1. โรงเรียนบ้านนาจอก (แรงประชาชน)
เมื่อปี พ.ศ. 2474 หมื่นมนัสประชาเริ่มสร้างโรงเรียนบ้านนาจอก (แรงประชาชน) บริเวณผืนดินกึ่งกลางซึ่งเป็นรอยต่อระหว่างบ้านใหม่และบ้านต้นผึ้ง (สองหมู่บ้านนี้ปัจจุบันร่วมกันเป็นบ้านนาจอก) ขึ้นโดยท่านออกทุนและระดมแรงของสมาชิกในหมู่บ้านทั้งสองร่วมกันสร้างโรงเรียนแห่งนี้ขึ้น เนื่องจากท่านเองเป็นผู้ที่รู้ภาษาไทยและภาษาลาวมาแต่เดิม แต่ครั้งอยู่ที่ฝั่งลาวจึงเล็งเห็นว่าหากต้องการอยู่บนแผ่นดินไทยและต้องการให้ลูกหลานรุ่นใหม่เป็นคนไทยอย่างสมบูรณ์การเรียนภาษาไทยย่อมเป็นกุญแจดอกสำคัญที่เปิดโอกาสกว้างในทุกสิ่งรวมทั้งจะเป็นทางเดียวที่จะสร้างอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ของชาวบ้านนาจอกให้สำเร็จได้ในที่สุด โรงเรียนบ้านนาจอกนี้สร้างจากแรงประชาชนทั้งสองหมู่บ้าน จนสำเร็จและเปิดทำการได้เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2475 แต่ก็เป็นที่น่าเสียดายว่าต่อมาในปี พ.ศ. 2543 ทางราชการยกเลิกการสอน (ยุบโรงเรียน) เพราะจำนวนนักเรียนมีน้อยมาก นับระยะเวลาที่เปิดทำการเป็นเวลาเพียง 68 ปี
หลักฐานสำคัญที่ยังคงหลงเหลืออยู่จนปัจจุบันคือบันทึกในสมุดจดหมายเหตุรายวันของโรงเรียนบ้านนาจอก พ.ศ. 2475 ที่กล่าวถึงหมื่นมนัสประชาผู้ก่อตั้งโรงเรียนว่าได้มาร่วมในพิธีเปิดทำการของโรงเรียนบ้านนาจอก
คณะครูและนักเรียนบ้านนาจอกถ่ายหน้าอาคารไม้หลังเก่า เมื่อ พ.ศ.2529
กระทั่งปี พ.ศ. 2547 หลังจากที่โรงเรียนได้ปิดร้างมาหลายปี ก็ได้มีโครงการก่อตั้งพิพิธภัณฑ์หมู่บ้านมิตรภาพไทย -เวียดนามขึ้นโดยทางราชการได้ใช้สถานที่โรงเรียนบ้านนาจอกเดิมทั้งหมด แต่มีการรื้ออาคารไม้ไป 2 หลัง เหลือไว้แต่อาคารปูนปรับปรุงเป็นอาคารหลักของพิพิธภัณฑ์จนถึงปัจจุบัน
อาคารปูหลังเดียวของโรงเรียนบ้านนาจอกที่ยังคงหลงอยู่จนถึงปัจจุบัน
(อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ตามลิงค์ข้างล่าง)
โรงเรียนบ้านนาจอก (แรงประชาชน)
(อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ตามลิงค์ข้างล่างนี้)
3. วิชาเท่ยกุ๋ง
เล่าให้ฟังก่อนว่าแต่เดิมตำราพิธีกรรมการเซ่นไหว้หรือกุ๋งของนาจอกนั้นเป็นตำราที่มีระเบียบแบบแผนเข้มข้น ไม่ต่างจากหมู่บ้านชาวไทยเชื้อสายเวียดนามหมู่บ้านอื่นในเขตจังหวัดนครพนม โดยในหมู่บ้านจะมีผู้อาวุโสที่ทำหน้าที่เป็นผู้ทำพิธี ภาษาเวียดนามเรียกว่า "เท่ยกุ๋ง" หมื่นมนัสประชาถือเป็นผู้วางรากฐานระเบียบแบบแผนตลอดจนขั้นตอนต่าง ๆในการประกอบพิธีกรรม จากนั้นจึงถ่ายทอดให้ชนรุ่นหลัง โดยเฉพาะบุตรชายคนโตของท่านคือคุณทวดเกตุ ประชากุล (Ông Lê văn Phi) เป็นผู้สืบทอดตำราการเซ่นไหว้จากท่านโดยตรง และเป็นผู้ที่มีความสามารถในการแต่งบทกลอนและบทไหว้ในพิธีกรรมต่าง ๆที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วทุกหมู่บ้านของชาวเวียดนามในยุคสมัยนั้นในภาษาเวียดนามเรียกบทไหว้เหล่านี้ว่า “วันกุ๋ง-วันเต๋” (Văn cúng-Văn tế)
คุณทวดเกตุ ประชากุล บุตรชายคนโตของหมื่นมนัสประชา ผู้สืบทอดวิชาเท่ยกุ๋งจากบิดา
กระทั่งถึงช่วงแห่งการให้ความร่วมมือและสนับสนุนการกอบกู้เอกราชให้กับเวียดนามหลังจากการเดินทางมายังบ้านนาจอกของท่านประธานโฮจิมินห์ในช่วงปี ค.ศ.1928 -1929 (พ.ศ.2471 - 2472) ชาวบ้านนาจอกต่างมุ่งมั่นให้ความช่วยเหลือในด้านต่างๆ เพื่อสนับสนุนการกอบกู้เอกราชให้กับเวียดนาม ด้วยเหตุนี้วิถีชีวิตของชาวบ้านนาจอกจึงต้องปรับเปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์ ดังนั้นตำราพิธีกรรมต่างๆ จึงมีการปรับปรุงให้กระชับเหมาะสมกับบริบทมากยิ่งขึ้น ซึ่งหลังจากนั้นเมื่อการกอบกู้เอกสารของเวียดนามเสร็จสิ้นลง หากแต่แบบแผนการไหว้และทำพิธีก็ยังคงยึดแบบกระชับที่ปรับเปลี่ยนไว้แล้วและใช้มาอย่างยาวนานจนกลายเป็นอัตลักษณ์พิธีกรรมที่แตกต่างจากชุมชนชาวไทยเชื้อสายเวียดนามแห่งอื่นในเขตจังหวัดนครพนม อาจกล่าวให้เข้าใจได้โดยการยกตัวอย่างพิธีกรรมแบบบ้านนาจอกที่คนรุ่นเก่าทั่วไปมักคุ้นชิน เช่น
- ไม่มีการทำพิธีใด ๆ ระหว่างที่มีการตั้งศพที่บ้าน มีเพียงการแจกผ้าขาวไว้ทุกข์และการเข้าคารวะศพจากคณะกรรมการหมู่บ้าน
- ไม่มีการเขียนป้ายวิญญาณ (Bài vị) และป้ายข้อมูลผู้ตาย (Long triệu) ในพิธีศพแต่อย่างใด
- การเซ่นไหว้ครั้งแรกหลังจากมีการตายจะเกิดขึ้นในวันทำพิธีเปิดสุสาน หรือเรียกว่า Mở cửa mả
พิธีฝังศพลูกสะใภ้ของหมื่นมนัสประชา พ.ศ. 2532 สังเกตว่าไม่ปรากฎ ป้ายวิญญาณ และป้ายข้อมูลผู้ตาย
ในภาพผู้ทำพิธีคือคุณทวดลาย ประชากุล บุตรชายคนรองของหมื่นมนัสประชาซึ่งสืบทอดวิชาเท่ยมาจากพี่ชายอีกต่อหนึ่ง
แต่ทว่าธรรมเนียมแบบบ้านนาจอกดั้งเดิมที่คนทั่วไปคุ้นชินก็ถึงคราวต้องเปลี่ยนแปลงไปเป็นแบบเดียวกับชุมชนชาวไทยเชื้อสายเวียดนามอื่น ๆ อีกครั้งเนื่องจากการสิ้นสุดลงของระบบเท่ยหล่าง (Thầy làng) ที่สืบทอดตำราการเซ่นไหว้แบบบ้านนาจอก ดังนั้นในปี พ.ศ.2558 เป็นต้นมาเมื่อมีพิธีกรรมต่าง ๆ จึงจำเป็นต้องไปเชิญเท่ยจากชุมชนอื่นมาทำพิธี ซึ่งก็แน่นอนว่าพิธีกรรมย่อมเป็นไปตามตำราของเท่ยที่ไปเชิญมานั่นเอง
พิธีฝังศพของชาวบ้านนาจอก พ.ศ.2559 สังเกตว่าปรากฎป้ายวิญญาณ และป้ายข้อมูลผู้ตายสีแดงในการทำพิธีซึ่งเป็นไปตามตำราของเท่ยที่เชิญมาจากชุมชนอื่น
4. สุสานบ้านนาจอก
สุสานเป็นที่ฝังศพที่จะต้องมีอยู่คู่กับหมู่บ้านหรือชุมชนชาวเวียดนามเสมอรวมทั้งบ้านนาจอกด้วย หมื่นมนัสประชาในฐานะผู้นำจึงต้องบุกเบิกแผ่วถางป่าเพื่อสร้างเป็นสุสานสำหรับฝังศพสมาชิกในหมู่บ้านประจักษ์พยานประการหนึ่งที่แสดงว่าท่านเป็นผู้บุกเบิกสุสานบ้านนาจอกคือการได้รับเกียรติให้หลุมศพของตระกูลประชากุล (หมื่นมนัสประชาและทายาท) ฝังอยู่บริเวณกึ่งกลางหรือแถวกลางของพื้นที่สุสานร่วมกับตระกูลเก่าแก่อื่น ๆ ก่อนที่จะมีการขยายพื้นที่ฝังศพของตระกูลอื่น ๆไปโดยรอบกลุ่มหลุมศพของตระกูลประชากุล
พิธีฝังศพของคุณทวดเกตุ ประชากุล บุตรชายคนโตของหมื่นมนัสประชาในปี พ.ศ. 2510 บริเวณตำแหน่งที่ฝังคือแถวกลางของสุสานบ้านนาจอก
หลุมศพหรือโหม่ของหมื่นมนัสประชาและทายาทรุ่นแรก ๆ (ปรับปรุงใหม่ตามยุคสมัย) จะตั้งอยู่บริเวณแถวกลางของสุสานบ้านนาจอก
5. แซ ด่อน รอง ( xe đòn rồng)
เล่าให้ฟังก่อนว่า แซด่อน หรือ แซด่อนรอง เป็นรถสำหรับใช้ในการเคลื่อนศพไปทำพิธีฝังที่สุสาน ในหมู่บ้านชาวไทยเชื้อสายเวียดนามทุกหมู่บ้านรวมทั้งบ้านนาจอกล้วนแล้วแต่มีรถสำหรับเคลื่อนศพลักษณะนี้ โดยต้นกำเนิดของแซด่อนนั้น เริ่มจากในอดีต การจัดพิธีศพแบบเวียดนามทันทีที่มีคนเสียชีวิตในหมู่บ้าน คณะกรรมการหมู่บ้านจะจัดสรรแบ่งหน้าที่ให้กับชาวบ้าน ภาระงานที่สำคัญที่สุดคือการยกศพไปฝังในอดีตการเคลื่อนย้ายศพไปฝังยังสุสานไม่ได้นำขึ้นรถดังเช่นในปัจจุบัน หากแต่เป็นการนำโลงศพขึ้นวางบนคานหามแห่ไปทำพิธีฝังศพที่สุสาน คานหามศพในภาษาเวียดนามเรียกว่า “ด่อน เคียง” โดนคานหามนี้มีลักษณะเป็นคานยาวขนานไปกับแนวโลงศพ ส่วนหัวของคานหามจะสลักเป็นหัวมังกรและส่วนท้ายจะสลักเป็นหางมังกรเป็นนัยว่าผู้ตายมีมังกรเป็นพาหนะนำดวงวิญญาณไปสู่สรวงสวรรค์นอกจากคานหามหลักแล้วยังมีคานหามย่อยวางขวางตามแนวของโลกศพอีก 4 ท่อนการหามศพแบบโบราณใช้คนหามทั้งสิ้น 16 คน (คานหลักหน้า 4 คน หลัง 4 คน คานหามย่อย 4 ท่อน ท่อนละ 2 คน ซ้ายขวา)
ตัวอย่างภาพด่อนเคียงในยุคโบราณซึ่งเป็นต้นแบบของ แซ ด่อน รอง ในยุคปัจจุบันของบ้านนาจอก
แซ ด่อน รอง สีดำคันแรกของบ้านนาจอกสร้างขึ้นในยุคแรก ๆ หลังจากการใช้ ด่อน เคียง มาระยะหนึ่ง แซ ด่อน รองคันนี้ใช้งานมาจนถึง พ.ศ. 2521
เมื่อยุคสมัยเปลี่ยน เพื่อความสะดวกในการเคลื่อนศพชาวไทยเชื้อสายเวียดนามจึงคิดประดิษฐ์รถเคลื่อนศพขึ้นโดยประยุกต์จากเกวียนขนข้าวด้วยการใช้คานหามหลักที่สลักหัวมังกรและหางมังกรมาผูกติดกับเกวียนและเรียกรถคันนี้ว่า “แซ ด่อน” และเมื่อมีการใช้หัวมังกร (rồng -รอง) เป็นส่วนประกอบด้วยจึงเป็นที่มาของการเรียกรถส่งศพแบบนี้ว่า แซ ด่อน รอง (xe đòn rồng) นั่นเอง รถนี้ใช้ในการเคลื่อนศพไปยังสุสานแทนที่การหามบนคานตามแบบโบราณซึ่งรถลักษณะนี้เดิมทีมีใช้ทุกชุมชนที่เป็นชาวไทยเชื้อสายเวียดนามในเขตจังหวัดนครพนม หากแต่ปัจจุบันความเจริญและลักษณะถนนหนทางได้เปลี่ยนไปมาก หลายชุมชนจึงยกเลิกการใช้ แซ ด่อน รอง เท่าที่มีข้อมูลในเขตจังหวัดนครพนม ชุมชนชาวไทยเชื้อสายเวียดนามที่ยังคงใช้ แซ ด่อน รอง ส่งศพอยู่คือ บ้านนาจอก บ้านโพนบก และบ้านต้นผึ้ง-ดอนโมง (กำลังอยู่ในช่วงจะเปลี่ยนแปลงจากแซด่อนรองไปเป็นรถยนต์ส่งศพ)
แซด่อนรองสีเขียวของบ้านนาจอก
แซด่อนรองสีเีขียวคันที่ 2 ของบ้านนาจอก สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2522 นับถึงปัจจุบัน (2561) มีอายุใช้งานมาแล้วกว่า 40 ปี
แซด่อนรองที่ปรับปรุงขึ้นใหม่จากคันสีเขียวเดิม (คันที่ 2) ในเดือนกรกฎาคม ปี พ.ศ.2561
ข้อสังเกตประการหนึ่งเกี่ยวกับ แซ ด่อน รอง บ้านนาจอกนี้คือแม้ว่าช่วงที่หมื่นมนัสประชาอพยพเข้ามาในประเทศไทยจะตรงกับช่วงที่ราชวงศ์เหงียนของเวียดนามที่ศิลปะแทบทุกอย่างจะเลียนแบบมาจากจีนรวมทั้งหัวมังกรแบบจีน (มีเขาแบบกวาง) แต่หมื่นมนัสประชาและคนกลุ่มแรกของบ้านนาจอกก็เลือกใช้หัวมังกรแบบราชวงศ์เล (ราชวงศ์นี้ปกครองเวียดนามเมื่อกว่า 400 ปีที่แล้ว) ซึ่งเป็นศิลปะแบบเวียดนามแท้ ๆ กล่าวคือหัวมังกรตามแบบของสมัยราชวงศ์เลนี้จะไม่มีเขามีเพียงหนวด 1 คู่ (เพราะชาวเวียดนามโบราณเชื่อว่ามังกรเกิดจาก เต่า ปลา และงู จึงไม่มีเขา)
หัวมังกร แซ ด่อน รอง ของบ้านนาจอกเป็นศิลปะแบบราชวงศ์เลของเวียดนาม (ไม่มีเขา แต่จะมีหนวด)
6. ธรรมเนียมการใช้ธงงานศพสีขาว-น้ำเงินธรรมเนียมการใช้ธงสีขาว-น้ำเงิน ในงานศพของชาวบ้านนาจอก เป็นคำถามที่มีผู้ถามกันมากว่าเหตุใดธงงานศพบ้านนาจอก (หมายถึงธงหลักของหล่างหรือธงประจำหมู่บ้าน) ถึงเป็นสีขาว-น้ำเงิน แตกต่างจากชุมชนชาวไทยเชื้อสายเวียดนามอื่น ๆ ในเขตจังหวัดนครพนม ที่พบว่าใช้ผืนธงสีขาว-ดำทุกผืน หรือแม้กระทั่งใช้สีขาว-ดำ ปะปนกับธงสีขาว-น้ำเงิน ที่เป็นดังนี้ขออธิบายว่าเพราะธรรมเนียมการใช้ผืนธงสามเหลี่ยมสีขาว-น้ำเงิน (ผืนธงสามเหลี่ยมจะใช้ในเขตจังหวัดภาคกลางของประเทศเวียดนาม ส่วนผืนธงสี่เหลี่ยมจะใช้ในเขตจังหวัดภาคเหนือของประเทศเวียดนาม-ผู้เขียน) ที่เป็นดังนี้เนื่องจากหมื่นมนัสประชาเพราะท่านเป็นชาวจังหวัดเหงะอาน (Nghệ An) อันเป็นจังหวัดเดียวในประเทศเวียดนามเท่านั้นที่ใช้ผืนธงงานศพลักษณะสีขาว-น้ำเงิน ดังนั้นหากสรุปจากผืนธงงานศพที่บ้านนาจอกใช้ย่อมบ่งบอกว่าพื้นเพดั้งเดิมหรือบรรพบุรุษของชาวบ้านนาจอกว่ามาจากจังหวัดเหงะอานภาคกลางของประเทศเวียดนาม ด้วยเหตุนี้หากมีผู้สังเกตเสียหน่อยถึงความแตกต่างนี้ก็จะทราบทันที่ว่านี่คือเอกลักษณ์หนึ่งของบ้านนาจอกที่แตกต่างจากชุมชนชายไทยเชื้อสายเวียดนามอื่นในเขตจังหวัดนครพนม
ป้ายจารึกบ้านเกิด (quê quán) จังหวัดเหงะอาน (Nghệ An) ที่หลุมศพของหมื่นมนัสประชา
ที่จัดสร้างและปรับปรุงขึ้นใหม่ ในปี พ.ศ.2535 โดยทายาทสายคุณเทียดทอง ประชากุล
ตรงนี้ขออธิบายเพิ่มเติมหน่อยว่าผืนธงงานศพสีขาว-ดำ ในบ้านนาจอกนั้นก็มีปรากฎใช้ หากแต่นั่นไม่ใช่ธงงานศพหลัก (ธงหล่างหรือธงประจำหมู่บ้าน) แต่ธงสีขาว-ดำ เรียกกันว่าธงดอง (Cờ thông gia) ที่จะใช้ในกรณีดองอีกฝ่ายหนึ่งส่งไปร่วมในพิธีศพส่งศพของดองตนเอง โดยกฎเกณฑ์นี้มีข้อจำกัดอยู่หน่อยว่าฝ่ายดองที่จะส่งธงไปร่วมส่งศพดองนั้น ตนเองต้องยังคงชีวิตอยู่เท่านั้น (ลูกหลานจะส่งไปตระกูลดองแทนพ่อแม่ผู้วายชนม์ของตนเองไม่ได้) แต่เป็นที่น่าเสียดายว่าธรรมเนียมนี้กำลังจะเลือนหายไปจากบ้านนาจอกแล้วเนื่องจากคนยุคหลังเห็นเป็นเรื่องยุ่งยากเพราะต้องผูกธงกับเสาไม้ไผ่ และยังจะต้องจัดคนไปถือธงในขบวนแห่ส่งศพเองด้วย
ผืนธงดองงานศพสามเหลี่ยม สีขาว-ดำ ของบ้านนาจอก
ธรรมเนียมปฏิบัติจะต้องใช้เสาไม้ไผ่และโดยตำแหน่งในขบวนแห่จะต้องเดินตามหลัง แซ ด่อน รอง
ผืนธงงานศพสีขาว-น้ำเงิน (ธงหล่างหรือธงประจำหมู่บ้าน) เอกลักษณ์หนึ่งเดียวของบ้านนาจอก
ที่นี่จะขอยกตัวอย่างภาพการใช้ธงงานศพของชุมชนชาวไทยเชื้อสายเวียดนามอื่น ๆ ในเขตจังหวัดนครพนมให้ได้เห็นภาพชัดเจนขึ้น เพื่อจะได้เข้าใจเรื่องผืนธงขาว-น้ำเงิน ของบ้านนาจอกว่าแตกต่างเป็นเอกลักษณ์จากชุมชนชาวไทยเชื้อสายเวียดนามอื่น ๆ ในเขตจังหวัดนครพนมอย่างไร
ผืนธงงานศพสามเหลี่ยมสีดำ-ขาว ของชุมชนหนองแสง (สังเกตว่ามีทั้งผืนสี่เหลี่่ยมและผืนสามเหลี่ยม)
ผืนธงงานศพแบบสามเหลี่ยม สีขาว-ดำ ของชุมชนโพนบก
ผืนธงงานศพแบบสามเหลี่ยมสีขาว-ดำ ผสมกับผืนธงสีขาว-น้ำเงิน ของชุมชนต้นผึ้ง-ดอนโมง
ผืนธงงานศพสี่่เหลี่ยมสีขาว-ดำ ของชุมชนด่ายเหียว
ผืนธงงานศพสี่เหลี่ยม สีเหลือง-แดง ของชุมชุนวัดป่า (กรณีผู้ตายอายุ 70 ปีขึ้นไป)
6. ถนนนมัสประชา
ราว พ.ศ. 2530 เป็นยุคที่ท่านผู้ใหญ่บ้าน เจริญ เวียนศรี ได้พัฒนาขยายถนนหนทางในหมู่บ้านนาจอก (ถนนลูกรัง) และครั้งนั้นได้มีการตั้งชื่อถนนต่าง ๆให้มีชื่อเรียกตามหลักสากล โดยท่านและผู้หลักผู้ใหญ่ในยุคนั้นอนุสรณ์ถึงคุณูปการของหมื่นมนัสประชาที่มีต่อหมู่บ้านนาจอกมาแต่เดิม จึงตั้งชื่อถนนเส้นหลักเส้นแรกของหมู่บ้านนาจอก ซึ่งก็คือถนนที่ตัดตรงจาก ถ.นิตโย ผ่านสุสานบ้านนาจอก และผ่านที่ดินอันเป็นที่ตั้งของบ้านหมื่นมนัสประชาไปจนสิ้นสุดที่ที่ว่าการอำเภอแห่งใหม่ของอำเภอเมืองนครพนมว่า
"ถนนมนัสประชา "
ถนนมนัสประชา คือถนนเส้นหลักที่ตัดตรงจาก ถ.นิตโย ผ่านสุสานบ้านนาจอก ผ่านสุสานด่ายเหียว
เข้าไปจนสิ้นสุดที่หน้าบ้านของหมื่นมนัสประชา ก่อนที่ต่อมาจะตัดถนนเพิ่มผ่ากลางที่นาท่านไปยังที่ว่าการอำเภอแห่งใหม่
ซึ่งผู้คนที่เกิดทันในยุคก่อนจะจดจำได้ดีเพราะเคยมีป้ายชื่อถนนติดอยู่นานปี แต่เป็นที่น่าเสียดายว่าหลังจากนั้นก็มีโครงการขยายถนนเส้นนี้อีก 2 - 3 ครั้ง โดยแปลงที่ดินหัวมุมของหมื่นมนัสประชาได้ถูกขอที่เพื่อขยายถนนล้ำเข้าไปเรื่อย ๆ ทั้ง 2 ฝั่ง (ฝั่งถนนมนัสประชา และถนนอีกเส้นที่เลียบทุ่งนา) จนที่แปลงนี้ที่เคยกว้างขวางประมาณ 3 ไร่เศษ ถูกทอนลงจนเหลือเพียง 2 ไร่เท่านั้น
และนอกจากนี้ในปี พ.ศ. 2542 เกิดโครงการพัฒนาอ่างเก็บน้ำหนองญาติขึ้น ได้มีการถมที่บริเวณหนองญาติเพื่อสร้างที่ว่าการอำเภอแห่งใหม่ และทำถนนวงแหวนรอบอ่านเก็บน้ำหนองญาติ จึงได้มีการตัดถนนเพิ่มเติมอีก ซึ่งตัดถนนต่อจากถนนมมัสประชาผ่านที่นาของทายาทหมื่นมนัสประชาไปตลอดแนวจนถึงที่ว่าการอำเภอแห่งใหม่ทำให้ในครั้งนี้ทายาทต้องเสียสละที่ดินไปในการนี้อีกหลายไร่เพื่อความเจริญของส่วนรวม
จึงนับได้ว่าหมื่นมนัสประชาและทายาทเป็นผู้มีส่วนเสียสละที่ดินและที่นารวมกันค่อนข้างมากเพื่อขยายถนนจนมีความเจริญเรื่อยมา
ปัจจุบันถนนเส้นนี้ไม่มีป้ายถนนมนัสประชาปรากฎอยู่แล้ว และยังจะคงใช้ชื่อถนนนี้อยู่หรือไม่ก็ไม่ทราบแน่ชัด
แต่ทว่าทายาทของท่านในรุ่นหลัง ๆ ต่างก็ภาคภูมิใจที่ได้มีส่วนเสียสละเพื่อเจริญของส่วนรวม และยังจดจำได้ดีว่าครั้งหนึ่งผู้หลักผู้ใหญ่ในหมู่บ้านก็อนุสรณ์ถึงคุณงามความดีของหมื่นมนัสประชาที่ท่านได้สร้างไว้ให้กับบ้านนาจอกโดยในยุคหนึ่งได้เคยตั้งชื่อถนนสายนี้ว่า "ถนนมนัสประชา" เพื่อเป็นเกียรติแก่ท่าน
ถนนมนัสประชาจะตัดผ่านที่ดินแปลงหัวมุมที่เคยเป็นบ้านของหมื่นมนัสประชา โดยที่ดินผืนนี้ถูกขอพื้นที่เพื่อขยายถนนเข้าไปทั้ง 2 ฝั่ง
ถนนมนัสประชาในปัจจุบัน (พ.ศ. 2561)
**** โปรดติดตามตอนที่ 3 (ตอนสุดท้าย) ครอบครัวของหมื่นมนัสประชา กดลิงค์ข้างล่างนี้ ****
จนกว่าจะพบกันใหม่
Nguyễn Gia Huy
*************************************************************************************
"Chân thành cảm ơn Thầy Minh Quang đã giúp đỡ tận tình về việc viết bài và chỉnh sửa lại bài viết "
"Cảm ơn Anh Viết Thành đã có lời động viên tinh thần và giúp đỡ về Tiếng Việt thường xuyên"
*************************************************************************************
หลังจากชาวบล็อกชักชวนให้กลับมาเขียนบล็อกกัน สรุปได้เขียนบล็อกใหม่อยู่ 3 บล็อกค่ะ
โรงเรียนบ้านนาจอกก่อตั้งก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง 1 ปีนะคะ
ช่วงนี้อินกับการอ่านหรือฟังทาง youtube เรื่องประวัติศาสตร์ค่ะ เพิ่งซื้อหนังสือนิยายอิงประวัติศาสตร์พระเจ้าตาก เขียนโดยฝรั่งค่ะ โดยผู้เขียนก็ได้หลักฐานของฝรั่งที่เข้ามาสยามในยุคโน้นเหมือนกัน
การบันทึกเรื่องราวเป็นหลักฐานให้คนในโลกอนาคตเหมือนกันนะคะ