จารึกสุโขทัยหลักที่ 1 : ของจริงหรือของปลอม (5)

อ. พิริยะ ไกรฤกษ์ ได้อรรถาธิบายว่า
ประวัติศาสตร์นิพนธ์ชิ้นนี้เป็นกุศโลบายที่พระองค์จะนำไปใช้
ในการเปลี่ยนแปลงขนบประเพณีที่มีมาแต่เดิมไปสู่โลกทัศน์ใหม่
ซึ่งรับกับอารยธรรมตะวันตก จารึกหลักที่ 1 จึงเป็นการสร้างภูมิหลัง
เพื่อเป็นหลักประกันแก่ความเปลี่ยนแปลงที่พระองค์ทรงกระทำ
เช่น การที่พระองค์ทรงประดิษฐ์อักษรอริยกะ ที่อาจจะมีพระราชประสงค์
อันนำไปสู่การที่จะเปลี่ยนระบบวิธีเขียนภาษาไทยให้อยู่ในบรรทัดเดียวกัน
เพื่อสามารถที่จะใช้กับเครื่องพิมพ์ได้สะดวกยิ่งขึ้น
หรือการที่จะลดค่าระวางปากเรือจากวาละ 1700 ให้เหลือว่าละ 1000 บาท
เพื่อส่งเสริมการค้า ก็จะเป็นการขัดผลประโยชน์ของขุนนาง ที่แต่เดิมผูกขาด
แต่ในสมัยสุโขทัย ใครใคร่ค้าช้างค้า ใคใคร่ค้าม้าค้า
เจ้าเมืองบ่อเอาจังกอบในไพร่ ก็เป็นเรื่องของสนธิสัญญาเบาว์ริ่ง
เป็นการชี้นำว่า การค้าเสรีนั้นมีมาแต่ในสมัยสุโขทัย
ในสมัยพระองค์ทรงโปรดให้ไพร่สามารถถวายฎีกาโดยมาตีกลองวินิจฉัยเภรี
ก็มีอยู่ในศิลาจารึกหลักที่ 1 ว่า ไพร่ฟ้าหน้าใสไปสั่นกระดิ่งถวายฎีกา
พระองค์ต้องการที่จะปรับปรุงพระราชพิธีสำหรับบ้านเมือง
เช่นการถือน้ำพิพัฒน์สัตยา พระองค์เองก็เสวยน้ำพิพัฒน์สัตยานั้นด้วย
ก็แสดงให้เห็นในข้อความว่า ให้ฝูงท่วยลูกเจ้าลูกขุนถือบ้านถือเมือง
พระองค์ก็ยังทรงให้ความสำคัญแก่เทพารักษ์ผู้พิทักษ์รักษาบ้านเมือง
เช่น การนับถือพระขพุงที่สุโขทัย และพระสยามเทวาธิราช
ซึ่งทรงสถาปนาขึ้นเพื่อพิทักษ์รักษากรุงสยามในลักษณะเดียวกัน
เมื่อพระองค์ทรงโปรดเกล้าให้ราษฎรมาเฝ้าชมพระบารมี
ก็มีเรื่อง ที่ชาวเมืองสุโขทัยมาดูพ่อขุนรามคำแหงท่านเผ่าเทียนเล่นไฟ

ม.จ. สุภัทรดิศ ดิศกุล เป็นผู้ดำเนินการอภิปราย
และได้เชิญ ศ. ดร. ประเสริฐ ณ นคร ผู้เชี่ยวด้านอักษรไทย
และ ม.ร.ว. ศุภวัฒย์ เกษมศรีในฐานะเป็นฝ่ายที่ไม่เห็นด้วย
ใจความสรุป คือ ศ. ดร. ประเสริฐ ณ นคร ได้เสนอว่า
กระบวนการวิจัยของ อ. พิริยะนั้นยังไม่เป็นไปตามหลักวิชาการ
เช่น หากกล่าวว่าถ้อยคำบางคำในศิลาจารึกนั้นตรงกับเอกสารสมัยหลัง
แล้วจะเป็นของใหม่ ลิลิตยวนพ่ายก็สามารถกลายเป็นของใหม่ได้เช่นกัน
ในทางตรงข้าม หากจะสรุปว่า ถ้อยคำใดในศิลาจารึกหลักที่ 1
ที่ไม่ได้ถูกใช้ในปัจจุบัน จะสรุปว่าถ้อยคำนั้นไม่มีในสมัยสุโขทัยก็ไม่ได้
ดังนั้นตรรกะทั้งสองด้านนี้ย่อมสวนทางกันอยู่ในตัวของมันเอง
ศ. ดร. ประเสริฐ ณ นคร ได้นำเสนอหลักฐานทางเอกสารที่สำคัญ
ที่ยืนยันถึงการประดิษฐ์อักษรไทย คือหนังสือจินดามณีฉบับประเจ้าบรมโกศ
ปรากฏข้อความว่า พระร่วงทรงประดิษฐ์อักษรไทยในปี พ.ศ. 1826
ซึ่งเป็นสิ่งที่บอกชัดว่าแม้ไม่มีศิลาจารึกหลักที่ 1 คนสมัยอยุธยาก็รับรู้ว่า
พระร่วงหรือหรือ พ่อขุนรามคำแหงเป็นผู้ประดิษฐ์อักษรไทย
การเอาพยัญชนะมาวางไว้บรรทัดเดียวกัน ไม่ได้เอาอย่างฝรั่ง
แต่เป็นการเขียนที่ได้รับอิทธิพลจากอินเดีย แม้ในสมัยพระยาลิไท
สระ อี ก็มีการใช้ในบรรทัดเดียวกัน เช่นเดียวกันกับจารึกวัดพระยืน เชียงใหม่
จารึกหลักที่ 1 ไม่ได้เล็กกว่าหลักอื่นๆ ในสมัยเดียวกัน
เพราะแม้จะสูงเพียง 111 ซ.ม.และหลักที่ 4 พระยาลิไทจะสูง 200 ซ.ม.
แต่ศิลาจารึกหลักที่ 1 กว้างถึง 35 ซ.ม.ในขณะที่หลักที่ 4 กว้าง 30 ซ.ม.
แต่จารึกของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ที่พบในประเทศลาวก็มีขนาดเล็กกว่า
ขนาดจึงไม่ใช่ประเด็น

ม.ร.ว. ศุภวัฒย์ เกษมศรี ได้โต้แย้งถึงข้อสังเกตที่ว่า ทำไมในศิลาจารึก
ถึงกล่าวถึงชื่อที่ไม่ควรปรากฏในสมัยสุโขทัย เช่น ตำแหน่งพระสังฆราช
ชื่อเมืองนครศรีธรรมราช การทรงช้างเผือก ชื่อของพ่อขุนรามคำแหง
ซึ่งทั้งหมดนี้ ม.ร.ว. ศุภวัฒย์ เกษมศรี สามารถอธิบายได้ทั้งสิ้น
ทั้งสองฝ่ายได้เสนอความคิดของตน ไม่มีข้อสรุปจากการอภิปราย
อืมม์..ไม่สรุปก็ดีค่ะ รับฟังข้อมูลแล้วเอาไปวิเคราะห์กันต่ออีกที บางทีอาจจะไม่มีข้อสรุปก็ได้เนาะคะ
ใช่ค่ะวงใน ถ้ากินแล้วทำรีวิวทุกมื้อ มันก็มีคะแนนสำหรับแลกได้ไม่ยากเลยค่ะ อย่างบางคนเห็นเค้าสองแสนคะแนนแล้วเค้ายังไม่แลกอะไรเลยค่ะ