Group Blog
All Blog
|
ทนายอ้วนทัวร์ - ชวนไปเที่ยววัดสวยๆ ที่อยุธยากันอีกวัดหนึ่งนะครับ - วัดหน้าพระเมรุ สถานที่ท่องเที่ยว : วัดหน้าพระเมรู อยุธยา, อยุธยา Thailand พิกัด GPS : 14° 21' 44.92" N 100° 33' 31.39" E พอถึงวันจริงเราก็แวะไหว้พระตามรายทางมาเรื่อยๆ ตั้งแต่วัดใหญ่ชัยมงคล วัดพนัญเชิง วัดสุวรรณดาราราม แวะกินก๋วยเตี๋ยวหมูโบราณร้านป้าพร พอขาจะกลับบ้านคุณชายเลยชวนแวะวัดหน้าพระเมรุครับ วัดหน้าพระเมรุ เราใช้เส้นทางรอบเกาะเมืองผ่านหน้าโรงพระยาบาลอยุธยา แวะซื้อโรตีสายไหมซะหน่อยนึงแล้ววิ่งรถตรงไปเรื่อยๆ จนอ้อมมาจนเจอพระราชวังโบราณ ให้มองทางซ้ายไว้จะมีป้ายบอกทางไปวัดหน้าพระเมรุโดยต้องข้ามสะพานข้ามคลองสระบัวหรือแม่น้ำลพบุรีเก่าไป พอข้ามสะพานไปก็ขับตรงไปอีกหน่อยเดียวก็ถึงลานจอดรถวัดหน้าพระเมรุทางซ้ายมือครับ ตามตำนานกล่าวถึงวัดนี้ว่า พระองค์อินทร์ในสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ รัชกาลที่ ๑๐ แห่งกรุงศรีอยุธยา ทรงสร้างเมื่อจุลศักราช ๘๖๔ (พ.ศ. ๒๐๔๖) ประทานนามว่า วัดพระเมรุราชิการราม แต่คนทั่วไปนิยมเรียกกันสั้นๆว่า "วัดพระเมรุ" แล้วทำไมถึงไดเพี้ยนมาเป็น วัดหน้าพระเมรุ ก็สุดจะเดาได้เหมือนกันครับ เกร็ดประวัติศาสตร์กล่าวถึงวัดนี้เอาไว้ 2 ครั้ง ที่สำคัญๆ ครั้งที่ 1 คือเมื่อคราวทำสัญญาสงบศึกระหว่าง สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ์กับพระเจ้าหงสาวดีบุเรงนอง มีการปลูกพลับพลาเป็นที่ประทับซึ่งอยู่ด้านหน้าวัดพระเมรุกับวัดหัสดาวาส (ปัจจุบันวัดหัสดาวาสเหลือเพียงซากเจดีย์) อีกตอนหนึ่งเมื่อคราวสมเด็จพระเจ้าอะลองพญามาตีกรุงศรีอยุธยา เมื่อเดือน ๖ ขึ้น ๑ ค่ำ พ.ศ ๒๓๐๓ พม่า เอาปืนใหญ่มาตั้งที่วัดพระเมรุราชิการามกับวัดหัสดาวาส พระเจ้าอะลองพญาทรงบัญชาการและทรงจุดปืนใหญ่เอง ปืนใหญ่ที่ตั้งอยู่ในวัดพระเมรุราชิการามแตกต้องพระองค์บาดเจ็บสาหัส ประชวรหนักในวันนั้น พอรุ่งขึ้น ๒ ค่ำ เดือน ๖ พ.ศ. ๒๓๐๓ พม่าเลิกทัพกลับไปทางเหนือหวังออกทางด่านแม่ละเมาะ แต่ยังไม่พ้นแดนเมืองตาก พระเจ้าอะลองพญาก็สิ้นพระชนม์ระหว่างทาง วัดหน้าพระเมรูได้รับการบูรณะใหม่ในสมัยพระเจ้าบรมโกศและในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อ พ.ศ. 2378 และ พ.ศ. 2381 สิ่งที่เห็นอยู่ในปัจจุบันจึงปะปนกันทั้งที่มีอยู่ก่อนแล้วในสมัยอยุธยา สมัยรัชกาลที่ 3 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ และในสมัยปัจจุบัน ที่สำคัญที่สุดเป็นวัดเดียวในกรุงศรีอยุธยาที่ไม่ถูกพม่าทำลายเมื่อครั้งเสียกรุงครั้งที่สองและยังคงสภาพที่ดีมากเนื่องจากพม่าได้ตั้งกองทัพอยู่ที่บริเวณวัดนี้ เมื่อเข้ามาถึงบริเวณวัด สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนเลยก็คือ พระอุโบสถ พระอุโบสถเป็นแบบอยุธยาตอนต้น ยาวประมาณ 41 เมตรครึ่ง (9 ห้อง) กว้างประมาณ ๑๖ เมตร ตั้งอยู่บนฐานสูงทำให้ตัวพระอุโบสถดูสูงใหญ่ตระการตา มีมุขทั้งด้านหน้า และด้านหลัง หน้าพระอุโบสถสู่ทิศใต้ หลังพระอุโบสถสู่ทิศเหนือ พระอุโบสถมีส่วนยาวและกว้างมาก ไม่มีหน้าต่างแต่เราจะไม่รู้สึกอับ หรือว่าอึดอัดเนื่องจากไม่มีอากาศเลย เพราะในพระอุโบสถมีอากาศถ่ายเท ไม่อับ และมีแสงพอที่จะถ่ายรูปได้โดยไม่ต้องใช้แฟลช แต่เดิมพระอุโบสถสร้างแบบมีเสาอยู่ภายใน ซึ่งเป็นแบบอย่างอยุธยาตอนต้น ต่อมาได้มีการขยายออกโดยเพิ่มเสารับชายคาภายนอกในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ หน้าบันพระอุโบสถเป็นไม้สักแกะสลักรักปิดทองประดับกระจกเป็นรูปพระนารายณ์ทรงครุฑเหยียบเศียรนาค ล่างลงไปมีรูปราหูสองข้างติดกับเศียรนาค รายล้อมด้วยหมู่เทวดาประนมมืออยู่ 26 องค์ มีบังฐานและกระจัง ลงรักปิดทอง ติดกระจกสี เหมือนกันทั้งด้านหน้าและด้านหลัง คติในการใช้รูปพระนารายณ์ประดับหน้าบันเป็นที่นิยมในสมัยโบราณที่ถือว่าพระมหากษัตริย์ทรงเป็นสมมติเทพ เป็นพระนารายณ์อวตาร ดังนั้น หน้าบันของโบสถ์ วิหาร หรือปราสาทราชวังที่พระมหากษัตริย์ทรงสร้างหรือทรงบูรณะก็มักจะทำรูปพระนารายณ์ทรงครุฑเป็นสำคัญ อันมีความหมายว่าวัดแห่งนี้เป็นวัดหลวง ประตูเข้าด้านหน้าอุโบสถมีถึง 3 บาน ช่องกลางซึ่งด้านบนประดับเป็นยอดปราสาทมีขนาดใหญ่ตามคติที่ว่าเป็นประตูสำหรับบุคคลสำคัญเท่านั้น ต่อมาได้รับการดัดแปลงให้กลายเป็นซุ้มหน้าต่างแทนประตู ช่องแสงที่เข้ามาในพระอุโบสถเจาะเป็นช่องยาวตามแนวตั้ง ภายในพระอุโบสถมีเสาเหลี่ยมสองแถวๆ ละแปดต้น มีบัวหัวเสาเป็นบัวโถแบบอยุธยารับเครื่องหลังคาขนาดมหึมา ทั้งตัวคานไม้และขื่อประดับประดาด้วยลายแกะไม้ที่งดงาม เพดานเป็นงานจำหลักไม้ลงรักปิดทองเป็นการสื่อความหมายของดวงดาวอันดารดาษอยู่ในท้องฟ้า เดิมภายในพระอโบสถมีภาพเขียนด้วยสีโบราณเป็นรูปภิกษุณีสงฆ์ แต่ถูกฉาบทาด้วยปูนเลียบขาวเสียหมดส่วนการบูรณะส่วนอื่นๆ ของตัวพระอุโบสถได้รักษาส่วนและรูปทรงของเดิมไว้ทุกส่วน คงมีแต่ลายที่เสาและลายเขียนที่ฝาผนัง ซึ่งถูกลบเลือนสันนิษฐานว่าการบูรณะครั้งหลังนี้คงจะหาช่างที่มีฝีมือทัดเทียมของเดิมได้ยาก ประกอบกับจะต้องใช้งบประมาณและเวลามากด้วย พระประธานในอุโบสถเป็นพระพุทธรูปทรงเครื่องใหญ่อย่างพระมหากษัตราธิราชสมัยกรุงศรีอยุธยา ปางมารวิชัย หันพระพักตร์ไปทางทิศใต้ หล่อด้วยทองสำริด ภายนอกฉาบด้วยปูนลงลักปิดทอง หน้าตักกว้างประมาณ ๔.๔๐ เมตร สูงประมาณ ๖.๐๐ เมตร ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดที่ปรากฏและมีพระลักษณะสวยงามมากมาก พระนามว่า พระพุทธนิมิตวิชิตมารโมลีศรีสรรเพชญ์บรมไตรโลกนาถ สัณนิษฐานว่าสร้างขึ้นราวรัชกาลของพระเจ้าปราททองเพราะมีลักษณะคล้ายกับพระพุทธรูปทรงเครื่องภายในเมรุทิศเมรุรายของวัดไชยวัฒนารามที่สร้างขึ้นในรัชกาลพระเจ้าปราททองเช่นกัน สร้างในคติของพระพุทธเจ้าปางโปรดพญามหาชมพู ตามความในมหาชมพูบดีสูตร ซึ่งเป็นรูปแบบของพระพุทธรูปที่นิยมมากในสมัยอยุธยาตอนกลางต่อลงมาจนถึงสมัยรันตโกสินทร์ตอนต้น ตามข้อมูลที่ค้นคว้ามาเค้าบอกว่า ... พระพุทธรูปทรงเครื่องอาจหมายถึง พระศรีอาริยเมตไตรย ผู้ซึ่งจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ห้าที่จะได้เสด็จมาสั่งสอนและนำสังคมอันอุดมสมบูรณ์สงบสุขในอนาคต ปัจจุบันพระองค์ยังเป็นเทพบุตรอยู่ในสรวงสวรรค์จึงทรงเครื่องเช่นเทวดาทั้งหลาย หรืออาจอธิบายว่าเป็นเรื่องของพุทธประวัติ คือ ตอนที่พระพุทธเจ้าทรมานพญามารชมพูบดี ด้วยพญามารอวดตนมั่งคั่งร่ำรวย แต่งกายสวยงาม พระพุทธเจ้าจึงเนรมิตพระองค์ให้มีความงามกว่าพญามาร ดังนั้น พญามารจึงยอมรับพระพุทธเจ้า เป็นการปราบมารในรูปแบบหนึ่งนั่นเอง ด้านข้างของพะอุโบสถมี พระวิหารสรรเพชญ์ (ประชาชนเรียกชื่อว่าพระวิหารคันธารราฐ) คนทั่วไปเรียกกันว่า วิหารเขียน เพราะมีลายเขียนในพระวิหาร หรือ วิหารน้อย เพราะมีขนาดเล็ก (น้อย) กว่าพระอุโบสถ มีความยาวประมาณ ๑๖ เมตร กว้างประมาณ ๖ เมตร มีมุขทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ห่างจากพระอุโบสถประมาณ ๒ เมตรเศษ สร้างในปี พ.ศ. ๒๓๘๑ โดย พระยาไชยวิชิต (เผือก) ตรงกับรัชกาลที่ ๓ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ พระวิหารน้อยมีรูปแบบลอกเลียนมาจากพระอุโบสถ แต่ลดขนาดให้เล็กลงกับทั้งเปลี่ยนหน้าบันให้เป็นลายพรรณษาแบบฝรั่งปนจีนโดยเฉพาะอย่างยิ่งลวดลายแจกันดอกไม้และโต๊ะหมู่บูชาแบบจีนขนาดเล็กตามที่นิยมกันในสมัยรัชกาลที่ 3 ส่วนลายแกะสลักบานประตูพระวิหารน้อย เป็นลายแกะสลักด้วยไม้สักหนาชิ้นเดียว เป็นลวดลายที่ซับซ้อนกับหลายๆมิติ งานอย่างมากเลยครับ ฝาผนังของพระวิหารน้อยมีภาพจิตรกรรมเต็มพื้นที่เล่าเรื่องการค้าสำเภาและพุทธชาดกต่าง ๆ งดงามที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย แต่น่าเสียดายว่าเลือนไปเกือบหมดแล้วครับ ในพระวิหารน้อยประดิษฐานพระพุทธรูปแบบทวาราวดีขนาดใหญ่ประทับนั่งวางพระบาทอยู่บนดอกบัวบาน สลักจากหินปูนสีเขียวแก่ พระนามว่า คันธารราฐ ซึ่งอัญเชิญมาจากวัดมหาธาตุ ในเกาะเมือง ข้างวัดราชบูรณะ อยุธยา ผู้สร้างพระวิหารน้อยได้จารึกไว้ในศิลาติดไว้ที่ฝาผนังเมื่อ พ.ศ. ที่สร้างว่า พระคันธารราฐ นี้ พระอุบาลีซึ่งจำพรรษาอยู่ที่วัดธรรมาราม นำมาจากประเทศลังกา ในคราวที่ท่านเป็นสมณฑูต พร้อมด้วยพระสงฆ์สยามวงศ์ นำพระพุทธศาสนาไปประดิษฐานในประเทศลังกา องค์พระพุทธรูปมีลักษณะที่น่าสังเกตหลายประการ คือ 1. พระรัศมีรอบพระเศียร ซึ่งมีเปลวฉายออกมาโดยรอบนั้น ชี้ให้เห็นอิทธิพลของจีน 2. ชายจีวรถูกถลกสูง เผยให้เห็นถึงพระชานุซ้ายของพระพุทธเจ้า ดูแปลกไปจากพระพุทธรูปที่พบทั่วไปในประเทศไทย เป็นเช่นเดียวกับที่นิยมทำพระศรีอาริยเมตไตรยในประเทศจีน สมัยราชวงศ์ถัง 3. พระหัตถ์ทั้งคู่วางราบอยู่บนเข่าทั้งสอง ซึ่งแปลกไปจากปางต่าง ๆ ที่รู้จักกันในประเทศไทย เชื่อกันว่าพระพุทธรูปองค์นี้แต่เดิมอยู่ที่วัดพระเมรุราชิการาม จังหวัดนครปฐมเนื่องจากทางราชการขุดพบเรือนแก้วที่ชำรุด สันนิษฐานว่าเป็นเรือนแก้วของพระพุทธรูปองค์นี้ และได้ย้ายมายังวัดมหาธาตุ อยุธยา ราวรัชกาลสมเด็จพระมหาจักรพรรดิก็เป็นได้ พระพุทธรูปองค์นี้เป็นพระพุทธรูปศิลาประทับนั่งห้อยพระบาทที่ใหญ่และสมบูรณ์ที่สุดในปัจจุบัน นับเป็น 1 ใน 6 องค์ ที่มีอยู่ในประเทศไทย จึงนับเป็นสิ่งที่มีค่ามาก น่าเสียดายที่ทางวัดนำเต้นท์มากางไว้เป็นการถาวรที่หน้าพระวิหารน้อย ทำให้พระวิหารน้อยขาดความสง่างามไปเยอะเลยครับ วัดหน้าพระเมรุ - วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี วัดโบราณในพระนครศรีอยุธยา วัดหน้าพระเมรุ วัดหน้าพระเมรุ วัดหน้าพระเมรู เวบไซต์วัดเชิงท่า ทัวร์ทนายอ้วน .......... เที่ยวไป ..... ตามใจฉัน ขอไปเที่ยววัดด้วยคนค้าบ วัดโบราณแบบนี้ผ่านเรื่องราวต่างๆ มากมาย ผ่านวิถีชีวิตมานับไม่ถ้วน ผมเป็นอีกคนที่ชื่นชอบแหละหลงใหลสถานที่แบบนี้ครับ สุดยอดไปเลย
โดย: NaiKonDin วันที่: 8 กันยายน 2556 เวลา:15:52:53 น.
เป็นวัดที่สวย งานละเอียดจังค่ะ
ขอบคุณมากๆนะคะ คุณบอล ^^ โดย: lovereason วันที่: 8 กันยายน 2556 เวลา:19:14:53 น.
สาระเพียบค่ะบล๊อกวันนี้ของน้องบอล ป้าอิ๋วตั้งตัวไม่ทันเลย อิอิ คิดว่าจะพากินก๋วยเต๊๋ยวข้างวัด อะไรทำนองนั่น ฮ่า
เชียร์ให้ป้าอิ๋วทำหมึกแดดเดียวไม่ขึ้นแล้วล่ะ วันนี้แดดไม่มีเลยค่ะ ที่นี่ เขาบอกว่าย่างเข้าฤดูใบไม้ร่วงแล้วค่ะ แต่จะคอยเช็คพยากรณ์อากาศไว้ค่ะ เผื่อวันแดดดีๆ เมืองไทยเราตากแค่ 3 ชั่วโมง แต่ที่นี่ต้องวันหนึงเลยค่ะ โดย: Sai Eeuu วันที่: 8 กันยายน 2556 เวลา:22:32:54 น.
อ่าน + ดูแล้ว อยากไปวัดหน้าพระเมรุอีกเลย เคยไปนานมากแล้วค่ะ ตั้งแต่ใช้กล้องคอมแพคตัวเล็ก ๆ
โดย: สายหมอกและก้อนเมฆ วันที่: 9 สิงหาคม 2559 เวลา:18:07:39 น.
|
ทนายอ้วน
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 156 คน [?] Friends Blog
|
5555 แผนล้ำลึกอ่ะ เข้าวัดก่อน
เค เค บล๊อกหน้าต้องได้กินเตี๋ยวแล้วนะ