เรื่องเล่าแห่งมหาภารตะยุทธิ์ (4)
ตัดกลับมาที่แคว้นกุรุ
หลังจากที่พระแม่คงคาจากไป พระราชาศานตนุก็ครองตัวเป็นโสดเรื่อยมา
จนวันหนึ่งพระองค์เสด็จไปที่ริมแม่น้ำ จึงได้พบกับนางสัตยวดี
ที่ตอนนี้กลิ่นกายหอมกรุ่นไปแล้ว พระราชาศานตนุรู้สึกพึงพอใจนางเป็นอันมาก
จึงเข้าไปสู่ขอเธอเพื่อแต่งงาน นางสัตยวดีตอบว่า ตัวนางนั้นไม่ขัดข้อง
เพียงแต่ต้องไปขออนุญาติพ่อเลี้ยงของเธอก่อน พระราชาศานตนุจึงตามนางกลับไปที่บ้าน
เมื่อพบหน้ากันชาวประมงก็กล่าวว่า ในเรื่องการแต่งงานนั้น ตนเองก็ไม่ขัดข้อง
หากแต่มีข้อแม้เพียงประการเดียว หากพระองค์รับปากตนก็จะยกนางสัตยวดีให้
สิ่งนั้นก็คือ พระองค์จะต้องรับปากว่า หากภายภาคหน้านางสัตยวดีมีพระโอรส
จะต้องให้พระโอรสที่เกิดนั้นเป็นกษัตริย์ครองกรุงหัสตินาปุระคนต่อไป
ท้าวศานตนุได้ฟังแล้วจึงตอบแก่ชาวประมงว่า
นั่นเป็นเพียงสิ่งเดียวที่พระองค์ไม่อาจใหัสัญญาได้
เนื่องจากตำแหน่งนั้น พระองค์ได้มอบให้ภีษมะไปแล้ว จึงไม่อาจจะกลับคำได้
ชาวประมงจึงกล่าวว่าเมื่อเป็นเช่นนั้น ก็จงถือว่าท่านไม่เคยพบนางสัตยวดีมาก่อนก็แล้วกัน
พระราชาศานตนุจึงต้องเดินทางกลับพระราชวังด้วยความเศร้าเสียใจ
หลังจากนั้นพระองค์ก็ซึมเศร้าตลอดมา ภีษมะเห็นความผิดปกตินั้น
จึงถามความกับสารถีว่าเหตุใด พระราชาถึงได้ดูหม่นหมองตรอมทุกข์เยี่ยงนี้
สารถีจึงกราบทูลเรื่องการพบกันของพระราชากับนางสัตยวดี
ภีษมะได้ยินเรื่องเช่นนั้น ก็รู้สึกไม่สบายใจที่ต้องเห็นพระบิดาเศร้าโศก
จึงตัดสินใจเดินทางไปที่บ้านของชาวประมง
เมื่อพบหน้า ภีษมะได้รับปากในสิ่งที่ชาวประมงขอ ว่าจะยกตำแหน่งกษัตริย์คนต่อไป
ให้แก่ลูกชายที่เกิดจากนางสัตยวดี แต่ชาวประมงก็ตอบไปว่า
แม้เขาจะเชื่อในคำพูดของภีษมะ แต่ในอนาคตนั้นเล่า
หากภีษมะมีลูกจะแน่ใจได้อย่างไรว่า ลูกของภีษมะจะไม่คิดชิงบัลลังค์
ภีษมะ ได้ฟังดังนั้นก็กล่าวคำสาบานต่อหน้าฟ้าดินว่า
นับจากนี้ต่อไปขอให้ตนเองไม่มีความรู้สึกต่อหญิงใดอีกเลยตลอดชีวิต
ซึ่งก็เป็นไปตามคำสาปของฤษีวสิทฐ์ ที่ภีษมะจะต้องอยู่ในเพศพรมจรรย์ตลอดชีวิต
แม้แต่ฟ้าดินที่ได้รับฟังคำสาบานของภีษมะก็รับรู้ได้ถึงความกตัญญู จึงให้พรว่า
ต่อนี้ไปเบื้องหน้า หากภีษมะไม่ยินดีที่จะตายแล้วไซร้ ตราบนั้นภีษมะก็จะไม่มีวันตาย
เมื่อท้าวศานตนุได้อภิเษกกับนางสัตยวดีแล้ว นางก็ให้กำเนิดพระโอรสสองพระองค์
คือ จิตรางคทะ และ วิจิตรวีรยะ ซึ่งเมื่อท้าวศานตนุสิ้นพระชนม์ลง
พระโอรสองค์โต จิตรางคทะ นั้นเสียชีวิตในการรบไปเสียก่อน
บัลลังค์นั้นจึงตกเป็นของ ท้าววิจิตรวีรยะ