จารึกสุโขทัยหลักที่ 1 : ของจริงหรือของปลอม (3) ![]() พ.ศ. 2530 Michael Vickery เป็นคนแรกที่เสนอข้อสงสัยอย่างเป็นทางการ ในการประชุมนานาชาติไทยศึกษา ที่มหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลีย ในหัวข้อเรื่อง ศิลาจารึกพ่อขุนราม เป็นของเก่าหรือสร้างใหม่ในภายหลัง ที่เขามั่นใจมากว่าศิลาจารึกนี้ถูกสลักขึ้นภายหลังพ่อขุนรามคำแหงนานมาก โดยเปรียบเทียบตัวอักษร คำศัพท์ เนื้อหา ฯลฯ กับศิลาจารึกสุโขทัยหลักอื่นๆ 1. ภาษาในศิลาจารึกมีเสียงวรรณยุกต์ตรงกับภาษาปัจจุบันมากกว่าหลักอื่น ซึ่งหมายความว่า จารึกหลักนี้ใกล้เคียงภาษากลางมากกว่าหลักอื่น 2. จารึกหลักที่ 1 มีคำไทยแท้มากเกินไปจนผิดสังเกต ผิดจากจารึกร่วมสมัยที่มีอิทธิพลมาจากภาษาขอม 3. ศิลาจารึก เรียก กำแพงสุโขทัยว่า ตรีบูร ซึ่งหมายถึง กำแพงสามชั้น ทั้งที่ในยุคพ่อขุนรามคำแหงมีกำแพงเพียงชั้นเดียว กำแพงชั้นนอกที่ก่ออิฐสร้างขั้นสมัยหลังเมื่ออาวุธปืนใหญ่แบบตะวันตก สมัยพ่อขุนรามคำแหงจึงไม่อาจรู้ได้ว่า จะมีกำแพงสามชั้น 4. ศิลาจารึกเขียน สระ อิ อี อึ อื อุ อู แบบฝรั่ง คือเขียนบรรทัดเดียวกัน ทั้งที่จารึกอื่นๆทั้งหมดเขียนแบบวางตำแหน่งสระทั้งบนและล่าง จารึกหลักที่หนึ่งจึงน่าจะเขียนเมื่อได้รับอิทธิพลจากอักษรตะวันตกแล้ว 5. การพัฒนาของการใช้ ฃ. ฃวด กับ ฅ. ฅน ซึ่งเป็นเสียงโฆษะ แต่จะค่อยๆหายไปเพราะภาษาไทยไม่นิยมเสียงโฆษะ(เสียงก้อง) แต่จะเป็น ข. ไข่ และ ค. ควา ย แทน เพราะ เป็นเสียงอโฆษะ(ไม่ก้อง) แต่ศิลาจารึกใช้ ฃ.ฃวด และ ฅ.ฅน อย่างไม่มีกฎเกณฑ์ 6. เนื้อหาของศิลาจารึกก็เป็นปริศนา เพราะเล่าเรื่องที่โน้มไปทางการเมือง ขณะที่ศิลาเรื่องอื่นเป็นกรอบศาสนา 7. เรื่องพนมเบี้ย ก็เป็นเรื่องของยุครัตนโกสินทร์มากกว่ายุคสุโขทัย เพราะในจารึกอื่นกล่าวถึงเบี้ย ในลักษณะที่ใช้เป็นเงินตรา ![]() พ.ศ. 2529 2531 อ. พิริยะ ไกรฤกษ์ได้วิจัยเนื้อหาในหลักศิลาจารึก และได้ตีพิมพ์รายงานวิจัยที่มีชื่อว่า จารึกพ่อขุนรามคำแหง การวิเคราะห์เชิงศิลปะ ในเดือน มกราคม พ.ศ. 2532 โดยให้ข้อพิจารณาในประเด็นหลักๆ ได้แก่ 1. จารึกหลักที่ 1 เอาสระและพยัญชนะมาไว้ในบรรทัดเดียวกัน ขณะที่จารึกหลักอื่น ๆ วางสระและ วรรณยุกต์บนล่าง เป็นลักษณะของการเรียงพิมพ์ซึ่งเป็นอิทธิพลของฝรั่ง และคล้ายกับตัวอักษรอริยกะ ที่พระองค์คิดค้นขึ้นในขณะทรงผนวช 2. จารึกหลักที่ 1 มีขนาดเล็กผิดปรกติแตกต่างจากศิลาจารึกที่อายุใกล้เคียงกัน คือ จารึกปราสาทพระขรรค์ของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ซึ่งมีขนาดเกือบ 2 เมตร หรือศิลาจารึหลักที่ 2 และหลักที่ 4 ก็มีขนาดใหญ่เช่นเดียวกัน 3. คําว่า รามคําแหง ไม่ปรากฏในจารึกสุโขทัยหลักอื่น ๆ เลย มีแต่ในหลักที่ 1 เท่านั้น ในขณะที่หลัก อื่นๆ เรียกว่า พระญารามราช พระร่วง คำนี้ยังคล้ายกับตําแหน่ง พระรามคำแหง ในพระอัยการนาทหารหัวเมือง ของกฎหมายตราสามดวง ที่ตราขึ้นใช้ในสมัยรัตนโกสินทร์ 4. ในจารึกกล่าวว่าสุโขทัยนั้นตรีบูรได้สามพันสี่ร้อยวา (3400*2 = 6800 ม.) เมื่อกรมศิลปากรเข้าไปบูรณะ วัดได้ความยาวของกําแพงชั้นใน 6100 เมตร ชั้นกลาง 6500 เมตร และชั้นนอก 6800 เมตร แต่กำแพงชั้นกลางและชั้นนอก สร้างในสมัยอยุธยา ดังนั้นพ่อขุนรามคำแหงทราบเรื่อง 6800 เมตร ได้อย่างไร 5. พระพุทธรูปหลายองค์ที่กล่าวถึงในจารึกหลักที่ 1 ดูตามรูปแบบศิลปะแล้ว ไมมีอะไรเกี่ยวข้องกับสมัยสุโขทัย เป็นพระพุทธรูปฝีมือช่างสมัยอยุธยา 6. ชื่อช้างมาสเมืองของขุนสามชนคล้ายกับช้างของรัชกาลที่ 2 ที่ชื่อ มิ่งเมือง และช้างของพ่อขุนรามคําแหงที่ชื่อ รูจาคีรีก็คล้ายกับชื่อ คีรีเมฆ เทพคีรีจันคีรี ในพระราชนิพนธ์ ช้างเผือกของรัชกาลที่ 4 แต่ในศิลาจารึกหลักที่ 2 ช้างของมหาเถรศรีศรัทธาชื่อ อีแดงเพลิง ซึ่งดูเป็นคำไทยโบราณมากกว่า ![]() 7. คําที่ใช้ในจารึกหลักที่ 1 เป็นคําที่นิยมในสมัยรัตนโกสินทร์แล้ว เช่น ตระพังโพยสี คือการขุดสระให้เป็นสีมา มีอุโบสถอยู่กลางน้ํา อันเป็นแบบของพุทธศาสนานิกายสิงหลภิกขุ และไม่ปรากฏคำนี้อยู่ในที่อื่นเลย ยกเว้นในพระราชพงศาวดารฉบับกรุงสยาม ซึ่งเป็นเอกสารชั้นหลัง 8. การเขียนคำว่ามะม่วง ให้เป็น หมากม่วง เป็นความจงใจเพื่อให้ดูเก่า ความจริงในสมัยสุโขทัยใช้คำว่า ไม้ม่วง แต่คําว่า หมากม่วงนี้ กลับปรากฏในเรื่องนางนพมาศ ซึ่งน่าจะเขียนจะขึ้นสมัยรัชกาลที่ 3 9. การเผาเทียนเล่นไฟ ก็ดูจะสอดคล้องกับหนังสือเรื่องนางนพมาศ หรือการพนมดอกไม้ คือการจัดดอกไมเป็นพุ่ม เป็นลักษณะการจัดดอกไม้ ของวัดบวรนิเวศ และ เป็นคําเฉพาะที่ไม่มีในจารึกหลักอื่น ๆ 10. เรื่องเจ้าเมืองบ่เก็บจังกอบก็เป็นเรื่องที่สอดคล้องกับการค้าเสรี ที่สยามโดยอังกฤษบังคับให้ลงนามในสนธิสัญญาเบาริ่งเพื่อปรับลดภาษี 11. การรับฟังเรื่องราวร้องทุกข์ของราษฎรโดยการเอากระดิ่งไปแขวนไว้ ก็ตรงกับเรื่องราวการรับฎีกาโดยตรงจากราษฎรที่มีขึ้นในรัชกาลที่ 4 12. การกล่าวถึงสถานที่ต่างๆ เพียงกว้างๆ เช่น พิหารทองตั้งอยู่กลางเมือง ถ้าเป็นจารึกร่วมสมัยจริง เหตุใดจึงไม่มีการระบุชื่อวัดหรือสถานที่โดยตรง ดังนั้น อ. พิริยะ ไกรฤกษ์ เชื่อว่าศิลาจารึกหลักที่ 1 เป็นการแต่งขึ้น โดยนำเนื้อหามาจากศิลาจารึกวัดศรีชุมของพระมหาธรรมราชาลิไท เช่น พระราชประวัติของพ่อขุนรามคำแหงในตอนชนช้างกับขุนสามชน เหมือนกับเรื่องพระมหาเถรศรีศรัทธาเคยได้ชนช้างกับขุนจังมาก่อน มีการดัดแปลงบางพยัญชนะ และวิธีการเขียนตัวอักษรเป็นชั้นๆ บนล่าง มาเป็นการเขียนไว้บนบรรทัดเดียวเหมือนกับภาษาตะวันตก แสดงให้เห็นว่าผู้แต่งมีความเชี่ยวชาญเรื่องภาษาเป็นอย่างดี เรื่องลำดับเหตุการณ์ และศิลปที่คล้องจองมันยากที่จะปลอมกว่าการบันทึกเนาะ
โดย: tuk-tuk@korat
![]() ![]() เป็นเรื่องที่สมัยเรียนบัตรไกด์ อาจารย์ที่สอนโน้มเอียงไปในทางไม่เชื่อว่าเป็นของปลอมค่ะ เราก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน แหะๆ
ของรางวัลปวดใจนี่แค่เพราะทำให้คิดถึงญี่ปุ่นใช่มั้ยคะ อ่านเม้นท์แล้วไม่แน่ใจ แหะๆ โดย: สาวไกด์ใจซื่อ
![]() จากข้อความที่สรุปเป็นข้อๆ งั้นจะคิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้ นอกจาก เขียนขึ้นมาในสมัยรัตนโกสินทร์สิคะนี่
*** เดินเล่นเป็นวันๆ ก็สามารถ ไม่เหนื่อย ไม่ร้อน สดชื่นมากค่ะ อาจจะเฉอะแฉะ ถ่ายรูปยากหน่อยแค่นั้น ![]() โดย: สายหมอกและก้อนเมฆ
![]() ![]() ไม่เป็นไรนะคะ ตอนนี้มีโปรฯ ดีๆ เยอะเลย ไปญี่ปุ่นแบบไม่แพงมากก็ทำได้อยู่น้าา
โดย: สาวไกด์ใจซื่อ
![]() เข้าไปดูตาม link แล้วค่ะ
ร้านรุ่งเกษม อยากลองต้มยำ... บันทึกการโหวตเรียบร้อยแล้วค่ะ บันทึกการโหวต Blog ในวันนี้ ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต เนินน้ำ Food Blog ดู Blog NaiKonDin Travel Blog ดู Blog tuk-tuk@korat Music Blog ดู Blog ดอยสะเก็ด Literature Blog ดู Blog ผู้ชายในสายลมหนาว Education Blog ดู Blog ระบบจะบันทึกคะแนนโหวต เฉพาะการโหวต 5 ครั้งล่าสุดในแต่ละวันเท่านั้น โดย: สายหมอกและก้อนเมฆ
![]() ![]() |
บทความทั้งหมด
|