จารึกวัดพระงาม : ทวารวตีวิภูติ (4) เหรียญเงินศรีทวารวดี ศรวรปุญย แม้จะเป็นเหรียญเดียวกัน แต่ก็มีคนอ่านต่างกันเป็นสองความเห็น พระเจ้าศรีทวารวดี ผู้มีบุญอันประเสริฐ และ บุญของผู้เป็นใหญ่ แห่งทวารวดี ซึ่งทั้งสองคำนี้มีความหมายต่างกันโดยสิ้นเชิง คำแรกทวารวดีใช้ในความหมายถึงชื่อกษัตริย์คือพระเจ้าศรีทวารวดี ส่วนคำหลังทวารวดีใช้ในความหมายชื่อของรัฐที่ชื่อศรีทวารวดี เพราะคำว่าศรีที่แปลว่าดีนั้นสามารถใช้ได้ทั้งกับเมืองหรือกษัตริย์ก็ได้ เช่น พระเจ้าศรียโสวรมัน ผู้สถาปนาเมือง ศรียโสธรปุระ ส่วนคำว่า ศรวร-ปุญย นั้นค่อนข้างชัดว่าคือ บุญอันยิ่งใหญ่ แล้วศรีทวารวดีจากเหรียญเงินนี้ จะคือชื่อกษัตริย์หรือชื่อแคว้น 20 ก.ค. 2566 นิตยสารศิลปะและวัฒนธรรมได้เผยแพร่บทความออนไลน์ ถึงการค้นพบเหรียญทองคำที่เมืองโบราณยะรัง เมื่อเดือน ธ.ค. 2565 ด้านหนึ่งเป็นรูปหม้อปูรณฆฎะอีกด้านมีอักษรปัลลวะจารึกว่า ศฺรีลงฺกาโศเกศฺวรปุณฺย นี่อาจเป็นหลักฐานของรัฐลังกาสุกะ แต่ผมสนใจคำว่า ศรี ซึ่งในกรณีนี้ควรจะใช้นำหน้าชื่อรัฐ ดังนั้นศรีในเหรียญเงินทวารวดีจึงควรจะเป็นชื่อเมืองหรือรัฐทวารวดี และตอกย้ำว่าเหรียญเงินทวารวดีนั้น เป็นสิ่งที่ใช้ถวายแด่ศาสนสถาน ไม่ใช่เหรียญที่ใช้สำหรับการซื้อขาย เพราะที่เมืองโบราณยะรังนั้นใช้เป็นเหรียญทองคำเลยทีเดียว สอดรับกับจดหมายเหตุทงเตี่ยนเขียนในพุทธศตวรรษที่ 14 กล่าวว่าโถโลโปตีเป็นที่รู้จักของจีนตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 12 วังของกษัตริย์นั้นเป็นอาคารที่มีหลายชั้น และมีการใช้กระเบื้องมุงหลังคา แต่หากสนใจหลักฐานที่เป็นของบ้านเรา ก็จะพบว่ามีจารึกที่กล่าวถึง ทวารวดีเพียงไม่กี่ชิ้น แต่นั่นก็ยิ่งทำให้มันสำคัญมาก จารึกวัดจันทิก จังหวัดนครราชสีมา เป็นชิ้นส่วนจารึกฐานพระพุทธรูป อักษรปัลลวะ ภาษาสันสกฤต อ่านได้ 2 บรรทัด ความว่า พระเทวี ...ได้คิดสร้างรูปอันเป็นคตินี้ ต่อมาในราว พ.ศ. 2532 พบจารึกอีกชิ้นที่เข้ากันได้จากพิพิธภัณฑสถานพิมาย ทำให้ได้ข้อความยาว 4 บรรทัด แต่บรรทัดที่ 1 นั้นเลือนหายไป เหลือ 3 บรรทัด สุตาทวารวตีประเต - มูรฺตฺติ มสฺถาปยทฺเทวี- นฺตาถาคตีมามุ พระเทวีของเจ้าแห่งทวารวดีทรงให้พระธิดาสร้างรูปพระตถาคตนี้ไว้ แม้ไม่มีความรู้ทางภาษา แต่สิ่งที่ผมคิดต่างในการแปลความจารึก ทวารวดีประเต ไม่น่าจะแปลว่า เจ้าแห่งทวารวดี เราไม่เคยพบคำนี้มาก่อน แต่หากไปดูชื่อหลายรัฐในอินเดียปัจจุบัน ก็จะพบคำลงท้ายว่า Pradesh หากคำว่าปะเต คือประเทศ ทวารวดีย่อมมีฐานะเป็นรัฐหรือแคว้น สุตาทวารวดีประเต ควรจะแปลว่า ธิดาแห่งแคว้นหรือรัฐทวารวดี หากเป็นเช่นนั้นจริง ก็อาจจะให้ภาพทวารวดีแจ่มชัดขึ้นมามากว่า เป็นรัฐที่มีกษัตริย์ปกครอง นับถือทั้งศาสนาพราหมณ์และพุทธ ซึ่งอาจจะแยกกันระหว่างชนชั้นปกครองกับชาวบ้านก็ได้ มีขอบเขตของรัฐที่แน่ชัด ไกลสุดอย่างน้อยก็ถึงนครราชสีมา แล้วถ้าในช่วงนั้นตรงกับที่พระเจ้าจิตรเสนรบเพื่อสร้างอาณาจักรเจนละ นี่เป็นเหตุให้พระธิดาแห่งรัฐทวารวดีขึ้นมาสร้างพระพุทธรูปนี้ไว้หรือไม่ ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สวรรควรนายก สุโขทัย พบพระพุทธรูปศิลปะแบบอู่ทอง กำหนดอายุราวต้นพุทธศตวรรษที่ 20 มีจารึกที่ฐานว่า ตนนี้ก่อพระเจ้าแม่เอินไว้ในบุรพารามนี้ เมื่อเชื่อมโยงไปยังจารึกวัดบุพาราม เป็นไปได้ว่า เป็นสิ่งของถวายของพระมหาเทวีศรีจุฬาลักษณ์ พระมเหสีในพระมหาธรรมราชาลิไท ทำให้เห็นขนบโบราณที่ใช้การแต่งงานเชื่อมโยง ความสัมพันธ์ทางการเมืองระหว่างราชวงศ์ ในรายงานการวิจัย เรื่อง จารึกพระเจ้ามเหนทรวรมัน ซึ่งเป็นพระนามหลังการขึ้นครองราชย์ของเจ้าชายจิตรเสน โดย อ. กังวล คัชชิมา กล่าวถึงจารึกที่พบใหม่ ในอำเภอวังน้ำเขียว ซึ่งผู้พบอ้างว่า ขุดได้จากไร่ในที่ดินของตนเอง และนำมาเก็บไว้ หากเป็นเช่นนั้น นี่จะเป็นจารึกที่ระบุสถานที่ได้ไกลที่สุดของพระองค์ จากลุ่มแม่น้ำโขงตามลำน้ำมูล ลึกเข้ามาในภาคอีสานถึงนครราชสีมา ซึ่งตรงนี้หากย้อนไปกลับที่จารึกจันทิก ที่คาดว่าได้จากเมืองเสมา บ้านเมืองที่เจ้าชายจิตรเสนรบชนะนั้น อาจเข้ามาบรรจบกับรัฐทวารวดี เพื่อที่จะหาภาพการปะทะระหว่างอาณาจักรเจนละกับรัฐทวารวดี เราจะกลับไปที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติปราจีนบุรี ที่นี่เก็บจารึกที่สำคัญชิ้นหนึ่งไว้ จารึกช่องสระแจง พบที่บริเวณปราสาทเขาน้อยสีชมพู จ. สระแก้วในปัจจุบัน เป็นจารึกของพระเจ้ามเหนทรวรมัน ความยาว 4 บรรทัด แต่จารึกนี้ไม่ได้เป็นรูปสี่เหลี่ยมกลับสลักบนหินทรงโค้งคล้ายใบเสมา รวมถึงเนื้อความนั้นไม่ได้กล่าวถึงชัยชนะ หรือการสถาปนาศิวลึงค์เหมือนกับจารึกหลักอื่นๆ พระเจ้าแผ่นดินองค์ใดปรากฏพระนามว่าศรีมเหนทรวรมัน ทรงเป็นเหมือนพระอินทร์ผู้ยิ่งใหญ่ พระเจ้าแผ่นดินพระองค์นั้นได้ทรงขุดบ่อนํ้านี้ อันมีชื่อว่าบ่อนํ้าศังกร จารึกแบบใบเสมาอาจเป็นการผสมผสานความเชื่อกับพุทธทวารวดี หลังพระเจ้ามเหนทรวรมันสร้างเจนละขึ้นมา ในปีราว พ.ศ. 1159 ก็มีบันทึกของจีนกล่าวว่า อีศานวรมันที่เป็นโอรสของมเหนทรวรมันส่งทูตไปเมืองจีน และจีนได้บันทึกว่า อาณาจักรเจนละรบชนะอาณาจักรฟูนัน และสร้างเมืองหลวงชื่ออีศานปุระ ปัจจุบันเชื่อว่าอยู่ที่ สมโบไพรกุก ในปีที่บันทึกไว้ พ.ศ. 1159 อาจอนุมานได้ว่า พระเจ้ามเหนทรวรมันสิ้นพระชนม์ หลังจากนั้นพระเจ้าอีศานปุระได้สานต่องานจากพระราชบิดา ในการรวบรวมอาณาจักรและสถาปนาเมืองหลวงตามชื่อของพระองค์ จากนั้นก็มาถึงรัชกาลของพระเจ้าภววรมันที่ 2 จารึกอักษรปัลลวะ ที่สามารถกำหนดอายุได้เก่าที่สุดของประเทศไทย พบที่สระแก้ว คือจารึกเขารัง ระบุศักราช พ.ศ. 1180 และจารึกเขาน้อย ระบุศักราช พ.ศ. 1182 ในจารึกเขารังของพระเจ้าภววรมันที่ 2 กล่าวถึง การถวายสิ่งของให้วิหารซึ่งเป็นคำเฉพาะที่ใช้กับวัด ซึ่งอาจจะสัมพันธ์กับจารึกช่องสระแจงที่เป็นใบเสมา ที่กล่าวไว้ก่อนหน้าว่าที่นี่อาจจะเป็นเมืองพุทธหรือไม่ ในขณะที่จารึกเขาน้อยกล่าวขึ้นต้นการบูชาพระวิษณุ ซึ่งเป็นขนบการเขียนจารึก สงครามที่อาจจะเป็นการชิงราชบัลลังค์ ลำดับญาติวงศ์ และจบลงด้วยการถวาย ทาสและสิ่งของ แต่เนื้อหาที่น่าสนใจ อยู่ในบรรทัดที่ 4 และ 5 จารึกเขารัง ภาพจาก https://db.sac.or.th/inscriptions/inscribe/detail/52 4 การต่อสู้ของพระศรี - - วรมัน - - - - - ราชสมบัติของเจ้าชาย - 5 ต่อมาเชยษฐปุรสวามี ในกรรมสิทธิ์ที่รักษาของเชยษฐปุระอีก ปรกติชื่อกษัตริย์ต้องเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เมื่อเข้าไปดูตัวสำเนาจารึก ดูเหมือนว่าตรงที่ควรจะเป็น ศรีภววรมัน ถูกขีดฆ่าอย่างตั้งใจ รวมถึงอีกหลายแห่งตรงด้านใต้ด้วย เป็นไปได้ว่า จารึกนั้นเป็นการกัลปนาที่ดินถวายเทวสถาน ซึ่งเมื่ออำนาจรัฐเดิมนั้นเสื่อมลง ก็มีใครสักคนต้องการพื้นที่นั้น จึงขีดฆ่าชื่อผู้ออกโองการ แนวเขต หรือคำสาปแช่งออกไป แต่เนื้อหาจารึกที่เหลือไว้ ก็มีสิ่งที่น่าสนใจอยู่หลายอย่าง หนึ่ง ดูเหมือนพระเจ้าภววรมันที่ 2 จะชิงราชสมบัติมา สอง สระแก้วน่าจะเริ่มเป็นที่มั่นสำคัญของอาณาจักรเจนละ สาม เชษยฐปุระอาจเป็นชื่อเดิมของเมืองสระแก้ว สี่ คำขึ้นต้นเป็นการบูชาเทพเจ้า ในกรณีนี้เป็นพระวิษณุ ซึ่งไม่เหมือนกับจารึกสมัยพระเจ้ามหเหนทรวรมันซึ่งบูชาพระศิวะ ห้า เนื้อหาส่วนถัดไปที่เขียนด้วยภาษาเขมรไม่ใช่สันสกฤต หก คำศัพท์และรายชื่อทาสบางแห่งที่ดูจะเป็นภาษามอญ จารึกทั้งสามชิ้นจึงอาจจะเป็นหลักฐานว่า สถานที่นี้เดิมตรงนี้อาจจะเป็นพื้นที่ของชาวมอญที่นับถือพุทธศาสนา ก่อนที่จะถูกพระเจ้าจิตรเสนแห่งเจนละเข้ามารุกราน แต่มีการประนีประนอมกับวัฒนธรรมท้องถิ่นที่มีความเข้มแข็ง กว่าบ้านเมืองตามลำน้ำมูลที่พระเจ้าจิตรเสนเคยรุกเข้าไป จนยอมที่จะสร้างจารึกแบบใบเสมา ไม่ใช่แบบเสาสี่เหลี่ยม และไม่มีกล่าวถึงการสถาปนาศิวลึงค์ ซึ่งเป็นสัญลักษ์ของไศวนิกาย ก่อนที่พื้นที่นี้จะถูกปกครองอย่างชัดเจนในสมัยพระเจ้าภววรมันที่ 2 ตามที่ปรากฏเนื้อหาในจารึกเขารังและจารึกเขาน้อย
|
บทความทั้งหมด
|
ถ้าคิดว่าตอนนั้นไม่มีเขื่อน ก็อยู่ฝั่งตะวันตกของลำตะคองเหนือปากช่อง
ไม่ไกลจากเมืองเสมาเท่าไร
แถวหลังวัดสรพงษ์(สีคิ้ว) ก็เคยพบฐานแบบขอม น่าจะมีจารึก หรือเทวรูป จำไม่ได้แน่ ด้วยค่ะ