Atonement : Sorry Seems to Be the Hardest Word
โดย คันฉัตร รังษีกาญจน์ส่อง
(คำเตือน : บทความนี้เปิดเผยเนื้อเรื่องของภาพยนตร์ / ไปดูหนังกันก่อนนะครับ)
จากภาพยนตร์เพียง 2 เรื่อง (Pride & Prejudice และ Atonement) ดูเหมือนว่า โจ ไรต์ จะเป็นผู้กำกับที่เราเชื่อถือในฝีมือได้คนหนึ่ง หนังสองเรื่องนี้ใช้สูตรคล้ายกันคือ สร้างจากวรรณกรรมชั้นดี, เลือกใช้นักแสดงฝีมือดี และใช้เทคนิคปรุงแต่งอันจัดจ้าน แต่สิ่งที่น่าดีใจก็คือ ฝีมือของเขาพัฒนาขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในผลงานชิ้นถัดมา
เราอาจแบ่งเนื้อเรื่องของ Atonement ได้ 2 ช่วงใหญ่ๆ ครึ่งแรกคือ การเล่าถึงเหตุการณ์หนึ่งวันที่เกิดในบ้านของตระกูลทัลลิส หลังจากปฏิเสธความรู้สึกตัวเองมาตลอดด้วยฐานะที่ต่างกัน ในที่สุดซีซิเลีย (คีร่า ไนต์ลีย์ - ซึ่งดูดีเสมอในหนังของไรต์) ก็ยอมรับว่าตัวเองรักลูกคนสวนอย่างร็อบบี้ (เจมส์ แม็กอาวอย) แต่ความสัมพันธ์ของทั้งสองก็ต้องพังพินาศทั้งที่ยังไม่ได้เริ่มต้น เมื่อไบรโอนี่ (เซียร์ชา โรแนน) น้องสาวของซีซิเลีย เข้าใจผิด + คิดไปเอง (หรือเปล่า?) ว่าร็อบบี้ข่มขืนโลล่า ลูกพี่ลูกน้องของเธอ
หนังในช่วงแรกนี้โดดเด่นในแง่เทคนิคการเล่าเรื่องแบบ 2 ครั้ง 2 มุมมอง เช่น เหตุการณ์ที่ริมสระน้ำ ที่หนังเล่าผ่านจากทั้งมุมมองของไบรโอนี่ และของซีซิเลีย + ร็อบบี้ การใช้การถ่ายภาพแบบฟุ้งแสงขัดแย้งมากกับบรรยากาศของหนังที่คล้ายกับหนังทริลเลอร์ (เหตุการณ์รุนแรงค่อยๆ คลืบคลานเข้ามา) อีกทั้งการตัดต่ออย่างฉับไวและดนตรีประกอบที่ค่อนข้างอึกทึกจนดูไม่เหมือนหนังย้อนยุค แต่ก็น่าแปลกที่องค์ประกอบเหล่านี้เข้ากันได้ดียิ่ง
ส่วนครึ่งหลังของหนัง อาจนับได้ตั้งแต่ตอนที่ร็อบบี้อาสาไปรบในสงครามเพื่อไม่ต้องอยู่ในคุก / ไบรโอนี่ไปเป็นพยาบาลเพราะสำนึกผิด / ไบรโอนี่ได้พบกับซีซิเลียและร็อบบี้ / ไปจนถึงตอนจบของเรื่อง สิ่งที่น่าชื่นชมในช่วงนี้คือ ไรต์ไม่ได้ถ่ายทอดภาพของสงครามด้วยฉากยิงกันตูมตามแบบที่เราชินตา ฉากลองเทคเกือบ 5 นาทีที่ริมหาดเป็นฉากที่ทรงพลัง และน่าสะเทือนใจกว่าฉากสงครามดาดๆ ในหนังฮอลลีวู้ดเสียอีก
แต่ก็ต้องยอมรับว่าในช่วงกลางเรื่อง มีบางตอนที่อารมณ์ของหนังลดลงไปบ้าง สาเหตุมาจากการเล่าเรื่องที่ไม่เร้าใจแบบในครึ่งแรก ประกอบกับ โรโมลา กาไร ที่แสดงเป็นไบรโอนี่วัยสาวนั้น ให้การแสดงในระดับกลางๆ และที่สำคัญ...เธอไม่ค่อยสวย (แต่ขอแนะนำให้หาหนังเรื่อง I Capture the Castle มาดู เธอแสดงนำและเล่นดีมาก)
อย่างไรก็ดี เมื่อดำเนินถึงช่วงท้าย พลังของหนังก็พุ่งขึ้นถึงจุดสูงสุดอีกครั้ง ด้วยเซอร์ไพรส์ 2 อย่าง ข้อแรกคือ การที่หนังเฉลยว่าที่จริงแล้วไบรโอนี่แอบหลงรักร็อบบี้ (ซึ่งที่จริงก็อาจจะไม่ใช่เรื่องหักมุมอะไรและพอเดาได้) สิ่งที่ผมชอบก็คือ หนังเล่าถึงประเด็นนี้ด้วยฉากที่ไบรโอนี่พูดกับเพื่อนว่า ฉันยังไม่เคยมีแฟนหรอกนะ แต่ฉันเคยหลงรักผู้ชายคนนึงตอนอายุ 12-13 เธอเล่าถึงมันอย่างผ่านๆ แต่ที่จริงแล้วคือเรื่องสำคัญมาก เพราะเป็นหลักฐานสนับสนุนถึงความเป็นไปได้ว่าเหตุการณ์ในครึ่งแรกไม่ได้เกิดจากความเข้าใจผิดโดยบริสุทธิ์ของไบรโอนี่ แต่อาจเป็น ความตั้งใจ เกิดจากความผิดหวัง, ความอิจฉาริษยา (ไม่ว่าจะมาจากจิตสำนึกหรือจิตใต้สำนึกก็ตาม / อย่าลืมว่าเด็กคนนี้เคยถึงขั้นโดดน้ำเพื่อพิสูจน์ความรัก (ข้างเดียว) มาแล้ว) แต่ทั้งหมดทั้งปวงเกิดขึ้นจากสิ่งที่เรียกว่า ความไร้เดียงสา
เซอร์ไพรส์ที่สองคือ ตอนท้ายที่เล่าถึงไบรโอนี่วัยชรา (วาเนสซ่า เรดเกรฟ กับการแสดงอันน่ากราบกราน) หนังบอกกับเราว่าตอนนี้เธอคือนักเขียนชื่อดังที่กำลังจะออกหนังสือเล่มใหม่ซึ่งเป็นอัตชีวประวัติของเธอเอง ซีซิเลียกับร็อบบี้ก็เป็นตัวละครในนิยายนี้ด้วย เทคนิคการเล่าเรื่องแบบ 2 มุมมองถูกกลับมาใช้อีกครั้ง แต่ไม่ใช่ด้วยการเล่าซ้ำ แต่เป็นการเล่าผ่านคำพูดของไบรโอนี่ คนดูได้ทราบว่าตัวเองถูกหลอกเต็มเปา เพราะฉากก่อนหน้าที่ไบรโอนี่ไปขอโทษซีซิเลียนั้นไม่เคยเกิดขึ้นจริง!
ความสำคัญของการเฉลยนี้อยู่ที่ว่า แท้จริงแล้วหนังส่วนครึ่งหลังอาจจะไม่มีอะไรจริงเลย มันอาจเป็นเพียงส่วนหนึ่งจากนิยายของไบรโอนี่ก็ได้ แน่นอนว่าเธอไม่เคยได้พบกับพี่สาวอีกเลยนับจากเหตุการณ์เลวร้ายวันนั้น แล้วเธอก็ไม่น่าจะไปร่วมงานแต่งงานของโลล่ากับพอล มาร์แชล ภาพร็อบบี้ในสงครามก็อาจล้วนมาจากจินตนาการของเธอ และถ้าคิดให้ถึงที่สุดเรื่องที่เธอไปเป็นพยาบาลเพื่อการไถ่โทษนั้นอาจไม่เป็นความจริงเช่นกัน
อย่าลืมว่าในตลอดหนังเรื่องนี้เราจะได้ยินเสียง พิมพ์ดีด เกือบตลอด (และชัดเจนมากในครึ่งหลัง) ซึ่งเหมือนการบอกใบ้ว่านี่เรากำลังอ่านนิยายของไบรโอนี่อยู่ ตัวอย่างที่ชัดมากคือฉากที่ร็อบบี้ไปพบศพของเหล่าเด็กนักเรียนสาว ศพพวกนั้นดูจัดวางราวกับงานศิลปะ จนเหมือนออกมาจากฉากในนิยายไม่มีผิด สิ่งที่น่าสนใจคือ ความก้ำกึ่งระหว่างเรื่องจริง/เรื่องแต่งนี้ไม่ปรากฏในฉบับหนังสือ หากแต่เกิดขึ้นได้เฉพาะในสื่อภาพยนตร์เท่านั้น ในทางกลับกัน ความโดดเด่นของหนังสือน่าจะเป็นเรื่องกระบวนการเขียน (writing process) ของไบรโอนี่มากกว่า (ซึ่งแน่นอนว่าหนังไม่มีทางเล่าถึงประเด็นนี้ได้ดีเท่าหนังสือ)
ผมคิดว่าที่จริงแล้ว Atonement พูดถึงเรื่องของ นักเขียน หรือ วิถีของหนังเขียน มากกว่าจะเป็นหนังโศกนาฏกรรมความรักเสียอีก สิ่งนี้ถูกเล่าผ่านตัวละครของไบรโอนี่ ในฉากเปิดเรื่องเราเห็นเธอเขียนบทละคร ถึงแม้ละครจะล่ม แต่ในที่สุดคืนนั้นเธอก็ได้เขียนบทละครอีกเรื่องขึ้นมา นั่นคือเรื่องของหนุ่มสาว (ซีซิเลีย + ร็อบบี้) ที่ต้องพรากจากกัน (แถมเธอก็เป็น ผู้กำกับ จริงๆ แบบที่โลล่าโยนตำแหน่งนี้มาให้) ในตอนนี้ยังมี irony (การเสียดสี) อย่างรุนแรงตรงที่ไบรโอนี่พูดไว้ว่า บทละครของฉันต้องเป็นเรื่องของความรักที่สมเหตุสมผล แต่สิ่งที่เธอทำกลับตรงข้ามกับประโยคนั้นโดยสิ้นเชิง ความรักของเธอต่อร็อบบี้ที่ผลักดันให้เธอทำสิ่งเลวร้ายนั้นเป็นความรักเสียสติชัดๆ
ชีวิตยอดนักเขียนของไบรโอนี่กลับมาให้เห็นอีกครั้งในตอนท้าย เธอเขียนนิยายเล่มสุดท้ายเพื่อเป็นการไถ่โทษให้กับพี่สาวและคนรัก (เป็นทั้งคนรักของพี่สาวและของเธอเอง) เธอเขียนให้ทั้งคู่ได้มีความสุขในตอนจบ แต่เธอก็ยังใช้วิธี นั่งเทียนเขียน เหมือนบทละครในคืนนั้นไม่มีผิด (นอกจากนั้นยังบังเอิญมากว่า โรโมลา กาไร ก็เพิ่งรับบทนำเป็นนักเขียนจอมนั่งเทียนในเรื่อง Angel ของฟรองซัวส์ โอซอง มาหมาดๆ) อย่างที่เราทราบกันว่าเธอเขียนมันมาทั้งชีวิตควบคู่กับความรู้สึกผิดในใจ แต่ Irony ที่แรงมากตรงนี้คือ เธอกำลังจะหลุดพ้นจากความรู้สึกผิดตรงนี้เพราะตายด้วยโรคสมองเสื่อม!
ผมไปอ่านเจอกระทู้ในอินเตอร์เน็ตที่น่าสนใจมากว่า ถ้าเป็นคุณ คุณจะให้อภัยไบรโอนี่หรือไม่ เป็นคำถามที่ดูพื้นฐาน แต่ก็มีความสำคัญมาก สิ่งที่ผมชอบอีกอย่างก็คือ หนังไม่ได้บังคับให้เราต้องรู้สึกเห็นใจไบรโอนี่จนเกินไป (บางคนดูจบแล้วยิ่งเกลียดเธอไปใหญ่) เพราะการเขียนหนังสือขอโทษของเธอ ก็เป็นการทำเพื่อตัวเองทั้งนั้นแหละ (เวลาขอโทษใครเราไม่ได้ทำเพื่ออีกฝ่าย 100% เราทำเพื่อตัวเองด้วย) เธอก็ยังมีความเห็นแก่ตัวเหมือนสมัยอายุ 13 และที่สำคัญการขอโทษ คนตาย มันง่ายกว่าคนเป็นเยอะ (ลองคิดดูว่าถ้าซีซิเลียกับร็อบบี้ยังไม่ตาย ไบรโอนี่จะเขียนหนังสือได้ยากลำบากกว่านี้กี่ล้านเท่า) อย่างไรก็ดี ในฐานะนักเขียนด้วยกัน ผมเชื่อว่านี่เป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว ที่คนอย่างไบรโอนี่พอจะทำได้
แต่เรื่องที่น่าเศร้าก็คือ บางครั้งเราตะโกนคำขอโทษนั้นออกไปสุดเสียง และได้รับกลับมาแต่เพียงความว่างเปล่า แต่เสียงสำนึกของความรู้สึกผิดยังคงดังก้องอยู่ในใจเราเสมอ เหมือนกับที่ไบรโอนี่ไม่มีวันได้ยินคำให้อภัยจากทั้งซีซิเลียและร็อบบี้
หมายเหตุ
1. Sorry Seems to Be the Hardest Word เป็นชื่อเพลงของ เอลตัน จอห์น
2. ในฉากที่แม่ของร็อบบี้วิ่งออกมาขวางรถตำรวจและตะโกนว่า Liar Liar Liar ซับไตเติ้ลแปลไปในชิงด่าว่าร็อบบี้ (ไอ้ลูกไม่รักดี) แต่ถ้าผมเข้าไม่ผิดเธอน่าจะด่าพวกตำรวจว่า ไอ้พวกโกหก มากกว่า อย่างไรก็ดีคำบรรยายของเรื่องนี้สละสลวยและราบรื่นมาก ขอชื่นชมผู้แปลไว้ ณ ที่นี้
Create Date : 18 กุมภาพันธ์ 2551 |
|
11 comments |
Last Update : 18 กุมภาพันธ์ 2551 9:51:21 น. |
Counter : 3482 Pageviews. |
|
|
|
+ จะว่าไป หนังเรื่องนี้จะถือเป็นธีม 'ไถ่บาป' ได้ด้วยมั้ยครับ? เพียงแต่วิธีการที่ไบรโอนี่ใช้ ไม่เหมือนกับใครในหนังเรื่องไหน แค่นั้นเอง
+ ดูจบแล้วออกจะเกลียดๆ น้องโรแนน เลยนะนั่น เธอเล่นได้ดีคู่ควรแก่การเข้าชิงออสการ์แล้วเนาะครับ