Group Blog
All Blog
|
ทนายอ้วนชวนเที่ยว .... แอ่วเมืองแป้ ... แพร่ - วัดหลวง สถานที่ท่องเที่ยว : วัดหลวง อ.เมือง จ.แพร่, แพร่ Thailand พิกัด GPS : 18° 8' 42.84" N 100° 8' 12.74" E สถานที่ท่องเที่ยวแห่งถัดไปเป็นจุดแวะพักท่องเที่ยวสุดท้ายในเมืองแพร่ของทริปนี้ เพราะตามแพลนการเดินทางของเราจะต้องเดินทางขากลับไปพักที่พิษณุโลก 1 คืนก่อนจะแวะเที่ยววัดเก่าในจังหวัดพิจิตรก่อนเดินทางกลับบ้านครับ วัดหลวง จ.แพร่ วัดหลวง ตั้งอยู่ที่หมู่บ้านวัดหลวง ถนนคำลือ ซอย 1 ต.ในเมือง อ.เมือง จ.แพร่ เป็นวัดเก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองของจังหวัดสร้างขึ้นพร้อมกับการสร้างเมืองแพร่ บางสำนักก็ยกวัดหลวงให้เป็นวัดแรกที่สร้างขึ้นพร้อมๆกับการสถาปนาเมืองแพร่โบราณเลยทีเดียว วัดหลวง ว่ากันว่ามีอายุการก่อสร้างนับพันๆปี โดยในระยะเริ่มแรกของการสร้างเมืองในบริเวณที่ราบฝั่งแม่นำยมซึ่งมีชื่อว่า เมืองพลนคร โดย พ่อขุนหลวงพล มีการสร้างวัดขึ้นในบริเวณทิศตะวันตกของคุ้มเจ้าหลวงเมื่อปี พ . ศ . ๑๓๗๒ มีการสร้าง วิหารหลวงพลนคร (เรียกชื่อตามผู้ที่ก่อตั้ง เมืองพล ซึ่งต่อมากลายเป็นเมืองแพร่) สำหรับประดิษฐานพระเจ้าแสนหลวงพระประธานของเมืองพลนคร และเพื่อเป็นสถานที่ประกอบพิธีทางศาสนา ในขณะเดียวกันก็เป็นศูนย์รวมจิตใจของประชาชนที่เพิ่งจะร่วมกันสร้างบ้านแปงเมืองกันมา ต่อมาในปี พ . ศ . ๑๖๐๐ ชนชาติขอมได้ยกทัพเข้ารุกรานเมืองพลนคร แม้เจ้าเมืองจะเข้าต่อสู้อย่างเต็มกำลังแต่ก็ไม่สามารถด้านทานทัพใหญ่ของขอมได้ ในครั้งนั้นเข้าศึกได้เผาทำลายเมืองรวมทั้งวัดวาอารามต่างๆ ได้เผาลอกเอาทองหุ้มพระเจ้าแสนหลวงไปด้วย ผู้คนจึงอพยพออกนอกเมือง จากนั้นขอมได้เปลี่ยนชื่อเมืองเป็น เมืองโกศัย จนถึง พ . ศ . ๑๗๑๙ เมื่อพม่าขยายอิทธิพลมาสู่ดินแดนนล้านนาและขับไล่ขอมออกไปจากเมืองโกศัยแล้ว พม่าได้เรียกเมืองพลว่า เมืองแพล ต่อมา พญาพีระไชยวงศ์ เจ้าเมืองแพลได้ทำไมตรีกับพม่าและได้ร่วมกับ ส่างมังการะ เจ้าเมืองพม่า ทำการบูรณะ วัดหลวง รวมทั้งการทำทุงกระด้าง ( อ่าน “ ตุงกะด้าง ”) และเสาหงส์ซึ่งทำด้วยไม้แกะสลักเพื่อถวายเป็นพุทธบูชานอกจากนั้น เจ้าเมืองแพลและชาวเมืองแพลยังได้ร่วมสร้างพระธาตุหลวงไชยช้างค้ำ โดยการก่อเจดีย์ ด้วยอิฐปูนรูปทรง ๘ เหลี่ยม บนฐานสูง ๑ เมตร รูปสี่เหลียมจัตุรัส พร้อมกันนั้น ได้หุ้มทองพระเจ้าแสนหลวงและขนานนามวัดเสียใหม่ว่า วัดหลวงไชยวงศ์ ในปี พ.ศ. ๑๘๗๙ เมืองแพลตกเป็นประเทศราชของกรุงสุโขทัย สมเด็จพระมหาธรรมราชลิไทได้เสด็จขึ้นมาสร้างและบูรณะวัดหลายแห่งในอาณาจักรล้านนา สำหรับวัดหลวงโปรดฯ ให้บูรณ์ะพระธาตุหลวงไชยช้างค้ำด้วยการสร้างเจดีย์ใหม่ครอบองค์เดิมแล้วพระราชทานแก่วัดว่า วัดหลวงสมเด็จ ในปี พ.ศ. ๒๐๕๙ พระสร้อยสุริยะ เจ้าเมืองแพร่ ได้บูรณะวัดหลวงโดยมีพระเมืองแก้ว กษัตริย์เมืองเชียงใหม่เป็นผู้อุปถัมภ์ ต่อมา มีการบูรณะศาสนสถานในวัดหลวงโดยเจ้าเมืองแพร่องค์ต่อๆ มา ด้วยการสร้างปูชนีวัตถุต่างๆ ได้แก่พระพุทธมิงเมืองและพระเจ้าแสนทอง ซึ่งสร้างโดยเจ้าเมืองแพร่จันทราเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๑๕ จากนั้น เจ้าหลวงพิมพิสาร ได้ทรงสร้างพระอุโบสถหลังใหม่แทนหลังเดิมที่ถูกไฟไหม้ อนึ่งในปี พ.ศ. ๒๔๔๕ พระธาตุหลวงงไชยช้างค้ำชำรุดพังลงด้านหนึ่งครูบาเจ้าธรรมชัยจึงทำการบูรณะขึ้นใหม่ จากนั้นเป็นต้นมา มีการบูรณะศาสนสถานต่างๆ ภายในวัดเพิ่มโดยลำดับ ได้แก่ พระวิหารหลวงพลนคร พระอุโบสถพระธาตุไชยช้างค้ำ ซุ้มประตูวัด หอพระธรรม รวมทั้งพระพุทธรูปอีกหลายองค์ จนวัดหลวงมีสภาพที่สมบูรณ์อย่างที่เห็นในปัจจุบัน วิหารหลวงพลนคร เป็นวิหารทรงโรง ขนาด 6 ห้อง ห้องด้านหน้าเดิมน่าจะเป็นมุขหน้า 2 ห้อง (เดิมเข้าใจว่าคงจะเป็นโถงมุขหน้าโล่งๆ ต่อมาภายหลังจีงก่อนผนังเพิ่มเติมให้เป็นวิหารแบบปิด เจ้าของบล็อกเดาเอาจากหน้าต่างพระวิหาร 2 ห้องแรกที่ไม่มีการเจาะหน้าต่างแต่ทำเป็นช่องลูกกรงให้แสงแดดและลมผ่านเข้าไปภายใน ต่างจาก 4 ห้องถัดไปจะมีการเจาะหน้าต่าง) มีการทำซุ้มประตูทางเข้าตกแต่งอย่างสวยงาม ![]() ![]() ![]() ตัววิหารก่อด้วยอิฐถือปูน ยกพื้นสูงจากพื้นดิน มีบันไดนาคปูนปั้นทาสีสวยงาม ![]() ![]() ![]() ![]() หลังคามี 2 ตับ และซ้อนกัน 2 ชั้น ใบระกาเป็นรูปพญานาคแบบล้านนา ส่วนช่อฟ้าทำเป็นรูปหงส์ ![]() หน้าบัน (หน้าแหนบ) สร้างด้วยไม้สัก แกะสลักลวดลายหน้ากาลคายช่อดอกไม้แล้วมีเทพยืนพนมมือ 2 ข้างมีรูปสัตว์ (ลิง) หรือเปล่าไม่แน่ใจกับลายก้านขด ด้านล่างหน้าแหนบมีแถวเทพยืนพนมมือ 12 องค์ ส่วนของรวงผึ้งแกะเป็นรูปสิงห์ 8 ตัว เป็นคู่ 3 คู่ อยู่ตรงกลาง อีกข้างละตัวยืนเดี่ยวๆ ส่วนรวงผึ้งตรงปีกนกก็ทำเป็นรูปสิงห์ยืนเรียงกันด้านละ 6 ตัว ![]() เมื่อผ่านซุ้มประตูทางเข้าจะมี โขงประตู ด้านในอีกหนึ่งชั้น คาดว่าน่าจะเป็นประตูทางเข้าเดิมตรงโถงข้างหน้าซึ่งภายหลังมีการก่อปิดจนทึบ โขงประตู มีลักษณะเพรียวแต่ลายปูนปั้นออกจะลบเลือนไปตามกาลเวลา ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ด้านใน โขงประตู มีการวาดรูปพระพุทธเจ้าทั้ง 29 พระองค์และหม้อปูรณฆฎะ (พระพุทธเจ้าในอดีต 28 พระองค์ กับ พระศรีอาริยเมตไตรซึ่งเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตอีก 1 พระองค์) ![]() ภายในพระวิหารไม่มีการตกแต่งใดๆ (หรืออาจจะมีแต่มีการบูรณะแบบลบไปแล้ว) ท้ายพระวิหารประดิษฐานพระเจ้าแสนหลวง พระพุทธรูปขนาดใหญ่ประทับนั่งปางสมาธิ ศิลปะล้านนาผสมกับสุโขทัย (น่าจะเป็นล้านนาอย่างเดียวเพราะมีพุทธลักษณะคล้ายๆกับพระพุทธรูปในเมืองน่าน – เจ้าของบล็อก) ภายในวิหารจึงเป็นที่เก็บแผ่นไม้สัก ขนาดความยาวประมาณ ๓ เมตร แกะสลักลวดลายที่ชัดเจนเป็นรูปพญานาค ๔ คู่ ซึ่งเรียกว่า “ ตุงกระด้าง ” โดยตอกติดกับเสาไม้ ![]() ![]() พระวิหารไม่มีเพดาน แต่ท้ายพระวิหารตรงกับที่ประดิษฐาน พระเจ้าแสนหลวง มีเพดานทำเป็นดอกไม้ 9 ดอก เป็นความเชื่อเช่นเดียวกับการทอผ้าโฮลปิดานของภาคอีสานที่นิยนทอผ้าไหมมัดหมี่เพื่อขึงเหนือพระพุทธรูป เพื่อกำหนดบริเวณอันศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในอาคาร บางความเชื่อบอกว่าทำเลียนแบบคันธกุฎีที่ประทับของพระพุทธเจ้า ![]() เสาที่เขียนลายทองในพระวิหาร 2 ต้น ข้างพระเจ้าแสนหลวงเจ้าของบล็อกคาดว่าน่าจะเป็นเสาเดิมของพระวิหารซึ่งเดิมคงเป็นวิหารเครื่องไม้จำเป็นต้องมีเสาหลวงเป็นคู่ๆตามจำนวนห้อง แต่เมือมีการบูรณะเป็นวิหารแบบก่ออิฐแล้วใช้การถ่ายน้ำหนักหลังคาลงบนผนังจึงสามารถตัดเสาพระวิหารออกไป คงเหลือคู่สุดท้ายตรงพระประธานไว้ตามเดิม ![]() ![]() ตรงข้ามกันกับพระวิหารห่างออกไปประมาณ 20 เมตร มีประตูวัดที่เก่าแก่ เรียกว่า "ประตูโขง" ซึ่งแต่เดิมใช้เป็นประตูของเจ้าเมืองผ่านเท่านั้น มีลักษณะคล้ายเจดีย์ย่อมุม ก่อด้วยอิฐโบราณถือปูนและอยู่ในสภาพที่ทรุดโทรม ปัจจุบันได้รับการบูรณะแล้ว โดยภายในฉาบด้วยปูน ด้านหน้าก่ออิฐถือปูนปิดทางเข้าออก นอกจากนี้มีการสร้างกำแพงวัดด้านหน้าเพิ่มเดิม รวมทั้งสร้างประตูวัดขึ้นใหม่ ![]() ![]() ติดกับพระวิหารเป็น น่าจะเป็นพระอุโบสถของวัดหลวงมีชื่อว่า ” โบสถ์เจ้าผู้ครองนคร ” สร้างด้วยอิฐถือปูน มีขนาดย่อมกว่าวิหารมาก ที่หน้าแหนบของซุ้มประตูแกะสลักเป็นรูปช้าง ที่เครื่องบนใบระกาเป็นแบบภาคเหนือแต่ช่อฟ้าเปลี่ยนไปเป็นแบบภาคกลาง บันไดทางขึ้นด้านหน้าตรงประตู ๑ ช่อง ซึ่งตัวบันไดมีความกว้างประมาณ ๑ เมตร ภายในโบสถ์เป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธรูป ๑ องค์ บางเวบบอกว่าคือ พระเจ้าแสนทอง ซึ่งสร้างโดยเจ้าเมืองแพร่จันทราโดยมีจารึกอักษรฝักขามใต้ฐานด้านหน้าพระพุทธรูป ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ด้านหลังพระอุโบสถคือ หอไตร ![]() ด้านหลังของพระวิหารเป็นที่ตั้งของ พระธาตุหลวงไชยช้างค้ำ ซึ่งสร้างด้วยอิฐถือปูนทาสีขาวและเป็นที่ประดิษฐานพระธาตุที่นำมาจากเมืองหงสาวดี รูปแบบการก่อสร้าง เป็นศิลปะล้านนารูปทรง ๘ เหลี่ยม ตั้งอยู่บนฐานรูปเหลี่ยมจัตุรัส มีความกว้างงด้านละประมาณ ๕ เมตร ฐานสูงจากพื้นดินประมาณ ๑ เมตร รอบๆ องค์พระธาตุ จะมีซุ้ม ๔ ทิศ ประดิษฐานพระพุทธรูปโดยช่องกลางระหว่างซุ้มทั้ง ๔ ทิศ จะมีรูปปั้นช้างสีขาวครึ่งตัวโผล่ออกมาจากตัวพระธาตุ ส่วนยอดของพระธาตุประดับด้วยช่อดอกไม้สีทอง ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() สวัสดีครับ
ตามมาเที่ยววัดด้วยครับ ชอบโครงหลังคาทาสีแดง สวยดีครับ ![]() ![]() โดย: Sleepless Sea
![]() เมืองแป่....เป็นเมืองไม้สักก็ว่าได้นะครับคุณบอล
ผมอ่านข้างบนแล้วสังเกต ปนเดา 555 เมื่อมีไม้สักเยอะเลยทำ ตุงกระด้าง หรือธงแข็งถื่อ เพราะคงทนนาน...กว่าธงหรือตุงทีทำด้วยผ้า ทอมือยาว ๆ ปลิวไสวยามลดพัดมา ... อ่านข้างบนอีก เจอว่า ส่างมังการะ เจ้าเมือง... เดาอีกแหละ คำว่า ส่าง หมายถึง "ช่างไม้ข่างก่อสร้าง" เป็นช่างฝีมือเอก ทำงานให้ เจ้าเมืองพม่า ที่ไปยีดครองเมืองแป่ ค่าที่จาร หรือเขียนตำนาน คงจะเขียน ส่างมังการะ และเจ้าเมือง พม่า หรือ ส่างมังการะ & เจ้าเมืองพม่า ... คุณบอลคงจะ สันนิษฐานว่า ไวน์อ่านเชอร์ล๊อคโฮมมาก 555 ไปละแล้วจะมาแซวใหม่ โดย: ไวน์กับสายน้ำ
![]() ![]() อ้อ ลืม..ไปว่า ฟัง ล่องแม่ปิง เวอร์ชั่น วงออเครสตร้า กระหื่มไพเราะ
อีกแบบ ผมฟังที่คุณบอลเกาะเกี่ยวมา เสียงดังกว่า วงที่เล่นเป็นสีดำเข้มยูทูป คุณบอลเพิ่มเสียงใช่เปล่าครีบ โดย: ไวน์กับสายน้ำ
![]() ![]() ยอดเยี่ยม
วัดสวยงามมากเลยจ๊ะน้องบอล แวะมากราบไหว้ โดย: อุ้มสี
![]() ![]() ตามมาไหว้พระชมวัดค่ะ
คิดว่าเคยได้ไปเองแล้ว แต่ชมไม่ได้รายละเอียดเท่าคุณบอลพาไป เพลงเพราะมากนะคะ ![]() ![]() ![]() โดย: ภาวิดา คนบ้านป่า
![]() ![]() ทนายอ้วน Travel Blog ดู Blog
แวะมาตามเที่ยวด้วยคน สวยดูสงบใจมากจ้า ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() โดย: หอมกร
![]() ![]() ชอบไปไหว้พระทำบุญ ชมวัดงามตา ถ้ามีวัตถุมงคลก็บูชามาด้วยครับ
![]() โดย: สองแผ่นดิน
![]() ![]() |
ทนายอ้วน
![]() ![]() ![]() ![]() ![]() Friends Blog
|
แล้วถ่ายรูปในวันฟ้าเปิดๆนะ.. ดูสว่างตาไปหมดเลย
ปักหมุดไว้ก่อน.. ไว้ต้องมีโอกาสไปตามรอยแน่..