Group Blog
All Blog
|
ทัวร์ทนายอ้วน - พาเที่ยวอยุธยา - ชมวัดประจำราชวงศ์จักรี - วัดสุวรรณดาราราม อยุธยา วัดนี้ได้ไปมาพักใหญ่แล้วครับ ไปครั้งแรกเพราะคุณชายอยากพาคุณแม่ไปไหว้พระ แต่ไปไหว้พระกับคุณแม่คุณชายก็ได้อยู่เดี๋ยวเดียวเองครับ ก็เลยหาโอกาศไปกัน 2 คนเองอีกครั้งครับ วัดสุวรรณดารารามราชวรวิหาร วัดสุวรรณดารารามราชวรวิหาร ตั้งอยู่ในเขตพระนคร ภายในกำแพงด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเกาะเมือง ถ.อู่ทอง ตำบลหอรัตไชย อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เยื้องๆกับป้อมเพชร ทางไปวัดสุวรรณดารารามราชวรวิหาร ค่อนข้าง tricky นิดนึงครับ ถ้าใครไม่คุ้นทางก็อาจจะต้องกลับรถกันหลายรอบหน่อยครับ เริ่มจากถนนสายเอเชียที่แยกเข้าอยุธยา ขับตรงมาเรื่อยๆ ข้ามสะพานข้ามแม่น้ำป่าสัก พอลงสะพานให้ชิดซ้ายไว้ครับ จะเป็นเลนที่ให้เลี้ยวซ้าย ก็เลี้ยวซ้ายแล้วขับตรงไปเรื่อยๆ จนเจอสามแยก ให้เลี้ยวขวา ขับตรงไปตามทางเรื่อย มองทางซ้ายเอาไว้ พอเห็นบ้านเรือนไทยหลายๆหลังที่ไม่มีรั้วอยู่ตรงทางโค้งๆ ทางเข้าวันจะอยู่ทางขวามือ ตรงข้ามกับบ้านเรือนไทยหมู่นั้นพอดีครับ ปากาทางเข้าวัดจะเป็นร้านก๋วยเตี๋ยวผักหวานอันโด่งดัง ครับ วัดสุวรรณดารารามราชวรวิหาร หรือบางคนเรียกว่า วัดสุวรรณดาราม เดิมมีชื่อว่า วัดทอง เป็นวัดที่สร้างขึ้นในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าท้ายสระ โดย สมเด็จพระบรมราชชนกในรัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ โปรดให้สร้างขึ้น ใกล้กับบริเวณนิวาสถานเดิม ถือว่าเป็นวัดของฝ่ายวังหน้า ต่อมาเมื่อ พ.ศ. 2310 พม่าได้ยกกองทัพมาตีกรุงศรีอยุธยาแตก วัดทองก็ถูกพม่าทำลายกลายเป็นวัดร้างมานานถึง 18 ปี ต่อมาหลังจากที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชเสด็จขึ้นครองราชย์ เมื่อปี พ.ศ. 2328 จึงโปรดเกล้าฯ ให้ปฏิสังขรณ์วัดทองที่ถูกทิ้งร้างใหม่ทั้งอาราม ในการปฏิสังขรณ์ครั้งนี้ กรมพระราชวังบวรมหาสุร สิงหนาท พระอนุชาได้ทรงร่วมปฏิสังขรณ์ และก่อสร้างพระอุโบสถ พระเจดีย์ และหมู่กุฏิทั้งหมดด้วย เมื่อการบูรณะปฏิสังขรณ์แล้วเสร็จได้พระราชนามว่า วัดสุวรรณดารารามราชวรวิหาร เพื่อเป็นอนุสรณ์แด่พระบรมชนกนาถและพระบรมราชชนนี ตามพระนามเดิมของทั้งสองพระองค์คือ ทองดี และ ดาวเรือง จึงถือว่า วัดนี้เป็นวัดประจำราชวงศ์จักรี เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชเสด็จสวรรคต พระมหากษัตริย์รัชกาลต่อมาแห่งราชวงค์จักรี ได้บูรณะปฏิสังขรณ์วัดนี้ต่อมาเป็นลำดับ มีการก่อสร้างพระวิหาร เจดีย์ กำแพงแก้ว และปูชนียสถานอื่นๆภายในพระอารามแห่งนี้ ภายในวัดมีบรรยากาศที่ร่มรื่น ลมพัดเย็นสบายถึงแม้ว่าแดดจะแรงทีเดียว พระอุโบสถ พระวิหาร และพระเจดีย์ จะตั้งอยู่ภายในบริเวณกำแพงแก้ว ถ้าเดินไปจากลานจอดรถจะถึงพระวิหารก่อนครับ แต่เดี๋ยวเราจะเดินไปชมพระอุโบสถกันก่อนนะครับ ด้านหน้าของพระอุโบสถมีต้นพระศรีมหาโพธิ์ต้นใหญ่เจริญเติบโตแผ่ร่มเงาอยู่ภายใน แท่นพระศรีมหาโพธิ์ ลักษณะเป็นแท่นฐานบัวคว่ำและบัวหงาย ประดิษฐานต้นพระศรีมหาโพธิ์ซึ่งสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้นำหน่อต้นโพธิ์มาจากประเทศอินเดียและทรงปลูกไว้บริเวณด้านหน้าของพระอุโบสถวัดสุวรรณดารารามแห่งนี้ ถัดจากแท่นพระศรีมหาโพธิ์ก็จะเป็นพระอุโบสถที่สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 1 แทนหลังเดิมที่ถูกทำลายไปแต่ลักษณะสถาปัตยกรรมยังคงเป็นแบบสมัยอยุธยาตอนปลายถึงสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น มีลักษณะ ตกท้องช้าง คือทำส่วนฐานโค้งอ่อนลงตรงกลางคล้ายท้องเรือสำเภาเป็นเอกลักษณ์ของพระอุโสถสมัยอยุธยาซึ่งเป็นการเปรียบพระพุทธศาสนาดั่งนาวาธรรม ส่วนลักษณะสถาปัตยกรรมแบบสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นคือ ที่ผนังด้านหน้ามีการเจาะช่องประตูเป็น 3 ช่อง มีเสารองรับชายคาด้านหน้าอาคาร หลังคาซ้อนเป็นชั้น หลังคาพระอุโบสถประดับช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ หน้าบันทำด้วยไม้สัก แกะสลักลายกนกเป็นรูปนารายณ์ทรงครุฑ ปิดทองประดับกระจกตลอด โดยเฉพาะคันทวยที่ประดับรับเชิงชายคาพระอุโบสถทุกตัวได้แกะสลักเป็นรูปนกพันรอบทวย ลวดลายอ่อนช้อยงดงามหาชมได้ยาก เมื่อก้าวเข้ามาภายในพระอุโบสถ ก็ต้องอ้าปากค้างเพราะความสวยงามของจิตรกรรมฝาผนังภายในพระอุโบสถที่มีอายุมากว่า 200 ปี เดิมเขียนขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 1 แล้วก็มีการบูรณะอย่างต่อเนื่องเรื่อยมา ภาพจิตรกรรมฝาผนังจึงยังสมบูรณ์ดีอยู่จนทุกวันนี้ การเขียนภาพจิตรกรรมในพระอุโบสถวัดสุวรรณดารารามราชวรวิหาร พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ โปรดเกล้าฯ ให้รวบรวมช่างสมัยอยุธยาและสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท โปรดเกล้าฯ ให้ช่างเขียนมาเขียนผนังด้านข้างทั้งสองส่วนบนเหนือขอบหน้าต่างเป็นภาพเทพชุมนุม 2 ชั้น ชั้นละ 16 องค์ ชั้นบนเป็นรูปเทพ ชั้นล่างเป็นรูปเทพและยักษ์ซึ่งเทพชั้นนี้ถือเป็นเทพชั้นต่ำสุดเทพทุกองค์พนมมือหันหน้าไปทางองค์พระประธาน ที่ห้องภาพส่วนล่างระหว่างช่องหน้าต่างเป็นภาพเรื่องทศชาติชาดกเช่น เวสสันดรชาดก เตมีย์ชาดก ส่วนผนังด้านหน้าพระประธานเป็นภาพพุทธประวัติ ตอนมารวิชัย มีขนาดใหญ่เต็มผนังและพระแม่ธรณีบีบมวยผมซึ่งเหมือนภาพเขียนที่พระที่นั่ง พุทไธศวรรย์ ในพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติกรุงเทพมหานคร และด้านหลังพระประธานเป็นภาพเรื่องไตรภูมิ ผนังด้านหลังตอนล่างเป็นภาพท้าวจตุโลกบาลทั้งสี่พร้อมทั้งบริวารที่มาเฝ้าแหนพระพุทธเจ้า นอกจากนี้บานประตูและหน้าต่างยังเขียนรูปทวารบาลทั้งเทวดา ยักษ์ และเสี้ยวกางที่งดงาม เมื่อเงยหน้าขึ้นมองเพดานพระอุโบสถก็มีการตกแต่งด้วยไม้จำหลักลายดวงดาราบนพื้นสีแดง ลงรักปิดทองประดับกระจกตรงกลางเป็นดาวประธาน ล้อมรอบด้วยดาวบริวาร 12 ดวง ภายในกรอบย่อมุมไม้สิบสองอย่างสวยงามมาก ถ้าเรามองตรงไปจะเห็นพระประธานในพระอุโบสถ รัชกาลที่ 1 โปรดเกล้าฯ ให้จำลองขยายส่วนจาก พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร (พระแก้วมรกต) รูปทรงงดงาม ซึ่งเป็นพระพุทธรูปปูนปั้นปิดทอง ปางมารวิชัย ขัดสมาธิราบเหนือพระรัตนบัลลังก์ที่ประดับกระจกสีด้านซ้ายและขวาเป็นที่ประดิษฐานนพดลมหาเศวตรฉัตร เมื่อเดินอ้อมไปด้านหลังพระอุโบสถจะมีเจดีย์สีขาวขนาดย่อมๆ อยู่ เป็นเจดีย์ที่บรรจุพระอัฐิของสมเด็จพระบรมราชชนกในรัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ครับ มีลักษณะคล้ายๆกับเจดีย์ประธานครับ แต่มีขนาดย่อมกว่า ที่ฐานเจดีย์ทำเป็นบัวคว่ำ บัวหงาย ตรงกันกับ เจดีย์ที่บรรจุพระอัฐิของสมเด็จพระบรมราชชนกในรัชกาลที่ 1 คือเจดีย์ประธาน ของวัดสุวรรณดารารามราชวรวิหาร ตั้งอยู่ด้านหลังพระวิหาร สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 4 เป็นเจดีย์ทรงระฆัง ตั้งอยู่บนลานประทักษิณ ล้อมรอบด้วยเจดีย์รายแบบย่อมุม 10 องค์ บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ เราเดินมาข้างหน้าพระวิหารกันนะครับ พระวิหารสร้างในสมัยรัชกาลที่ 4 มีลักษณะเป็นอาคารเครื่องก่อโครงสร้างพระวิหารเหมือนกับอุโบสถแต่ไม่มีคันทวยรูปแบบฐานเป็นเส้นตรง ไม่ใช้ฐานอ่อนโค้งตามรูปแบบสถาปัตยกรรมสมัยอยุธยา บัวหัวเสามีลักษณะเป็นบัวกลีบยาวหรือบัวแวง หน้าบันทำเป็นรูปช้างเอราวัณยืนแท่น ทูนแว่นฟ้า บนพานมีฉัตร 5 ชั้น ภายในพระวิหารประดิษฐานพระพุทธรูปโลหะลงรักปิดทอง ปางมาวิชัย มีเรือนแก้วแบบเรือนแก้วพระพุทธชินราช แต่เป็นจำหลักเขียนสีปิดทอง สร้างในสมัยรัชกาลที่ 4 ภายในพระวิหารมีภาพจิตกรรมซึ่งเดิมเขียนขึ้นตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 2 แต่พอมาถึงสมัยรัชกาลที่ 7 ถาพจิตกรรมฝาผนังก็เลือนไปหมด พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรดเกล้าฯ ให้เขียนขึ้นใหม่มีความสวยงามแปลกตามาก เพราะเป็นจิตกรรมแบบไทย แต่วิธีการเขียนเป็นแบบตะวันตก ซึ่งเป็นครั้งแรกที่มีการเขียนจิตกรรมแบบนี้ขึ้นในเมืองไทย ลักษณะเด่นของจิตกรรมภายในวัดสุวรรณดารารามจะมีขนาดลดหลั่นกันตามระยะใกล้-ไกลมีความเหมือนจริงมีใบหน้า ร่างกายกล้ามเนื้อและสัดส่วนต่างตามสรีระของบุคคลจริงและใช้สีน้ำมันในการเขียน ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่าเป็นจิตรกรรมสีน้ำมันบนฝาผนังปูนแห่งแรกในประเทศไทย จิตกรรมฝาผนังในพระวิหารวัดสุววรณดารารามวาดโดยมหาเสวกตรี พระยาอนุศาสน์จิตรกร(จันทร์ จิตรกร) จิตรกรเอกของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อปี พ.ศ. 2474 ซึ่งเป็นคุณตาของอดีตนายกฯสมัคร สุนทรเวช ผู้ล่วงลับไปแล้ว ตอนบนสองด้านและด้านหลังเป็นภาพเทพชุมนุม ส่วนตอนล่างบริเวณผนังระหว่างประตูหน้าต่างเป็นภาพพระราชพงศาวดารในสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เช่น ภาพการชนไก่ระหว่างสมเด็จพระนเรศวรมหาราชและพระมหาอุปราช ภาพเขียนแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ตอนบนวาดเป็นรูปเทวดา นางฟ้า ลอยอยู่ในอากาศ มีขนาดลดหลั่นกันตามความใกล้ ไกล มีรูปร่างหน้าตาเหมือนคนจริงๆ มีร่างกาย กล้ามเนื้อ ในส่วนสัดของคนจริง ส่วนภาพตอนล่างมีจำนวน 18 ห้อง เล่าเรื่องราวพระราชประวัติของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ตั้งแต่ทรงพระเยาว์จนถึงสวรรคตโดยวาดตามที่สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงกำกับข้อมูลให้ว่าจะต้องเริ่มต้นและจบลงในตอนใด การดำเนินเรื่องส่วนใหญ่มีเค้าโครงและวางตำแหน่งคล้ายกับการเสนอภาพพุทธประวัติ เพียงแต่เปลี่ยนเป็นพระราชกรณียกิจของพระนเรศวรลงไปแทน มีการปฏิสังขรณ์ภาพจิตรกรรมชุดนี้ระหว่างปี พ.ศ. 2472 - 2474 เหมือนกับว่าท่านมุ้ย (ม.จ.ชาตรีเฉลิม ยุคล) จะสร้างหนังเรื่อง ตำนานสมเด็จพระนเรศวร ตามฉากที่วาดอยู่ในพระวิหารนี้นะครับ เช่น มีภาพวาดตอนสมเด็จพระนเรศวรยังทรงพระเยาว์ได้ทรงชนไก่ชนะพระมหาอุปราชา ภาพที่สมเด็จพระนเรศวรทรงตีเมืองคังแตก และทรงจับตัวเจ้าฟ้าเงี้ยวเจ้าเมืองคัง ที่ในภาพยนต์เรื่องตำนานสมเด็จพระนเรศวร ได้ ทราย เจริญปุระ มารับบทเด่นเป็นเลอขิ่น บุตรสาวของเจ้าฟ้าเงี้ยว เจ้าเมืองคัง ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นคู่ของ พระราชมนู ภาพที่สมเด็จพระนเรศวรทรงประกาศอิสระภาพที่เมืองแครง ภาพที่สมเด็จพระนเรศวรทรงเรือตามพระยาจีนจันตุ นี่ก็เป็นฉากหนึ่งในภาพยนต์เรื่องตำนานสมเด็จพระนเรศวร ภาพที่สมเด็จพระนเรศวรทรงพาทหารขึ้นปล้นค่ายพระเจ้าหงสาวดี จนทำให้เราเรียกดาบที่พระองค์ทรงคาบขึ้นปล้นค่ายพม่าว่า พระแสงดาบคาบค่าย ภาพที่สมเด็จพระนเรศวรทรงต่อสู้ด้วยทวนกับลักไวทำมู (ตามภาพยนต์เรื่องตำนานสมเด็จพระนเรศวร เป็นไม้เบื่อไม้เมากับสมเด็จพระนเรศวรมาตลอด) และภาพที่คุ้นตาที่สุดเป็นภาพจิตรกรรมฝาผนังที่อยู่ตรงข้ามพระประธานครับ เป็นภาพตอนที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงกระทำยุทธหัตถี เชื่อว่าคนที่อายุ 30 กว่าปีขึ้น จะต้องเคยเห็นภาพชุดนี้ในหนังสือเรียนสังคมศึกษาแน่ๆ นับเป็นจิตรกรรมฝาผนังที่มีฝีมือยอดเยี่ยมงดงามมาก กรมศิลปากรได้ถ่ายแบบภาพเขียนนี้ไปไว้ที่อนุสรณ์ดอนเจดีย์ จังหวัดสุพรรณบุรี ในเรื่องนี้ ท่านผู้เขียนบล็อก ท่องอยุธยา..วัดสุวรรณดาราราม..วัดแห่งจักรีวงศ์..ชมภาพจิตรกรรมอันลือเลื่องของคุณตาอดีตนายกฯสมัคร มีความเห็นเอาไว้ว่า โดยปกติแล้วตามธรรมเนียมหากเป็นเรื่องพุทธประวัติ ตำแหน่งนี้จะต้องเป็นภาพมารผจญ ซึ่งเป็นตอนสำคัญก่อนเจ้าชายสิทธัตถะจะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า เผยแพร่คำสอนไปไกล อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์สู้รบบนหลังช้างตอนนี้นับเป็นจุดสำคัญ ในพระราชประวัติของสมเด็จพระนเรศวรเช่นกัน เนื่องจากหลังจากการยุทธครั้งนั้นแล้ว พระเกียรติคุณขจรไกล ไม่มีข้าศึกมาเบียดเบียนอีกเป็นเวลานาน และเป็นที่น่าสังเกตว่าช้างทรงของกษัตริย์ทั้งสองพระองค์ในภาพนี้ วาดออกมาในลักษณะที่ไม่มีเครื่องผูกช้างของจอมพล เรื่องนี้วารสารเมืองโบราณ ปี 29 ฉ.4 (ตุลาคม-ธันวาคม 2546) ได้ค้นลายพระหัตถ์สมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ที่ทรงมีไปยังพระยาอนุสาสน์จิตรกร ความว่า "...เครื่องผูกช้างของจอมพล เข้าใจกันมาว่าผูกพระคชาธารทั้งช้างทรงเมื่ออำนวยศึก และช้างทรงเมื่อทำยุทธหัตถี นักโบราณคดีตัดสินในชั้นหลัง ว่าช้างทรงเมื่อทำยุทธหัตถีนั้น ถ้าผูกคชาธารเป็นอันตราย ต้องเป็นช้างผูกเครื่องมั่นหลังเปล่า มีคนขี่ ๓ คน คนขี่คอถือของ้าว คนขี่กลางช้างถือทวน เป็นผู้ช่วย ควาญท้ายถือขอยาว เป็นคนขับช้าง เหมือนกันทั้ง ๒ ฝ่าย..." แสดงว่าท่านผู้ใหญ่สมัยก่อนทรงทำงานอย่างละเอียดลออมาก แต่ดูเหมือนว่าในชั้นหลังฉากการจัดแต่งบนหลังช้างแบบนี้ไม่เป็นที่แพร่หลายนัก ไม่ทราบด้วยเหตุใด เราจึงได้เห็นมีแต่ช้างผูกคชาธารกันทุกการแสดงไป-ช่างไม่ปลอดภัยเอาเสียเลย ผมนั่งจมอยู่กับที่ ชื่มชมความงานของจิตรกรรมฝาผนังในพระวิหาร วัดสุวรรณดารารามราชวรวิหาร อยู่นานเลยครับ ด้วยเพราะว่าครั้งหนึ่งในชีวิตได้เป็น ลูก สมเด็จพระนเรศวร เพราะได้เอ็นติดคุณะวิทยาศาสตร์ เอกเคมี มหาวิทยาลัยนเรศวร (ตอนที่เอ็นติดมหาวิทยาลัยยังใช้ชื่อเดิมคือ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ วิทยาเขตพิษณุโลก มาเปลี่ยนเป็นมหาวิทยาลัยนเรศวร เมื่อเรียนเทอม 2) เรียนได้ปีเดียว ก็ลาออกมาเอ็นใหม่ กลายเป็นลูกแม่โดมครับ แต่ว่าความเคารพในมหาวิทยาลัยนเรศวรก็ยังคงมีตลอดมาครับ ก่อนออกจากบริเวณกำแพงแก้ว มีโบราณสถานอีกที่หนึ่งที่เราไม่ควรพลาดในการมาเที่ยวชมวัดสุวรรณดารารามราชวรวิหาร นั่นคือ หอระฆัง ครับ หอระฆังเป็นสถาปัตยกรรมแบบตะวันตก ก่ออิฐถือปูน มีผนังก่อเป็นรูปสี่เหลี่ยนซ้อนกัน 2 ชั้น เจาะช่องประตูเป็นรูปโค้งแหลม สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นเมื่อมีการปฎิสังขรณ์ใหญ่ในรัชกาลที่ 4 ขอขอบคุณผู้มีพระคุณที่ได้เอื้อเฟื้อข้อมูลในการเขียนบล็อกนี้ทุกท่านนะครับ วัดสุวรรณดารารามราชวรวิหาร - วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี วัดสุวรรณดาราราม วัดโบราณในพระนครศรีอยุธยา วัดสุวรรณดาราราม ธรรมะไทย วัดสุวรรณดาราราม www.comingthailand.com วัดสุวรรณดาราราม Aytthaya Tour.com วัดสุวรรณดาราราม การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ท่องอยุธยา..วัดสุวรรณดาราราม..วัดแห่งจักรีวงศ์..ชมภาพจิตรกรรมอันลือเลื่องของคุณตาอดีตนายกฯสมัคร ทัวร์ทนายอ้วน ................ เที่ยวไป ..... ตามใจฉัน วัดนี้เคยไปไหว้พระ 9 วัดที่อยุธยาค่า
โดย: บาบิบูเบะ...แปลงกายเป็นบูริน วันที่: 18 กันยายน 2556 เวลา:13:19:26 น.
รายละเอียดเยอะมากเลยนะคะ ส่วนตัวชอบวัดนี้มาก ตรงพระอุโบสถเป็นรูปเรือสำเภานี่ล่ะค่ะ
โดย: AM NUCH วันที่: 18 กันยายน 2556 เวลา:13:25:31 น.
งามเหลือเกินค่ะ โดยเฉพาะในพระอุโบสถ
ไม่ว่าจะผนังหรือเพดาน วิจิตรมากๆ ถ้ามีโอกาสต้องแวะไปบ้างแล้วค่ะ ไทยเรามีของดี ที่แม้แต่คนไทยเองก็ไม่ทราบอยู่เยอะเลยนะคะ ขอบคุณที่แวะไปทานส้มตำกรอบด้วยกันนะคะ โดย: ปลาทอง9 วันที่: 18 กันยายน 2556 เวลา:13:55:35 น.
สวัสดีตอนบ่ายๆ ครับ ขอบคุณที่แวะไปทักทายกันนะครับ .....
วัดสุวรรณดาราราม ผมยังไม่เคยไปเลยครับ เคยไปแต่เที่ยววัดโบราณในอุทยานประวัติศาสตร์อยุธยา ..... ภาพจิตรกรรมฝาผนัง อลังการมากจริงๆ ครับ ..... โดย: NET-MANIA วันที่: 18 กันยายน 2556 เวลา:14:08:49 น.
ตามมาเที่ยววัดและไหว้พระค่ะ สถาปัตยกรรมของวัดกับจิตรกรรมฝาผนังสวยงามมากจริงๆค่ะ บอกเล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์อิยุธยาได้ดีเลยทีเดียว
โดย: Lagata Novella วันที่: 18 กันยายน 2556 เวลา:15:20:38 น.
อนุโมทนาบุญด้วยคร๊าบอลศรี
หูย..อ่านจบนี่ เอาข้อมูลไปทำวิทยานิพนธ์ได้เลยนั่น ขยันแท้บ้านนี้ โดย: schnuggy วันที่: 18 กันยายน 2556 เวลา:15:32:32 น.
จะบอกว่าวัดอยู่คนละฝังถนนของบ้านแต่แวะเข้าไปล่าสุดเมื่อไหร่จำไม่ได้แล้ว น่าอายเนอะ สงสัยจะต้องหาเวลาแวะเข้าไปชมตามคุณทนายบ้างแล้วหล่ะค่ะ
โดย: chava วันที่: 18 กันยายน 2556 เวลา:16:09:20 น.
อรุณสวัสดิ์ ยามเช้า
วันนี้ วันพระ วันพฤหัสบดีที่ 19 กันยายน 2556 ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 10 และ วันนี้ตรงกับ วันไหว้พระจันทร์ อีกด้วยนะ... - Have a nice day - คะ... ตรงกับวันพระพอดี มาเที่ยววัดด้วยคนคะ คุณบอล โดย: ลงสะพาน+++เลี้ยวซ้าย2013 วันที่: 19 กันยายน 2556 เวลา:6:36:47 น.
สงครามคั้งแรกกับพม่า ในสมัยพระชัยราชา ที่เมืองเชียงกราน ในเขตรับมอญ เสียเอกราชแพ้พม่า ครั้งแรก ปีพ.ศ.2112 กู้เอกราชได้เมื่อปี 2127 ครั้งที่ 2 สมัยมังระ คองบอง ปี2310 สิ้นสุดแผ่นดินกรุงศรีอยุธยา ถูกเผาทำลายยับเยิน กวาดต้อน 1 แสนครัวเรียน น่าจะเกือบล้านคน ตายในที่รบและอดอาหารตาย 2 แสนคน พม่า 4000 คน ส่วนใหญ่ป่วยตาย
โดย: wiwek IP: 202.29.213.78 วันที่: 11 มีนาคม 2558 เวลา:10:03:27 น.
พี่ไปอยุธยาหลายรอบ ยังไม่เคยถึงวัดนี้เลย
ตกสำรวจอย่างแรงค่ะ โดย: สายหมอกและก้อนเมฆ วันที่: 9 สิงหาคม 2559 เวลา:18:16:29 น.
|
BlogGang Popular Award#20
ทนายอ้วน
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 156 คน [?] Friends Blog
|