http://twitter.com/merveillesxx และ http://www.facebook.com/merpage
Group Blog
 
<<
กุมภาพันธ์ 2551
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
242526272829 
 
18 กุมภาพันธ์ 2551
 
All Blogs
 

Atonement : Sorry Seems to Be the Hardest Word

โดย คันฉัตร รังษีกาญจน์ส่อง




(คำเตือน : บทความนี้เปิดเผยเนื้อเรื่องของภาพยนตร์ / ไปดูหนังกันก่อนนะครับ)


จากภาพยนตร์เพียง 2 เรื่อง (Pride & Prejudice และ Atonement) ดูเหมือนว่า โจ ไรต์ จะเป็นผู้กำกับที่เราเชื่อถือในฝีมือได้คนหนึ่ง หนังสองเรื่องนี้ใช้สูตรคล้ายกันคือ สร้างจากวรรณกรรมชั้นดี, เลือกใช้นักแสดงฝีมือดี และใช้เทคนิคปรุงแต่งอันจัดจ้าน แต่สิ่งที่น่าดีใจก็คือ ฝีมือของเขาพัฒนาขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในผลงานชิ้นถัดมา

เราอาจแบ่งเนื้อเรื่องของ Atonement ได้ 2 ช่วงใหญ่ๆ ครึ่งแรกคือ การเล่าถึงเหตุการณ์หนึ่งวันที่เกิดในบ้านของตระกูลทัลลิส หลังจากปฏิเสธความรู้สึกตัวเองมาตลอดด้วยฐานะที่ต่างกัน ในที่สุดซีซิเลีย (คีร่า ไนต์ลีย์ - ซึ่งดูดีเสมอในหนังของไรต์) ก็ยอมรับว่าตัวเองรักลูกคนสวนอย่างร็อบบี้ (เจมส์ แม็กอาวอย) แต่ความสัมพันธ์ของทั้งสองก็ต้องพังพินาศทั้งที่ยังไม่ได้เริ่มต้น เมื่อไบรโอนี่ (เซียร์ชา โรแนน) น้องสาวของซีซิเลีย เข้าใจผิด + คิดไปเอง (หรือเปล่า?) ว่าร็อบบี้ข่มขืนโลล่า ลูกพี่ลูกน้องของเธอ

หนังในช่วงแรกนี้โดดเด่นในแง่เทคนิคการเล่าเรื่องแบบ 2 ครั้ง 2 มุมมอง เช่น เหตุการณ์ที่ริมสระน้ำ ที่หนังเล่าผ่านจากทั้งมุมมองของไบรโอนี่ และของซีซิเลีย + ร็อบบี้ การใช้การถ่ายภาพแบบฟุ้งแสงขัดแย้งมากกับบรรยากาศของหนังที่คล้ายกับหนังทริลเลอร์ (เหตุการณ์รุนแรงค่อยๆ คลืบคลานเข้ามา) อีกทั้งการตัดต่ออย่างฉับไวและดนตรีประกอบที่ค่อนข้างอึกทึกจนดูไม่เหมือนหนังย้อนยุค แต่ก็น่าแปลกที่องค์ประกอบเหล่านี้เข้ากันได้ดียิ่ง

ส่วนครึ่งหลังของหนัง อาจนับได้ตั้งแต่ตอนที่ร็อบบี้อาสาไปรบในสงครามเพื่อไม่ต้องอยู่ในคุก / ไบรโอนี่ไปเป็นพยาบาลเพราะสำนึกผิด / ไบรโอนี่ได้พบกับซีซิเลียและร็อบบี้ / ไปจนถึงตอนจบของเรื่อง สิ่งที่น่าชื่นชมในช่วงนี้คือ ไรต์ไม่ได้ถ่ายทอดภาพของสงครามด้วยฉากยิงกันตูมตามแบบที่เราชินตา ฉากลองเทคเกือบ 5 นาทีที่ริมหาดเป็นฉากที่ทรงพลัง และน่าสะเทือนใจกว่าฉากสงครามดาดๆ ในหนังฮอลลีวู้ดเสียอีก

แต่ก็ต้องยอมรับว่าในช่วงกลางเรื่อง มีบางตอนที่อารมณ์ของหนังลดลงไปบ้าง สาเหตุมาจากการเล่าเรื่องที่ไม่เร้าใจแบบในครึ่งแรก ประกอบกับ โรโมลา กาไร ที่แสดงเป็นไบรโอนี่วัยสาวนั้น ให้การแสดงในระดับกลางๆ และที่สำคัญ...เธอไม่ค่อยสวย (แต่ขอแนะนำให้หาหนังเรื่อง I Capture the Castle มาดู เธอแสดงนำและเล่นดีมาก)

อย่างไรก็ดี เมื่อดำเนินถึงช่วงท้าย พลังของหนังก็พุ่งขึ้นถึงจุดสูงสุดอีกครั้ง ด้วยเซอร์ไพรส์ 2 อย่าง ข้อแรกคือ การที่หนังเฉลยว่าที่จริงแล้วไบรโอนี่แอบหลงรักร็อบบี้ (ซึ่งที่จริงก็อาจจะไม่ใช่เรื่องหักมุมอะไรและพอเดาได้) สิ่งที่ผมชอบก็คือ หนังเล่าถึงประเด็นนี้ด้วยฉากที่ไบรโอนี่พูดกับเพื่อนว่า “ฉันยังไม่เคยมีแฟนหรอกนะ แต่ฉันเคยหลงรักผู้ชายคนนึงตอนอายุ 12-13” เธอเล่าถึงมันอย่างผ่านๆ แต่ที่จริงแล้วคือเรื่องสำคัญมาก เพราะเป็นหลักฐานสนับสนุนถึงความเป็นไปได้ว่าเหตุการณ์ในครึ่งแรกไม่ได้เกิดจากความเข้าใจผิดโดยบริสุทธิ์ของไบรโอนี่ แต่อาจเป็น ‘ความตั้งใจ’ เกิดจากความผิดหวัง, ความอิจฉาริษยา (ไม่ว่าจะมาจากจิตสำนึกหรือจิตใต้สำนึกก็ตาม / อย่าลืมว่าเด็กคนนี้เคยถึงขั้นโดดน้ำเพื่อพิสูจน์ความรัก (ข้างเดียว) มาแล้ว) แต่ทั้งหมดทั้งปวงเกิดขึ้นจากสิ่งที่เรียกว่า ‘ความไร้เดียงสา’

เซอร์ไพรส์ที่สองคือ ตอนท้ายที่เล่าถึงไบรโอนี่วัยชรา (วาเนสซ่า เรดเกรฟ กับการแสดงอันน่ากราบกราน) หนังบอกกับเราว่าตอนนี้เธอคือนักเขียนชื่อดังที่กำลังจะออกหนังสือเล่มใหม่ซึ่งเป็นอัตชีวประวัติของเธอเอง ซีซิเลียกับร็อบบี้ก็เป็นตัวละครในนิยายนี้ด้วย เทคนิคการเล่าเรื่องแบบ 2 มุมมองถูกกลับมาใช้อีกครั้ง แต่ไม่ใช่ด้วยการเล่าซ้ำ แต่เป็นการเล่าผ่านคำพูดของไบรโอนี่ คนดูได้ทราบว่าตัวเองถูกหลอกเต็มเปา เพราะฉากก่อนหน้าที่ไบรโอนี่ไปขอโทษซีซิเลียนั้นไม่เคยเกิดขึ้นจริง!

ความสำคัญของการเฉลยนี้อยู่ที่ว่า แท้จริงแล้วหนังส่วนครึ่งหลังอาจจะไม่มีอะไรจริงเลย มันอาจเป็นเพียงส่วนหนึ่งจากนิยายของไบรโอนี่ก็ได้ แน่นอนว่าเธอไม่เคยได้พบกับพี่สาวอีกเลยนับจากเหตุการณ์เลวร้ายวันนั้น แล้วเธอก็ไม่น่าจะไปร่วมงานแต่งงานของโลล่ากับพอล มาร์แชล ภาพร็อบบี้ในสงครามก็อาจล้วนมาจากจินตนาการของเธอ และถ้าคิดให้ถึงที่สุดเรื่องที่เธอไปเป็นพยาบาลเพื่อการไถ่โทษนั้นอาจไม่เป็นความจริงเช่นกัน

อย่าลืมว่าในตลอดหนังเรื่องนี้เราจะได้ยินเสียง ‘พิมพ์ดีด’ เกือบตลอด (และชัดเจนมากในครึ่งหลัง) ซึ่งเหมือนการบอกใบ้ว่านี่เรากำลังอ่านนิยายของไบรโอนี่อยู่ ตัวอย่างที่ชัดมากคือฉากที่ร็อบบี้ไปพบศพของเหล่าเด็กนักเรียนสาว ศพพวกนั้นดูจัดวางราวกับงานศิลปะ จนเหมือนออกมาจากฉากในนิยายไม่มีผิด สิ่งที่น่าสนใจคือ ความก้ำกึ่งระหว่างเรื่องจริง/เรื่องแต่งนี้ไม่ปรากฏในฉบับหนังสือ หากแต่เกิดขึ้นได้เฉพาะในสื่อภาพยนตร์เท่านั้น ในทางกลับกัน ความโดดเด่นของหนังสือน่าจะเป็นเรื่องกระบวนการเขียน (writing process) ของไบรโอนี่มากกว่า (ซึ่งแน่นอนว่าหนังไม่มีทางเล่าถึงประเด็นนี้ได้ดีเท่าหนังสือ)

ผมคิดว่าที่จริงแล้ว Atonement พูดถึงเรื่องของ ‘นักเขียน’ หรือ ‘วิถีของหนังเขียน’ มากกว่าจะเป็นหนังโศกนาฏกรรมความรักเสียอีก สิ่งนี้ถูกเล่าผ่านตัวละครของไบรโอนี่ ในฉากเปิดเรื่องเราเห็นเธอเขียนบทละคร ถึงแม้ละครจะล่ม แต่ในที่สุดคืนนั้นเธอก็ได้เขียนบทละครอีกเรื่องขึ้นมา นั่นคือเรื่องของหนุ่มสาว (ซีซิเลีย + ร็อบบี้) ที่ต้องพรากจากกัน (แถมเธอก็เป็น ‘ผู้กำกับ’ จริงๆ แบบที่โลล่าโยนตำแหน่งนี้มาให้) ในตอนนี้ยังมี irony (การเสียดสี) อย่างรุนแรงตรงที่ไบรโอนี่พูดไว้ว่า “บทละครของฉันต้องเป็นเรื่องของความรักที่สมเหตุสมผล” แต่สิ่งที่เธอทำกลับตรงข้ามกับประโยคนั้นโดยสิ้นเชิง ความรักของเธอต่อร็อบบี้ที่ผลักดันให้เธอทำสิ่งเลวร้ายนั้นเป็นความรักเสียสติชัดๆ

ชีวิตยอดนักเขียนของไบรโอนี่กลับมาให้เห็นอีกครั้งในตอนท้าย เธอเขียนนิยายเล่มสุดท้ายเพื่อเป็นการไถ่โทษให้กับพี่สาวและคนรัก (เป็นทั้งคนรักของพี่สาวและของเธอเอง) เธอเขียนให้ทั้งคู่ได้มีความสุขในตอนจบ แต่เธอก็ยังใช้วิธี ‘นั่งเทียนเขียน’ เหมือนบทละครในคืนนั้นไม่มีผิด (นอกจากนั้นยังบังเอิญมากว่า โรโมลา กาไร ก็เพิ่งรับบทนำเป็นนักเขียนจอมนั่งเทียนในเรื่อง Angel ของฟรองซัวส์ โอซอง มาหมาดๆ) อย่างที่เราทราบกันว่าเธอเขียนมันมาทั้งชีวิตควบคู่กับความรู้สึกผิดในใจ แต่ Irony ที่แรงมากตรงนี้คือ เธอกำลังจะหลุดพ้นจากความรู้สึกผิดตรงนี้เพราะตายด้วยโรคสมองเสื่อม!

ผมไปอ่านเจอกระทู้ในอินเตอร์เน็ตที่น่าสนใจมากว่า “ถ้าเป็นคุณ คุณจะให้อภัยไบรโอนี่หรือไม่” เป็นคำถามที่ดูพื้นฐาน แต่ก็มีความสำคัญมาก สิ่งที่ผมชอบอีกอย่างก็คือ หนังไม่ได้บังคับให้เราต้องรู้สึกเห็นใจไบรโอนี่จนเกินไป (บางคนดูจบแล้วยิ่งเกลียดเธอไปใหญ่) เพราะการเขียนหนังสือขอโทษของเธอ ก็เป็นการทำเพื่อตัวเองทั้งนั้นแหละ (เวลาขอโทษใครเราไม่ได้ทำเพื่ออีกฝ่าย 100% เราทำเพื่อตัวเองด้วย) เธอก็ยังมีความเห็นแก่ตัวเหมือนสมัยอายุ 13 และที่สำคัญการขอโทษ ‘คนตาย’ มันง่ายกว่าคนเป็นเยอะ (ลองคิดดูว่าถ้าซีซิเลียกับร็อบบี้ยังไม่ตาย ไบรโอนี่จะเขียนหนังสือได้ยากลำบากกว่านี้กี่ล้านเท่า) อย่างไรก็ดี ในฐานะนักเขียนด้วยกัน ผมเชื่อว่านี่เป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว ที่คนอย่างไบรโอนี่พอจะทำได้

แต่เรื่องที่น่าเศร้าก็คือ บางครั้งเราตะโกนคำขอโทษนั้นออกไปสุดเสียง และได้รับกลับมาแต่เพียงความว่างเปล่า แต่เสียงสำนึกของความรู้สึกผิดยังคงดังก้องอยู่ในใจเราเสมอ เหมือนกับที่ไบรโอนี่ไม่มีวันได้ยินคำให้อภัยจากทั้งซีซิเลียและร็อบบี้




หมายเหตุ

1. Sorry Seems to Be the Hardest Word เป็นชื่อเพลงของ เอลตัน จอห์น

2. ในฉากที่แม่ของร็อบบี้วิ่งออกมาขวางรถตำรวจและตะโกนว่า “Liar Liar Liar” ซับไตเติ้ลแปลไปในชิงด่าว่าร็อบบี้ (“ไอ้ลูกไม่รักดี”) แต่ถ้าผมเข้าไม่ผิดเธอน่าจะด่าพวกตำรวจว่า “ไอ้พวกโกหก” มากกว่า อย่างไรก็ดีคำบรรยายของเรื่องนี้สละสลวยและราบรื่นมาก ขอชื่นชมผู้แปลไว้ ณ ที่นี้






 

Create Date : 18 กุมภาพันธ์ 2551
11 comments
Last Update : 18 กุมภาพันธ์ 2551 9:51:21 น.
Counter : 3482 Pageviews.

 

+ เห็นด้วยอย่างยิ่ง กับหลายๆ มุมมองที่น้องต่อว่าไว้ ... และขอบคุณที่ทำให้พี่มีมุมมองต่อหนังเจ๋งๆ เรื่องนี้ที่ลึกขึ้นด้วยครับผม
+ จะว่าไป หนังเรื่องนี้จะถือเป็นธีม 'ไถ่บาป' ได้ด้วยมั้ยครับ? เพียงแต่วิธีการที่ไบรโอนี่ใช้ ไม่เหมือนกับใครในหนังเรื่องไหน แค่นั้นเอง
+ ดูจบแล้วออกจะเกลียดๆ น้องโรแนน เลยนะนั่น เธอเล่นได้ดีคู่ควรแก่การเข้าชิงออสการ์แล้วเนาะครับ

 

โดย: บลูยอชท์ 19 กุมภาพันธ์ 2551 17:06:28 น.  

 

ผมมาโปรโมตงานอ่ะครับพี่

แต่พี่คงจะรู้แล้วมั้ง

 

โดย: art IP: 203.158.215.80 20 กุมภาพันธ์ 2551 17:54:59 น.  

 

ยังไ่ม่อ่านนะต่อ คงต้องรอดูดีวีดีเหมียนเคย

 

โดย: I will see U in the next life. 21 กุมภาพันธ์ 2551 13:32:26 น.  

 

พระเจ้า! ปอไม่เคยคิดเลยว่าพี่ต่อจะดู Pride&Prejudice ด้วย (ก็มันออกจะน้ำเน่าหนังไทยขนาดนั้น --- แต่ปอก็ชอบที่สุดเลย)

วันนี้ปอพยายามอ่านนิยายเรื่อง "Persuasion" ของ Jane Austen ่ปรากฎว่าอ่านออกแต่อ่านไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจเหมือนกันว่ากะอีแค่นิยายเก่าอายุ 200 ปี ทำไมมันอ่านยากกว่าแฮรี่ พอตเตอร์มากมายนัก...

เอ่อ ยังไม่ได้อ่านบลอคนี้นะ พอดีแม่เรียกกินข้าว เดี๋ยวมาอ่านใหม่

 

โดย: ปอเอง IP: 203.113.35.7 21 กุมภาพันธ์ 2551 20:00:51 น.  

 

ทำไมไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้มาก่อนเลย!

อยากดู แต่ก็อ่าน spoil ไปหมดแล้ว....

 

โดย: ปอเอง IP: 203.113.35.12 21 กุมภาพันธ์ 2551 20:29:39 น.  

 

ไม่รุ้ว่าคุณ Mervilles ได้ดู Hatsu Koi ของอาโออิ มิยาซากิหรือยัง ผมมว่าอาโออิเล่นดีมากๆ เหมือนดึงตัวมิซูสึจริงๆออกมา สมกับเป็นเจ้าแม่หนังดราม่าตริงๆ อิอิ

 

โดย: ิิboyd IP: 58.8.116.134 28 กุมภาพันธ์ 2551 17:10:18 น.  

 

^
^
ดูในโรงเลยครับ

แต่เรื่องนี้ผมเฉยๆ อ่ะจ้ะ แต่อาโออิ ก็เล่นดีในระดับนึง

ชอบพี่ชายน้องเค้าง่ะ 555 (เล่นด้วย)

 

โดย: merveillesxx 28 กุมภาพันธ์ 2551 20:28:31 น.  

 

เพิ่งดูเมื่อคืนนี่เองครับ ประทับใจมากๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแสดงของเซียร์ชา โรแนน ผมอ่านบทวิจารณ์หนังเรื่องนี้จากคอลัมน์ใน สยามรัฐ(รายสัปดาห์) ซึ่งกล่าวว่า Atonement (at-one-ment จากคอลัมน์ดังกล่าว) เป็นจินตนิยายต่อต้านศาสนาและสังคมที่ปิดกั้น ทำให้ช่วยเข้าใจและดูหนังสนุกขึ้นครับ ไม่งั้นผมอาจจะไม่เข้าใจแก่นของเรื่องก็ได้

ผมไม่เห็นด้วยกับคุณเมอร์ในประเด็นหนึ่งครับ ที่ว่าหนังในช่วงครึ่งหลัง หลังตัดมาสู่ช่วงที่ร็อบบี้อยู่ในสมรภูมิในฝรั่งเศสสามารถตีความว่าเป็นเรื่องจินตนาการเพื่อบรรเทาความรู้สึกผิดบาปของไบรโอนี่ ข้อแรกเลยเพราะว่าไบรโอนี่(วัยชรา)บอกว่านิยายเรื่องสุดท้ายของเธอมีส่วนที่เป็นเรื่องแต่งเฉพาะเรื่องที่เธอเดินทางไปพบซี-พี่สาว เพื่อขอโทษและพบกับร็อบบี้ กับเรื่องบทสรุปชีวิตรักของร็อบบี้กับซีที่ลงเอยด้วยความสุขสมหวังเท่านั้น ซึ่งตรงนี้ผมมองไบรโอนี่ด้วยความรู้สึกที่ดีมากๆ มันต่างกับจินตนาการว่าได้พบพี่สาวกับร็อบบี้เพื่อขอโทษครับ ผมคิดว่าไบรโอนี่จินตนาการตรงส่วนนี้เพราะความรักความผูกพันกับคนทั้งสองมากกว่าจะเพื่อบรรเทาความรู้สึกผิด

ข้อสองก็คือ ต่อจากที่ไบรโอนี่เผยว่าการได้พบและขอโทษของเธอเป็นเพียงเรื่องในจินตนาการ เธอเล่าว่าในความเป็นจริงร็อบบี้ไม่ได้กลับมา เขาตายด้วยอาการเลือดเป็นพิษ(ดันเคิร์กรึเปล่า ผมไม่แน่ใจ) ส่วนซีตายอย่างน่าอนาถเช่นเดียวกันเพราะน้ำที่ทะลักเข้าท่วมที่หลบภัยใต้ดิน ซึ่งเหตุการณ์ตรงนี้ต้องต่อเนื่องกันตั้งแต่ร็อบบี้พบกับซีเป็นครั้งสุดท้ายก่อนเข้าสู่สมรภูมิในฝรั่งเศสครับ ผมจึงไม่สงสัยว่าเหตุการณ์ในช่วงครึ่งหลังของเรื่อง สามารถตีความได้ว่าเป็นจินตนาการของไบรโอนี่ แต่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง ทว่าอย่างไรก็ตามเหตุการณ์ทุกอย่างเสมือนมองผ่านสายตาของไบรโอนี่ครับ ไม่ว่าเรื่องจริงหรือเรื่องที่เธอแต่งขึ้น

อันนี้เล็กๆน้อยๆครับ จะได้ตรงกับรายละเอียดในหนังมากขึ้น ไบรโอนี่ในตอนจบ เธอใกล้ตายจากอาการป่วยหัวใจครับ ซึ่งเมื่ออาการหนักขึ้นสมองของเธอจะค่อยๆ เสื่อมและตายลงครับ

 

โดย: HEADACHE IP: 119.42.70.40 4 มิถุนายน 2551 14:55:30 น.  

 

แก้ให้คห ข้างต้นนิดนึงนะครับ ตอนจบ ไบรโอนี่เธอเป็นโรคเกี่ยวกับเส้นเลือดในสมองนะครับ (vascular dementia) เพราะงั้นถ้าเธอไม่เขียน อีกไม่นานความจำเธอก็จะหาย (รวมถึงความรู้สึกผิด หรืออะไรก็แล้วแต่) ด้วยครับ

 

โดย: ขอเสริม IP: 58.8.144.137 2 กรกฎาคม 2551 23:26:22 น.  

 

เอ?? คงเป็นเพราะซับฯไม่เหมือนกันรึเปล่าครับ ที่ผมดูจากดีวีดี ซับเค้าบอกว่าไบรโอนี่ใกล้จะตายและสมองเริ่มจะเสื่อมลงเพราะอาการที่หัวใจน่ะครับ ผิดพลาดก็ขออภัยครับ

 

โดย: HEADACHE IP: 222.123.114.218 22 กรกฎาคม 2551 16:23:35 น.  

 

อ้อ พอจะเข้าใจบ้างแล้วครับ สำหรับข้อเท็จจริงเรื่องอาการป่วยใกล้ตายของไบรโอนี่ อันนี้ผมไม่ได้กลับไปดูดีวีดีอีกรอบนะครับ(แผ่นเช่าน่ะ) แต่ค่อนข้างมั่นใจว่าไบรโอนี่ให้สัมภาษณ์ว่าเธอมีอาการป่วยที่หัวใจครับ

ผมลองค้นดูข้อมูลจาก vascular dementia(ขอบคุณที่ระบุมาครับ) ซึ่งเป็นชื่อเรียกอาการสมองเสื่อมจากเส้นเลือดตีบ พอได้ความมาว่าอาการสมองเสื่อมลักษณะนี้สามารถสัมพันธ์กับหัวใจได้ครับ ก็คือเป็นอาการที่เกี่ยวเนื่องกันนั่นเอง เป็นไปได้ว่าไบรโอนี่เริ่มป่วยที่หัวใจแล้วรุกลามไปสู่อาการเส้นเลือดตีบสุดท้ายก็จะส่งผลให้สมองเสื่อม ซึ่งน่าจะเป็นอาการในระยะสุดท้ายก่อนตายตามที่ไบรโอนี่เล่า สรุปว่าถูกทั้งคู่นะคร้าบ
คือด้วยความรู้สึกตอนที่ดู Atonement ผมไม่อยากเอนเอียงไปทางแง่มุมที่เป็น"คนบาป"ของไบรโอนี่มากเกินไปน่ะครับ ต้องไม่ลืมว่าการเติบโตและมุมมองของเธอมันมาจากสภาพสังคมที่ปิดกั้นและมีอคติ ถ้ามองในมุมนี้อาจจะบอกว่าไบรโอนี่เป็นเหยื่อของสังคมที่เปลือกนอกงดงามแต่เน่าในแบบนั้นก็ได้ ที่สำคัญที่สุดก็คือความรู้สึกที่เธอมีต่อซี-พี่สาว กับร็อบบี้ ...ไบรโอนี้ทั้งรักและเทิดทูนในตัวพี่สาวนะครับถ้าผมดูไม่ผิด กับร็อบบี้ เธอก็ชื่นชมอย่างลึกซึ้งจนกลายเป็นความรัก ซึ่งเธอได้เปรยกับเพื่อนคนหนึ่งตอนเป็นพยาบาลอาสาว่าครั้งหนึ่งเธอเคยมีรักแท้ ก็อนุมานได้ว่ารักแท้ไม่ใช่รักแค่ชั่วเวลาใดเวลาหนึ่ง จึงเป็นไปได้ว่าลึกๆในใจไบรโอนี่ยังรักร็อบบี้อยู่ไม่มากก็น้อยครับ

ผมจึงรู้สึกดีกับไบรโอนี่มาก เมื่อปรากฎว่าเธอสร้างตอนจบของนิยายให้ร็อบบี้และซีได้กลับมาอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข(โดยที่ไม่มีเธออยู่ด้วย) ผมรู้สึกว่าตั้งแต่ไบรโอนี่ถลำลึกสู่ก้นบึ้งดำมืดของอคติจนเกือบจะจบเรื่อง เธอน่าสงสารครับ แต่เมื่อบทสรุปมาถึงเธอน่าชื่นชมมากครับ ถึงแม้ว่ามันจะเป็นการไถ่บาปในนิยายก็ตาม

 

โดย: HEADACHE IP: 118.172.246.252 24 กรกฎาคม 2551 22:40:24 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


merveillesxx
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 58 คน [?]




สำส่อนทางการดูหนัง ฟังเพลงและเสพวรรณกรรม
New Comments
Friends' blogs
[Add merveillesxx's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.