April Snow ปลายทางของคนรักหลงฤดู
โดย merveillesxx
(บทความนี้เปิดเผยตอนจบของภาพยนตร์)
แรกทีเดียวนั้นผมคิดว่าหนังเรื่องล่าสุดของเฮอร์จินโฮนั้นดู แปลกไป อย่างเห็นได้ชัด ไม่ว่าจะเป็นการใช้ดาราระดับซูเปอร์สตาร์อย่าง แบยองจุนและซอนเยจิน, การลงทุนด้วยงบมหาศาล, การโปรโมตชนิดไม่บันยะบันยัง รวมถึง ท่าที ของตัวผู้กำกับเอง
แต่หลังชม April Snow จบลงแล้ว ผมพบว่าเฮอร์จินโฮก็ยังเป็นคน คนเดิม
คนที่วนเวียนอยู่กับเหล่า คนรักหลงฤดู
ปิดไตรภาคคนรักหลงฤดู
เช่นเดียวกับหว่องกาไว ผลงานทั้งหมดของเฮอร์จินโฮก็มีความเชื่อมโยงกัน ผมคิดว่าหนังทั้งสามเรื่องของเขา อันได้แก่ Christmas in August (1998), One Fine Spring Day (2001) และ April Snow (2005) ล้วนมีความเกี่ยวพันอันแนบแน่นของ ความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิง กับ ฤดูกาล และที่สำคัญก็คือทั้งหมดเป็นเรื่องก็เกิดขึ้น ผิดจังหวะ ช่วงชีวิต
Christmas in August พูดถึงเจ้าของร้านถ่ายรูปหนุ่มกับตำรวจจราจรสาวที่มาพบรักกันในขณะที่ฝ่ายชายกำลังจะตาย แต่นั่นก็เป็นช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดในชีวิต เพราะความรักก็ดลบันดาลให้เกิด คริสต์มาส ใน เดือนสิงหาคม ได้
ถัดมา One Fine Spring Day เล่าถึงชายหนุ่มที่มีความสัมพันธ์กับรุ่นพี่สาวจนมี วันที่สวยงาม ให้แก่กัน แต่เพราะความต่างระหว่างวัย ก็ทำให้ช่วงเวลาเหล่านั้นกลายเป็นเพียงอดีต
และสุดท้าย April Snow ก็ก้าวข้ามมาถึงจุดปลายของการเป็นคนรักหลงฤดู นั่นก็คือ ความสัมพันธ์แบบ ชู้
หนังทั้งสองเรื่องก่อนของเฮอร์จินโฮนั้นปิดฉากด้วยความเศร้า ความน่าสนใจอยู่ที่ว่าคราวนี้เขาจะเลือกปิดฉากลงอย่างไร
ผู้กำกับจอมกลั่นแกล้ง
คงเรียกได้ไม่ผิดเพี้ยนนักว่าหนังของเฮอร์จินโฮเป็นหนังประเภทเมโลดราม่า หากแต่ว่านำเสนอออกมาแบบไม่ฟูมฟาย เป็นการถ่ายทอดแบบ น้อยได้มาก (Minimalism)
หนึ่งในลักษณะทางเมโลดราม่าในหนังของเฮอร์จินโฮก็คือ สถานการณ์ ที่เหล่าตัวละครต้องประสบพบเจอ ราวกับว่าเธอกับเขาไม่มีวันได้สมหวังในความรัก
1. Christmas in August : ชายหนุ่มมีความรักแต่ก็กำลังจะตาย / หญิงสาวที่ถูกทิ้งให้อยู่คนเดียว
2. One Fine Spring Day : ชายหนุ่มถูกรุ่นพี่สาวทิ้งโดยไม่รู้ตัว / พอเธออยากจะคืนดีด้วย เขาก็เดินจากเธอไป
3. April Snow : เริ่มจากคนรักของอินซู (แบยองจุน) และโซยอง (ซอนเยจิน) เป็นชู้กัน / ภรรยาของเขาฟื้น / สามีของเธอตาย
จะเห็นได้ว่า ความไม่สมหวัง ของ Christmas in August และ One Fine Spring Day เกิดขึ้นด้วยสาเหตุที่แตกต่างกัน เรื่องแรกเป็นเรื่องของ ชะตากรรม ที่ไม่อาจเลี่ยงได้ ส่วนเรื่องหลังเป็นเพราะ การการะทำของอีกฝ่าย
ส่วนในกรณี April Snow นั้นหนักข้อที่สุดเพราะทุกสิ่งเริ่มต้นด้วย การกระทำของคนอื่น (สามีของโซยอง / ภรรยาของอินซู) จากนั้นก็ตามด้วย ชะตากรรม ที่สั่นคลอนความสัมพันธ์ของเขาและเธอ ชนิดที่อาจจะทำให้ไม่ได้พบกันอีกชั่วชีวิตเลยก็ได้
ฉะนั้นแล้วเหตุการณ์ในช่วงท้ายของหนังนั้นจึงดำเนินเรื่องด้วย การตัดสินใจ และ การกระทำ ของตัวละคร ซึ่งเป็นจุดเด่นของ หนังชู้ ที่บีบหัวใจคนดูมานักต่อนัก เพราะไม่ว่าจะเป็นในหนังชู้ที่ดีที่สุดในโลกอย่าง In The Mood For Love หรือหนังชู้ศิลปะชั้นสูงอย่าง Yes ตัวละครในหนังก็ต้องผ่านการ เลือก อันยากลำบาก
แล้วเขาจะเลือกอย่างไร
เธอจะเลือกแบบไหน
เขาและเธอจะเลือกทางเดียวกันหรือเปล่า
ปลายทางของคนรักหลงฤดู
ตอนที่โซยองถามอินซูว่า คุณจะทำอย่างไรถ้าเกิดภรรยาของคุณฟื้นขึ้นมา เขาตอบว่า ผมจะแก้แค้น
ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าการแก้แค้นได้หรือเปล่า แต่ฉากที่อินซูบอกภรรยาของเขาว่า เขาตายไปแล้วนะ ผู้ชายคนนั้นน่ะ แล้วเธอก็ร้องไห้ปริ่มจะขาดใจ
อินซูเห็นภาพนั้นแล้วก็คงไม่คิดจะทำอะไรไปมากกว่านี้
หลังจากฉากนั้น ภาพก็ตัดมาที่ห้องที่เต็มไปด้วยของระเกะระกะ อินซูย้ายบ้านใหม่ เขาเดินออกมาจากชีวิตของคนที่เขาเคยรัก เขาเลือกที่จะอยู่ คนเดียว อีกครั้ง
นั่นคือ ทาง ที่อินซูเลือก
ชื่อภาษาเกาหลีของ April Snow คือ Oechul ซึ่งมีความหมายว่า Going Out
คำถามก็คือ ใคร กำลังจะออก ไปไหน
หากสังเกตให้ดีแล้วเราจะพบว่า April Snow มี ฉากขับรถ อยู่เป็นระยะ และบ่อยครั้งที่อินซูกับโซยองอยู่ในรถคันเดียวกัน
การเดินทางในช่วงแรกของทั้งสองมีแต่ เส้นทางบังคับ จุดมุ่งหมายนั้นถูกกำหนดไว้แล้ว ขับรถไปโรงพยาบาล, ไปงานศพของชายที่ตายในอุบัติเหตุ, กลับมาเยี่ยมคนรักของตัวเอง, กลับโรงแรม
ซึ่งเหมือนเป็นการเปรียบเปรยกับ หัวใจที่ขาดอิสระ เพราะ พันธะ ที่ตรึงเขาและเธอไว้ก็คือ คนรักที่นอนนิ่งอยู่บนเตียง
ฉากที่อินซูและโซยองเจอกันในกรุงโซล ที่สุดท้ายไปจบลงด้วย การเดินเล่น ถือเป็นครั้งแรกของการเดินทางอันไม่รู้ จุดหมายปลายทาง ที่ชัดเจน แต่ในขณะเดียวกันนอกจากการงอกเงยของ ความสัมพันธ์ แล้ว ก็ถือได้ว่าเค้าลางของ อิสรภาพ ก็เริ่มก่อตัวในฉากนี้เช่นกัน เพราะนี่เป็นการตัดสินใจ เลือก ด้วยตัวเองของทั้งอินซูและโซยอง
แต่พอมาถึงฉากที่อินชูขับรถอยู่คนเดียวในยามค่ำคืนหลังจ่กไปงานศพสามีของโซยอง คราวนี้เราไม่รู้เช่นกันว่าเขากำลังจะไปไหน แต่สิ่งที่เราสัมผัสได้ไม่ใช่ความรู้สึกที่เป็นอิสระ แต่เป็นความโดดเดี่ยว
ความแตกต่างของสองฉากนี้อยู่ที่ จำนวนคน ในรถคันนั้น ระหว่าง เขาและเธอสองคน กับ เขาคนเดียว และอินซูก็คงตระหนักรู้ได้ในคืนนั้น
หากจำกันได้ในฉากที่อินซูขับรถคนเดียว ใบหน้าของเขาดูเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง และนั่นเองก็คงเป็นที่มาของ ทาง ที่อินซูเลือกดังที่กล่าวไว้ในข้างต้น
เป็นการเลือกที่ทำให้อินซูต้องอยู่คนเดียว ก่อนที่จะทำให้คนสองคนได้กลับมาเดินทางแบบไร้จุดหมายร่วมกันอีกครั้ง
เพราะในที่สุดแล้วอินซูและโซยองก็กลับมาพบกัน โดยมี หิมะ ที่โปรยปรายลงมาในเดือนเมษาเป็น เข็มทิศ นำทาง โดยอาจจะเป็นการเผชิญหน้ากันโดยที่ไม่มีคำว่า ชู้ มาคอยกั้นกลางอีกต่อไป
ในฉากสุดท้ายโซยองถามว่า คุณกำลังจะพาฉันไปไหน อินซูตอบว่า แล้วคุณล่ะ อยากไปที่ไหน
ประโยคนี้เป็นสิ่งยืนยันถึงธีม คนรักหลงฤดู ในหนังของเฮอร์จินโฮ ซ้ำร้ายว่าคราวนี้มันอาจจะถึงขั้นเป็น คนหลงทาง แต่ในขณะเดียวกันมันก็ตอกย้ำถึง อิสระ ของทั้งสองว่าคราวนี้เขาและเธอมีสิทธิที่จะ เลือก ว่าจะไปที่ไหน
ที่สำคัญกว่าสิ่งอื่นใด และแตกต่างกับหนังสองเรื่องก่อนหน้าของเฮอร์จินโฮก็คือ ในคราวนี้เขาและเธอ อยู่ด้วยกัน
หากเทียบกับ In The Mood For Love แล้ว ความสัมพันธ์ใน April Snow ย่อมมีหนทางมากกว่า เพราะว่า ฤดูกาล นั้นย่อมยาวนานกว่า ห้วงเวลา
แม้หิมะจะตกหนักจนแทบมองไม่เห็นทางข้างหน้า แม้ไฟถนนจะส่องแสงริบหรี่ แต่ผมก็เชื่อว่าอินซูกับโซยองจะค้นพบเส้นทางไปยังข้างหน้าได้ในที่สุด
เพราะแม้จะเป็นหิมะที่ตกในเดือนเมษา แต่ก็ยังมีคนสองคนที่พร้อมจะหลงอยู่ในฤดูกาลนั้นด้วยกัน
เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย
1. ผู้กำกับที่หลงเสน่ห์ฤดูกาล : หนังของเฮอร์จินโฮทั้งหมดมักดำเนินเรื่องในหลากฤดู สองฤดูหลักที่มักปรากฏในหนังของเขาก็คือ ฤดูใบไม้ผลิ และ ฤดูหนาว ส่วนใน April Snow นั้นหนังเริ่มต้นด้วยฤดูหนาว (ช่วงเวลาอันแสนเศร้าของเขาและเธอ) กลางเรื่องเป็นฤดูใบไม้ผลิ (ความสัมพันธ์ที่งอกเงย) และลงท้ายด้วยฤดูหนาวอีกครั้ง (การตัดสินใจอันยากลำบากของทั้งคู่)
2. ใน April Snow มีฉากที่คล้ายกับงานเก่าๆ ของเฮอร์จินโฮเหมือนกัน เช่น
2.1 ฉากป้ายงานศพของสามีนางเอก เหมือนฉากป้ายงานศพของพระเอกในเรื่อง Christmas in August
2.2 ฉากซอนเยจินกินไอติมแท่ง ดูยังไงก็เหมือนตอนที่ ชิมอึนฮากินไอติมใน Christmas in August ไม่มีผิด
2.3 บุคลิกท่าทางของแบยองจุนตอนกำกับแสงไฟในเวทีคอนเสิร์ต ก็คล้ายยูจีแทตอนบันทึกเสียงธรรมชาติใน One Fine Spring Day
3. พระเอกในหนังของเฮอร์จินโฮล้วนมีอาชีพแปลกๆ อย่าง เจ้าของร้ายถ่ายรูป, ช่างบันทึกเสียง และ ผู้กำกับแสงไฟ งานเหล่านี้ล้วนเป็นอาชีพเหงาๆ ที่ต้องอยู่คนคนเดียว (กรณีผู้กำกับแสงไฟนั้นขณะผู้คนมากมายกำลังสนุกสนาน เขาก็ยืนอยู่เงียบๆ หลังแผงควบคุม)
4. ส่วนตัวแล้วผมมีความเชื่อว่าเฮอร์จินโฮตั้งใจสร้าง April Snow ให้เป็นการปิดฉากหนังไตรภาคชุดแรกของเขา ฉะนั้นแล้วผลงานต่อจากนี้ไปของเขาจะต้องมีความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เกิดขึ้นแน่นอน
Create Date : 16 ธันวาคม 2548 |
|
55 comments |
Last Update : 16 ธันวาคม 2548 0:16:31 น. |
Counter : 10432 Pageviews. |
|
|
|
1. King Kong (2005, ปีเตอร์ แจ็คสัน, A+)
เป็น 3 ชั่วโมงที่คุ้มค่า ไม่เสียแรงแก่การต่อสู้กับกล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะ
สิ่งที่ชอบก็คือ ความกล้าของหนังที่กว่าเจ้าคิงคองจะโผล่หัวออกมาก็ล่อเข้าไปชั่งโมงที่สองแล้ว
2. April Snow (2005, เฮอร์จินโฮ, A+) **ดูรอบสอง**
ยิ่งดูก็ยิ่งชอบมากขึ้นเรื่อยๆ ...ตอนนี้คงเป็นที่แน่นอนแล้วว่า April Snow ติด TOP10 หนังชอบที่สุดในปี 2005 แน่ๆ
ชอบหนังในเกือบทุกด้าน การแสดง (ขั้นเซียนมาก), การถ่ายภาพ, การตัดต่อ (ทีมงานตัดต่อ "ต้มยำกุ้ง" ควรยกทีมกันไปเหมาโรงดูหนังเรื่องนี้นะครับ), เพลงประกอบ (ซึ่งมีอยู่ประมาณ 2 เพลง แต่วน loop เปลี่ยนสไตล์เรื่อยๆ) ฯลฯ
การที่ฉาก แบยองจุน ร้องไห้จนขี้มูกไหลหลุดออกมาหนังเวอร์ชันสุดท้ายได้ทำให้ผมรู้สึกนับถือเฮอร์จินโฮมากๆ
อ้อ ถ้าเป้นไปได้อย่าไปดูที่ EGV ปิ่นเกล้าเลยครับ โรงห่วยมาก