วัดสุวรรณาราม : มโหสถชาดก
จิตรกรเอกในสมัยรัชกาลที่ 3 คงไม่มีใครเกิน ครูทองอยู่และครูทองแป๊ะ ต่างเข้าขั้นสุดยอดบรมครูช่างฝีมือดี ซึ่งมีลีลาการวาดอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ครูทองอยู่หรือหลวงวิจิตรเจษฏา ไม่มีประวัติที่ทราบชัด แต่น่าจะเป็นช่างหลวง ฝีมือดีตามราชทินนาม ภาพที่เขียนออกมานั้นจึงสวยงามตามแบบแผนจารีตประเพณี
ส่วนครูคงแป๊ะหรือหลวงเสนีย์บริรักษ์ มีเชื้อสายจีน เป็นคนมีนิสัยมุทะลุ โมโหร้าย เป็นครูช่างที่เต็มไปด้วยอารมณ์ศิลปินที่พร้อมจะแหกคอกความคิดในการเขียนภาพ ครูคงแป๊ะเคยก่อเหตุทำร้ายคู่อริจนเสียชีวิต จนถูกทางการตัดสินลงโทษถึงชีวิต แต่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดเกล้าพระราชทานละเว้นโทษให้
ครูคงแป๊ะและครูทองอยู่ วาดภาพจิตรกรรมฝาผนังประชันกันไว้หลายแห่ง และมักจะเขียนภาพในตำแหน่งผนังอยู่ติดเคียงข้างกัน เช่น ที่พระอุโบสถวัดอรุณ ซึ่งต่างเขียนเรื่องมโหสถชาดก คนละห้องคนละเหตุการณ์ ในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้เกิดไฟไหม้พระอุโบสถทำให้ภาพทั้งสองเสียหายหมดไม่เหลือให้เห็นอีกต่อไป
ดังนั้นหากเราจะย้อนกลับไปในการประชันฝีมือเมื่อกว่าหนึ่งร้อยปีก่อน เราจึงต้องเดินทางมายังวัดริมคลองบางกอกน้อยแห่งนี้ เพื่อตามหาภาพเขียนเนมิราชชาดกฝีมือครูทองอยู่และมโหสถฝีมือครูคงแป๊ะ
ในเมืองมิถิลามีเศรษฐีผู้หนึ่งมีนามว่าสิริวัฒกะ ภรรยาชื่อนางสุมนาเทวี มีบุตรชายคนหนึ่งซึ่งเมื่อคลอดออกมานั้นมีแท่งโอสถอยู่ในมือ เศรษฐีเคยเป็นโรคปวดศีรษะมานาน จึงเอาแท่งยานั้นฝนที่หินบดยา แล้วทาหน้าผาก อาการปวดศีรษะก็หายขาด ครั้นผู้อื่นที่มีโรคภัยไข้เจ็บ มาขอปันยานั้นไปรักษาบ้าง ก็พากันหายจากโรค เป็นที่เลื่องลือไปทั่ว
เมื่อมโหสถเติบโตขึ้น ปรากฏว่ามีสติปัญญาเฉลียวฉลาด กว่าเด็กในวัยเดียวกัน จึงมักมีผู้คนมาขอให้ตัดสินปัญหาข้อพิพาท หรือแก้ใขปัญหาขัดข้องต่างๆ อยู่เสมอ ชื่อเสียงขจรขจายไปทั่ว ในที่สุดก็ได้ไปรับราชการกับพระเจ้าวิเทหราช มโหสถได้แสดงสติปัญญา ในการพิจารณาแก้ไขปัญหาข้อขัดข้องทั้งปวง
มีพระราชาองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่าจุลนีพรหมทัต ครองเมืองอุตรปัญจาล ประสงค์จะทำสงครามแผ่เดชานุภาพ หมายจะลวงเอากษัตริย์ทั้งหลายมา กระทำสัตย์สาบานแล้วเอาสุราเจือยาพิษ ให้กษัตริย์เหล่านั้นดื่ม มโหสถได้หาทางช่วย ชีวิตกษัตริย์ทั้งร้อยเอ็ดไว้ได้ โดยที่กษัตริย์เหล่านั้นหารู้ตัวไม่
พระเจ้าจุลนีทรงเห็นว่ามิถิลา เป็นเมืองเดียวที่ไม่ยอมเดินทางมาทำสัตย์สาบาน จึงยกทัพใหญ่มุ่งไปโจมตีมิถิลา มีเกวัฏพราหมณ์ เป็นที่ปรึกษาใหญ่ แต่ไม่ว่าจะโจมตีด้วยวิธีใด มโหสถก็รู้ทัน และสามารถตอบโต้ได้ทุกครั้งไป ในที่สุดพระเจ้าจุลนีทรงส่งเกวัฏพราหมณ์มาประลองปัญญา
มโหสถออกไปพบเกวัฏพราหมณ์ โดยนำเอาแก้วมณีค่าควรเมืองไปด้วย แสร้งบอกว่า จะยกให้พราหมณ์ แต่เมื่อจะส่ง ให้ก็วางให้ที่ปลายมือ เกวัฏพราหมณ์เกรงว่าแก้วมณจะตกจึงก้มลงรับแต่ก็ไม่ทัน แก้วมณีตกลงไปกับพื้นเกวัฏพราหมณ์ก้มลงเก็บด้วยความโลภ
มโหสถจึงกดคอเกวัฏไว้ ผลักให้กระเด็นไป แล้วให้ทหารร้องประกาศว่า เกวัฏพราหมณ์ก้มลงไหว้มโหสถ แล้วถูกผลักไปด้วยความรังเกียจ บรรดาทหารมองเห็นแต่ภาพเกวัฏพราหมณ์ ก้มลงแทบเท้า แต่ไม่ทราบว่าก้มลงด้วยเหตุใด ก็เชื่อตามที่ป่าวประกาศ พากันกลัว ถอยหนีไปไม่เป็นกระบวน กองทัพก็แตกพ่ายไป
ภาพนี้ที่อยู่เคียงข้างภาพเนมิราช ทำให้เรามองเห็นความแตกต่างอย่างสุดขั้ว ครูทองอยู่นั้นเขียนสมมาตร ประณีต งดงาม อยู่ในขนบแบบฝีมือช่างหลวง ในขณะที่ภาพมโหสถนั้นลื่นไหลดุจสายน้ำ จากบนล่างล่างและย้อนกลับขึ้นบน เริ่มจากมากมุมบนขวา ที่เป็นการยาตราทัพร้อยกษัตริย์ ลงมาด้านล่างเป็นภาพ
พระเจ้าจุลนีพรหมทัต เลาะมุมล่างไปทางซ้ายเป็นภาพกษัตริย์เมืองมิถิลา ย้อนกลับขึ้นไปด้านบนเป็นตอนเกวัฏพราหมณ์ก้มลงกราบมโหสถ ตัวกษัตริย์ชั้นสูงนั้นครูคงแป๊ะเขียนตามแบบฉบับได้ไม่แพ้ครูทองอยู่ แต่ตัวทหารต่างๆ ล้วนเขียนสร้างสรรค์ได้ผิดแผกแตกต่างอย่างน่าอัศจรรย์
Create Date : 24 กันยายน 2555 |
|
4 comments |
Last Update : 24 กันยายน 2555 11:04:53 น. |
Counter : 4803 Pageviews. |
|
|