จารึกสุโขทัยหลักที่ 1 : ของจริงหรือของปลอม (2)

หลังจากนั้นก็มีการพยายามถอดความในศิลาจารึกหลักที่ 1 เรื่อยมา
และมีการตีพิมพ์คำอ่านครั้งแรกในหนังสือวชิรญาณ ตอนที่ 36
เดือนกันยายน พ.ศ. 2440 ชื่อเรื่องว่า อภินิหารการประจักษ์
เนื้อหาเป็นเรื่องปาฏิหาริย์ต่างๆ เมื่อเจ้าฟ้ามงกุฏได้ทรงจาริกไปหัวเมืองเหนือ
โดยมีคำแปลของหลักศิลาจารึกหลักที่ 1 อยู่ในภาคผนวกท้ายเล่ม
พ.ศ. 2451 รัชกาลที่ 6 ขณะดำรงพระยศเป็นสยามมงกุฎราชกุมาร
ทรงนิพนธ์หนังสือเรื่องเที่ยวเมืองพระร่วง หลังจากเสด็จประพาสเมืองเหนือ
โดยทรงอ่านคำแปลของศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงเป็นหนังสือนำชม
ทรงพยายามที่จะกำหนดรูปแบบและอายุให้กับโบราณสถานที่ทรงพบเห็น
โดยจะเสด็จไปตามที่บอกไว้ในจารึก
เมื่อพบโบราณสถานใดที่คล้ายกับลักษณะที่บรรยายไว้
ในจารึกก็สรุปว่า โบราณวัตถุสถานนั้น สร้างขึ้นในสมัยพ่อขุนรามคำแหง
เช่น เมื่อเสด็จไปถึงกลางเมืองก็พบวัดที่ชาวบ้านเรียกว่า วัดมหาธาตุ
ทรงพบวิหารใหญ่ พระพุทธรูป และพระอัฏฐารศ
ก็ทรงสันนิษฐานทันทีว่า วัดนี้สร้างโดยพ่อขุนรามคำแหงอย่างแน่นอน
พ.ศ. 2457 เมื่อสมเด็จพระบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ
ขณะทรงดำรงตำแหน่งสภานายกหอพระสมุดวชิรญาณสำหรับพระนคร
ทรงรวมเรื่องศิลาจารึกเกี่ยวกับสุโขทัยไว้ในหนังสือชุดประชุมพงศาวดาร

พ.ศ. 2466 พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว
โปรดเกล้าให้ย้ายศิลาจารึกหลักที่ 1 มารวมกับศิลาจารึกหลักอื่นๆ
เก็บไว้ที่ตึกถาวรวัตถุหน้าวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฏ์
อันเป็นที่ทำการแรกของหอสมุดวชิรญาณสำหรับพระนคร
หอสมุดวชิรญาณได้จ้าง ศ. Goerge Coedes เป็นบรรณารักษ์ใหญ่
คณะกรรมการได้มอบหมายให้ท่านเป็นผู้อ่านแปลศิลาจารึกภาษาต่างๆ
ที่หอพระสมุดได้รวบรวมเอาไว้ และได้พิมพ์คำอ่านศิลาจารึกต่างๆ
รวมทั้งหลักศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงมหาราช เมื่อ พ.ศ. 2467
ในงานทำบุญฉลองครบอายุ 4 รอบ ของพระยาราชนุกูล
(อวบ เปาโรหิตย์) เรียกหนังสือนี้ว่า ประชุมจารึกสยามภาคที่ 1
เป็นครั้งแรกที่การเผยแพร่เนื้อหาคำแปลจากหลักศิลาจารึกครบทุกด้าน
และมีการปรับปรุงแก้ไขคำแปลนั้นต่อๆ มาโดยนักวิชากรรุ่นหลัง
พ.ศ. 2468 มีการก่อตั้งพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ ในสมัยรัชกาลที่ 7
จึงได้ย้ายศิลาจารึกหลักที่ 1 ไปจัดแสดงที่พระที่นั่งศิวโมกขพิมาน
พ.ศ. 2509 ย้ายกลับไปเก็บในตึกถาวรวัตถุเช่นเดิม
พ.ศ. 2512 ย้ายมาจัดแสดงที่ห้องสุโขทัย ตึกประพาสพิพิธภัณฑ์
พ.ศ. 2525 ในคราวฉลองกรุงรัตนโกสินทร์ 200 ปี
มีการปรับปรุงการจัดแสดง จึงได้นำศิลาจารึกหลักที่ 1
มาจัดแสดงที่ห้องประวัติศาสตร์ชาติไทย พระที่นั่งศิวโมกขพิมาน
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร ดังที่เราเห็นในปัจจุบัน

หลัง พ.ศ. 2500 มีนักวิชาการต่างชาติตั้งคำถามถึงความแท้ของศิลาจารึก
นำไปสู่ความสงสัยของนักวิชาการไทยแสง มนวิทูร และปรีดา ศรีชลาลัย
เป็นคนไทยกลุ่มแรกๆ ที่ตั้งข้อสังเกตว่ารัชกาลที่ 4 อาจจะเป็นคนทรงแต่ง
แต่ก็ไม่ได้มีการสรุปอย่างจริงจัง และเป็นเพียงการรับรู้ในวงแคบๆ
เพราะการถกเถียงในเรื่องนี้สุ่มเสี่ยงต่อการหมื่นพระบรมเดชานุภาพ
พ.ศ. 2519 เป็นที่รับรู้ในวงกว้าง เมื่อ ม.จ. จันทร์จิรายุวัฒน์ รัชนี
ทรงมีผลงานหนังสือ ชื่อ นำเที่ยวศิลาจารึกสุโขทัย ตีพิมพ์ที่ ม. ฮาวาย
โดยมีการตั้งข้อสังเกตว่า จารึกนี้สร้างขึ้นพระยาลิไท
ไม่ใช่พ่อขุนรามคำแหง เพื่อใช้ประโยชน์จากจารึกทางการเมือง
ซึ่งในปัจจุบัน เราก็ยอมรับกันแล้วว่า ศิลาจารึกนั้นเขียนขึ้นสองสมัย
ด้วยความต่างระหว่างเนื้อหา และรูปแบบทางการเขียน
เมื่อนักวิชาการที่เป็นราชนิกุลทรงออกมาแสดงความเห็นในเรื่องนี้
ก็คงไม่มีใครกล้ากล่าวหา เรื่องความไม่จงรักภักดีอย่างแน่นอน
จึงเป็นการจุดกระแสให้นักวิชาการกล่าวถึงเรื่องศิลาจารึกหลักที่ 1
ซึ่งแบ่งได้ออกเป็นสองผ่าย คือฝ่ายที่เชื่อว่าเป็นของใหม่
และฝ่ายที่เชื่อว่าศิลาจารึกนี้เขียนขึ้นในสมัยสุโขทัย