Group Blog
 
<<
สิงหาคม 2552
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
5 สิงหาคม 2552
 
All Blogs
 

10 ผู้หญิงเก่งและแกร่งยุค 2009

หญิงสาวสามช่วงวัย 20,30 และ 40 ที่ต่างสามารถฝ่าฟันอุปสรรคไปสู่สุดยอดแห่งชัยชนะแห่งวิชาชีพ
จนสังคมต่างยอมรับในความสำเร็จของพวกเธอ จะมีใครบ้างเราไปดูกันเลย


โอปอลล์
โอปอลล์-ปาณิสรา พิมพ์ปรุ

ฉันเป็นฉันเอง
ในกระแสสังคมที่สาวสวย หมวย อึ๋มกำลังมาแรงแต่สาวน้อยมากพลังคนนี้
ขอเลือกที่จะทวนกระแสด้วยการเป็นตัวของตัวเอง และโชว์ความสามารถในแบบที่เธอเป็น
ซึ่งกว่าจะมาถึงจุดที่เธอมีผลงาน ทั้งงานภาพยนตร์ งานพิธีกร งานดี.เจ.
และล่าสุดงานนักเขียนบทซิตคอม “เนื้อคู่ประตูถัดไป” เธอต้องประสบพบเจอกับอุปสรรค
ว่าด้วยเรื่องการยอมรับจากสังคมไม่น้อยเลยทีเดียว

"ชีวิตปอลล์ไม่เคยได้อะไรมาง่ายๆ ด้วยความที่เราเกิดมาไม่สวย
เราต้องลำบากและพยายาม ทำอะไรมากกว่าคนอื่นๆ เขา ซึ่งแต่ก่อนปอลล์เคยเป็นคนที่ไม่มั่นใจในตัวเอง
แถมยังโดนเพื่อนล้อว่าดำ ตอนนั้นปอลล์หนีไปขังตัวเองอยู่ในตู้แล้วร้องไห้ใหญ่เลย แต่พอคิดได้ว่า
ต่อให้ร้องไห้ไปจนตาย เราคงเปลี่ยนอะไรไม่ได้ ปอลล์เลยเรียนรู้ที่จะยอมรับตัวเอง
และอยู่ กับสิ่งที่เราเป็นอย่างมีความสุข ปอลล์อยากบอกน้องๆ ว่าคนเราอย่าให้ใครมาตัดสินอะไรในตัวเรา
เพราะทุกคนมีคุณค่าในตัวเอง ตราบใดที่เรารู้ว่าเราเป็นใคร
และกำลังทำอะไรอยู่เราสามารถประสบความสำเร็จในแบบที่เราเป็นได้"

เหตุนี้เมื่อหาจุดยืนเจอ โอปอลล์จึงโลดแล่นในวงการอย่างใจที่เธออยากเป็น
และในวันนี้เธอถือเป็นหนึ่งในไอดอลที่วัยรุ่นไทยไปจนถึงรุ่นเดอะ ต่างให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น

"ปอลล์ดีใจที่เด็กๆ เดินมาบอกว่า พี่เป็นไอดอลของหนูนะ ซึ่งปอลล์จะรู้สึกดีมากๆ ที่ตัวเองเป็นตัวของตัวเอง
และมีคนยอมรับในสิ่งที่เราเป็น ปอลล์ว่ายุคนี้ เราควรหยุดเฟกกันได้แล้ว และหยุดที่จะทำอะไรที่ไม่ใช่ตัวเอง
และถ้าเราเป็นตัวของตัวเองเมื่อไหร่ คนจะชื่นชอบในแบบที่เราเป็นเองนั่นแหละ
และสามารถเป็นแรงบันดาลใจให้แก่คนอื่นๆ ได้"

ใน วันนี้สาวโอปอลล์วัย 27 ผู้แสนอารมณ์ดีเดินมาถึงจุดที่เธอมีความสุขเสียเหลือเกิน
เพราะไม่ว่าชื่อเสียงเงินทองเธอล้วนได้มาหมด แถมในวันนี้เธอยังได้กำไรจากการทำสิ่งที่รักอีกด้วย
"มันไม่ใช่ก้าวย่างที่ประสบความสำเร็จที่สุดนะคะ แต่ปอลล์ก็ถือว่าตัวเองมีความสุขเสียเหลือเกิน
เพราะปอลล์ได้ทำงานในสิ่งที่ตัวเองรัก ได้เจอคนดีๆ มีเพื่อนดีๆ มีหน้าที่การงานดี แล้วเวลาไปไหนมาไหน
ทุกคนจะเข้ามายิ้ม เข้ามาทัก แค่นี้ปอลล์ก็มีความสุขมากแล้ว เพราะทุกสิ่งที่เราทำไปมีคนมองเราอยู่ และคิดว่า
ถึงเวลาที่เราต้องแบ่งปันแล้วล่ะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเงินทอง ความสุข หรือความช่วยเหลือใดๆ
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นกับปอลล์เราจะไม่ยึดติด เพราะรู้ว่าสักวันหนึ่งอะไรๆ ก็ต้องเปลี่ยนแปลงไป"




จีจ้า ญาณิน
จีจ้า ญาณิน วิสมิตะนันทน์

นางเอกนักบู๊หนึ่งเดียว
ชื่อเสียงและความสำเร็จที่กำลังก้าวไกลในระดับอินเตอร์ของผู้หญิงตัว เล็กๆ วัย 25 จีจ้า-ญาณิน วิสมิตะนันทน์
เบื้องหลังต้องแลกด้วยบาดแผลรอยฟกซ้ำบนร่างกาย แถมบางครั้งยังเสี่ยงอันตรายถึงชีวิต
เพราะเธอคือ นางเอกหนังแอ็กชั่นที่มีสโลแกนประจำตัวว่า "เล่นจริง เจ็บจริง"

จาก เด็กน้อยขี้โรค เริ่มฝึกฝนกีฬาเทควันโดเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง กระทั่งได้เป็นครูสอนเทควันโด
เป็นนักกีฬาเทควันโดเยาวชนกรุงเทพฯ คว้าเหรียญทอง และก้าวกระโดดสู่การเป็นนางเอกหนังแอ็กชั่นเรื่องแรก
"ช็อคโกแลต" ซึ่งหนังประสบความสำเร็จในระดับนานาชาติ ทำให้โลกได้รู้จักเธอ "จีจ้า-ญาณิน"
แอ็กชั่นฮีโร่หญิงคนใหม่จากเมืองไทย เธอบอกว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นเพราะความรักที่มีต่อแม่ บวกด้วยโอกาสที่
ผู้ใหญ่มอบให้ ทว่าสิ่งสำคัญที่เธอต้องมีคือความพยายาม ความอดทน และใจนักสู้ที่ไม่เคยยอมแพ้

"จ้าไม่เคยคิดมาเป็นนักแสดง ไม่มองตัวเองว่าเป็นคนเก่ง แต่เมื่อมีโอกาสเข้ามาแล้ว จ้าต้องพยายาม
เพราะชีวิตจ้าไม่ใช่ตัวเราคนเดียว ทุกวันนี้จ้าอยู่เพื่อคุณแม่และครอบ ครัว เนื่องจากเรามีทางเลือกไม่เยอะ
หลายคนถามว่าทำไมถึงกล้าเจ็บขนาดนี้ จ้าบอกได้เลย ว่าแรงบันดาลใจที่สำคัญที่สุดคือคุณแม่
ชีวิตเราลำบากกันมามากแล้ว ยิ่งตอนคุณพ่อเสียยิ่งลำบากสุดๆ จ้าเคยไม่มีตังค์ไปโรงเรียน
ทั้งเนื้อทั้งตัวเหลือ 50 บาท ข้าวกลางวันก็ไม่กิน กลัวเงินไม่พอ แต่ไม่อยากบอกแม่

ถึงวันนี้เวลาทำงาน ทุกครั้งที่เจ็บจะนึกถึงแม่ก่อน และจะ พยายามไม่ให้เขาเห็น เพราะรู้ว่าถ้าเห็น
เขาต้องร้องไห้แน่ๆ บางทีต้องแอบแผลเอาไว้ รอให้แผลแห้งค่อยกลับไปให้เขาเห็น
จ้าไม่อยากทำให้เขาร้องไห้หรือเจ็บแทนเรา แต่อยากบอกเขาว่าสิ่งที่ทำทุกอย่างนี้ก็เพื่อแม่
สิ่งที่ทำให้กล้าขึ้นไปอยู่บนที่สูง กล้ากระโดดจากที่สูง ก็คือแม่ เขาไม่ได้บังคับให้เราทำ แต่จ้าเคยมีจุดที่ต่ำสุด
แต่เราไม่ได้แย่อะไรมากมาย เพราะเรายังมีมือมีเท้า มีหัวคิด มีแรง มีกำลังใจทำต่อไป

จ้าต้องขอบคุณคนที่เขาให้เกียรติเรา บางคนยกให้จ้าเป็นฮีโร่และจ้าพยายามทำงานที่ทำอยู่ตรงนี้ให้สมกับคำที่
เขาให้ไว้ จ้าอยากเป็นจาง ซิยี่ หรือมิเชลล์ โหยวซึ่งเขาเล่นได้ดีทั้งบู๊และดราม่า
และคนทั่วโลกยอมรับในความสามารถ และอยาก บอกกับคนอื่นๆ ว่า ฮีโร่มีอยู่ในตัวทุกคน แค่คุณต้องหาให้เจอ
ว่าตัวเองชอบอะไรอยากทำอะไร แล้วมุ่งตรงไปด้านนั้นๆ ที่เหลือคือความพยายาม อดทนรอโอกาส
และอย่ายอมแพ้ ต้องมีสักวันที่เป็นของคุณแน่นอน"




เม กุลพัชร์
เม กุลพัชร์ กนกวัฒนาวรรณ

สาวรุ่นใหม่สไตล์ Home Cook
หลาย คนมองว่าการทำขนมประเภทเบเกอรี่หรือคุกกี้เป็นเรื่องยุ่งยาก หากไม่มีใจรักชอบ
ลงทุนเข้าคอร์สเรียนทำขนมเป็นเรื่องเป็นราว คงไม่มีทางได้ลิ้มรสขนมอร่อยๆ ฝีมือตัวเอง
ไม่ต้องคิดไกลถึงขั้นเปิดกิจการร้านทำขนมหรอกค่ะ เพราะนั่นยิ่งเป็นไปไม่ได้...
แต่สำหรับคนรักขนมอย่าง เม-กุลพัชร์ กนกวัฒนาวรรณ สาววัย 27
ทุกอย่างที่กล่าวมาเป็นไปได้ด้วยความชอบและตั้งใจทำอย่างจริงจังของเธอ

" เมเริ่มสนใจทำขนมตอนเรียนอยู่ชั้นม.5 อาศัยเปิดตำราขนมแล้วทำตาม ลองผิดถูก แล้วทำขนมให้คนใกล้ชิดชิม
พอใกล้จะจบก็มีความรู้สึกว่าเมไม่อยากเข้ามหาลัย อยากเปิดร้านขายขนม ก็เล่าโปรเจ็กต์นี้ให้พ่อฟัง
ท่านบอกดีแต่เก็บไว้ก่อน ท่านอยากให้เรียนหนังสือ และระหว่างนั้นก็ให้ไปคิดมาว่าอยากทำอะไร
ต้องเตรียมอะไรบ้าง ช่วงปิดเทอมเมไปสมัครทำงานโรงแรมเพื่อทำเบเกอรี่และเรียนรู้ระบบของเขา
พอทำไปแล้วรู้เลยว่านี่แหละงานของฉัน ก็ตัดสินใจเลยว่าเมจะเดินในเส้นทางของคนทำขนมตั้งแต่นั้น"

ทว่า ชื่อของสาวเมเริ่มเป็นที่รู้จักในวงการเบเกอรี่ไม่ใช่ด้วยรสชาติจากขนมของเธอ
แต่กลับเป็นผลงานหนังสือ May Made ที่สอนการทำขนมแบบโฮมเมดคุกกิ้ง
ซึ่งสร้างปรากฏการณ์ขายได้ขายดีในเวลาอันรวดเร็ว จนแม้แต่เธอเองยังประหลาดใจ
"ตอนแรกกลัวเหมือนกันเพราะเมไม่มีเครดิต ไม่ใช่คนดัง ไม่มีร้านของตัวเอง
เมเป็นแค่เด็กที่ฝันอยากทำขนมมีร้านขายขนมของตัวเอง แค่อยากให้คนคอเดียวกันคืออยากทำขนมกินเอง
ทำเป็นงานอดิเรก หรือทำให้แฟน พี่ พ่อแม่ ได้ประโยชน์จากหนังสือ
เพราะจุดนี้เลยทำให้ May Made โดนใจคนเยอะ"

วันนี้ ความรักในขนมพาเธอก้าวมาไกลอีกขั้น คือการเปิดร้านขนมของตัวเองชื่อ "After You"
ซึ่งตอนนี้มีถึงสองสาขาในย่านทองหล่อกับอารีย์ ขนมสูตรใหม่ๆ จากความคิดสร้างสรรค์ของคนรุ่นใหม่
บวกรสชาติอร่อยถูกใจลูกค้า ทำให้ร้านโด่งดังแบบปากต่อปากในเวลาไม่กี่เดือน

"หลายคนชมว่าเมเก่ง เมโชคดีที่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร แต่เมจะบอกเขาเสมอว่า เมไม่ได้โชคดี
แต่เป็นเพราะเมไม่เคยทิ้งโอกาสที่เข้ามาตั้งแต่เด็ก ใครชวนทำงานประดิดประดอย ทำขนม เมก็ทำ
แต่พอเราอยากทำขนมเอง ถึงแม้ไม่มีอุปกรณ์ ต้องใช้มือคำนวณส่วนผสม เมก็ประยุกต์สิ่งที่มีมาทำได้
ตอนนี้เมพอใจกับความสำเร็จตั้งแต่เปิดร้านแรกแล้ว ส่วนร้านต่อๆ ไปถือเป็นกำไรชีวิตค่ะ"




สุฐิตา เรืองรองหิรัญญา
สุฐิตา เรืองรองหิรัญญา

ผู้หญิงหลายมิติ
สาว คนนี้เข้าสู่วงการบันเทิงตั้งแต่อายุ 17 ปี เป็นที่รู้จักในฐานะนักร้องสาววัยรุ่นของค่ายเพลงยักษ์ใหญ่
ก่อนจะเข้าสู่แวดวงการแสดง ตามด้วยการเป็นพิธีกรและผู้ประกาศข่าว
จนถึงบทบาทการเป็นโปรดิวเชอร์ภาพยนตร์ในวันนี้

ถ้า จะบอกว่าสาววัย 25 คนนี้มีเส้นทางชีวิตที่โรยไปด้วยความสำเร็จ
ก็คงเป็นคำกล่าวที่ไม่เกินเลยจากความเป็นจริงเท่าไหร่ แล้วเบื้องหลังความสำเร็จของเธอล่ะคืออะไร?

" ตัวเองจะเป็นคนที่แปลกอยู่อย่างหนึ่งคือ ถ้างานยิ่งยากก็ยิ่งจะเพิ่มความพยายามเข้าไปอีก
ไม่มีมานั่งกลัวความยากหรืออุปสรรคค่ะ อย่างช่วงที่เข้าวงการใหม่ๆ ไม่ใช่แค่ว่าเป็นนักร้องอย่างเดียว
แต่ว่าต้องเตรียมตัวสอบเอ็นทรานซ์ควบคู่ไปด้วย คือเจองานเข้าในชีวิตทั้งสองเรื่องเลยล่ะ
ตอนนั้นก็รู้ว่ามันเป็นสิ่งที่ยากมากแต่ก็พยายามที่สุดค่ะ และท้ายที่สุดเราก็ไปถึงความสำเร็จในชีวิตคือ สอบติดที่
ธรรมศาสตร์ และการทำงานก็ไม่สะดุดเลยด้วย เป็นแนวทางในการใช้ชีวิตที่ยึดถือมาจวบจนปัจจุบันค่ะ

การที่มีทุกวันนี้ ส่วนหนึ่งจะเป็นคนที่ชอบประเมินความสามารถและขีดจำกัดของตัวเองอยู่เสมอ
แต่ก็ไม่ให้ขีดจำกัดตรงนั้นมาเป็นกรงขังความฝันของตัวเองนะคะ ยากง่ายอย่างไรก็ลงมือปฏิบัติดูก่อน
จะไม่บอกว่าทำไม่ได้แล้วเปลี่ยน หรือไม่ทำไปเลย อย่างช่วงที่เปลี่ยนแปลงจากการเป็นนักร้องมาเป็นนักแสดง
ก็บอกกับตัวเองว่างานเพลงของเราน่าจะอิ่มตัวแล้วล่ะ จึงมองหาศักยภาพของตัวเองเพิ่มว่ามีอยู่ตรงไหน
ในที่สุดก็พบว่าการแสดงน่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด ถือเป็นโอกาสที่ดีมากๆ ที่ทางช่อง 7 ให้ลองเล่นละครดู

ส่วน การกำกับภาพยนตร์ก็เพราะว่าเป็นสาขาที่เรียนในระดับปริญญาตรี ส่วนเรื่องการเป็นผู้ประกาศข่าวกีฬา
ก็สนใจมาตั้งแต่เด็ก จนวันหนึ่งทางช่องติดต่อมาว่าสนใจทำหน้าที่ตรงนั้นมั้ย
เมื่อโอกาสมาถึงขนาดนี้แล้วก็คว้าไว้ทันทีค่ะ แต่มีพื้นฐานเพียงแค่ความชอบดูกีฬาประเภทต่างๆ เท่านั้น
ไม่ได้ร่ำเรียนทางการกีฬามาโดยตรง ดังนั้นจึงให้ความสำคัญกับการหาความรู้มากๆ
จากที่ดูเล่นๆ ต้องเพิ่มดีกรีขึ้นเป็นว่าดูเพื่อนำมาวิเคราะห์และส่งสารออกไป
ดังนั้น การเป็นผู้ประกาศข่าวกีฬาจึงเป็นงานที่ยากที่สุด ท้าทายที่สุดแล้วก็สนุกที่สุดเท่าที่เคยสัมผัสมาด้วยค่ะ"

อีกกลเม็ดที่ทำให้ผู้หญิงที่ชื่อสุฐิตาคนนี้ได้ไต่บันไดชีวิตจนคว้าชัยมาได้ทุกๆ ครั้งก็คือ
การน้อมเอาสิ่งต่างๆ ที่อยู่รอบๆ ตัวทั้งด้านที่เป็นลบและบวกมาเป็นครู

" ทุกอย่างรอบตัวเราสามารถน้อมนำมาเป็นประสบการณ์ในการใช้ชีวิตได้แทบทั้งนั้น คนที่ไม่ประสบความสำเร็จ
เราก็ได้เรียนรู้จากเขาว่าทำไมเขาจึงเป็นเช่นนั้น ซึ่งเราก็จะระวังไม่ให้เกิดขึ้นกับตัวเราค่ะ
หรืออย่างคนที่ประสบความสำเร็จ เราก็เอามาเป็นแนวทางในการเดินตาม
ทุกๆ คนสามารถเป็นครูในการใช้ชีวิตทั้งหมดนั่นแหละค่ะ"




วนิษา เรซ
วนิษา เรซ

เจ้าตำรับ "อัจฉริยะสร้างได้"
ฮือฮามาแล้วรอบหนึ่งกับคำว่า "อัจฉริยะสร้างได้"
และเจ้าของต้นตำรับผู้นำความคิดนี้มาขยายวงกว้างในสังคมไทยก็คือ หนูดี-วนิษา เรซ หญิงสาววัย 31
และวันนี้เธอก็ถือว่าเป็นหนึ่งในผู้หญิงเก่งที่เพียบพร้อมไปด้วยรูปโฉมและความสามารถ
โดยเธอกุมบังเหียนทั้งผู้บริหารโรงเรียน "วนิษา" และเจ้าของบริษัท "อัจฉริยะสร้างได้"
รวมถึงผู้บริหาร "มูลนิธิมหาสมุทรแห่งปัญญา" ที่เธอก่อตั้งขึ้นพร้อมกับน้องสาวสุดที่รักของเธอ

แต่กว่าจะถึงวันนี้ได้ เธอต้องเรียนรู้ที่จะรู้จักตัวเองเสียก่อนและค่อยๆ ก้าวเข้าหาสิ่งที่เธอรัก
โดยไม่หลงลืมวิถีชีวิตที่น่ายินดีระหว่างทาง...

"หนูดีคิดเสมอว่าการใช้ชีวิตของคนเราควรยึดหลักคิด "วิถีคือเป้าหมาย"
ซึ่งเป้าหมายเป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จ แต่ระหว่างทางที่ไปสู่เป้าหมายเราต้องใช้ชีวิตให้เป็นเรา
ไม่ควรละทิ้งวิถีชีวิตที่น่าชื่นชม ถ้าจะให้หนูดีแนะนำน้องๆ คงเป็นเรื่องอย่าเร่งตัวเองในการที่จะรู้ว่าเราชอบอะไร
ไม่ชอบอะไร น้องๆ ควรดูไปเรื่อยๆ และเมื่อ เจอสิ่งที่ชอบแล้ว ก็ต้องดูต่อไปอีก
เพราะระหว่างทางเราอาจจะมีอะไรที่ชอบอีกก็เป็นได้ ดังนั้น อย่าไปยึดติดแค่เพียงเป้าหมายที่แน่นอนตายตัว
เพราะไม่มีใครบอกได้ว่าอีก 5 ปีเราจะทำอะไรต่อไป

ดูอย่างหนูดี ตั้งแต่เด็กมีความฝันเยอะมาก อยากเป็นโน้นเป็นนี้ โชคดีที่คุณแม่ของหนูดีเป็นคนเข้าใจ
และคอยสนับสนุน หลังจากหนูดีจบม.6 หนูดีขอคุณแม่ไม่ต่อปริญญาตรีในทันที
แต่ขอไปเที่ยวและหาตัวเองให้เจอก่อน ครั้นพอครบหนึ่งปี ก็บินไปเรียนปริญญาตรีสาขาการศึกษา
เรียนอยู่สองปีก็คิดว่าไม่ใช่ พอกลับเมืองไทยก็มาปรึกษาคุณแม่ว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่หนูดีต้องการ
เลยดร็อปเรียนไว้ก่อนหนึ่งปี ค่อยกลับไปปรึกษาอาจารย์ใหม่ คราวนี้อาจารย์เลยแนะให้เรียนคณะ Family Studies
ซึ่งเกี่ยวกับครอบครัวศึกษา ทำอย่างไรให้ครอบครัวมีความสุข หนูดีเรียนด้วยความรู้สึกสนุกมาก

พอจบปริญญาตรีก็กลับมาเป็นอาสาสมัครให้แก่มูลนิธิมะขามป้อม และสมัครเรียนไปที่ฮาร์วาร์ดคณะ
Mind Brain Education ไว้ด้วย คราวนี้พอไปเรียนก็รู้สึกว่า การตัดสินใจครั้งนี้ถูกที่สุดในชีวิต
เพราะเรารู้จักตัวเราเองมากพอแล้ว พอเรียนจบและกลับ มาเมืองไทยจึงนำความรู้เต็มถ้วยนี้มาแบ่งปัน
โดยเขียนพ็อกเก็ตบุ๊กออกมา แค่หนึ่งปีก็มีคนรู้จักหนูดีเยอะมาก หนูดีจึงอยากบอกใครต่อใครว่า
เส้นทางชีวิตหนูดีอาจเหมือนประสบความสำเร็จก่อน อายุ 30 ปี แต่ตลอดมาจังหวะชีวิตหนูดีช้ากว่าคนอื่น
มาตลอด ดีที่เรารู้จักตัวเองและรู้จักใช้ชีวิตระหว่างทางก่อนเดินไปสู่เป้าหมาย"

ด้วยพลังชีวิตมากมายบวกกับแนวคิดที่แน่วแน่และการรู้จักตัวเองอย่างแท้จริง
คงทั้งหมดนี้แหละที่ทำให้เธอทั้งประสบความสำเร็จและเหนืออื่นใดก็คือมีความสุขอย่างเต็มเปี่ยม




สู่ขวัญ บูลกุล
สู่ขวัญ บูลกุล

สาวเก่งในโลกข่าวสาร
ในสถานการณ์ที่ผู้คนมีความจำเป็นต้องเสพข่าวสารข้อมูล ชื่อของหญิงสาววัย 30 กลางๆ คนนี้
นับเป็นรายชื่อลำดับต้นๆ ที่ผู้คนให้ความสนใจ ถึงแม้ว่าสู่ขวัญ บูลกุล จะทำหน้าที่เป็นกระบอกเสียง
ให้เพียงสองรายการคือ "เรื่องเล่าเช้านี้" และ "เรื่องเล่าเสาร์-อาทิตย์" เท่านั้น
แต่ด้วยการนำเสนอข่าวที่ไม่ใช่แค่เพียงการรายงานธรรมดา ทว่าผนวกการวิเคราะห์ที่เฉียบคมเข้าไปด้วย
จึงทำให้เธอมีผู้คนรอติดตามผลงานมากมาย

"การที่ขวัญก้าวมาทำหน้าที่ตรงนี้ได้ต้องบอกว่าเป็นเรื่องที่ไม่เคยคิดมา ก่อน แต่เหมือนกับว่าเส้นทางชีวิต
ถูกกำหนดมาอย่างนั้น ขวัญมีหน้าที่เดินตามไปเท่านั้นเอง แต่เมื่อมีโอกาสก็ต้องคว้าเอาไว้
และทำจนสุดความสามารถและให้ออกมาดีที่สุดค่ะ

ช่วง 4 ปีแรกของการสร้างตัวเองที่เนชั่น เป็นช่วงชีวิตที่ทำงานเพียงอย่างเดียว ไม่มีชีวิตส่วนตัว ไม่เที่ยว
ไม่ออกไปแฮงก์เอาต์กับเพื่อนๆ ไม่มีไลฟ์สไตล์อย่างอื่นเลย 24 ชั่วโมงของทุกวันเป็นการทำงานอย่างจริงจัง
เป็น 4 ปีที่อยู่กับข่าวสารข้อมูลมากที่สุดในชีวิตก็ว่าได้

ที่ ต้องทำเช่นนั้นก็เพราะรู้สึกว่าตัวเองใหม่มากในสายอาชีพนี้ ไม่อยากบอกว่าตัวเองเริ่มต้นการทำงานจากศูนย์
แต่ต้องบอกว่าเริ่มต้นจากติดลบดีกว่าค่ะ เมื่อไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย
ดังนั้น ก็ต้องทำงานหนักกว่าคนอื่นหลายสิบเท่าตัว
จนทุกวันนี้ลักษณะการทำงานแบบนั้นติดตัวมาเป็นบุคลิกภาพของขวัญในที่สุด คือ
ติดเป็นคนชอบอ่าน ชอบฟัง ชอบถาม ชอบสืบเสาะหาข้อมูล รวมถึงชอบฟังการวิเคราะห์เรื่องราวต่างๆ ค่ะ

ถ้ามองในเนื้อของงาน ก็ต้องบอกว่ายากเอาการอยู่เหมือนกันกว่าจะมีวันนี้ได้ ขวัญผ่านการทำงานมาค่อนข้างมาก
อย่างที่บอก สำหรับคนที่ชื่นชมและอาจจะมีขวัญเป็นแบบอย่างของการทำงาน หรืออยากจะเป็นเหมือนขวัญ
คุณต้องถามตัวเองก่อนว่าอยากจะเป็นอย่างนี้หรือชอบจริงหรือเปล่า เพราะงานตรงนี้เป็นงานที่ค่อนข้างหนัก
เมื่อเป็นงานหนักก็ต้องอาศัยคนที่มีใจรักจริงเป็นปัจจัยแรก เมื่อใจรักแล้วก็ต้องทุ่มเทให้กับมันมากๆ ด้วย”

กล่าวถึงบุคคลที่ประสบความสำเร็จในชีวิตส่วนใหญ่มักจะมีบุคคลที่เป็นแบบ อย่างของการใช้ชีวิต
แต่สำหรับเธอคนนี้ยืนยันว่าไม่ได้ยึดแบบอย่างเป็นตัวบุคคล "ถ้าพูดถึงตัวบุคคลที่เป็นแบบอย่าง
ก็บอกตรงๆ ว่าไม่มีค่ะ แต่ขวัญเลือกมองจุดดีๆ ของหลายคนแล้วก็นำมาประมวลกัน และประยุกต์
เป็นแนวทางของขวัญเอง แต่ถ้าถามถึงแนวทางการทำงาน ก็จะยึดถือการทำหน้าที่ให้ออกมาดีที่สุด
เพราะแนวทางดังกล่าวจะพาไปสู่สิ่งที่ถูกต้องหรือว่าควรจะเป็น การใช้ชีวิตด้วยแนวทางดังกล่าว
เมื่อวันเวลาผ่านไปจะไม่เกิดอาการเสียดายและพูดคำว่าเราน่าจะทำให้ดีได้มากกว่านี้
ที่สำคัญเป็นแนวทางที่ทำให้ใจของขวัญยอมรับผลที่จะตามมาไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไรก็ตาม"




 แทมมารีน ธนสุกาญจน์
แทมมารีน ธนสุกาญจน์

ราชินีคอร์ตเทนนิสไทย
คงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่ผู้หญิงธรรมดาสักคนจะกลายเป็นตัวแทนความหวังของคนไทยทั้งประเทศและสามารถสร้าง
ชื่อเสียงในระดับโลกได้ แทมมี่-แทมมารีน ธนสุกาญจน์ หญิงสาววัย 32 เริ่มต้นชีวิตการเป็นนักเทนนิสมืออาชีพ
เมื่อหลายปีก่อน ด้วยเบ้าหลอมของครอบครัวที่ชื่นชอบการเล่นกีฬาแต่กว่าจะไต่เต้าจากนักเทนนิสระดับเยาวชน
จนได้ครองตำแหน่งนักเทนนิสหญิงอาชีพ มือวางอันดับที่ 45 ของโลกได้
อุปสรรคที่เกิดขึ้นระหว่างรายทางมีมิใช่น้อยเลย

"ช่วงลำบากที่สุดคืออายุประมาณ 16 แทมมี่ตัดสินใจจะก้าวมาเล่นระดับอาชีพ และเรา ยังไม่มีผู้สนับสนุน
คุณพ่อต้องขายรถตัวเองเพื่อส่งแทมมี่ไปแข่งขัน ถึงแม้เราตั้งใจเต็มที่ เหนื่อยมาก
เพราะต้องเดินทางไปแข่งขันตลอด แต่การสู้ของเรายังมองไม่เห็นฝั่ง ไม่รู้ว่าจะเดินมาถึงจุดที่อยู่ในวันนี้ได้รึเปล่า
ช่วงนั้นแทมมี่ต้องอดทนมากๆ ไม่ท้อ ซึ่งไม่ใช่แค่ความอดทนของแทมมี่ แต่เป็นความอดทนของครอบครัวด้วย
คุณพ่อไม่ได้สนับสนุนเรื่องค่าใช้จ่ายอย่างเดียว ท่านดูแลตั้งแต่เป็นโค้ช เป็นผู้จัดการส่วนตัว เดินทางไปด้วยกัน
ทุ่มเทแรงใจแรงกายให้ทุกอย่าง คุณแม่ก็ให้กำลังใจตลอด มาถึงวันนี้แทมมี่ดีใจว่าเราทำได้...

การได้รองแชมป์เยาวชนวิมเบิลดัน ตอนอายุ 18 ปีทำให้ทุกอย่างเปลี่ยน เริ่มมีสปอนเซอร์เข้ามา
ทำให้แทมมี่ได้เดินทางไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์มากขึ้น กับอีกแมตช์ล่าสุดคือ
การแข่งขันเทนนิสวิมเบิลดันปีที่ผ่านมา แทมมี่เข้าถึงรอบ 8 คนสุดท้าย

ตอนนี้แทมมี่อยู่ในอันดับที่ 45 ของโลก นั่นคือเป้าหมายในทางตัวเลข
แต่สำหรับแทมมี่จะมีการวางเป้าของแต่ละวัน ว่ามีอะไรบ้างตั้งแต่ออกจากบ้าน แล้วมาวิเคราะห์ว่า
เราทำหน้าที่ในวันนั้นได้ดีขนาดไหน เน้นเป็นวันๆ ไป เพราะเทนนิสสอนให้รู้ว่า ถ้าเราไม่ทำแต้มแรกให้ดี
เมื่อไปถึงลูกสุดท้าย เราก็ไม่อาจเอาชนะได้ แต่เมื่อไหร่ที่เราตั้งใจทำลูกแรกและลูกต่อๆ ไปให้ดี
มาถึงลูกสุดท้ายเป็นเกมเซ็ตแมตช์ทุกอย่างก็จะดีเอง ซึ่งแทมมี่ว่าความฝันและอนาคตของคนเราก็เหมือนกัน

เมื่อก่อนเวลาแข่งในบ้านจะเครียด รู้ว่าทุกคนเชียร์เรา อยากให้เราทำได้ดี กลายเป็นกดดันตัวเอง
แต่ไม่ว่าแพ้หรือชนะ ทุกคนยังให้กำลังใจ ไม่เคยมีใครว่าแทมมี่ตีแย่มาก มีแต่บอกว่าดีแล้วนะ
และให้ คำแนะนำว่าควรจะทำแบบนั้นแบบนี้ เดี๋ยวนี้ทุกครั้งที่ลงสนามแข่งขัน แทมมี่จะคิดว่านั่นคือความสนุก
ทำทุกอย่างให้เต็มความสามารถทำหน้าที่นักกีฬาเทนนิสของเราให้ดีที่สุดก็พอ"




 ผอูน จันทรศิริ
ผอูน จันทรศิริ

ผู้กำกับฯ มากฝีมือ
นับจากก้าวออกมาจากรั้วจามจุรี ชื่อของ ผอูน จันทรศิริ ก็โดดเด่นประดับวงการมายา
ทั้งในฐานะนักแสดงมากความสามารถที่เล่นได้ดีทุกบทบาท เรื่อยมาถึงผู้กำกับหลากฝีมือ ที่ฝากผลงานการกำกับ
ทั้งละครโทรทัศน์ ละครเวที หรือแม้แต่การกำกับเรื่องราวบนแผ่นฟิล์ม ผู้หญิงคนนี้ก็เคยสัมผัสมาแล้วทั้งนั้น

"ชีวิตการทำงานในวงการบันเทิงที่ผ่านมา สำหรับตัวเองแล้ว มองว่าไม่ได้ยากเย็นมากมายอะไรค่ะ
ใครๆ ก็อาจจะทำได้ ได้มายืนตรงนี้ก็อาจเป็นเพราะว่ามีโอกาสมากกว่าคนอื่นและถือ ว่าตัวเองโชคดีมากๆ
อีกอย่างก็คือการทำงานที่ผ่านมาราบเรียบไม่มีอุปสรรคให้หนักใจมากมาย ถ้าจะเปรียบกับคนที่ต้องต่อสู้ฝ่าฟันมา
คงเทียบกันไม่ติดเลยล่ะ แต่การทำงานที่ไม่มีอุปสรรคก็ไม่ได้หมายความว่าจะทำงานแบบผ่านๆ หรือขอไปที
แต่กลับใช้โอกาสตรงนั้นละเมียดละไม และให้ความสำคัญกับการทำงานในทุกๆ ขั้นตอน"

จากจุดแรกที่เข้ามาโลดแล่นในวงการบันเทิงจวบจนวันนี้ เวลาพัดผ่านไปแล้วกว่า 20 ปี
หากมองในมุมของความสำเร็จในชีวิต หลายคนก็ต้องบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า ประสบความสำเร็จเป็นที่น่าพอใจ
แต่สำหรับสาววัย 46 คนนี้ เธอมองเพียงว่าขอมีความสุขที่ได้ทำในสิ่งที่เธอรักก็เพียงพอแล้ว

"ความสำเร็จในความหมายของแต่ละคนย่อมแตกต่างกันไป ร้อยคนก็ต่างกันไปเป็นร้อยๆ อย่าง
บางคนอาจจะต้องการเงินเดือนมากๆ แต่สำหรับบางคนอาจไม่ใช่อย่างนั้น ความสำเร็จของบางคน
ก็อาจจะหมายถึงมีความสุขแบบง่ายๆ กับงานที่เขารัก ซึ่งตัวเองถือเป็นหนึ่งในประเภทหลังค่ะ...

ที่ผ่านมาได้รับการสั่งสอนจากผู้หลักผู้ใหญ่อยู่เสมอว่าไม่ให้พอใจกับผลงานของตัวเอง
เพราะถ้าเมื่อไหร่รู้สึกยินดีหรือพอใจกับผลงานตรงนั้น
ก็เท่ากับว่าเราจะไม่มีความกระตือรือร้นที่จะพัฒนาความสามารถของตัวเอง
ที่สำคัญจะไม่อยากคิดค้นทำสิ่งใหม่ๆ เลย เพราะคิดว่าตัวเองดีเลิศอยู่แล้ว
เมื่อเราไม่กระตือรือร้นที่จะพัฒนาตัวเอง ทุกอย่าง ก็จะจบอยู่เพียงแค่นั้น
ถึงวันนี้ก็เลยยังไม่รู้สึกว่าตัวเองประสบความสำเร็จอะไรมากมายค่ะ

การทำงานในวงการบันเทิงทุกวันนี้ น่ากลัวกว่าเดิมหลายเท่าตัว เพราะมีการแข่งขันกันสูงมาก
นอกจากนั้นยังมีสิ่งที่พวกเราเรียกกันว่าของหมด ในที่นี้หมายความถึงอาการที่ความคิดสร้างสรรค์เดินถึงทางตัน
นอกจากนั้นความต้องการของผู้เสพงานในยุคสมัยที่ต่างกันก็ต้องต่างกันเป็นธรรมดา
สำหรับตัวเองแล้วจึงมองว่าการที่ประสบความสำเร็จในวงการบันเทิงในวันนี้ ต้องสามารถทนกับการแข่งขันได้
ต้องกระตุ้นต่อมความคิดสร้างสรรค์ของตัวเองอยู่ตลอดเวลา
และต้องสร้างสรรค์งานที่ตรงตามความต้องการของผู้เสพชม
สามสิ่งนี้ต้องลงตัวกันอย่างกลมกล่อมค่ะ จึงจะมีที่ยืนในโลกมายาเช่นทุกวันนี้




 เจนนิเฟอร์ คิ้ม
เจนนิเฟอร์ คิ้ม

นักร้องสาวที่ใครๆ ก็หลงรัก
คงด้วยแรงทะยานอยากที่ทำให้ เจนนิเฟอร์ คิ้ม นักร้องสาววัย 42 ผู้มีเสียงอันทรงพลังคนนี้คิดหาหนทางให้ตัวเอง
หลุดจากวงโคจรเดิมๆและทะยานพุ่งสู่วิถีชีวิตที่ตัวเองเลือกเดิน ซึ่งอาจไม่เหมือนใคร แต่ได้ใจแฟนเพลงไปเต็มๆ

"ในวงการนี้อะไรก็เกิดขึ้นได้ แต่เราต้องรู้จักตัวเองและพยายามมองหารอยรั่วตรงนั้นให้ได้ รอยรั่วที่ว่าคือ
วงการนี้แน่นไปด้วยคนสวยคนเก่ง ฉะนั้น เราก็ต้องเติมเต็มรอยรั่วตรงนั้นด้วยการเอ็นเตอร์เทนผู้คน
และการ เอ็นเตอร์เทนผู้คนให้ได้ดี เราต้องคิดแบบชาวบ้าน คิดทำทุกอย่างให้เป็นธรรมดาที่สุด อย่าปั้น
นอกจากนั้นเราต้องเรียนรู้สิ่งต่างๆ ให้มากกว่าคนอื่น สมมุตินักร้องคนอื่นร้องเพลงไทยได้อย่างเดียว
เราก็ต้องร้องเพลงให้ได้หลายภาษา อย่างถ้าร้องเพลงสากลก็ต้องเลือกเพลงตามเทรนด์
ดูว่าสมัยนี้เขาฟังเพลงกันแบบไหนและไม่ใช่จะร้องเพลงตามเทรนด์ได้อย่างเดียว
เพลงเก่าๆ ก็ควรร้องให้ได้ด้วย เพื่อขยายกลุ่มผู้ฟังของเรา...

สำหรับพี่ ณ วันนี้หน้าตาไม่ใช่เรื่องสำคัญที่สุด แม้มันอาจจะมีความสำคัญอยู่บ้าง
เพราะวงการนี้ต่อให้คุณร้องเพลงดีเท่าไหร่ แต่หน้าตาไม่ดี คุณอาจจะยังไม่เกิดหรอก
ดังนั้นถ้าอยากขึ้นมาถึงจุดนี้ คุณต้องทำอะไรให้ได้มากกว่านั้น และสำหรับพี่คือการเอ็นเตอร์เทนผู้คน

ถ้าถามพี่ว่าทำอย่างไรให้มายืนในจุดนี้ได้ทำอย่างไรให้มีชื่อเสียง พี่บอกไม่ได้
เพราะเป็นวาสนาและมันเป็นความทะเยอทะยาน มันเป็นโอกาส คือถ้าให้คิดสูตรขึ้นมา
พี่จะบอกได้ว่ามันต้องมี พรสวรรค์ + โอกาส = ความสำเร็จ และนอกจากนี้มันต้องมีตัวที่ผลักดัน คือ
ความทะเยอทะยานของเราให้สิ่งนี้เกิดขึ้นเร็วและแรง โดยระหว่างนี้เราต้องมีวงเล็บ คือความเข้าใจ
ความถ่อมเนื้อถ่อมตัว และความไม่หลงไปกับชื่อเสียง เราต้องรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนธรรมดา
แม้ในวงเล็บเราคือ Somebody เมื่อเราอยู่บนเวที แต่พอหลุดออกจากวงเล็บ เราก็เป็นแค่ Nobody ที่ลงจากเวทีแล้ว
ใครชวนคุยก็คุยด้วยได้ สบายๆ (ยิ้ม)

พี่คิดเสมอว่าอาชีพตรงนี้ เรากำลังอยู่กับความรู้สึกหลงของผู้คน
ถ้าเราทำอะไรสะเทือนความรู้สึกรัก โลภ โกรธ หลงของเขา เขาอาจจะรู้สึกไม่ดีกับเราได้
ดังนั้น พี่ค่อนข้างจะถนอมน้ำใจผู้คน โดยทำตัวให้เป็นธรรมชาติ และเข้าใจธรรมชาติของการมีชื่อเสียงไปด้วย
และถ้า เราเข้าใจ เราจะกระเถิบออกมาจากจุดที่เรายืนอยู่สองก้าว กลายเป็นคนธรรมดา
แล้วเราจะกลายเป็นคนที่รู้จักใช้ชื่อเสียง ไม่ใช่เป็นเหยื่อของชื่อเสียง”




อรุโณชา ภาณุพันธุ์
อรุโณชา ภาณุพันธุ์

ผู้บริหารสาวแกร่งในโลกจอแก้ว
เมื่อพูดถึง บริษัท บรอดคาซท์ไทย เทเลวิชั่น จำกัด หลายคนรู้จักดีในฐานะบริษัทผลิตละครและรายการโทรทัศน์
คุณภาพ ที่นำเสนอผลงานสร้างสรรค์มาตลอด 10 ปี
ภายใต้การบริหารงานของผู้หญิงเก่งอย่าง อรุโณชา ภาณุพันธุ์ หญิงสาววัย 40 กว่าๆ ผู้นี้

บริษั ทบรอดคาซท์ฯ สร้างชื่อจากละครแนววัยรุ่น ต่อมาเริ่มทำละครแนวดราม่า แนวพีเรียด
ซึ่งผู้ชมให้การตอบรับอย่างดี ทั้งยังมีรายการเกมโชว์ให้ความรู้และให้คนรู้จักวิเคราะห์อย่าง "รายการแกะดำ"
เป็นผู้จัดงานระดับประเทศ เช่น การประกวดมิสไทยแลนด์เวิลด์ และมิสมอเตอร์โชว์
ทั้งยังริเริ่มการ์ตูนทีวีแนวพื้นบ้านไทยสำหรับเด็กเป็นรายแรก

" ตอนที่คิดทำการ์ตูนพื้นบ้านไทย เรามองว่าเด็กไทยไม่มีการ์ตูนไทยให้ดูเลย จึงตั้งใจที่จะทำออกมา
นอกจากให้ความสนุกแล้วยังแทรกข้อคิด ความกตัญญูรู้คุณ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เพื่อให้เด็กรู้วัฒนธรรมที่ดีๆ
ล่าสุดเราเป็นผู้ริเริ่มรายแรกของเมืองไทยที่ร่วมทุนกับเกาหลี สร้างการ์ตูนออกสู่ตลาดโลกด้วย...

ส่วนละครในแต่ละปีเราจะทำหลากหลายแนวที่ยังมีอยู่อย่างต่อเนื่องก็คือแนวสร้างสรรค์สังคม
อย่าง "น้องใหม่ร้ายบริสุทธิ์" "เทวดาสาธุ" ละครทุกเรื่องเราพยายามให้มีแง่มุมมองที่สอดคล้องกับภาวะปัจจุบัน
การทำงานทุกๆ วันนี้จะบอกน้องๆ เสมอว่าไม่มีละครเรื่องไหนดูแล้วเพอร์เฟ็กต์ เราต้องมองหาข้อแก้ไข
ซึ่งก็มีอยู่เสมอ ถ้าวันนี้ไม่ดีกว่าเมื่อวานถือว่าถอยหลัง และการ ทำงานต้องเปิดกว้างรับฟังทุกเสียงวิจารณ์
เพราะนั่นคือความรู้สึกของผู้ชม ที่เรานำมาใช้รับปรุงกับงานได้ อย่าคิดว่าดีแล้ว เพราะเราจะไม่คิดพัฒนาต่อไป"

เมื่อถามถึงหลักในการทำงาน ผู้บริหารอารมณ์ดีตอบด้วยรอยยิ้มแจ่มใสว่า
"อย่าเครียดมากส่วนตัวแล้ว เป็นคนอารมณ์ดีค่ะ สนุกกับการทำงาน ปัญหาเป็นเรื่องธรรมดาของการทำงาน
ให้เตรียมตัวเตรียมใจและสนุก กับการแก้ปัญหา ใช้หลักอริยสัจสี่ของพระพุทธเจ้า เกิดปัญหาอะไรก็ตาม
ให้แก้ที่ต้นเหตุ แก้วันนี้ไม่ได้อย่างน้อยให้เบาบางลงก็ยังดี ทุกอย่างมีทางออกแต่บางเรื่องอาจต้องใช้เวลา"

ที่มา Lisa




 

Create Date : 05 สิงหาคม 2552
0 comments
Last Update : 5 สิงหาคม 2552 13:35:22 น.
Counter : 1220 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


ทุกคนไม่ได้รู้ทุกสิ่ง
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 200 คน [?]




Friends' blogs
[Add ทุกคนไม่ได้รู้ทุกสิ่ง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.