ตะลุยเทศกาลหนัง 3rd World Film Festival of Bangkok (PART 3)
โดย merveillesxx
PART 1 PART 2
ข้อความต่อไปนี้ COPY มาจากกระทู้ //www.bioscopemagazine.com/webboard/index-in.php?id=22671
20 OCT 2005
-- ที่เขาว่ากันว่า ฟ้าหลังฝน จะสดใสนี่สงสัยจะจริง เพราะ 2 วันหลังมานี้ ไม่ค่อยเจอเรื่องราวชวนประสาทกินจากเทศกาล World Film สักเท่าไร แถมวันนี้ทั้งสต๊าฟที่บูธและพนักงานขายตั๋วที่ EGV Metropolis ก็น่ารักมาก แม้ผมจะซื้อตั๋วมากถึง 11 เรื่องเธอทั้งสองคนก็ให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่ โดยเฉพาะพนักงานขายตั๋วที่หน้ายิ้มแย้มแจ่มใส (และสวยด้วย) ไม่มีหน้าบึ้งเลยสักนิด หลังจากที่ซื้อตั๋วเสร็จ พอดีเวลาเหลือ ประกอบกับประทับใจในตัวเธอมาก ผมก็เลยลงไปชั้นล่างซื้อลูกอมไปฝากเธอถุงนึง พร้อมใส่เบอร์มือถือ อีเมล และเวบล็อกแนบไปด้วย (อันหลังนี่ล้อเล่น)
-- ส่วนอันนี้เป็นเรื่องรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไร ก็คือ วันนี้ซื้อตั๋วหนัง TSUNAMI PART 2 แล้วสต๊าฟก็บอกว่าเรื่องนี้ใช้บัตรนักศึกษาลดไม่ได้เพราะรายได้สมทบเข้าการกุศล ก็เลยรู้สึกงงๆ เพราะตอนซื้อ PART 1 ที่ Grand EGV ก็ลดได้ตามปกติ พอไปถามเพื่อนๆ น้องๆ คนอื่นๆ ก็ทราบว่าหนัง TSUNAMI ใช้บัตรลดไม่ได้จริงๆ ด้วย แสดงว่าสต๊าฟที่ Grand EGV คงเข้าใจผิดอะไรสักอย่าง
ไม่รู้สึกดีใจเลยที่ได้ลด 50 บาท รู้สึกว่าอยากจ่ายเต็มราคามากกว่า
-- ร่ำลือกันว่าบัตรเรื่อง The Wayward Cloud หมดแล้ว เท็จจริงอย่างไรโปรดตรวจสอบดูนะจ๊ะ
-----------------------------------
พูดถึงเทศกาลหนัง World Film แล้ว นอกจากหนัง "เฮี้ยนๆ" ที่มีมากมายแล้ว ผมว่า "โฆษณา" หลายๆ ตัวที่ฉายให้ดูก่อนเข้าโรงนี่ก็ใช่ย่อยเลยครับ เช่น
1. โฆษณา "มนุษย์เขียว" ธนาคารกสิกรไทย
ชอบโฆษณานี้ในระดับ A+ ครับ แต่ดูโฆษณาแล้วไม่คิดอยากเอาเงินไปฝากกับธนาคารนี้เลย แล้วถ้าผมเป็นบอร์ดบริหารของกสิกรล่ะก็ ผมสั่ง "แบน" โฆษณานี้ทันทีที่เห็นเลยครับ เพราะมันทำให้ตัวสินค้าดูโลว์เกรดมากๆ
พระเอกโฆษณานี้คือ จอห์นนี่ เหงียน ที่รอดชีวิตจาก "มาดามกะเทย" ในหนังเรื่อง "ต้มยำกุ้ง" มารับจ๊อบเล่นโฆษณาได้
โฆษณานี้ชอบฉากสุดท้ายที่สุดเลยครับ ที่เป็นเงาสะท้อนของพนักงาน 5 คน ที่เป็นมนุษย์เขียว ฮามากๆ
2. โฆษณา คุ้กกี้เดนม่า
เกลียดโฆษณานี้มากๆ เลยครับ ดูแล้วแช่งให้นางเอกคุกกี้ติดคอตาย แล้วให้พระเอกถูกต้นไม้ข้างหลังล้มมาทับตาย
3. โฆษณา โกคาร์ทที่ RCA (ที่มีพีท ทองเจือ)
ความฮาของโฆษณานี้คือ
1. "ภาพ" ที่คุณภาพอนาถาสุดๆ
2. เสียงพากย์สปอต สำเนียงภาษาอังกฤษของผู้ชายในโฆษณานี้ฮามากๆ
สงสัยเหลือเกินว่ามีใครดูโฆษณานี้แล้วอยากไปเล่นโกคาร์ทบ้างเนี่ย
4. โฆษณา น้ำยาบ้วนปาก ยี่ห้ออะไรสักอย่าง
ใช้แล้ว "ปากระเบิด" ...ใครจะไปกล้าใช้
บอกแล้วว่างานนี้ เฮี้ยน จริงๆ
---------------------------------------
ตอบ คุณปุ่น
-- ดีใจครับที่คุณปุ่นชอบหนังเรื่อง "สึ" เหมือนกัน
-- เรายังไม่เคยคุยกันเลยครับ แต่เราเดินเฉียดกันไปมาในระยะ 0.01 เซนติเมตร มาหลายวันแล้ว (ผมเป็น "แฟนคลับลับๆ" ครับ)
-- ขอไว้อาลัยให้กับมุก "A+ อนันต์ ไม่บุนนาค" (แซวเล่นนะครับ)
-- อยากดู Flightplan เหมือนกัน มีแต่คนบอกว่าดี (แล้วทุกคนต้องพูดต่อด้วยว่า "ดีกว่า Red Eye" -- ฮา)
-----------------------------------
หนังที่ได้ดูวันนี้
1. Battle in Heaven (2005, Carlos Reygadas, เม็กซิโก, A+)
//www.worldfilmbkk.com/films/index.php?cid=04&id=166
-- ก่อนจะเข้าโรง สต๊าฟที่บูธบอกให้ทราบว่าหนังเรื่องนี้ได้เปลี่ยนเรทจาก PG เป็น R แล้วเรียบร้อย (แต่ยังไงหนังก็ควรจะได้ NC-17 มากกว่า)
-- ก็เลยรู้สึกว่าการทดลองระบบเรทหนังครั้งนี้ไม่ค่อยจะได้เรื่องได้ราวอะไรขึ้นมาสักเท่าไร เพราะแม้แต่ทางงานยังกำหนดเรทไม่ค่อยถูกเลย
-- Battle in Heaven คือหนังอีกหนึ่งเรื่องที่ช่วยสนับสนุนให้ 3rd World Film ครั้งนี้เป็น เทศกาลหนังเฮี้ยนแห่งกรุงเทพ
-- รู้สึกว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนังที่แปลกมากๆ ทั้งเรื่องของ พล็อต เทคนิคด้านภาพ และด้านเสียง
********ต่อไปนี้จะมี SPOILER********
-- เนื้อเรื่องก็แปลกที่ว่า ชนวนเหตุ ของหนังเรื่องนี้คือ การที่ผัวเมียคู่หนึ่งลักพาตัวเด็กไป แล้วเผลอทำเด็กตาย แต่หนังกลับพูดถึงเรื่องราวในส่วนนี้น้อยมาก (ไม่มีภาพเด็กคนนั้น, ไม่มีฉากแฟล็ชแบ็ก, เด็กคนนั้นตายยังไงก็ไม่รู้ รู้แค่มันเป็น accident) แต่หนังพูดถึงเรื่องนี้แค่ครั้งเดียวคือ ประโยค ตอนที่ Marcos พูดกับ Ana (ซึ่งโจมตีคนดูอย่างรวดเร็วชนิดไร้ที่มาที่ไป) หลังจากนั้นหนังแทบจะไม่กล่าวถึงส่วนนี้อีกเลย รู้สึกว่าหนังมุ่งเน้นไปที่ ผลกระทบ และ สภาพจิตใจ หลังจากเหตุการณ์นี้มากกว่า
-- มุมกล้องหนังเรื่องนี้ก็แปลกสุดๆ รู้สึกว่ากล้องชอบ เฉไฉ ไม่ถ่ายใบหน้าของตัวละครหลักในเรื่อง แต่มักจะ วนกล้อง ไปถ่าย สภาพแวดล้อม รอบข้างตัวละครนั้นก่อน แล้วสักพักจึงจะกลับมาโฟกัสที่ใบหน้าของตัวละครในภายหลัง มุมกล้องแบบนี้ที่มีในหนังเท่าที่จำได้ก็ เช่น
1. ฉากตอนต้นเรื่อง ที่ผัวเมียยืนขายนาฬิกาอยู่ แล้วกล้องก็ถ่ายภาพคนเดินไปเดินมาบริเวณนั้นนานมากๆ (บริเวณนี้คล้ายๆ ทางเดินรถไฟใต้ดินบ้านเราเลยครับ) ที่น่าสนใจก็คือ ตอนที่มีเด็กนักเรียนกลุ่มใหญ่เดินผ่านไป ทำมีความรู้สึก 2 อย่างคือ
1.1 ไม่มีใครซื้อนาฬิกา หรือแม้แต่จะสนใจร้านนาฬิกานี้เลย
1.2 เด็กนักเรียนพวกนี้น่าจะทำให้สองผัวเมียนึกถึง เด็ก ที่พวกเขาลักพาตัวมา
ฉากนี้ทำให้นึกถึงหนังเรื่อง Blue (1993, A+) ในฉากที่จูลี่ บิโนช หนีไปว่ายน้ำเพื่อแอบร้องไห้คนเดียว (เธอทำใจไม่ได้ที่ลูกเสียชีวิต) แต่ก็ดันมีเด็กเปรตกระโดดลงสระน้ำลงมาเป็นฝูง
2. ฉากที่ปั๊มน้ำมัน กล้องไปถ่ายรอบๆ ปั๊มก่อน (ซึ่งเป็นขบวนเดินอะไรสักอย่าง) แล้วค่อยกลับมาที่ตัว Marcos
3. ฉากที่ Marcos ไปรอ Ana หน้าบ้าน กล้องไปจับภาพครอบครัวที่ท่าทางรวยๆ ครอบครัวหนึ่ง (พวกเขาฉี่ใส่กระโปรงรถ!) ที่เพิ่งขับรถมาจอดหน้าบ้าน นอกจากนั้นฉากนี้ยังให้อารมณ์ Irony ด้วย
4. ฉากวิวบนภูเขา
5. ฉากที่ Marcos เขาไปหา Ana แล้วแฟนหนุ่มของเธอบอกให้เขารอก่อน หลังจากนั้นกล้องก็ไปจับภาพวิวนอกหน้าต่าง
ข้อ 1 ถึง 5 อาจจะเป็นภาพแทนสายตาของตัวละคร (Marcos) ได้ แต่ที่พิสดารที่สุดคือ ข้อ 6
6. ฉากที่ Marcos กับ Ana มีเซ็กส์กัน แล้วอยู่ดีๆ กล้องไปจับภาพรอบๆ ตัวบ้าน แล้วค่อยวนกลับมาที่สองคนนี้อีกที (ซึ่งเสร็จกิจไปแล้วเรียบร้อย)
7. อันนี้อาจจะไม่เข้าพวกเท่าไร แต่มุมกล้องของฉากที่ถ่ายภาพ Marcos + Ana นอนอยู่บนเตียง (ตามรูปโปรโมทในโปสเตอร์) ที่วนจากข้างล่างขึ้นบนไปเรื่อยๆ จนเป็นภาพถ่ายจากมุมบนก็เป็นฉากที่ผมชอบมากๆ
-- ทางด้าน เสียงประกอบ หนังก็ชอบใส่เสียงประหลาดๆ (ที่บางทีกลายเป็น เสียงรบกวน) เข้ามาในหนัง ที่สำคัญหนังจะไม่บอก ที่มาของเสียง ในช่วงแรก จะทิ้งให้เราฟังเสียงนั้นเป็นเวลานาน กว่าจะเฉลยให้เรารู้ว่าเสียงนั้นมาจากไหน เช่น
1. ฉากร้านนาฬิกา เสียง ติ๊ดๆๆๆ ติ๊ดๆๆๆ ฉากนี้ประสาทมากๆ
2. ฉากที่ Marcos ยืนคุยกับเมียในทุ่งหญ้า ทั้งที่สองคนนี้กำลังคุยเรื่องสำคัญเป็นความเป็นความตายของชีวิต แต่หนังก็ยังใส่เสียง เครื่องตัดหญ้า เข้ามารบกวนอีก (เข้าใจว่าเป็นเทคนิคแบบ contrary)
3. ฉากเซ็กส์ของ Marcos กับ Ana ที่อยู่ดีมีเสียง น้ำหยด ติ๋งๆ แทรกเข้ามา (ชอบข้อนี้มากที่สุด)
-- ส่วนด้าน ดนตรีประกอบ หนังก็ใช้วิธี โหมกระหน่ำ เพลงให้ดังกระหึ่มสุดๆ (สังเกตว่าส่วนใหญ่เป็นเพลงออเครสต้า) ซึ่งการใช้เพลงที่ว่าก็ให้อารมณ์ที่แปลกประหลาดมากๆ เพราะไม่สามารถบรรยายออกมาได้ว่าฉากนั้นให้ความรู้สึกแบบไหนกันแน่ เช่น
1. ฉากที่ปั๊มน้ำมัน ปั๊มเปิดเพลงออเครสตร้า (ปั๊มที่เม็กซิโกเขาเปิดเพลงแบบนี้กันจริงๆ เหรอครับ) ในขณะที่บนถนนมีการเดินขบวน ส่วนพระเอกกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ในใจ
แม้เพลงในฉากนี้จะมี แหล่งกำเนิดเสียงที่แท้จริง แต่ระดับความดังของเสียงก็ ดัง เกินกว่าปกติอย่างเห็นได้ชัด
2. ฉากเซ็กส์ Marcos + Ana พอถึงฉากที่ทั้งสองนอนอยู่บนเตียงด้วยกัน อยู่ดีๆ ก็มีเพลงบ้าอะไรไม่รู้ดังขึ้นมา ซึ่งผมรู้สึกว่าเพลงในฉากนี้มันเหมือนพวก เพลงชาติ หรือ เพลงปลุกใจ อะไรแบบนั้นเลยครับ (ถ้าจำไม่ผิดเพลงนี้เป็นเพลงตอน end credit ด้วย)
-- ฉากที่ชอบมากๆ ในหนังเรื่องนี้
1. ฉากไคลแม็กซ์ นี่เป็นฉากที่โจมตีคนดูได้รุนแรงมาก (แต่จริงๆ รู้สึกตลกกับปฏิกิริยาโต้ตอบของนางเอกมากๆ และตอนท้ายเธอก็ทำหน้าเหมือนกับ อ้าว นี่ชั้นต้องตายแล้วเหรอเนี่ย)
2. ภาพที่ Marcos + Ana นอนอยู่บนเตียง ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไรว่า ภาพในฉากนี้ต้องการสื่อความอะไร แต่รู้สึกมันเป็นภาพที่ทรงพลังมากๆ และเข้าใจว่าหนังมีการจัดภาพให้ Marcos กับ Ana แตกต่างกันอย่างชัดเจน เพราะ Ana ในฉากนี้ดูสวยเปล่งปลั่งทอประกายรัศมีมากๆ ส่วน Marcos กลับดูมืดๆ ทึมๆ มัวๆ
ผมคิดว่าฉากนี้มีลักษณะของ ภาพศิลปะ สูงมาก
-- พูดถึงภาพศิลปะแล้ว เข้าใจว่าหนังมีการใช้ Symbolic ในจุดนี้เหมือนกัน เพราะจำได้ว่ามีภาพหนึ่งเป็นรูปคนถูกแทง (แต่รู้สึกว่าในภาพคนถูกแทงเป็น ผู้ชาย แต่เหตุการณ์จริงเกิดขึ้นกับ ผู้หญิง) และที่บ้านของนางเอกก็ภาพ หญิงสาว (ที่ใส่ชุดแดง) แขวนไว้ข้างประตูด้วย (เดาเอาว่าสองภาพนี้มันจะมีความเกี่ยวข้องกันก็ได้)
-- ในฉากเซ็กส์ Marcos + Ana มีการ ซูม ไปที่อวัยวะเพศของทั้งชายและหญิง แต่ไม่รู้สึกตกใจอะไรกับภาพพรรค์นี้อีกแล้ว หลังจากได้ดูหนังเรื่อง Anatomy of Hell ใน โรง ไปเมื่อต้นปี (มันเป็นหนัง ภูมิคุ้มกัน ชั้นดีเลยครับ)
-- นอกจากฉากไคลแม็กซ์แล้ว ฉากที่เฮี้ยนที่สุด ก็น่าจะเป็น ฉากเซ็กส์ ระหว่าง Marcos กับ Ana เพราะรวมความประหลาดไว้ทั้ง มุมกล้อง (วนออกไปถ่ายนอกห้อง) เสียง (น้ำหยดติ๋งๆๆๆ) เพลง (เพลงอะไรไม่รู้ที่คล้ายๆ เพลงชาติที่อยู่ดีๆ ก็ดังกระหึ่มขึ้นมา) และ ภาพ (ภาพ Marcos + Ana นอนคู่กันเหมือนในโปสเตอร์โปรโมทหนัง)
-- หลังจากที่ดูทั้งหนังเรื่อง 4 และ Battle in Heaven ก็สงสัยเหมือนกันว่า การใช้เสียงและภาพเฮี้ยนๆ แบบนี้จะเป็นเทรนด์หนึ่งของหนังไปเลยหรือเปล่า แต่ที่แน่ๆ หนังที่ใช้เทคนิคแบบนี้เข้าทางผมสุดๆ
-- รู้สึกว่าหลายๆ ฉากในหนังมีอารมณ์แบบ Irony อยู่ด้วย เช่น
1. ตอนต้นๆ เรื่องมีภาพ กางธงชาติ แต่ภาพสุดท้ายของหนัง (ไม่รวมฉาก นั้น ที่เป็นสุดท้ายของท้ายสุด) เป็นภาพ เก็บธงชาติ
2. พระเอกกำลังตกอยู่ในภาวะวิกฤต ขณะที่ทีมฟุตบอลอะไรสักอย่างได้แชมป์ แต่ที่เฮี้ยนสุดๆ คือ เขาช่วยตัวเองไปด้วยขณะดูบอล!
3. ตอนแรก Marcos บอกว่าจะไปมอบตัวกับตำรวจ แต่เขากลับไปหา Ana แทน แล้วท้ายสุดเขามุ่งไปที่งานพิธีกรรม (หนังใช้คำว่า pilgrimage) รู้สึกว่าฉากนี้หนังทำให้เขามีสถานะเป็น คนบาป เพราะเขาต้องทั้งคลานเข่าไปตามพื้น และถูกถุงคลุมหน้าอีก
4. ฉากเปิด-ฉากปิด : Oral sex แสนเศร้า กับ Oral sex อันสุขสม (ชอบข้อนี้มากที่สุด) รู้สึกว่าถ้าหนังสลับสองฉากนี้กัน หนังเรื่องนี้จะเปลี่ยนจะหน้ามือเป็นหลังมือ
2. I Am A S-e-x Addict (2005, Caveh Zahedi, อเมริกา, A-)
//www.worldfilmbkk.com/films/index.php?cid=04&id=125
-- ชอบช่วงแรกๆ ของหนังมากๆ ในระดับ A+ เพราะฮาสุดๆ (ซึ่งสาเหตุก็คือ พระเอกในเรื่องนี้ที่บรรยายหนังไปตลอดเรื่องมีสำเนียงภาษาอังกฤษที่ฟังง่ายมากๆ ผมก็เลยฟังทันค่อนข้างเยอะเลย) แต่รู้สึกว่ากลางๆ เรื่องไปหนังเริ่มนิ่งๆ แล้วหันไปทางหนังดราม่าแทน ก็เลยชอบหนังน้อยลงเรื่อยๆ และตอนจบก็ไม่ค่อยน่าประทับใจนัก
-- ชอบดนตรีประกอบของหนังเรื่องนี้ที่ใช้เครื่องสาย (รู้สึกว่าจะเป็นเชลโล่) เล่นเพลงเดิมวนไปวนมาตลอดทั้งเรื่อง (คล้ายๆ กับดนตรีประกอบของ The Hours ของ Phillip Glass แต่รายหลังนี่อลังการกว่าเยอะ)
-- ฉากที่ชอบคือ ฉากเอาตำนานเทพออฟิอุสมาเล่าใหม่ในเวอร์ชัน s-e-x addict
-- เข้าใจว่าหนังเรื่องนี้เป็นสารคดีหลอกๆ (Mockumentary) ซึ่งตรงจุดนี้หนังก็ทำได้ดีทีเดียว
-- หลังจากเพิ่งดู Battle in Heaven ซึ่งมีฉากเปิดเรื่องอันรุนแรงคือการทำ Oral S-e-x หนังเรื่องนี้ก็มีฉาก Oral S-e-x เยอะมาก จนขอขนามนามว่าวันนี้เป็นวัน BLOW-JOB MOVIE DAY
3. Tsunami Digital Short Film 1
//www.worldfilmbkk.com/films/index.php?cid=05&schid=192 //thaiindie.com/news/tsunami.htm
ดีใจมากที่ฝ่าฟันหนังทั้งหมดไปได้โดยไม่หลับเลย (แต่หวิดจะไปอยู่บ่อยๆ) ไม่ใช่ว่าหนังน่าเบื่อหรือไม่ดี แต่ว่าตัวเองนอนไม่ค่อยพอ แล้วก่อนหน้าจะมาดู TSUNAMI ก็วิ่งจ้ำอ้าวมาจากโรง EGV Metropolis ด้วย
3.1 Ghost of Asia (2005, อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล + Christelle Lheureux, A)
-- ด้วยความหนังเรื่องนี้ฉายเป็นเรื่องแรก และใช้เทคนิคภาพฟอร์เวิร์ดแบบเร็วๆ เลยทำให้ช่วงแรกๆ ผมตั้งสติตามหนังไม่ค่อยทันเท่าไร แต่พอผ่านไปสักพักก็พอจะจับหนังได้บ้าง
-- ชอบหนังเรื่องนี้ที่ กระบวนการสร้าง (อ่านเอาจากหนังสือ World Film) ส่วนตัวหนังไม่เข้าใจเลยครับ (แต่ก็ไม่ได้ทำให้ไม่ชอบหนังเรื่องนี้)
3.2 Waves of Souls คลื่นวิญญาณ (2005, พิภพ พานิชภักดิ์, B+)
-- หนังเรื่องนี้จะดูเป็น รูปธรรม มากที่สุดแล้ว ในหนังทั้งหมดวันนี้ ชอบที่หนังเลือกประเด็น ความเปลี่ยนแปลง ที่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์สึนามิด้วยเรื่องของการ เปลี่ยนศาสนา (ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าสนใจ และแปลกดี) และการขึ้นตัวอักษรในตอนท้ายก็ให้พลังแก่หนังมากทีเดียว (ถ้าจำไม่ผิดเรื่องของการเปลี่ยนศาสนาจากเหตุการณ์สึนามิเพิ่งเป็นข่าวบนหน้าหนังสือพิมพ์ไม่กี่วันก่อน)
3.3 After Shock วันฟ้าสวย (2005, ธัญสก พันสิทธิวรกุล, A+)
-- ชอบหนังที่การเปลี่ยนแปลง ภาพ (จากภาพนิ่งๆ ลอยๆ กลายเป็น
เอ่อ
อธิบายไม่ถูก แต่หล่อดีนะ) และ เสียง (จากหนังเงียบกลายเป็นหนังเสียง) โดยฉับพลันจนทำให้รู้สึกถึงภาวะ ช็อค ได้
-- ชอบเพลงประกอบในช่วงหลังของหนังมากๆ
-- เข้าใจว่าช่วงหลังของหนังคือ การถ่ายทอดภาวะ AFTER SHOCK ออกมาในลักษณะที่เป็น รูปธรรม และสิ่งนั้นก็แสดง ตัวตน ของผู้กำกับได้ชัดเจนสุดๆ (เหมือนเคย)
-- ส่วน มุมกล้อง ก่อนจะเข้าสู่หนังครึ่งหลังก็คือ ลายเซ็น ของผู้กำกับ (ฮา)
-- อยากลองเจอภาวะ AFTER SHOCK แบบในหนังเรื่องนี้บ้าง รู้สึกว่า ตัว AFTER SHOCK ในหนังน่าสนใจมาก อิอิอิ
3.4 Adaman อันดามัน (2005, สมพจน์ ชิตเกษรพงศ์, A)
-- ชอบการที่ใช้ภาพสัมภาษณ์ผู้คน แต่ไม่เปิดเสียงของคนเหล่านั้นให้เราฟัง แต่เสียงในหนังกลับเป็นเสียงคลื่นลมทะเลแทน
-- รอยยิ้มบนหน้าของผู้คนในหนังเรื่องนี้ ให้ความรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก ดูหนังเรื่องนี้แล้วอยากไปทะเลอีกครั้งเร็วๆ
-- ดูหนังเรื่องนี้แล้วนึกถึงนักข่าวที่ไปสัมภาษณ์ชาวต่างชาติที่ยังกล้ามาเที่ยวทะเล แม้จะเพิ่งเกิดเหตุการณ์สึนามิไปหมาดๆ
3.5 Trail of Love รอยรัก (2005, สุชาดา ศิริธนาวุฒิ, A-)
-- จะชอบหนังในระดับ A+ ถ้าหนังจบตั้งแต่ฉากที่ผู้หญิงในเรื่องฝังกล่องสมบัติของเธอเสร็จ ไม่ค่อยชอบเท่าไรตอนที่ขึ้นตัวอักษรตอนท้ายในหนัง (ซึ่งเป็นสาเหตุเดียวกับที่ไม่ชอบตอนท้ายของหนังเรื่อง หนังสือรุ่น)
-- ชอบเพลงประกอบของหนังเรื่องนี้ ซึ่งเป็นฝีมือของเขตน่าน จันทิมากร เขาเคยออกอัลบั้มอิเล็กโทรนิกชื่อ Nannue Tipitier ออกมา ซึ่งผมชอบมาก
3.6 Tsu สึ (2005, ปราโมทย์ แสงศร, A+)
-- ถ้าหนังเรื่องนี้ได้ฉายเป็นจอใหญ่ ภาพสวยๆ ภาพของหนังน่าจะมีพลังมากๆ
-- ชอบภาพของหนังเรื่องนี้มากๆ โดยเฉพาะภาพแถวธงไกลสุดลูกหูลูกตา
-- การแช่กล้องตอนต้นเรื่อง (เด็กเดินกะเผลกๆ) การถ่ายแช่ตอนเด็กเปลี่ยนธง-ทาสีธง คือ สิ่งที่ผมคิดว่าจำเป็นต่อหนังเรื่องนี้ และทำให้ผมชอบมันมากๆ แม้จะทรมานสักหน่อยก็ตาม
-- ในหนังทั้งหมดที่ฉายวันนี้ รู้สึกมีอารมณ์ร่วมกับหนังเรื่องนี้มากที่สุด
-- รู้สึกว่าตอนท้ายๆ หนังต่อความยืดยาวไปหน่อย และบางสิ่งบางอย่างก็จงใจเกินไป (เช่น หยดน้ำรูปแผนที่ประเทศไทย ผมไม่ค่อยชอบเท่าไร)
4. Johanna dArc of Mongolia (1989, Ulrike Ottinger, ?)
//www.worldfilmbkk.com/films/index.php?cid=08&id=117
-- งดแสดงความคิดเห็นเช่นเคย เพราะไม่มีซับไตเติ้ล หนังเรื่องนี้พูดกันเยอะมาก (อีกอย่างคือผมหลับไปเยอะเหมือนกัน)
-- ที่ฮาก็คือ หนังเรื่องนี้เหมือนเป็น หนัง สื่อวัฒนธรรม หรือหนัง ทูตสัมพันธ์ ที่ประชาสัมพันธ์ประเทศมองโกเลีย
-- หรืออาจจะเป็น สารคดีทัวร์ท่องเที่ยวมองโกเลีย ไปกับ 7 สาวฝรั่ง
-- ดูหนังเรื่องนี้ตอนต้นๆ หลับยาวไปเลย โชคดีมากที่ตื่นมาตอนชาวมองโกเลียโผล่มาพอดี (ซึ่งดูนาฬิกาแล้วปรากฏว่าผ่านไป 1 ชั่วโมง
นี่แสดงว่าหนึ่งชั่วโมงแรกหนังก็อยู่แต่บนรถไฟสิเนี่ย!)
-- อย่างไรก็ตาม หนังก็มีอะไรเฮี้ยนๆ โผล่มาเหมือนกัน
1. พิธีกรรมของชาวมองโกเลีย เช่น ควักแกะ 2. ฉาก 3 สาวฝรั่งเล่นตีฉาบ (?) แต่ฝั่งมองโกเลียโต้ตอบด้วยการยิงธนูใส่! 3. ชาวมองโกเลียเผ็นฝูงวิ่งไล่ฆ่าสาวฝรั่งคนหนึ่งเพียงเพราะเธอตากผ้า (????) 4. พอล่าสัตว์ได้ พวกมองโกเลียก็แหกปากร้องลั่นทั้งป่า 5. สาวฝรั่งไปซักผ้าริมน้ำโดยใส่ชุดวันพีซ (!) 6. 3 สาวที่ชอบใส่แว่นดำประหลาดๆ
21 OCT 2005
-- รู้สึกว่าตารางเวลาวันนี้ของเทศกาล World Film จะเว้นช่วงระหว่างหนังแต่ละเรื่องค่อนข้างเยอะ ซึ่งก็ทำให้ผมได้กินข้าวแบบ รู้รสชาติ ในรอบหลายวันที่ผ่านมา วันก่อนๆ เป็นการกินแบบ กันตาย และก็ได้กินแต่พวก KFC, Chesters Grill (เพราะมันเร็ว) แต่ตอนนี้ก็ดันมีข่าวไข้หวัดนกคัมแบ็กอีก หวังว่าตัวเองคงไม่ตายก่อนจบเทศกาล
-- วันนี้ตอนดูหนังเสร็จแล้วก็ลงลิฟท์จะออกจากห้าง ดันซวยไปเจอ 3 แม่ลูก ที่เพิ่งออกจากโรงที่ฉาย Flightplan พอดี แล้ว 3 คนนี้ก็กำลังจะถกเถียงกันเรื่องตอนจบของหนังอีก ผมก็เลยต้องกระโจนออกจากลิฟท์มาอย่างรวดเร็ว (เพราะยังไม่ได้ดูหนัง) เพิ่งตระหนักได้วันนี้เองว่าช่วงเวลาหนังเลิกใหม่ๆ แล้วคนเดินออกมาจากโรงนี่ถือเป็น สนามพลังแห่งการ SPOILER ดีๆนี่เอง
-- FLICKS ฉบับใหม่คุณกัลปพฤกษ์เขียนถึงหนังเรื่อง Battle in Heaven (A+) ไว้ด้วย ชื่อบทความคือ สุนทรียะบนความอัปลักษณ์
-----------------------------------
ตอบ พี่แมดเดอลีน
-- ขอบคุณมากๆ เลยครับที่วันนี้สละเวลาเล่าเรื่องราวของหนังเรื่อง Angel's Fall ให้ผมฟัง จริงๆ แล้วอยากดูหนังเรื่องนี้อีกรอบ แต่มันดันฉายตรงกับ Forsaken Land ที่ซื้อบัตรไปแล้ว อดเลยงานนี้
-- เพื่อการตอบแทนจะเล่า "ฉากเปิด" ของหนังเรื่อง "4" โดยละเอียดในความเห็นถัดไปนะครับ เพราะวันนั้นที่คุยกันไปใน KFC อาจจะไม่ค่อยได้อรรถรสเท่าไร (จริงๆ จุดประสงค์หลักคือ กระตุ้นให้พี่เกิดความเสียดาย อิอิอิ)
-- ซับไตเติ้ลหนังเรื่อง Not on the Lips สละสลวยจริงๆ ครับ แต่ผมอ่านไม่ค่อยเข้าใจ อ่านไม่ค่อยทัน ก็เลยหลับไปเลย -__-''
-- ฟังเรื่องที่ TAXI ไปผิดที่แล้วเจ็บใจแทนครับ เพราะจากแถวนั้นมาสยาม ไม่เกิน 20 นาทีก็ถึงแล้ว ...เพื่อนผมก็เคยเจอครับ บอกว่า "ไปสยามดิสคัฟเวรี่" ปรากฏว่าแท็กซี่พาไป "อนุสาวรีย์" (แต่ยังดีที่ยังเป็นอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ที่นั่งรถไฟฟ้าไปสยามต่อได้ ไม่ใช่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย หรืออนุสาวรีย์แปลกๆ อื่นๆ)
-- "หนังเรื่องนี้ไม่มีคำว่าบันยะบันยังอีกต่อไป" เป็นคำนิยามของหนังเรื่อง Freak Orlando ที่ถูกใจมากๆ เลยครับ ส่วนผมขอเรียกหนังเรื่องนี้ว่า "บ้าข้ามชาติห้าพิภพ"
-- ตอนนี้หนังในเทศกาล World Film ที่ชอบเป็นอันดับหนึ่งคือ "4" ครับ
----------------------------------------
หนังที่ได้ดูวันนี้
1. Freak Orlando (1981, Ulrike Ottinger, เยอรมัน, A+)
//www.worldfilmbkk.com/films/index.php?cid=08&id=116
-- เท่าที่ผมดูหนังของ Ottinger มาทั้งหมด 5 เรื่อง (Madame X, Dorian Gray, Twelve Chair, Joan of Arc of Mongolia และ Freak Orlando) รู้สึกว่า Freak Orlando จะเป็นหนังที่ผมเข้าถึงทางด้าน เนื้อเรื่อง ได้มากที่สุด ส่วนเรื่องอื่นจะเพลิดเพลินตื่นตาตระการใจไปกับความมหัศจรรย์ของมันมากกว่า
ถ้าเข้าใจไม่ผิด Freak Orlando พูดถึงผู้หญิงคนหนึ่ง เธอเดินเข้าไปในประตูของ Freak City (ซึ่งฉากประตูในตอนเปิด / ปิดเรื่องทำให้นึกถึง ประตูที่คาวบอยลึกลับปรากฏตัว ในหนังเรื่อง Mulholland Drive ของเดวิด ลินช์) จากนั้นเธอก็หลุดเข้าไปในห้วงมิติเวลาพิศวง ที่หนังเล่าออกมาเป็น 5 ช่วงเวลา โดยทุกช่วงนั้นเธอคนนี้ก็มีชื่อว่า Orlando ทุกครั้ง
ถ้าจะพูดให้ฮาๆ ก็คือ ยัยผู้หญิงคนนี้ตายแล้วเกิดใหม่กี่ทีก็ยังเป็น Orlando เพราะฉะนั้นชื่อไทยของ Freak Orlando น่าจะเป็น ขอชื่อ ออร์แลนโด้ ไปทุกที สี่ห้าชาติ (คล้ายกับ ขอชื่อ สุธี สามสี่ชาติ)
คาดว่า Freak Orlando ได้รับแรงบันดาลใจจากนิยายพิสดารเรื่อง Orlando (1928) ของเวอร์จิเนีย วูล์ฟ ในแง่ที่ว่า
1. นิยายเรื่อง Orlando ว่าด้วยขุนนางหนุ่มคนหนึ่งที่กลายร่างเป็นผู้หญิงในที่สุด (???) ส่วนใน Freak Orlando ก็มีการ สลับเพศ ชนิดที่มั่วซั่วไปหมด ทั้งตัว Orlando เองที่ชาติหนึ่งเป็นผู้หญิง แต่ชาติถัดมาเธอก็กลายเป็นผู้ชาย! (และบางชาติก็ไม่ค่อยแน่ใจว่าเป็นอะไรกันแน่) นอกจากนั้นยังมีตัวละคร สองเพศ ที่แสดงออกมาทาง กายภาพ มากมายในหนัง เช่น ผู้ชายที่มีหน้าอก และ ผู้หญิงที่มีกระจู๋ (!)
2. ในฉบับนิยายตัวละคร Orlando อยู่ร่วมประวัติศาสตร์ของอังกฤษยาวนานถึง 400 ปี ส่วนหนัง Freak Orlando นั้นตัวละครของ Orlando ก็อยู่ในหลายยุคสมัย แต่ไม่สามารถบอกได้ว่ามันคือช่วงเวลาใดกันแน่ ดังนั้น ห้างสรรพสินค้า โรงงงานนิวเคลียร์ และ สิ่งก่อสร้างสถาปัตยกรรมยุคกรีกโบราณ จึงมาอยู่ในหนังเรื่องเดียวกันได้อย่างอัศจรรย์ (อย่างไรก็ตามเรื่องความสัมพันธ์ของ สถานที่ กับ ช่วงเวลา ไม่ใช่สิ่งที่ต้องคำนึงถึงในหนังของ Ottinger อยู่แล้ว เธอพร้อมที่จะนำสถานที่หนึ่งทะลุมิติเวลาไปโผล่ในอีกช่วงเวลาหนึ่งเสมอ และอีกสิ่งที่เธอถนัดมากก็คือ การข้ามสายพันธุ์วัฒนธรรม)
**นิยายเรื่อง Orlando เคยสร้างเป็นหนังโดย ผกก.แซลลี่ พอตเตอร์ นำแสดง โดย ทิลด้า สวินตัน อ่านได้ใน BOOKVIRUS เล่ม 1 หน้า 317 ส่วนเรื่อง Freak Orlando อยู่ในหน้า 318**
-- ใน 5 ชาติ ของหนังเรื่องนี้ เข้าใจว่า Ottinger กำลังพูดถึง ความบ้าคลั่ง (Freak) ของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เช่น
ชาติที่ 1 : ห้างสรรพสินค้านรกแตก = ทุนนิยม / วัตถุนิยมอันบ้าคลั่ง
ชาติที่ 2 : ขบวนแห่อนุสาวรีย์มาราธอน / พระเยชูสุดเฮี้ยน = การบ้าคลั่งในศาสนา
(รู้สึกว่าชาติที่ 1 กับ 2 จะมีความเกี่ยวพันกันมากที่สุด เพราะเนื้อเรื่องมันดูต่อเนื่องกัน)
ชาติที่ 3 : ขบวนการหน้าลึกลับที่จับผู้คนไปทรมาน = อันนี้น่าจะพูดถึง นาซี
ชาติที่ 4 : ความรักพิสดารของ Orlando ภาคเพศชายกับแฝดสยาม (?!) = ความรักอันบ้าคลั่ง
ชาติที่ 5 : ตอนแรกเข้าใจว่า Ottinger ต้องการฉีกหนังในตอนนี้ไปเป็นหนังเพลง แต่พี่แมดเดอลีนบอกว่าตอนนี้เรื่องราวของเป็นการแข่งประกวดโชว์ที่ บ้า ที่สุด ดังนั้นตอนนี้จึงเป็นบทสรุปบ้าๆ ของ หนังบ้าๆ ได้บ้าที่สุด (อ่านแล้วอย่างง)
-- รวมฮิต ฉากเฮี้ยน ของหนัง Freak Orlando (ผมว่ามีมากกว่า 30 ฉากแน่นอน)
*******ต่อจากนี้ไปมี SPOILER********
-- ฉากเปิด ที่ตัว Orlando ก้มไปดูดหน้าอกของผู้หญิงที่โผล่มาบนดินแค่ครึ่งตัว (แค่เปิดเรื่องก็เฮี้ยนแล้ว)
-- ชาติที่ 1 : ห้างสรรพสินค้านรกแตก
1.1 Orlando ในตอนนี้ใส่ชุดหนังสีดำรัดติ้ว ใส่หมวกทรงแหลมที่มีลูกตาติดไฟแว้บๆ ที่ฮาคือเธอเป็น ช่างตีรองเท้า ในห้างสรรพสินค้า
1.2 ตอนกลางเรื่องอยู่ดีๆ Orlando ก็มีหนวดขึ้นมา (อันนี้คล้ายกับในนิยาย แต่กลับทางกันคือ ผู้หญิงกลายเป็นผู้ชายแทน)
1.3 ทุกตัวละครในห้างต้องใส่เสื้อกันฝน
1.4 ฉากที่คนกำลังลงบันไดเลื่อน อยู่ดีๆ มี ตำรวจจราจร โผล่มาให้สัญญาณไฟ
1.5 คนในชุดคลุมที่ไม่รู้ว่าเป็นอะไร (เข้าใจว่าเป็นพวกเทพเฝ้าป่า) แต่ที่แน่ๆ มีตุ๊กตายางรูป ตูด และ ขา ห้อยออกมาจากตัว
1.6 ตัวละครหญิงที่เป็นคล้ายๆ ประชาสัมพันธ์ของห้าง ทรงผมเธอเป็นทรง ซูเปอร์ไซย่า
1.7 ฮาตัวละครประชาสัมพันธ์นี้มาก ที่ตอนท้ายสุดเธอไม่ได้ถูกพวก มนุษย์สามสี ตบตีแล้ว แต่เธอก็ยังกรีดร้องโหยหวนต่อไปจนจบตอน
1.8 กลุ่ม มนุษย์สามสี ลึกลับที่บูชาพระเจ้าอยู่บริเวณน้ำพุ (ซึ่งอิทธิฤทธิ์รุนแรงมากในตอนท้ายๆ) มีตอนหนึ่งที่ผู้หญิงที่ใส่ชุดสีน้ำเงินเดินเข้ามาใกล้ๆ กล้อง ซึ่งทำให้เห็นว่า หมวก ของเธอคือ การเอาม้วนกระดาษแก้วสีน้ำเงินมาตัดให้แหว่งๆ แล้วก็เอาสก็อตเทปพันๆ ไว้ (เป็นคอสตูม โอทอป ที่สุดยอดมาก)
1.9 เมื่อพระเจ้าตกจากน้ำพุลงมาตาย หนังแสดงด้วยภาพ หัวใจหลอดไฟ ของพระเจ้าแตก
1.10 ตัวละคร กลุ่มผู้ชายที่เดินไป แล้วก็เอาแส้ฟาดตัวเองไปตลอดทาง ผู้ชายเฮี้ยนๆ กลุ่มนี้ไปโผล่ใน ชาติที่ 2 ด้วย อยากรู้เหลือเกินว่านักแสดงชายเหล่านี้ได้ค่าตัวกันสักเท่าไรกับการเล่นบทนี้ หรือ Ottinger ไปพูดอีท่าไหนให้พวกเขามาเล่นได้เพราะท่าทางจะเป็นบทที่หนักหนาสาหัสมาก
-- ชาติที่ 2 : ขบวนแห่อนุสาวรีย์มาราธอน / พระเยชูสุดเฮี้ยน
2.1 ชอบดีไซน์ของอนุสาวรีย์ รูปเกลียว มากๆ ที่ฮาคือ เวลาที่แห่อนุสาวรีย์นี้ต้องเดินหมุนเป็นวงกลมไปด้วย
2.2 ฉากหลังของชาตินี้เป็นโรงงานนิวเคลียร์
2.3 ตอนท้ายๆ ที่มีตัวละคร ผู้ชายที่มีหน้าอก และ ผู้หญิงที่มีกระจู๋ ที่ฮาก็คือ ตัวละครหญิงส่องกระจกแล้วร้องกรี๊ดขึ้นมา แต่เธอไม่ได้กรี๊ดเพราะตัวเองมีจู๋ แต่กรี๊ดเพราะหน้าตัวเองกลายเป็นผู้หญิง ก็เลยงงสุดๆ เลยว่าตกลงแล้วตัวละครนี้เป็นเพศไหนกันแน่
2.4 ฉากพระเยชูร้องเพลงที่เฮี้ยนมากๆ (ชอบฉากนี้ที่สุดในหนังเรื่องนี้) เพลงที่เธอร้องสลับไปมาในฉากนี้มีตั้งแต่ เพลงโอเปร่า, เพลงโชว์พลังเสียงแบบนักร้องดิว่า ไปจนถึงเพลงงิ้ว! (รู้สึกว่าหนังของ Ottinger จะมีทีเด็ดอยู่ที่ ฉากร้องเพลง)
2.5 พระเยชูในฉากนี้มีไฟแวบๆ ติดตามตัว (แรงมาก)
2.6 ตัวละครที่ถือแก้วค็อกเทลอยู่ข้างๆ พระเยชู สุดยอดมากๆ เพราะเธอแทบไม่ขยับเลยตลอดฉากนี้
-- ชาติที่ 3 : ขบวนการหน้ากากลึกลับ (เป็นตอนที่ผมชอบที่สุด)
ทีเด็ดของชาตินี้คือการจับคนมาใส่ใน ขบวนรถเข็น เพื่อจับไปทรมาน ที่เด็ดมากๆ ก็คือ บรรดาคนที่พวกมนุษย์หน้ากากไปจับมา เช่น
3.1 คนแก่ 2 คน ในชุดกระโปรงดำ ก่อนจะถูกจับสองคนนี้เล่นลูบเครากันอยู่
3.2 ผู้ชายสองคนที่ใส่ชุดทหาร แต่มีคนยืนอยู่ตรงกลางและใส่หน้ากากเหมือน เจสัน!
3.3 กลุ่มคนเปลือยที่ งานเลี้ยงอาหารลึกลับ ชอบโปรดักชันดีไซน์ของห้องงานเลี้ยงนี้มากๆ ที่ไปอยู่ในสระน้ำตื้นๆ สังเกตว่าหนังของ Ottinger ชอบเอา น้ำ มาประกอบฉากในทางเพี้ยนๆ เสมอ
ความเฮี้ยนๆ อื่นของชาติที่ 3 นี้ก็ เช่น
3.4 กลุ่มขบวนการมนุษย์หน้ากาก ที่เวลาปรากฏตัวต้องทำท่า ดาวกระจาย เหมือนนาเดีย นิมิตวานิช พิธีกรรายการ ดาวกระจาย ทางช่อง 9 แล้วจากนั้นก็จะมีเศษกระจกเศษบ้าบออะไรไม่รู้ตกเต็มถนนไปหมด
3.5 ไก่ที่มีหัวเป็น เด็กทารก
3.6 คนแคระลายจุด + หมาลายจุด (ที่เป็นรูปโปรโมทในเวบ World Film)
3.7 ห้องทรมานนักโทษ ที่เป็นห้องวงกลมหลายๆ ห้องอัดกันอยู่ (เข้าใจว่าหมายถึง ห้องรมแก๊ส ที่ใช้ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิว)
-- ชาติที่ 4 : ความรักพิสดารของออร์แลนโด้กับแฝดสยาม
4.1 ออร์แลนโด้กลายเป็น ผู้ชาย ที่ดูยังไงก็หน้าเหมือน บอย จอร์จ (ยังดีที่ตัวละครนี้ไม่ได้ร้องเพลง The Crying Game)
4.2 คู่รักของออร์แลนโด้ที่เป็น แฝดสยาม สุดเฮี้ยน ตอนแรกๆ เธอก็ดูน่ารักดี แต่ตอนหลังยัยแฝดนรกคู่นี้ก็แหกปากบ่นบ้าได้ชนิดน่าเอามีดแทงปากมากๆ
4.3 ฉากเปิดเรื่องมี หมา เฝ้าอุโมงค์ที่ออร์แลนโด้เดินออกมา แต่หมา 2 ตัวนี้ดันเป็น คน
4.4 กรง ลึกลับที่ออร์แลนโด้เข้าไปตอนท้าย
-- ชาติที่ 5 : ชาตินี้ผมนึกฉากเฮี้ยนๆ ไม่ค่อยออก แต่รู้สึกว่าตอนที่ 5 นี้เป็นการรวมญาติตัวละครของหนังทั้งเรื่อง
-- สังเกตว่าหนัง จบ ทุกชาติด้วย เสียงกรีดร้อง ยกเว้นชาติที่ 5 รู้สึกจะเป็นเสียงประมาณงานเฉลิมฉลอง
-- โดยสรุปแล้วหนัง 3 เรื่องของ Ottinger ที่ชอบมากๆ ก็คือ Madame X (ชอบพฤติกรรมของตัวละคร), Dorian Gray (ชอบโปรดักชั่นดีไซน์) และ Freak Orlando (ชอบที่เนื้อเรื่อง)
2. In Transit (2004, Berke Bas, ตุรกี, B)
//www.worldfilmbkk.com/films/index.php?cid=05&id=194
-- หนังเรื่องนี้เล่าถึงครอบครัว 3 ครอบครัวที่หนีจากอิรักมาอยู่ที่ตุรกีเพื่อหวังว่าชีวิตจะดีขึ้น แต่มันก็ไม่ใช่อย่างที่คาดไว้เลย พวกเขาก็เลยคิดจะย้ายไปอยู่แถบยุโรป แต่มันก็เป็นไปอย่างยากลำบากเหลือเกิน
-- ด้วยการที่หนังเล่าถึง 3 ครอบครัว โดยใช้วิธีการตัดเล่าข้ามไปมา ก็เลยทำให้ผมรู้สึกงงๆ เหมือนกันว่า คนที่หนังกำลังสัมภาษณ์เป็นคนจากครอบครัวไหนกันแน่ ดังนั้นผมก็เลยไม่ค่อยเกิดความรู้สึกผูกพันกับตัวละครสักเท่าไร เพราะฉะนั้นเวลาหนังพยายามจะบิวด์ให้เกิดอารมณ์เศร้าผมก็เลยไม่รู้สึกตาม เพราะยังงงอยู่เลยว่า อ้าว นี่เขาคือใคร แล้วเขามาจากครอบครัวไหน เอ๊ะ แล้วพ่อของคนนี้เขาเป็นอะไรนะ ใช่คนที่หายไปในสงครามหรือคนที่ไปติดอยู่ในอิรัก ฯลฯ
-- ดังนั้น หนังน่าจะดีกว่านี้ถ้าผู้กำกับเลือกโฟกัสไปที่ครอบครัวใดครอบครัวหนึ่งไปเลย
3. The Tenth Planet: A Single Life in Bagdad (2004, Melis Birder, ตุรกี, A-)
//www.worldfilmbkk.com/films/index.php?cid=05&id=190
-- หนังเรื่องนี้ตรงข้ามกับ In Transit ที่ว่า ตัวละครหลักในหนังมีเพียง คนเดียว ก็คือ หญิงสาวชาวอิรักที่ชื่อ Kawkab แล้วหนังก็ติดตามตัวละครนี้ไปเรื่อยๆ ซึ่งทำให้ผมรู้สึกผูกพันกับตัวละครนี้มากกว่าตัวละครในหนังเรื่อง In Transit ดังนั้นก็เลยรู้สึกชอบ The Tenth Planet มากกว่า
-- หนังเรื่องนี้น่าจะแบ่งได้ 3 ช่วง
ช่วงที่ 1 : หนังจะเล่าถึงบุคลิกลักษณะของ Kawkab และสภาพแวดล้อมรอบตัวเธอ
สภาพแลดล้อมที่ว่านั้นจะเกิดจากการสิ่งที่ Kawkab อยากให้เราเห็น ให้รู้ว่ามีอยู่ในประเทศอย่างอิรักเหมือนกัน ซึ่งหลายอย่างที่เก๋ไก๋ดีเช่น
1. ฉากเปิดเรื่อง ในรถของ Kawkab เปิดเพลงของ Celine Dion
2. ถัดมาในรถอีกที เธอฮัมเพลง Hollywood ของ Madonna
3. เธอพาเราไปดูร้านเทปของอิรัก แล้วเธอก็หยิบเทป EMINEM ขึ้นมาให้ดู จากนั้นก็ชี้ไปที่โปสเตอร์ของ 50 CENT
4. ที่บ้านของเธอเด็กๆ กำลังนั่งดู โดราเอมอน
5. เด็กในบ้านเล่นเกม Playstation
ส่วนตัวของ Kawkab ตัวเป็นผู้หญิงหัวสมัยใหม่อย่างชัดเจน เช่น
1. เพลงที่เธอฟัง
2. เธอแอบไปย้อมผมสีบลอนด์ ชอบมากที่เธอบอกว่า ชั้นรู้สึกดีมากที่เวลาอยู่ในบ้านไม่ต้องใส่ผ้าคลุมหัว เพราะฉันรู้สึกเหมือนได้เปิดเผยความลับของฉัน นั่นก็คือ ผมบลอนด์ที่ไปย้อมมา
3. เธอบอกว่าเธอยากเป็นครูสิ่งแรกที่เธอจะสอนให้เด็กๆ คือ คำว่า Democracy
4. เธอยอมรับว่าตอนนี้เธอกำลังคบผู้ชาย 2 คน
5. เธอด่าซัดดัม
ช่วงที่ 2 : พูดถึงสงคราม
รู้สึกว่าช่วงที่ 2 ของหนังเป็นเหมือนภาคขยายของ Fahrenheit 9/11 ของไมเคิล มัวร์ ขณะที่มัวร์เน้นสัมภาษณ์พ่อแม่ของทหารอเมริกันที่ถูกส่งไปรบในอิรัก หนังเรื่องนี้ก็ไปสัมภาษณ์ชาวอิรักโดยตรง แต่หนังก็ไม่ได้ทำให้ช่วงนี้เป็นอารมณ์ที่เศร้าสลดหรือบีบคั้นแต่อย่างใด ผู้กำกับสัมภาษณ์ด้วยวิธีการพูดคุยธรรมดา และไม่มีการใส่เพลงประกอบบิวด์อารมณ์ลงไป
ที่น่าสนใจก็คือ ผู้กำกับไม่ชี้นำคำถามโจมตีอเมริกา แต่กลับถามว่า คุณคิดอย่างไรกับซัดดัม มีตัวละครตัวหนึ่งที่ตอบได้โดนใจผมมากๆ ว่า I hate Sadam but Saddam better than George Bush และประโยคสุดท้ายที่เธอคนนี้พูดก็คือ George Bush, youve done a BAD JOB
หนังในช่วงนี้ผมขอเรียกว่าเป็น ไคลแม็กซ์ที่แฝงมากับความเงียบงัน เพราะหนังไม่มีการบิวด์อารมณ์ใดใดทิ้งสิ้น แต่สิ่งที่ชาวอิรักเหล่านั้นพูดออกมามีผลกระทบต่ออารมณ์ของผมมาก
ช่วงที่ 3 : พูดถึงแฟนของ Kawkab
สิ่งที่ดีใจมากๆ ก็คือว่า สุดท้ายหนังเรื่องนี้ไม่ได้ เปลี่ยน สถานะตัวเองเป็น Political film หรือหนังด่าอเมริกา แต่หนังยังคงสถานะไว้ที่การ ติดตามชีวิตผู้หญิงอิรักคนหนึ่ง ไว้เหมือนตอนต้น (และที่จริงแล้ว บุคคลที่ผู้กำกับสัมภาษณ์ในช่วงที่ 2 ก็ล้วนญาติหรือเพื่อนบ้านของ Kawkab ทั้งสิ้น) โดยตอนท้ายสุดหนังก็กลับมาโฟกัสที่เรื่อง แฟน ของ Kawkab
Kawkab เล่าให้ฟังว่าเดิมทีเธอแฟนคนหนึ่งที่คบกันมา 4 ปี แต่ช่วงที่ผ่านมาไม่ค่อยได้ติดต่อกัน เพราะแฟนไปอยู่ดินแดนที่ห่างไกลกันมาก (จำไม่ค่อยได้ว่าแฟนหนุ่มของเธอไปไหน แต่น่าจะถูกเกณฑ์ไปทำสงคราม) ด้วยเหตุนี้เธอก็เลยตัดสินใจที่จะมองหาคนอื่น
ตอนนี้เธอมีผู้ชายอีกคนเข้ามาจีบ เธอวางแผนที่จะแต่งงานกับเขาด้วย แต่โชคร้ายที่ว่าทั้งสองคนนับถือศาสนาคนละนิกายกัน (คือ สุหนี่ กับชีอะห์) Kawkab คิดว่าเธอคงจะแต่งงานกับผู้ชายคนนี้ไม่ได้แน่นอนเพราะทางบ้านคงไม่อนุญาติ แล้วเธอก็เงียบไปพักนึงแล้วพูดว่า Therere so many problems ซึ่งเป็นฉากที่ทำให้ผมสะเทือนใจมาก (ทั้งที่ตัว Kawkab พูดแบบหัวเราะแห้งๆ ด้วยซ้ำ)
ตอนจบของหนัง Kawkab บอกว่าเธอก็ยังไม่รู้เหมือนว่าจะตัดสินใจเรื่องราวต่างๆ ในชีวิตอย่างไร แต่ประโยคสุดท้ายที่เธอพูดไว้ และผมประทับใจมากๆ ก็คือ
I think Ill follow my brain, my mind not my heart. Its OK when I lose someone, I can find the other man. But I dont want to lose myself
-- ชื่อของหนังมีที่มาจากว่าชื่อ Kawkab แปลว่า Planet แล้วเธอก็มักจะพูดว่า There are 9 planets in the solar system, so I am the tenth.
-- หนังเรื่อง In Transit และ The Tenth Planet เป็นหนังที่ฉายควบกัน และก็เหมาะสมดี เพราะหนังสองเรื่องนี้มีอะไรที่เหมือนๆ กัน เช่น
1. ผู้กำกับเป็นผู้หญิงทั้งคู่ (ถ้าเข้าใจไม่ผิด) 2. ผู้กำกับทั้งคู่เป็น ชาวตรุกี ไปเข้าไปสำรวจชีวิต ชาวอิรัก 3. หนังทั้งสองพูดถึง ผลกระทบจากสงคราม โดยเฉพาะการที่อเมริกาส่งกองกำลังเข้าไปในอิรัก
4. Angels Fall (2004, Semih Kaplanoglu, ตุรกี, A+)
//www.worldfilmbkk.com/films/index.php?cid=04&id=165 //www.imdb.com/title/tt0431259/
-- นี่ถือเป็น หนังเซอร์ไพรส์ ในงานเทศกาล World Film ครั้งนี้เลยครับ เพราะตอนแรกไม่ได้คาดหวังอะไรไว้กับหนังเรื่องนี้เลย
-- ถ้าจะให้เปรียบเทียบแล้วหนังเรื่องนี้ สไตล์ ใกล้เคียงกับหนังเรื่อง Uzak (A) มากเลยครับ (ซึ่งฉายในเทศกาลนี้ด้วย แต่ผมได้ดูตอน BKKIFF 2004) นั่นก็คือ ภาพดำเนินเรื่องที่เรียบนิ่งชวนหลับเป็นที่สุด และแช่กล้องยาวมากๆ จนอึดอัด
-- นอกจาก Angels Fall และ Uzak จะเป็นหนังตุรกีเหมือนกันแล้ว สิ่งที่เหมือนกันอีกอย่างก็คือ หนังทั้งสองเน้นถ่ายภาพ long take ของกิจวัตรประจำวัน
-- แต่ผมชอบ Angels Fall มากกว่ามากๆ เพราะมันมี ความลึกลับ และ ความดำมืด ครอบคลุมอยู่ในหนังทั้งเรื่องเลยครับ เช่น
1. ภาพในหนังมืดมากๆ จนบางทีก็แทบมองไม่เห็นอะไรเลย แต่ถ่ายสวยมากๆ
2. การเล่าเรื่องของหนังซึ่งเต็มไปด้วย ช่องว่าง และ ความไม่ชัดเจน
-- เพราะฉะนั้นเช่นเคยครับ Angels Fall คืออีกหนึ่งหนังเฮี้ยนในเทศกาลนี้ครับ แต่เป็น เฮี้ยนเซอร์ไพรส์
-- ถ้าจำไม่ผิดหนังเรื่องนี้ไม่มีดนตรีประกอบเลย
-- ชอบ ฉากเปิด และ ฉากปิด ของหนังเรื่องอย่างรุนแรง โดยเฉพาะฉากเปิดที่หนังจบแล้วก็ยังไม่สามารถเข้าใจได้ว่ามันคืออะไรกันแน่ แต่ก็ชอบมาก
-- เหตุผลที่ยิ่งทำให้ชอบ ฉากเปิด-ฉากปิด ของหนังเรื่องนี้มากๆ ก็คือ ตอนแรกที่ดูฉากเปิดของหนังซึ่งดูลึกลับไร้ที่มาที่ไปมากๆ ก็คิดในใจไว้เลยว่า ซักช่วงท้ายๆ หรือตอนจบ หนังจะต้องเอาฉากนี้มา เล่าใหม่ ให้เราฟังแน่นอน แต่ปรากฏว่าไม่ใช่เลยครับ ไม่มีกล่าวถึงเรื่องราวในฉากเปิดอีกเลย ซึ่งทำให้ผมแทบจะกรี๊ดสลบ
สาเหตุก็คือ ช่วงหลังๆ มาผมเบื่อมากๆ เลยครับกับการใช้มุก เล่าซ้ำ (แต่มีบางเรื่องที่ใช้แล้วให้พลังที่รุนแรงมากเช่น กรณีหนังเรื่อง Lilya 4-EVER (A+)) เพราะมีความรู้สึกว่าในการเล่า ครั้งที่ 2 พลังของฉากนั้นๆ จะดร็อปลงไปทันที ถ้าผู้กำกับไม่แน่จริงยากนักที่จะทำให้ฉากนั้นมีอนุภาพเหนือกว่าการเล่าในครั้งแรกได้
-- สิ่งที่น่าเสียดายและโกรธตัวเองมากๆ ก็คือ ตอนดูหนังเรื่องนี้ผมหลับครับ (เพราะหนังมันนิ่งมากกกกกกกกกกกก) แล้วก็ไม่แน่ใจด้วยว่าตัวเองหลับไปนานขนาดไหน (แต่ก็โชคดีที่ตื่นตอนฉากสำคัญๆ) ยังดีที่ออกมาหน้าโรงแล้วเจอพี่แมดเดอลีนก็เลยกักตัวพี่แมดไว้ตรงนั้นให้อธิบายให้ฟังซะเลย ยังไงก็ต้องขอขอบคุณพี่แมดอีกทีนะครับ
-- อย่างไรก็ตามพี่แมดเดอลีนบอกว่า พี่ว่าหนังเรื่องนี้ถึงมันจะหลับหรือจะตื่นก็ดูไม่ค่อยรู้เรื่องอยู่ดีแหละค่ะ (ฮา)
** Angels Fall จะฉายอีกที วันอาทิตย์ที่ 23 ตุลาคม รอบ 13.00 ที่ EGV Metropolis เป็นหนังอีกเรื่องที่แนะนำให้ดูครับ แต่แนะนำว่าให้นอนไปเยอะๆ และเป็นหนังที่ใช้ความอดทนสูงในการชม **
5. The Imp (2005, Tomas Vorel, สาธารณรัฐเช็ค, A)
//www.worldfilmbkk.com/films/index.php?cid=04&id=126
-- หนังเรื่องนี้ตลกดีครับ ดีใจที่ตัวเองตัดสินใจไม่ผิด เพราะค่อนข้างไว้ใจกับหนังเช็คที่เป็น หนังตลก
-- เท่าที่จำได้ปีนี้ตัวเองได้ดูหนังเช็คที่เป็นหนังตลกไปแล้ว 3 เรื่อง ซึ่งประทับใจมากๆ ทุกเรื่อง ได้แก่
1. One Hand Cant Clap (A+ ) หนังเรื่องนี้เป็น หนังตลกหน้าตาย + ตลกร้าย
2. Some Secret (A-) เป็นหนังตลกที่ซึ้งมากด้วย
(ข้อ 1 และ 2 ได้ดูในเทศกาลหนังยุโรปปี 2005)
3. The Imp (A) ความน่าสนใจของหนังตลกเรื่องนี้คือ เป็นหนังตลกที่มีลักษณะ หนังทดลอง อยู่ด้วย
-- ที่น่าแปลกใจก็คือว่า ในหนังทั้ง 3 เรื่อง มี Jiri Machacek ร่วมเล่นอยู่ด้วยทุกเรื่อง (เห็นเขาแล้วจำได้ทันทีเพราะเขาใบหน้าเขาเป็นลักษณ์มาก หน้าเขาคล้ายๆ เดวิด ดูคอฟนี่ เวอร์ชันประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์) เลยเดาว่าเขาน่าจะเป็นนักแสดงชื่อดังในเช็ค
Jiri Machacek //www.imdb.com/name/nm0532713/
ข้อมูลใน imdb.com บอกว่าเขาเป็นร้องน้องนำของวง MiG-21 ถ้าจำไม่ผิดตอน end credit ของ The Imp จะมีชื่อของวงนี้ปรากฏขึ้นมาด้วย (น่าจะมาทำเพลงประกอบให้)
-- จุดเด่นของหนังเรื่อง The Imp คือ
1. ไม่มีบทพูดเลย (กรี๊ด!) ซึ่งผมชอบมาก เพราะผมวันหลังๆ มาผมขี้เกียจอ่านซับไตเติ้ลมากๆ ที่สำคัญคือ แม้จะไม่มีบทพูดแต่หนังก็ฮามากๆ
2. ลักษณะความเป็น หนังทดลอง โดยการ เร่งสปีดภาพ (เหมือนเรื่อง Ghost of Asia ของคุณเจ้ย)
-- ตอนแรกๆ ที่ดูหนังเรื่องนี้ก็นึกว่าคนฉายเผลอไปกดโดนฟังก์ชัน Forward เสียอีก แต่พอรู้ตัวว่าไม่ใช่ก็ต้องรีบตั้งสติอย่างเร็วเพราะช่วงแรกๆ ตามหนังไม่ค่อยทันเท่าไร (สาเหตุเพราะก่อนหน้านี้เจอหนังที่ นิ่งสุดๆ อย่าง Angels Fall เข้าไป) พอหลังจากที่จับจังหวะหนังได้แล้วก็สนุกไปกับตัวหนังมาก
-- นอกการเทคนิคการเร่งสปีดภาพจะทำให้พฤติกรรมของตัวละครดูตลกขบขันแล้ว เข้าใจว่าเทคนิคนี้ยังช่วยขับเน้นเรื่อง สภาพสังคมอันวุ่นวาย และ พฤติกรรมซ้ำซาก ด้วย ซึ่งหนังก็นำเสนอตัวละครทั้ง 4 ในเรื่องนี้ คือ
1. คุณพ่อ ทำงานในโรงงานฆ่าสัตว์ ซึ่งเป็นงานที่ซ้ำซากสุดๆ
2. คุณแม่เป็นแคชเชียร์ที่ซูเปอร์มาร์เก็ต วันๆ ก็ฟังแต่เสียง ตื๊ด ตื๊ด ตื๊ด ของเครื่องคิดเงิน
3. ลูกชาย เรียนสาขาอะไรสักอย่างที่เกี่ยวกับพวกสัตว์ เวลาเรียนก็ศึกษาแต่เครื่องในสัตว์
4. ลูกสาว เจออาจารย์สอนเลขที่พูดภาษาคนไม่รู้เรื่อง แต่พูดเป็นภาษาคณิตศาสตร์
-- หนังที่มีการใช้เทคนิคเร่งสปีดภาพ เพื่อเน้นเรื่องความวุ่ยวายของสังคมหรืออะไรที่ซ้ำซากๆ เท่าที่นึกออกก็ เช่น
1. Koyanniqatsi ฉากที่คนไปยืนออกันรอขึ้นบันไดเลื่อน เข้าใจว่าหนังต้องการบอกเล่าถึงความไร้สาระของมนุษย์ที่สร้างเครื่องมืออำนวยความสะดวกสบายขึ้นมา แต่ก็กลายเป็นความลำบากแก่ตัวเองในที่สุด
ถ้าพูดถึง บันไดเลื่อน แล้ว หนังเรื่อง Freak Orlando ที่ได้ดูในวันนี้ ฉากที่มีความวุ่นวายโกลาหลสุดๆ ก็เกิดขึ้นที่บันไดเลื่อน
2. หนังของชาร์ลี แชปลิน ที่พระเอกเป็นคนงานในโรงงาน (ถ้าจำไม่ผิดคือเรื่อง Modern Times หรือเปล่าครับ? พอดีได้ดูเพราะอาจารย์วิชามนุษย์ศาสตร์ที่มหาลัยเปิดให้ดู เลยจำไม่ค่อยได้แล้ว)
-- ทั้งหนังเรื่อง The Imp และ 4 มีฉากของ โรงงานฆ่าสัตว์ ทั้งคู่ แต่ทั้งที่ The Imp แสดงภาพกรรมวิธีแล่เนื้อเฉือนหนังสัตว์กันจะจะ แต่กลับไม่รู้สึกกลัวแต่อย่างใด ขณะที่ 4 ไม่มีภาพแบบนั้นเลย แต่บรรยากาศกลับน่ากลัวกว่ามากๆ
ถ้าจำไม่ผิด The X-Files ตอนหนึ่งก็มีเรื่องเกี่ยวกับโรงงานฆ่าสัตว์ ประมาณว่าผู้ชายคนหนึ่งทำงานในโรงงานฆ่าไก่ ทุกวันๆ ก็ต้องคอยแล่ไก่ที่แล่นมาตายสายพาน จนในที่สุดเขาก็เห็นภาพหลอน และเรื่องราวชิบหายมากมายก็ตามมาเดือดร้อนถึงสองคู่หูโมลเดอร์ + สกัลลี่ (ตามเคย)
----------------------------------------------------
mer's ADORABLE ACTRESS 1. Magdalena Montezuna (Freak Orlando) 2. Tulin Ozen (Angels Fall) **เข้าใจว่าเธอเล่นหนังเรื่องนี้เป็นเรื่องแรก
mers ADORABLE OPENING SCENE 1. 4 (สุดยอดของสุดยอด) 2. Angels Fall 3. Battle in Heaven 4. Dorian Gray in the Mirror of Yellow Press
mers ADORABLE ENDING SCENE 1. Angels Fall (ชอบมาก) 2. Battle in Heaven 3. 4 4. The Tenth Planet: A Single Life in Bagdad 5. Shop on the Main Street
mers ADORABLE CINEMATOGRAPHER Eyup Boz (Angels Fall)
mers ADORABLE DIRECTOR Semih Kaplanoglu (Angels Fall)
Create Date : 23 ตุลาคม 2548 |
|
12 comments |
Last Update : 24 ตุลาคม 2548 3:37:39 น. |
Counter : 4249 Pageviews. |
|
|
|
ตอนนี้ไม่ไหวจริงๆ ใครมาเจอผมตัวเป็นๆ จะรู้เลยว่าตอนนี้ผมโทรมมาก
เทศกาลนี้ดูทั้งหมด 31 เรื่อง....