Group Blog
All Blog
|
ทนายอ้วนชวนเที่ยวอยุธยา - พระที่นั่งวโรภาสพิมาน พระราชวังบางปะอิน อยุธยา สถานที่ท่องเที่ยว : พระที่นั่งวโรภาสพิมาน พระราชวังบางปะอิน อยุธยา, อยุธยา Thailand พิกัด GPS : 14° 13' 58.79" N 100° 34' 42.06" E ช่วงนี้ไม่ได้ออกไปเที่ยวที่ไหนเลยตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคม อยู่บ้านตลอดครับ ออกไปหน้ารั้วบ้านยังไม่ค่อยออกไปเพราะก่อนเข้าประตูบ้านจะต้องพ่นแอลกอฮอร์ทั้งตัว ถูเจลทีมือถึงข้อศอก แล้วก็รีบเข้าไปล้างมือด้วยสบู่พร้อมกับร้องเพลง “ช้าง ช้าง ช้าง” 2 รอบ อิอิอิ ช่วงนี้เลยเป็นการเคลียร์คลังรูปสถานที่ท่องเที่ยวที่เคยไปมา (นาน) แล้ว แต่ยังไม่ได้เอามาโพสครับ บล็อก “ท่องเที่ยวไทย” บล็อกนี้เราจะพาไปเที่ยวพระราชวังบางปะอินกันครับ .... อย่าเพิ่งเบื่อนะครับที่พาเที่ยวทีละสถานที่ อยากให้ทราบประวัติความเป็นมาให้ละเอียดครับ หรือถ้าใครขี้เกียจอ่านก็เลื่อนเร็วดูรูปอย่างเดียวก็ได้ครับ สถานที่สำคัญในพระราชวังบางปะอินที่จะไปเที่ยวกันในบล็อกนี้อยู่ถัดจาก สะพานตุ๊กตา ครับ เป็นพระที่นั่งองค์สำคัญองค์หนึ่งในพระราชวังบางปะอิน พระที่นั่งวโรภาษพิมาน พระราชวังบางปะอิน สมัยเด็กๆที่ไปพระราชวังบางปะอินจำไม่ได้แน่ว่าเค้ากำหนดเส้นทางให้เดินเที่ยวชมหรือเปล่า (จนทุกวันนี้ก็ยังไม่แน่ใจอยู่ดีครับ) แต่จำได้ว่าพอเดินเข้ามาถึงกระโจมแตรแล้วจะเลี้ยวข้ามสะพานใหญ่ๆไปทางประตูเทวราชครรไลและพระที่นั่งอุทยานภูมิเสถียรเลยครับ ไม่เดินข้ามสะพานตุ๊กตามาทางพระที่นั่งวโรภาษพิมาน ในภาพจำของเจ้าของบล็อกเกี่ยวกับพระราชวังบางปะอินเลยแทบจะไม่มี จำได้ว่ามองเห็นพระที่นั่งวโรภาษพิมานไกลๆเท่านั้นเอง พระที่นั่งวโรภาษพิมาน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้าง แล้วเสร็จเมื่อปี พ.ศ. 2419 ตรงบริเวณที่ประทับเดิมของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทางตอนเหนือของ “สะพานเสด็จ” ซึ่งเป็นท่าน้ำสำหรับเสด็จพระราชดำเนินขึ้นลง เป็นผลงานการออกแบบและก่อสร้างของนายช่างอิตาเลียน ซินยอร์กราซี (Mr. Joachim Gassi) สถาปนิกใหญ่ผู้คุมงานก่อสร้างพระราชวังบางปะอิน เดิมพระที่นั่งองค์นี้เป็นเรือนไม้สองชั้น เป็นที่ประทับและท้องพระโรงร่วมกัน ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดฯ ให้รื้อสร้างใหม่เป็นอาคารทรงวิหารกรีก ตัวอาคารก่ออิฐ ผนังฉาบปูนทาสี มีลวดลายปูนปั้นแบบตะวันตกประดับ ซินยอร์กราซีเลือกเอาศิลปะนีโอคลาสสิก ในรูปแบบนีโอเรอเนซองซ์ซึ่งกำลังได้รับความนิยมอยู่ทั่วโลกในขณะนั้นมาใช้กับพระที่นั่งองค์นี้ หัวใจของสถาปัตยกรรมสมัยนีโอคลาสสิกก็คือ การหวนกลับไปเลียนแบบความรุ่งโรจน์แห่งอดีตในยุคคลาสสิก "กรีก-โรมัน" ดังปรากฏที่มุขด้านหน้าของพระที่นั่งได้ทำเลียนแบบวิหารของกรีกสมัยเฮเลนนิสติก (หรือกรีกตอนปลาย) ใช้หัวเสาแบบโยนิก (ตกแต่งด้วยวงโค้งก้านขด) และหัวเสาแบบคอรินเธียน (เป็นรูปใบอะคันธัสซ้อนกันหลายชั้น) รองรับหน้าบันรูปสามเหลี่ยมหน้าจั่ว ในขณะเดียวกันก็ได้มีการนำเอาศิลปะเรอเนซองซ์สกุลช่างฝรั่งเศส มาผสมผสานด้วยในส่วนของหอคอยขนาดย่อมที่มีหลังคาทรงพีระมิดตัด ปลายยอดเป็นมงกุฎซึ่งประดับอยู่ตามมุมอาคาร ตอนที่เจ้าวของบล็อกไปเที่ยวพระราชวังบางปะอินล่าสุดให้เข้าชมภายในพระที่นั่งวโรภาษพิมานได้ แต่ห้ามถ่ายรูปครับ สำหรับการตกแต่งภายในของพระที่นั่งวโรภาษพิมาน เป็นผลงานการออกแบบของหม่อมเจ้าประวิช ชุมสาย ภายในมีสิ่งของล้ำค่าหลายอย่างเช่น อาวุธโบราณ ตุ๊กตาหินสลัก แจกันสลับสีเขียนลายทองขนาดใหญ่ ภายในห้องโถงรับรองและห้องทรงพระสำราญ ประดับภาพเขียนสีน้ำมัน ภาพพระราชพงศาวดารประกอบโคลงบรรยายภาพอันงดงามทรงคุณค่า เป็นภาพและเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์ไทย และฉากต่าง ๆ จากวรรณคดีไทยหลายเรื่อง ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้วาดภาพเหล่านี้ขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2430 ภาพเขียนเหล่านั้นนอกจากจะสวยงามแล้ว ยังมีความสำคัญในเชิงประวัติศาสตร์ศิลป์ เนื่องจากเป็นประจักษ์พยานการเปลี่ยนแปลงงานจิตรกรรมไทยที่เขียนแบบสมัยใหม่ อาศัยหลักทัศนียภาพวิทยา (Perspective) มาแก้ปัญหามิติที่สามหรือความลึกของภาพได้ โดยใช้วิธีจัดองค์ประกอบให้ภาพมีระยะใกล้ไกล ส่วนรายละเอียดในภาพนั้นยังเป็นภาพเขียนแบบไทยอยู่ เป็นการผสมผสานสิ่งเก่ากับสิ่งใหม่ และศิลปะตะวันออกกับตะวันตกเข้าด้วยกัน เนื้อหาของภาพยังสะท้อนให้เห็นถึงขนบธรรมเนียมประเพณีของไทยในยุคสมัยนั้น ทั้งยังสะท้อนให้เห็นถึงรสนิยมและศิลปะตามพระราชนิยมในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวอีกด้วย ภาพเขียนจำนวน 20 กว่ารูป ในพระที่นั่งวโรภาษพิมาน เป็นภาพเขียนที่มาจากงานพระเมรุ ณ ท้องสนามหลวง เมื่อปี พ.ศ. 2430 ในการพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพาหุรัดมณีมัย สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าตรีเพ็ชรุตม์ธำรง สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าศิริราชกกุธภัณฑ์ และพระอรรคชายาเธอ พระองค์เจ้าเสาวภาคนารีรัตน์ ในครั้งนั้นพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้มีการประกวดภาพพระราชพงศาวดาร ประกอบการแต่งโคลง โดยให้จิตรกรที่มีฝีมือเขียนรูปภาพ และโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสรรพสาตรศุภกิจ คิดแบบทำกรอบกระจกขึ้น สำหรับรูปภาพทั้งปวงนั้นโปรดเกล้าฯ ให้มีการแต่งโคลงประกอบเรื่องพระราชพงศาวดารแต่ละตอนติดประจำไว้ทุกกรอบ ภาพขนาดใหญ่จะมีโคลงประกอบภาพละ 6 บท ภาพขนาดกลางและขนาดเล็กจะมีโคลงประกอบภาพละ 1 บท การแต่งโคลงนั้นบางบททรงพระราชนิพนธ์เองบ้าง หรือทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการซึ่งสันทัดบทกลอนแต่งถวายบ้าง เช่น ภาพเขียนเรื่องสังข์ทอง ตอนพระสังข์ตีคลี และตอนหกเขยตีคลี มีฉากหลังเป็นภาพพระที่นั่งสุทไธสวรรย์ พระบรมมหาราชวัง สำหรับภาพเรื่องอิเหนามีอยู่หลายภาพ เช่น ตอนปันหยีรบกับย่าหรันในเมืองกาหลัง ตอนประสันตาพากย์หนังถวายนางแอหนัง ตอนอิเหนาเผาเมืองดาหา พานางบุษบาหนี และตอนปันหยีชนไก่ในเมืองกาหลัง นอกจากนี้พระที่นั่งวโรภาษพิมาน ยังเป็นสถานที่ที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประกอบพระราชพิธีอภิเษกสมรสของสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชน์ กรมขุนสุโขทัยธรรมราชา (พระยศขณะนั้น ภายหลังได้เสด็จเถลิงถวัลย์ราชสมบัติเป็นพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่7) กับหม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณี สวัสดิวัตน์ (พระยศขณะนั้น ภายหลังได้รับพระราชทานเฉลิมพระยศเป็นสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ) โดยพระราชพิธีอภิเษกดังกล่าวจัดขึ้นในวันที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2461 ซึ่งพระราชพิธีอภิเษกสมรสในครั้งนี้ ถือเป็นพระราชพิธีอภิเษกสมรสครั้งแรก หลังจากการตรากฎมณเฑียรบาล ว่าด้วยการเสกสมรสแห่งเจ้านายในพระราชวงศ์ ในการพระราชพิธีอภิเษกสมรสครั้งนี้ เป็นการแต่งงานแบบตะวันอย่างแท้จริง กล่าวคือมีการถามความสมัครใจของคู่บ่าวสาว และมีการพระราชทาน “ของชำร่วย” เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สยาม กล่าวกันว่าของชำร่วยที่พระราชทานแก่แขกเหรื่อ ตลอดจนข้าราชบริพารผู้เข้าร่วมงานพระราชพิธีอภิเษกสมรสครั้งนี้คือ “แหวนเพชร” พระที่นั่งวโรภาษพิมาน ยังเคยเป็นที่รับรองแขกเมืองหลายครั้ง เช่น ปี พ.ศ. 2436 รับรองพระเจ้าชาร์ลคลัสแห่งประเทศรัสเซีย ปี พ.ศ. 2436 รับรองมองซิเออราวีร์ ฑูตฝรั่งเศส และ ปี พ.ศ. 2452 รับรองดุ๊กและดัชเชสโยฮันเบรต แห่งเมืองบรันทวีท แห่งประเทศเยอรมัน จนถึงในปัจจุบันก็ยังใช้เป็นที่รับรองแขกเมืองสำคัญอยู่เสมอ ปัจจุบัน พระที่นั่งวโรภาษพิมานยังคงใช้เป็นที่ประทับเมื่อมีการเสด็จแปรพระราชฐาน ณ พระราชวังบางปะอิน แต่ยังเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมได้โดยไม่สามารถถ่ายภาพภายในพระที่นั่งได้ และสุภาพสตรีต้องสวมกระโปรงเข้าชม ประวัติน่าสนใจค่ะ
ภาพพระที่นั่งกลางน้ำสวยเด่นเป็นสง่า ตัดกับท้องฟ้าและน้ำนิ่งเป็นระลอกน้ำพริ้วสวยงาม โดย: ฟ้าใสวันใหม่ วันที่: 13 กันยายน 2564 เวลา:10:26:03 น.
ตะก๊อนนนน (นานมาก)
จะทำทริปทัศนศึกษาให้โรงเรียนค่ะ อยุธยา-บางปะอิน 1 วัน ทริปสามัญประจำโรงเรียน โดย: ป้าทุยบ้านทุ่ง วันที่: 13 กันยายน 2564 เวลา:11:24:12 น.
อาคารเก่าๆ
มีความสวยงาม บวกกับประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน ยิ่งทำให้ทรงคุณค่ามากเลยนะครับ โดย: กะว่าก๋า วันที่: 13 กันยายน 2564 เวลา:11:46:32 น.
ทริปเที่ยวที่นี่เก็บรูปมาเยอะเลยนะครับ
โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 13 กันยายน 2564 เวลา:14:04:04 น.
โหวตหมดอ่ะครับพี่บอล ไว้ผมมาโหวตนะพี่ ถ้าพรุ่งนี้เงียบตามมาทวงเลยนะครับๆๆๆ
ตามมาอ่านประวัติเหมือนเดิมครับ หาความรู้หน่อย ตอนไปไม่ได้สาระเลย นอกจากดูสาว 55555 โดย: จันทราน็อคเทิร์น วันที่: 13 กันยายน 2564 เวลา:17:19:54 น.
สถานที่ในประวัติศาสตร์ มีเรื่องราวและความงดงามค่ะ
ไม่ได้ไปเที่ยวที่นี่นานมาแล้ว ครั้งล่าสุดที่ไปคือร้อนมาก เลยเน้นไปกินกุ้งแม่น้ำแทนค่ะ ^__^ โดย: เนินน้ำ วันที่: 13 กันยายน 2564 เวลา:18:12:23 น.
พระที่นั่งวโรภาษพิมานงดงามมากค่ะคุณบอล
ขอบคุณที่พาชมนะคะ โดย: Sweet_pills วันที่: 14 กันยายน 2564 เวลา:0:55:17 น.
ภาพชุดนี้ สวยจากสถาปัตยฯ แสงเงา สีเหลืองเข้ากับ การใช้สีขาวตัด
สวยงามครับคุณบอล โดย: ไวน์กับสายน้ำ วันที่: 14 กันยายน 2564 เวลา:13:22:43 น.
ตามมาเที่ยวด้วยคนครับ
ปล. เพลงเพราะจังครับ โดย: เจ้าสำนักคันฉ่องวารี วันที่: 14 กันยายน 2564 เวลา:22:59:09 น.
โดย: Sweet_pills วันที่: 15 กันยายน 2564 เวลา:0:19:21 น.
|
BlogGang Popular Award#20
ทนายอ้วน
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 156 คน [?] Friends Blog
|
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E
0%B8%B0%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B
8%99%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%A
7%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E
0%B8%A9%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%A1%E0%B
8%B2%E0%B8%99
https://travel.trueid.net/detail/3wVR0bLROeA
//www.dooasia.com/ayutthaya/010k037.shtml
https://www.silpa-mag.com/history/article_9251
https://www.sarakadee.com/feature/2003/03/bang-pa-
in_palace.htm