~ ~★ ~ ~★ ~ ~★ เที่ยวมณฑลเสฉวน ตอนที่ ๕ หวงหลง ทะเลสาบเตี๋ยซี~ ~★ ~ ~★ ~ ~★
จากตอนที่ ๑ การเดินทางจากเฉิงตูสู่จิ่วไจ้โกว
ตอนที่ ๒ อุทยานสวรรค์จิ่วไจ้โกวรอบที่ ๑
ตอนที่ ๓ โชว์ธิเบตที่เชอราตัน
ตอนที่ ๔ อุทยานสวรรค์จิ่วไจ้โกวรอบที่ ๒
เช้าวันนี้พอตื่นมาปุ๊บ หลังจากเช็คเอาท์เรียบร้อย ก็เดินทางไปยังหวงหลงกันค่ะ ใช้เวลาเดินทางจากโรงแรม Mingjiangyuan International Hotel ไปที่ตีนเขาหวงหลง ประมาณ ๑ ชั่วโมงค่ะ ระหว่างทางก็จะมีทั้งฝูงจามรี (หรือวัวขนนั่นเอง) และแพะภูเขาให้ได้ดู รวมทั้งวิวทิวทัศน์สวยๆ ด้วย (การมาฤดูกาลนี้มีข้อดีอีกอย่างก็คือ การได้เห็นภูเขาหิมะนี่แหละค่ะ แต่ก็มีข้อเสียซึ่งจะกล่าวในเวลาต่อไปนะคะ)
ข้างหลังนั่นคือจุดสูงสุดของเทือกเขาแถบนี้ค่ะ (หวงหลง) แต่เราไม่ได้ไปที่จุดสูงสุดหรอกนะคะ
หวงหลง แปลว่า มังกรเหลือง ค่ะ เพราะตัวอุทยานฯ หวงหลงนั้น หากมองจากที่สูงแล้วก็จะเห็นเป็นเหมือนมังกร ตัวแอ่งน้ำต่างๆ ก็เหมือนเกล็ดมังกรค่ะ
เมื่อรถเดินทางไปถึงเราก็เห็นอาคารสองหลังนี้ค่ะ
จากภาพข้างบนอาคารที่อยู่ไกลคือศูนย์บริการนักท่องเที่ยวค่ะ มีห้องน้ำให้เข้าแล้วก็มีนิทรรศการนิดหน่อย
เนื่องจากเช้าวันนั้นเราไปถึงกันค่อนข้างเช้า (ประมาณเก้าโมงครึ่ง) ทำให้ออกซิเจนกระป๋องยังไม่มีขายค่ะ ก็เลยใช้แจกลูกอมลูกค้าเอา แล้วก็แจ้งข้อมูลไว้แล้วว่า เหนื่อยให้พัก อย่าฝืน อย่าวิ่ง ให้ค่อยๆ เดิน แล้วก็อย่าพูดเยอะ เพราะจะทำให้เหนื่อยเร็ว
หลังจากเดินเข้าไปพักหนึ่ง (ระยะทางจากปากทางถึงยอดประมาณ ๔๐๐๐ เมตรค่ะ) ก็สังเกตเห็นว่าทางขวามือมีป้อมสำหรับสามารถส่งไปรษณียบัตรได้ค่ะ อย่างตั๋วสำหรับเข้าหวงหลงนี่ สามารถฉีกอีกส่วนเพื่อส่งเป็นไปรษณียบัตรได้นะคะ (ส่งกลับไทยก็ได้ค่ะ แต่ต้องซื้อแสตมป์สำหรับส่งต่างประเทศ ถ้าจำไม่ผิดอยู่ที่ราคา ๑๒ หยวน) แล้วก็จะได้ตราประทับของที่นี่ด้วยนะคะ
ส่วนนี่ก็หน้าตาของออกซิเจนกระป๋องค่ะ (ที่หวงหลงขายที่กระป๋องละ ๑๐ หยวน)
ระหว่างทางก็จะเจอแอ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของหวงหลงค่ะ แต่เนื่องด้วยฤดูกาลที่เราไป เพิ่งพ้นฤดูหนาวทำให้น้ำน้อย ก็เลยไม่เป็นแอ่งทั้งหมด (ไกด์ท้องถิ่นเองก็บอกว่าหลังๆ นี่แห้งแล้งขึ้นด้วย น้ำก็เริ่มน้อยลงๆ ทุกปี)
ระหว่างทางก็จะมีจุดให้แวะพักนั่งเป็นระยะๆ ค่ะ (ที่สูงทำให้เหนื่อยเร็ว) แล้วก็มีจุดบริการออกซิเจนฟรีด้วย เป็นอาคารอย่างนี้
จะเห็นที่ป้ายนะคะว่า ออกซิเจนน่ะบริการฟรี แต่ต้องเสีย ๑ หยวนสำหรับค่าท่อสูดค่ะ
ส่วนนี่ก็คือเครื่องทำออกซิเจนค่ะ เค้าเอาน้ำอะไรไม่รู้ง่ะมาทำ แล้วก็เอาออกซิเจนบรรจุลงในหมอนอีกทีหนึ่งค่ะ
จากนั้นเค้าจะให้เราเอาหมอนที่เสียบท่อเรียบร้อยแล้วมาพิงไว้ที่หลัง (พิงเพื่อกดออกซิเจนให้ไหลออกมาตามท่อน่ะค่ะ) พร้อมกับสูดออกซิเจนเข้าไปด้วยค่ะ)
ระหว่างทางก็พบน้ำตกน้ำแข็ง (แต่เริ่มละลายไปแล้ว) คิดว่าถ้ามาหน้าน้ำต้องสวยมากๆ แน่ๆ เลย
ขึ้นไปอีกพักก็เจอกับน้ำตกที่เป็นชั้นเล็กๆๆๆ อย่างนี้ค่ะ และเช่นเคย ถ้าหน้าน้ำต้องสวยสุดๆ แน่ๆ
สรุปแล้วเราก็เดินกันไปได้ที่พันกว่าเมตรค่ะ เหอๆ ส่วนในคณะที่เดินไปได้เยอะที่สุดนั้นก็อยู่ที่ ๒๒๐๐ เมตร (ครึ่งทางพอดี)
จริงๆ แล้วการไปเที่ยวหวงหลงก็จะมีวิธีขึ้นอีกวิธีก็คือ นั่งกระเช้าค่ะ แต่กระเช้าจะขึ้นไปที่ท้ายทอยมังกรเลย แล้วต้องเดินไปที่หัวมังกรอีกประมาณ ๒-๓ พันเมตร (เค้าบอกมาค่ะ) ซึ่งจะทำให้ไม่เห็นวิวระหว่างทางอย่างที่เราเอาๆ มาลงนะคะ (แต่ข้อดีก็คือมีโอกาสขึ้นไปที่จุดสูงสุดได้มากกว่า) แต่ถ้าเลือกวิธีเดินขึ้น ก็คือจะขึ้นจากทอ้งมังกรเลยค่ะ เดินเยอะกว่าอีกประมาณเกือบๆ ๒ พันเมตร เห็นวิวระหว่างทาง แต่โอกาสที่จะขึ้นถึงจุดสูงสุดในเวลาที่กำหนดนั้นยากค่ะ (เพราะส่วนใหญ่จะอยู่ที่นี่แค่ประมาณ ๓ ชั่วโมงครึ่งแหละค่ะ แล้วต้องเดินทางอีก ๑ ชั่วโมงเพื่อไปกินข้าวกลางวันน่ะ)
ที่นี่ก็เป็นอีกที่ที่ได้รับว่าเป็นมรดกโลกนะคะ (ที่มณฑลเสฉวนมีมรดกโลกทั้งหมด ๔ แห่งค่ะเท่ากับประเทศไทยทั้งประเทศ ที่ทราบก็มีจิ่วไจ้โกว-หวงหลง เขื่อตูเจียงเยี่ยน แต่นอกนั้นไม่รู้ค่ะ แหะๆ)
หลังจากเที่ยวชมเสร็จแล้วเราก็เดินทางไปรับประทานอาหารกลางวันกัน แล้วก็ล่องลงใต้ ผ่านเมืองซงพาน (ปกติเมืองนี้เป็นอีกเมืองที่มีการกำหนดค่ะว่าต้องผ่านไม่เกินตอนเที่ยง (สำหรับขาขึ้น) เพื่อความปลอดภัยในการเดินทาง เพราะระหว่างทางคือเลียบริมผาตลอด ถ้ามืดมากจะอันตรายค่ะ)
ที่เมืองนี้ก็มีอนุสาวรีย์ของหัวหน้าชนเผ่าที่แต่งงานกับเจ้าหญิง เพื่อสมัครสมานสามัคคีเชื่อมสัมพันธไมตรีกันค่ะ (จำข้อมูลละเอียดๆ ไม่ได้ง่ะ แหะๆ)
จากนั้นเราก็เดินทางอีกพักหนึ่งก็ถึงบริเวณทะเลสาบเตี๋ยซี สถานที่ที่เคยเป็นหมู่บ้าน จนกระทั่งเมื่อปี ๒๔๗๘ ก็เกิดแผ่นดินไหวรุนแรงจนกระทั่งหมู่บ้านทั้งหมู่บ้านจมลงไปกลายเป็นทะเลสาบมาจนปัจจุบันนี้ค่ะ ทำให้เป็นทะเลสาบที่อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลถึง ๓ พันกว่าเมตร ตอนนั้นมีผู้เสียชีวิตไปถึงหกพันกว่าคน มีเพียงเด็กคนหนึ่งที่พาจามรีออกไปเลี้ยงที่นอกหมู่บ้านที่รอดชีวิต แล้วก็เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นนี้ให้คนอื่นได้รับทราบ เด็กคนนี้เพิ่งตายไปเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้เองค่ะ อายุตอนที่ตายก็ราวๆ ๗๐ ปี
ที่นี่ก็จะมีจามรีให้เช่าขี่ด้วย (คนละ ๕ หยวน) จามรีมี ๒ สีค่ะ คือ ดำ กับ ขาว แต่ที่ให้นักท่องเที่ยวมาขี่ๆ แล้วเป็นสีขาวนี่คือ ย้อมนะคะ เพราะจามรีขนสีขาวจริงๆ จะหายากมาก แล้วก็คล้ายๆ ช้างเผือกบ้านเราคือ ถ้ามีจามรีขนสีขาวตามธรรมชาติเกิดขึ้นมาก็มักจะต้องไปเป็นพาหนะของคนที่มีอำนาจบารมีค่ะ คนธรรมดาไม่มีสิทธิ์ที่จะได้นั่งนะคะ (อันนี้ตามที่ไกด์เค้าเล่ามาค่ะ)
ค่ำคืนนั้นเราก็พักกันที่โรงแรมเม่าเสี้ยนอินเตอร์เนชั่นแนลค่ะ โรงแรมนี้ทางแลนด์บอกว่า ๔ ดาว แต่ก็แค่ประมาณ ๓ ดาวเมืองไทยแหละค่ะ ตรงข้างๆ ติดกับโรงแรมก็มีพวกแผงขายของที่ระลึกด้วย (อยู่ระหว่างตัวตึกที่พักกับตัวตึกห้องอาหารของโรงแรม) มีประมาณ ๑๐ ร้าน แต่ต้องต่อราคาพอควรค่ะ (จริงๆ ในจีนก็ต้องต่อทุกที่หนะแหละค่ะ เหอๆ) มาดูตัวโรงแรมกับห้องพักกันนะคะ
คือโรงแรมนี้เนี่ย จำเป็นต้องนอนเพราะด้วยเส้นทางค่ะ ถึงโรงแรมจะไม่ค่อยดีนักแต่ก็จำเป็น เหอๆ
บล็อกนี้ก็เพียงแค่นี้นะคะ คราวหน้าพบกับการท่องเที่ยวเขื่อนตูเจียงเยี่ยน และไปเที่ยวตลาดที่ตีนเขาง้อไบ๊ค่ะ
ขอบคุณสำหรับการแวะมาอ่านค่ะ
๘๔๗๒๐
Create Date : 16 พฤษภาคม 2550 |
Last Update : 16 พฤษภาคม 2550 9:43:11 น. |
|
65 comments
|
Counter : 5363 Pageviews. |
|
|
ยุ่งๆ อยู่แป๊บเดียว ปาเข้าไปตอนที่ 4แล้วหรือนี่