียงพวงระฆังดังดึงดึงฟังใกล้ๆก็ดังกิ๊งแก๊งแหละ แต่พอแว่วยินมาแต่ไกลๆประกอบกับที่นี่เป็นภูกระดึงใช่มั้ยล่ะมันก็เลยมโนเป็นเสียงดึงๆดังไกลมาจากไหนงัย วันนี้เราเลือกเส้นทางเดินสู่ผาหล่มสักโดยไม่ผ่านผาหมากดูกจะได้ไม่ผ่านทางซ้ำๆ ที่เมื่อวานเพิ่งเดิน เส้นทางใหม่ของเราคือมาผ่านองค์พระนี่ แล้วไปทะลุผานาน้อยโน่น สภาพทางแคบกว่าแต่บอกได้เลยว่าคลาสสิคใกล้ชิดธรรมชาติกว่าเดินทางหลักทางผาหมากดูก อีกอย่างเส้นทางนี้จะผ่าน สระแก้ว ด้วย เค้าว่าน้ำมันใสแหน่วต๊ะติ๊งโหน่ง ต้องขอไปดูให้เห็นกะตา อ้อ ลืมแจ้งทราบ ที่ลานหินองค์พระตะกี๊เราได้สมาชิกร่วมทางมาเพิ่มอีกสองคน น้องๆ ญ เธอเดินกลับมาจากทางไปน้ำตก ผิดหวังกับสายน้ำที่แห้งผากปลายเดือนแล้ง เจอกันที่องค์พระผมเลยชักชวนให้เดินไปพร้อมๆกัน เพื่อจะได้เป็นเพื่อนกันเวลาเดิน night trail หลังชมพระอาทิตย์ตกเพื่อความปลอดภัยและอุ่นใจ ดังนั้น ณ ตอนนี้นายน้ำคว้าก็มีเพื่อนร่วมเดินทางรวมเป็น 5คนท่ามกลางป่าผืนใหญ่แล้วค้าบ โย่ว
สู่ ผ า น า น้ อ ย
ถึงจะเป็นทุ่งหญ้าป่าโล่งแต่ป่าสนสูงใหญ่ก็มอบร่มเงาบังใบช่วยคุ้มแดดแก่เราอย่างดี เรียกว่าทางสายนี้เดินกันได้ไม่ถึงกับร้อน ตลอดทางพื้นดินปนทรายที่เกลื่อนไปด้วยใบสนโรยปรากฏ ดอกหรีด ให้เราได้เห็นเป็นระยะๆ เดินมองฟ้ามองวิวเพลินจะเผลอเหยียบเละเอาง่ายๆ ดอกเค้าเล็กนิดเดียวแถมขึ้นกระจัดกระจายโดดเดี่ยว ว่าแล้วก้มลงเรี่ยพื้นเก็บภาพมาฝากเพื่อนๆสักภาพดีกว่า 










เจอแล้วสระแก้วแห้งเหือดจนเกือบหลง งง คิดว่าเป็นแค่ลำธาร สระแก้วกลายเป็นบ่อแก้วไปแล้ว ทั้งที่สระแก้วควรเป็นแอ่งน้ำขนาดใหญ่พอสมควร ยามหน้าฝนคงงามขนาดและคงเดินข้ามยากหน่อยอาจต้องมีเดินลุยลงน้ำ ร่องรอยไฟป่าไหม้ลามเลียมาถึงแถวนี้ด้วย ไฟป่าครั้งนั้นกินอาณาบริเวณกว้างขวางจริงๆ  แต่ในความหดหู่ก็แอบดีใจ เพราะได้เห็นต้นสนชุดใหม่แข่งกันเจริญเติบโตทั่วป่าอย่างหนาแน่น ดูไปแล้วไม่น่าจะใช่สนปลูกด้วย หรือว่าใช่! มันขึ้นเบียดเสียดกันเหลือเกิน เมื่อมันสูงใหญ่ดูท่าน่าจะกลายเป็นป่าสนที่หนาแน่นสมบูรณ์ยิ่งกว่าเดิมเสียอีก




ผานาน้อย จุดเริ่มต้นทางเดินเลียบผา ถึงแล้วผานาน้อย เดินมาไกลว่าสามกิโลเมตร แต่ใกล้กว่าท่ีจะต้องเดินผ่านผาหมากดูก ได้อย่างต้องเสียอย่างได้เดินทางนี้เราได้ชมน้ำใสๆของสระแก้วแต่ก็ต้องอดชมผางามงามอย่างผาจำศีลที่เป็นหน้าผาตั้งอยู่ระหว่างผานาน้อยกับผาหมากดูก ผานาน้อยมีร้านอาหารอยู่สองร้าน เอาล่ะสิลูกค้านับดูก็มีแค่พวกเราห้าหน่อ กระจายกันนั่งละกัน ให้ทั่วถึงทุกร้าน อิอิ กินข้าวกลางวันที่นี่กันเลยก็ไม่เลวใกล้เที่ยงแล้วด้วย 



พอหนังท้องตรึงหนังตาเริ่มหย่อน เดินย่อยอาหารมาหยุดยืนชมวิวที่หน้าผา พอยืนริมผาเท่านั้นล่ะครับแทบทรุด ป่าวครับป่าว นายน้ำฟ้าไม่ได้กลัวความสูง แต่เพราะลมอ่อนๆพัดโชยมาเย็นๆแถมยืนอยู่ใต้ร่มเงาสนแบบนี้ แหม่ มันสบายซะจนเผลออ้าปากหาว อยากทรุดตัวลงนั่ง เอนหลังลงงีบ เสียจริงเชียว แต่ต้องแข็งใจนิดนึ่พึ่งเดินมา 1ใน3ส่วนของเส้นทาง เอาว่าพักซักกะเดี๋ยวแล้วเดินไปหาที่นอนงีบยังหน้าผาถัดไปจะดีกว่า 
แล้วกึ่งกลางทางมันอยู่ใส จากแผนที่ข้างบนหยิบลูกคิดมาดีดๆๆ บวกเลขระยะทางปรากฏว่าคำตอบออกมาเป็น " ผาเหยียบเมฆ "นั่นเองตรงพอดีเป๊ะที่ 4 กิโลกว่าจากแค้มป์และ 4 กิโลกว่าสู่ผาหล่มสัก เราจะไปพักผ่อนกันที่โน่นแล้วค่อยเดินทางต่อ อัตราการเดินบนที่ราบหลังภูก็เหมือนเดินบนที่ราบทั่วไปนั่นคือเดินธรรมดาๆได้ในอัตราประมาณ 4กิโลเมตรต่อชั่วโมง







สน 2 ใบ
วิวสวยมั้ยครับ เนี่ยๆ วิวหน้าผาตลอดทางล่ะเส้นนี้ ทางเดินแม้จะไม่ถึงกับเลียบริมหน้าผาตลอดนะ แต่ว่าก็เฉียดไปเฉี่ยวมาอยู่เนืองๆแหละ จำได้เลาๆว่าสมัยก่อนทางสวยกว่านี้ ต่อมามีรถยนต์จนท.วิ่งลาดตระเวน (คงส่งรถขึ้นมาด้วย ฮ.) แล้วทางอช.ก็เลยตัดทางใหม่ขนานกับทางเก่าที่เฉียดผา ทางใหม่มันเดินสะดวกกว่า ปั่นจักรยานได้ด้วย ทางเก่าๆเลยเลือนหายไปหลายช่วง นี่ก็อีกหนึ่งผาที่ทางเดินพามาเฉียดเข้าก่อนถึงผาเหยียบเมฆเล็กน้อย




ผาเหยียบเมฆ กึ่งกลางทางสู่ผาหล่มสัก
ตรงนี้มีร้านค้า 2 ร้าน เอาล่ะสิ อิ่มๆอยู่ แต่น้องๆก็ยังเติมได้เรื่อยๆ เห็นตรงแหน่วไปหาอะไรกินต่อแล้วก็คว้าผ้าพลาสติกจากแม่ค้าใจดีติดมือเดินตรงแนบมาให้ เอาล่ะ ได้เวลานอนงีบ ตั้งเวลานั่งเล่นนอนเล่นชิวๆ สองชั่วโมง ทริปนี้เห็นที่จะต้องเปลี่ยนชื่อเป็นเดินทอดน่องย่องหาที่งีบซะแล้ว
แน่ะ แน่ะ แน่ะ รู้นะ เห็นภาพนี้แล้วอิจฉานายน้ำคว้าล่ะสิ ฮวี่ ดาวล้อมเดือนที่เดียวเชียว 5555 เอาล่ะสิ ผิดคลาดครับ หลับๆอยู่เงามันเคลื่อน แดดส่องหน้า เอาหมวกมาปิดหลับไปอีกซักพักหัวอยู่ในร่มตัวอยู่กลางแดด ง่วงก็ง่วง กำลังฝันดีเชียว แต่ว่าไปแล้วก็เต็มตื่นเหมือนกันเน้อะ เงียบ สงบ ไม่มีเสียงคน ได้ยินแต่เสียงลมต้องยอดสนเสียงดังอื้ออึง บางทีก็ดังดึงดึงแหละ แหม่ บางคราเสียงมันฟังเหมือนพายุนะเวลามันดังหวีดขึ้นมามากๆ ผสมความน่ากลัวอยู่นิดๆ




ว่ากันด้วยรองเท้า KEEN newport H2 ที่ได้มาลองใส่ทริปนี้ เมื่อวานทดสอบสมรรถนะตอนเดินขึ้นถือว่าสอบผ่านฉลุย เหยียบโจนไปตามก้อนหินมั่นใจมาก แต่เดี๋ยวพิสูจน์ตอนขาลงอีกครั้งว่าจะสร้างปัญหาให้หัวแม่โป้งมั้ย กลัวใจตรงนี้แหละ ปกติคงใช้แตะรัดส้นปล่อยปลายเท้าเปิดเพราะกลัวเล็บหลุดนั่นเอง แม้จะต้องเสี่ยงกับการเดินเตะหินเตะรากไม้ เคยเตะมาแล้วเจ็บชะมัด ส่วนทางเดินบนที่ราบยอดภูกระดึงนี้ถือว่าค่อนข้างสบายๆ ว่าไปแล้วลากแตะหูหนีบเดินก็ได้ สบายเท้ากว่าด้วย แต่ต้องวัดใจกับหูหนีบจะไม่ทรยศหลุดเสียก่อนด้วยนะ เพราะว่าทางมันไกลอยู่ ไปกลับ 18กิโลคิดดู เห็นรองเท้าพังคาตีนมานักต่อนักล่ะ ผมก็เลยทิ้งแตะหูหนีบไว้ที่เต้นท์และ ใส่เจ้าคีน นี้มาแทน ( ก็กลัวกลับเต้นท์แล้วรองเท้าหายด้วยอ่ะ อิอิ )
ผ า เ ห ยี ย บ เ ม ฆ





ออกเดินทอดน่อง ย่องกันต่อไป
สู่ ผาแดงบ่ายคล้อย มองนาฬิกาบ่ายสามกว่าแล้ว แดดเริ่มออกแรงลง อาจจะเป็นเพราะเมฆมากขึ้นก็ได้ เมฆ!! ตายล่ะหว่า เพิ่งสังเกต ตลอดบ่ายมานี้เมฆมันชักจะยังไงๆแล้ว จากท้องฟ้าโปร่งๆตอนเช้า ไหงตอนนี้ท้องฟ้ามีแต่ขึ้เมฆ ยิ่งทิศที่เรามุ่งหน้าไป ทิศตะวันตก ยิ่งแล้วใหญ่ แทบไม่เห็นท้องฟ้าแล้ว เราออกเดินมาเพียงครึ่งชั่วโมง หรือกิโลกว่าๆ ก็มาถึงยังหน้าผาถัดไป นั่นคือ...ผาแดง แอบลุ้นตัวโก่งกันล่ะคราวนี้ ว่าจะได้เห็นดวงตะวันตกดินกันมั้ยน้อเย็นนี้ อยากจะช่วยกันเป่าเมฆไปให้ไกลๆจริงๆ ปู้ด ๆ 
เหล่านางฟ้ากับชาลี ... อิอิ




พักแป๊บเดียวแล้วเดินต่อ อีกสองโลเศษเท่านั้น เจอจักรยานปั่นสวนมาเห็นแล้วก็อยากปั่นมั่งคงดีไม่น้อยถ้าไม่เมื่อยก้น แล้วก็เจอกับลุงวัยหกสิบกว่าคนหนึ่งพึ่งมาภูกระดึงครั้งแรก ที่ทำให้ทึ่งที่สุดคือลุงเดินขึ้นภูมาตอนเช้าถึงหลังแปแล้วก็เดินต่อมาผาหล่มสักเลย นี่กำลังจะเดินกลับ ถ้าไม่ติดว่าห้ามเดินลงหลังบ่ายสามหล่ะก็ลุงบอกว่าจะเดินลงเลย ต้องบอกว่าลุงแข็งแรงมากๆ ครับ ยอมแพ้
ใกล้แล้ว





ถึงซะที ผาหล่มสัก
ห้าโมงเย็นพอดี ใช้เวลาตั้งแต่ออกเดิน 8 ชั่วโมง หักเวลาพักๆอู้ๆไปซัก 4 เท่ากับเดินจริงๆ 4 ขากลับถ้าเดินแบบนี้ 4ทุ่มจะถึงที่พักหรือเปล่า ตรงนี้มีร้านค้าหลายร้าน แต่ละร้านมีแผงพลังงานแสงอาทิตย์ด้วย ไว้จ่ายไฟเล็กๆน้อยๆรวมทั้งไว้สำหรับรั้วไฟฟ้าป้องกันช้างป่ามาเหมาร้านด้วยแหละ
มีเวลารอดวงอาทิตย์ตกอีกหนึ่งชั่วโมงเต็มๆ หิวล่ะครับ ขอแวะเข้าร้านหาของกินก่อน ตั้งใจมาชิมของกินร้านมะม่วงมะเหมี่ยวที่โด่งดังด้วย แต่ดั๊นปิด เห็นติดป้ายว่าลงไปธุระข้างล่าง อด เรามาเจอน้องๆอีกกลุ่มนึง สี่คน ที่เจอกันเมื่อตอนเช้า น้องๆทำท่าจะเดินกลับกันแล้วเพราะดูทีท่าไม่เห็นดวงตะวันแน่ ผมเลยออกแรงเชียร์ให้อยู่ลุ้นแสงทไวไลท์สวยๆแล้วเดินกลับเป็นเพื่อนกัน เพราะกลับเร็วกลับช้ายังไงก็มืดกลางทางแน่ๆ 9คนอุ่นใจกว่า 4คนนะน้องนะ ได้ผลครับ น้องตอบตกลงเพราะอยากชมทไวไลท์ที่ผมคุยฟุ้งไว้ ส่วนผมก็อุ่นใจล่ะ คืนนี้ป่าไม่เปลี่ยวเกินไปแล้ว ขอตัวกินข้าวก่อนนะครับ 555 ไม่ต้องทายนะว่านายน้ำฟ้าจะสั่งอะไรกิน จ้างให้ก็ทายไม่ผิด






ครั้งที่ 4ในชีวิต เราคือผู้พิชิตผาหล่มสักได้เวลาทำท่าผู้พิชิต เก็บไว้เป็นหลักฐานว่านายน้ำคว้าได้มาขามายืนเด่นเป็นสง่าอยู่ ณ ชะง่อนผาหล่มสักอีกครั้ง ผาฮอตฮิตที่มักจะคราคร่ำไปด้วยเหล่านักท่องเที่ยวเป็นร้อยๆคน ถ่ายรูปกันทีต้องวิ่งอย่างกับเข้าคิวถ่ายบัตรประชาชนกันเชียวล่ะ แต่วันนี้ เนี่ยะ 9 คนเท่าที่เห็น ยืนหงอยนั่งเหงาเฝ้ารอแสงทไวไลท์ ส่วนดวงตะวันหน่ะเลิกหวังแล้วเมฆเต็มฟ้า! ถ่อสังขารมาผิดวัน หรือไม่ก็ลืมขอพรจากองค์พระพุทธเมตตาเมื่อเช้า ดั๊นขอแค่ไม่ให้เจอช้างป่า



6โมงครึ่ง twilight end ดวงตาวันก็ไม่เห็นทไวไลท์ก็ไม่แจ่ม เฮงสุดๆ 2เท้าต้องก้าวต่อ ค่ำแล้ว แม่ค้าเดินมาไล่หลายทีแล้ว " กลับเถอะคุณวันนี้ไม่เห็นดวงอาทิตย์หรอก ค่ำนักจะอันตราย" ชุดกันหนาวพร้อมไฟส่องสว่างพร้อม 9กิโลกับ 9ชีวิต เดินทางย้อนกลับทางเดิมแต่ไม่ผ่านองค์พระทางบังคับนักท่องเที่ยวทุกคนต้องใช้เส้นทางตัดเข้าแค้มป์ที่ผาหมากดูกเท่านั้น ห้ามเลี้ยวที่ผานาน้อย
เราทำเวลาได้เร็วเกินคาด เพราะน้องๆ 4คนใหม่สาวเท้ากันไวจริงๆ พับผ่าสิ พักกันสั่นๆแค่ห้านาทีสิบนาทีตามจุดแวะหน้าผาต่างๆเท่านั้นเอง ระหว่างทางเจอกระต่่ายป่าตัวหนึ่งด้วย 3ทุ่มตรงถึงยังผาหมากดูกแล้ว น้องจะเดินไปไหนก็เดินนะ พี่ไม่ไหวแล้วขอนั่งพักยาวๆตรงนี้ และที่สุดก็ถึงแค้ม 4ทุ่ม สองวันเดินมา 31กิโลกำลังขาล้าเหลือจะเอ่ย คืนนี้จบลงด้วยการไม่อาบน้ำชัวร์ ถึงเต้นท์ปุ๊บทิ้งตัวทันที จะมีแรงเหลือตื่นตี่สี่ครึ่งชมเดินไปชมดวงอาทิตย์หรือไม่ค่อยว่ากัน
ติดตามตอนต่อไปเร็ววันนี้นะครับ ฝากคอมเมนท์เป็นกำลังใจหรือทิ้งร่องรอยให้รู้ว่ามาเยี่ยมเยือนเรา นายน้ำฟ้า ด้วยนะค้าบ โย่ว
บล็อกนี้อยู่ในหมวด Travel Blog ท่องเที่ยวและการเดินทาง
ลิงค์ตอนที่ 1 ลิงค์ตอนที่ 2 ลิงค์ตอนที่ 3 ... ลิงค์ตอนที่ 5
Create Date : 18 มีนาคม 2557 |
Last Update : 29 มีนาคม 2557 14:51:00 น. |
|
121 comments
|
Counter : 7469 Pageviews. |
 |
|
เหนื่อย แต่ได้เห็นความสวยงาม ก็หายนะคะ
ขอบคุณรูปสวยๆ ที่เอามาฝากคนไม่ได้ไปนะคะ ไว้จะพาซีไปบ้างไม่รู้จะไหวไหมหนอ...
บันทึกการโหวต Blog ในวันนี้