Group Blog
 
<<
กุมภาพันธ์ 2552
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
 
23 กุมภาพันธ์ 2552
 
All Blogs
 

ลูกเป็นเด็กขี้อาย



สวัสดีค่ะ
ลูกสาวอายุ 3 ขวบ ของเราเป็นเด็กน่ารัก เวลาอยู่ที่บ้าน แต่เมื่ออกไปพบปะคนข้างนอก
จะขี้อายมาก ชอบหลบอยู่ข้างหลังดิฉันและไม่กล้าพูดหรือทำอะไรต่อหน้าคนอื่นๆ เราเข้าใจลูก
แต่เราก็ไม่ทราบว่า ควรทำอย่างไรที่จะช่วยให้เธอหายจากความขี้อายนี้
คุณแม่ลูกแก้ว


อยากให้คุณพ่อคุณแม่ลองสำรวจเด็กคนอื่น ในอายุรุ่นราวคราวเดียวกับลูกเมื่ออยู่ในที่สาธารณะ
ว่าเป็นอย่างไรกันบ้าง เชื่อว่าคุณจะได้พบว่าเด็กคนอื่นๆก็ออกอาการขี้อายเช่นกัน ไม่มากก็น้อย
ทั้งนี้เพราะเด็กในช่วงอายุ 2-3 ปี นี้จะไม่ค่อยกล้าแสดงออกอยู่แล้ว และมักจะเป็นในบางครั้ง
เด็กบางคนจะไม่มีอาการขี้อายเมื่ออยู่กับผู้ใหญ่คนใกล้ชิด แต่เมื่อต้องทำอะไรต่อหน้าเพื่อนๆ
กลุ่มใหญ่ หรือพูดกับผู้ใหญ่ที่ไม่คุ้นเคย ก็จะมีอาการเขินอาย และไม่กล้าแสดงออกได้
จนถึงอายุประมาณ 6 ขวบ เริ่มกล้าแสดงออกมากขึ้น ประมาณครึ่งหนึ่งจะไม่มีอาการขี้อายอีก
แต่ก็ยังมีอีกประมาณ 20% ที่จะมีลักษณะนิสัยเป็นคนขี้อายต่อไปจนถึงวัยรุ่น
แต่ส่วนใหญ่ก็สามารถปรับตัวเข้าได้กับคนอื่นๆ และสังคม
แม้ว่าจะยังไม่หายขี้อายเมื่อเป็นผู้ใหญ่ก็ตาม

ในขณะนี้ยังบอกไม่ได้ว่าลูกสาวอายุ 3 ขวบของคุณนั้นจะเป็นแค่ขี้อายตามวัยของเขา
หรือจะเป็นคนที่มีลักษณะนิสัยขี้อายต่อไปเมื่อเป็นผู้ใหญ่ ดังนั้นแทนที่คุณพ่อคุณแม่
จะต้องมาเป็นกังวลในตอนนี้ ก็ลองหาวิธีที่จะทำให้ลูกกล้าแสดงออก มีความรู้สึกที่ดีต่อตนเอง
และผู้อื่น และไม่รู้สึกว่าการที่ต้องพบปะคนอื่นๆหรือต้องทำอะไรต่อหน้าคนอื่นในเวลาไปงานต่างๆ
เป็นเรื่องที่จะทำให้เกิดความเขินอาย แต่กลับเป็นการดีเสียอีกที่จะได้มีเพื่อนใหม่และพบผู้คนอื่นๆ
ซึ่งคุณอาจจะใช้วิธีดังต่อไปนี้ช่วยลูกได้

1. ยอมรับว่าการที่มีอาการขี้อายนั้นเป็นเรื่องธรรมดา
อาจเป็นเรื่องยากที่คุณพ่อคุณแม่จะยอมรับ โดยเฉพาะคนที่อยากให้ลูก กล้าแสดงออกมากๆ
เราคงต้องเข้าใจเด็กว่า เขาเป็นเด็กอายุเพียง 3 ขวบ จะให้กล้าพูดกล้าทำอย่างที่คุณพ่อคุณแม่
ทำอยู่นั้นอาจจะยังไม่ได้ และการที่คุณมีท่าทาง หรือคำพูดที่ไม่พอใจ หรือบ่นว่าลูกว่าทำไมถึง
ขี้อายมาก ก็จะยิ่งทำให้เด็กเกิดความวิตกและเครียดมากขึ้น ก็จะยิ่งถอยห่างจากคนอื่นๆ ไปอีก
ทางที่ดีคุณควรจะให้กำลังใจแก่ลูก และพยายามให้เขารู้สึกว่าคุณเข้าใจเขา
และคอยให้กำลังใจแก่เขาเสมอ


2. อย่าพูดต่อหน้าลูกบ่อยๆ ว่าลูกเป็นคนขี้อาย
คุณพ่อคุณแม่หลายคนอาจจะบอกว่า ตัวเองไม่มีทางทำอย่างนั้นแน่ แต่หลายท่านอาจทำไปโดย
ไม่ได้ตั้งใจ เช่น การพูดกับคนอื่นๆ ต่อหน้าลูกว่า "เขาเป็นคนขี้อาย ไม่กล้าแสดงออก"
หรือคอยบังคับให้ลูกต้องทำโน่นทำนี่อย่างกล้าหาญ (ทั้งๆ ที่เขาไม่อยากทำ หรือยังไม่พร้อม)
ต่อหน้าคนอื่นๆ และเมื่อลูกไม่ยอมทำตาม หรือทำไม่ได้ก็จะกล่าวว่า
" ลูกทำให้(คุณพ่อ-คุณแม่)หน้าแตก" หรือ "แม่ผิดหวัง หรือเสียใจที่ลูกไม่กล้าแสดงออก"
หรือ " ลูกทำไมขี้อายจัง สู้น้องคนนั้นก็ไม่ได้"
เด็กวัยขนาดนี้ย่อมรับรู้ได้ สามารถเข้าใจทั้งคำพูดและภาษาท่าทางที่คุณพ่อคุณแม่แสดงออก
ซึ่งจะยิ่งตอกย้ำความกลัวไม่กล้าแสดงออกที่เขามีอยู่มากขึ้น จนเด็กบางคนยอมรับสภาพนั้นไป
และเลือกใช้เป็นข้ออ้าง(ในใจกับตนเอง) ว่าเขาไม่สามารถทำหรือไม่อยากทำอย่างนั้นอย่างนี้
เพราะเขาเป็นคนขี้อาย ซึ่งจะเป็นการทำร้ายความรู้สึกที่ดีต่อตนเองและการนับถือตนเองของเด็ก
(self-esteem) และยิ่งทำให้ปัญหาขี้อายนี้ยิ่งแย่ลงไปอีก


3. พยายามเข้าใจลูก เอาใจใส่ต่อความรู้สึกของเขา และคอยให้กำลังใจ
ไม่ว่าความขี้อายของลูกจะทำให้เกิดอะไรขึ้น และจะเป็นเหตุการณ์ที่อาจทำให้คุณอึดอัดแค่ไหน
ก็ตาม ในขณะที่เกิดเหตุฉุกเฉินขึ้น คุณควรจะรีบหา "ช่องทางออก" เผื่อให้แก่ลูกด้วยเพื่อช่วย
ให้ลูกไม่รู้สึกว่าอับอายหรือล้มเหลว แต่ก็เช่นกัน คุณควรจะให้โอกาสเธอได้ลองพยายามเอาชนะ
ความขี้อายนี้ด้วยตนเองบ้าง ไม่ควรจะรีบกันเธอออกในทันที การที่จะทำเช่นนี้ได้นั้น
จะต้องการคุณพ่อคุณแม่ที่เข้าใจลูกอย่างจริงๆ และมองออกถึงสถานการณ์ต่างๆ ที่กำลังเกิดขึ้น

คุณควรจะหาโอกาสจัดกิจกรรมที่บ้าน หรือที่อื่นๆ ให้ลูกได้เล่นกับเด็กคนอื่นๆ ที่เขาคุ้นเคย
และได้ฝึกทักษะการเล่นและมีปฏิสัมพันธ์กัน (social skills)
คุณสามารถช่วยฝึกสอนลูกให้รู้ว่าจะมีวิธีอย่างไรในการควบคุมตนเองและแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้
เช่น การสูดหายใจลึกๆ การนึกถึงแต่สิ่งที่ดี ไม่ต้องกลัวว่าใครจะมาว่า ฯลฯ


4. การซักซ้อม การเตรียมตัวให้แก่ลูก
อีกวิธีหนึ่งที่คุณอาจจะช่วยลูกได้ คือการเล่นสมมติแบบตัวละคร (roleplaying)
โดยการกำหนดบทบาทของตัวละคร และให้คุณหรือลูกลองเล่นในบทบาท (character)
แตกต่างกันไปเช่น เป็นเด็กกล้า เด็กขี้อาย เด็กขี้โมโห หรืออาจใช้ตุ๊กตาหลายตัวมาเล่นกัน
แล้วลองถามลูกดูว่า ตุ๊กตา (ตัวละคร) นี้เป็นเด็กขี้อาย เมื่อพบภาวะอย่างนั้นอย่างนี้
เขาควรจะทำอย่างไร เขาจะรู้สึกอย่างไรและเขาอยากให้คนอื่นๆ ช่วยเขาอย่างไร
ซึ่งคุณพ่อคุณแม่จะรู้ได้ถึงความฉลาดและ sense ของลูกและจะสามารถสอดแทรก
แนวทางการแก้ปัญหา และความรู้สึกที่ดีต่อตนเองให้แก่ลูกได้ พยายามให้การเล่นนี้ไม่ยาว
และซับซ้อนเกินไปนัก และควรให้จบโดยดีที่พบว่าทุกคนมีความสุข (happy ending)
เช่น ตุ๊กตาขี้อาย (ตัวละคร) นั้นในที่สุดก็สามารถได้รับการยอมรับจากเพื่อนๆ
และเล่นด้วยกันอย่างสนุกสนาน ฯลฯ

คุณควรจะมีเวลาเตรียมตัวลูกก่อนที่จะพาลูกออกงานใหญ่ เล่าถึงลักษณะงานและเรื่องต่างๆที่
เด็กจะต้องทำ เพื่อให้เด็กไม่เกิดความตื่นเต้น (ตื่นกลัว) เมื่อต้องออกงานจริงๆ ถ้าเป็นไปได้
ควรจะพาลูกไปยังสถานที่นั้น และพาเดินดูไปทั่วๆ ก่อนถึงเวลาที่ลูกจะต้องพบปะผู้คนอื่นๆ
เพื่อให้ลูกได้รู้สึกคุ้นเคยกับสถานที่และลักษณะงานที่กำลังดำเนินไป
ยิ่งถ้าคุณจะต้องปล่อยลูกไว้กับผู้อื่น เนื่องจากคุณเองก็ต้องทำการพบปะผู้อื่น
ก็ควรจะให้ลูกได้มั่นใจว่าลูกจะได้อยู่กับคนที่เขามั่นใจ และปลอดภัยด้วย
เด็กเล็กบางคนยังอาจจะติดตุ๊กตาตัวโปรด หรือผ้าห่มประจำตัว ก็ควรอนุญาตให้เขานำติดตัว
ไปงานด้วย แต่คุณอาจต้องเตรียมตัวลูก ว่าบางครั้งเพื่อนๆ อาจจะมาขอดูหรือเล่นกับตุ๊กตาของ
ลูกบ้าง ซึ่งลูกควรจะยอมให้เพื่อนได้เล่นด้วยบ้าง

ในบางครั้งที่มีเด็กคนอื่นๆ เล่นกันอยู่แล้ว และคุณต้องการให้ลูกเข้าร่วมเล่นกับเด็กกลุ่มนั้น
คุณควรที่จะเป็นผู้นำลูกเข้าสู่กลุ่มเล่น อาจโดยการกล่าวนำขออนุญาตกับเด็กคนอื่นๆ
ในกลุ่มที่กำลังเล่นอยู่ว่า ขอให้ "คุณ" และ "ลูกแก้ว" เข้ามาเล่นด้วยได้ไหมคะ
และคุณยืนดูให้ลูกเข้าไปเริ่มเล่นกับเด็กคนอื่นๆ สักพัก จนเห็นว่าเด็กๆ ปรับตัวเข้าหากันได้แล้ว
คุณจึงค่อยถอยห่างออกไปทำธุระอื่นของคุณต่อ แต่อย่าหลบหนีไปเฉยๆ คุณควรจะบอกลูก
หรือส่งสัญญาณให้ลูกทราบว่าคุณกำลังจะไป และจะกลับมารับเขาในไม่นาน
และให้มีผู้อื่น ที่ลูกคุ้นเคยคอยดูแลลูกให้ด้วย เพื่อที่จะช่วยเหลือเด็กได้ในเวลาที่เกิดปัญหาขึ้น

ถ้าลูกยังมีความขี้อายและกลัวอย่างมากที่จะพบผู้คนอื่น แม้เมื่ออายุมากขึ้น(เกิน 3 ขวบขึ้นไป)
และคุณได้ลองให้เวลาแก่ลูก ช่วยเขาในการปรับตัวดังที่แนะนำมาแล้ว
และความขี้อายนี้มีผลกระทบในเชิงลบต่อการเข้าสังคมหรือการเรียน การเล่นกับเพื่อนๆ
ก็ควรพิจารณานำเรื่องลูกเป็นเด็กขี้อายนี้ไปปรึกษาแพทย์ เพื่อที่จะได้หาทางช่วยเหลือเด็กต่อไป
ซึ่งการทำ counseling จะสามารถทำให้คุณพ่อคุณแม่และเด็กปรับตัวได้ดีขึ้น

ที่มา..หนังสือ นิตยสารใกล้หมอปีที่ 25 ฉบับที่ 1




 

Create Date : 23 กุมภาพันธ์ 2552
1 comments
Last Update : 23 กุมภาพันธ์ 2552 10:07:43 น.
Counter : 1009 Pageviews.

 

มาเก็บข้อมูล แต่ตอนนี้ลูกอายุ 1 ขวบก่า และเป็นผู้ชายคะ

 

โดย: skylion 23 กุมภาพันธ์ 2552 16:07:02 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


ทุกคนไม่ได้รู้ทุกสิ่ง
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 200 คน [?]




Friends' blogs
[Add ทุกคนไม่ได้รู้ทุกสิ่ง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.