วัดสุวรรณาราม : สุวรรณสาม
ภาพนี้เริ่มจากมุมขวาบน เมื่อทุกูลดาบสและนางปาริกาออกไปหาผลไม้ในป่า เผอิญฝนตกหนักทั้งสองจึงหลบฝนอยู่ที่ ต้นไม้ใหญ่ใกล้จอมปลวก น้ำฝนที่ชุ่มเสื้อฝ้า และมุ่นผมของทั้งสองไหลหยดลงไปในรูงู งูตกใจจึงพ่นพิษออกมาทำให้ดวงตาบอดมืดมิดไปทันที
ทุกูลดาบสและนางปาริกาดาบสินี จึงไม่สามารถจะกลับไปที่พักได้ เพราะมองไม่เห็นทาง ต้องวนเวียนคลำทางอยู่แถวนั้นเอง ฝ่ายสุวรรณสามคอยพ่อแม่อยู่ที่ศาลา ไม่เห็นกลับมาตามเวลา จึงออกเดินตามหา ในที่สุดก็พบพ่อแม่วนเวียนอยู่ข้างจอมปลวก
เมื่อพ่อแม่เล่าให้ฟัง สุวรรณสามร้องไห้เพราะเสียใจที่พ่อแม่นัยน์ตาบอด และหัวเราะเพราะดีใจที่จะได้ปรนนิบัติดูแลตอบแทนพระคุณพ่อแม่ กลางภาพจับตอนพระราชาแห่งเมืองพาราณสีนามว่า กบิลยักขราช พระองค์เสด็จออกล่าสัตว์ มาจนถึงท่าน้ำที่สุวรรณสามมาตักน้ำไปให้พ่อแม่
ขณะนั้นสุวรรณสามนำหม้อน้ำมาตักน้ำไปใช้ที่ศาลาดังเช่นเคย มีฝูงสัตว์เดินตามมาด้วยมากมาย พระราชา ก็ทรงแปลกพระทัยว่า สุวรรณสามเป็นมนุษย์หรือเทวดา ครั้นจะเข้าไปถามก็เกรงว่าจะตกใจหนีไป จึงคิดจะยิงด้วยธนูให้หมด กำลังก่อนแล้วค่อยจับตัวไว้ซักถาม
พระราชากบิลยักขราชเล็งยิงด้วยธนูอาบยา จนล้มลงกับพื้น แต่ยังไม่ถึงตาย เมื่ออกมาจากที่ซ่อนแล้วได้สนทนากับสุวรรณสามจึงทราบว่า ชายหนุ่มผู้นี้อยู่ปรนนิบัติพ่อแม่ที่ตาบอด หากตายไปพ่อแม่ก็คงไม่มีใคร ดูแลหาน้ำและอาหาร สำหรับท่านทั้งสอง พระราชาทรงได้ยินดังนั้นก็เสียพระทัย
ว่าได้ทำร้ายผู้มีความกตัญญูจึงตรัสกับสุวรรณสามว่า ท่านอย่ากังวลไปเลย เราจะรับดูแลปรนนิบัติพ่อแม่ของท่านให้เหมือน กับที่ท่านได้เคยทำมา สุวรรณสามประนมมือกราบลงแล้ว ลมหายใจหยุด มือเท้าและร่างกายแข็งเกร็ง ด้วยพิษยา พระราชาทรงเศร้าเสียพระทัยยิ่งนัก รำลึกถึงกรรมอันหนักที่ได้ก่อขึ้น
แล้วก็ทรงระลึกได้ว่า ทางเดียวที่จะช่วยผ่อนบาปอันหนักได้ก็คือ ปฏิบัติตามวาจาที่สัญญาไว้กับสุวรรณสามคือไปปรนนิบัติดูแลดาบส ภาพวนลงมาที่มุมซ้ายล่างของภาพ พระราชากบิลยักขราชจึงนำหม้อน้ำ ที่สุวรรณสามตักไว้นั้น ออกเดินทางไปศาลาที่สุวรรณสามบอกไว้
ทุกูลดาบสได้ยินเสียงฝีเท้าพระราชา ก็ร้องถามขึ้นว่า นั่นใครขึ้นมา พระราชาไม่กล้าบอกไปว่า พระองค์ยิงสุวรรณสามตายแล้ว จึงบอกแต่เพียงว่าเป็นพระราชา แห่งเมืองพาราณสี มาเที่ยวยิงเนื้อในป่านี้ ดาบสจึงเชิญให้พระราชาเสวยผลไม้
และเล่าว่าบุตรชายชื่อสุวรรณสามเป็นผู้ดูแลจัดหาอาหารไว้ให้ ขณะนี้สุวรรณสามออกไปตักน้ำ อีกสักครู่ก็คงจะกลับมา ความสงสารเข้ามาอย่างจับใจพระราชากบิลยักขราชจึงจำต้องบอก ความจริงไปว่าบัดนี้สุวรรณสามถูกธนูถึงแก่ ความตายแล้ว
ดาบสทั้งสองอ้อนวอนพระราชาให้พาไปที่สุวรรณสามนอนตาย เพื่อจะได้สัมผัสลูบคลำลูกเป็นครั้งสุดท้าย พระราชาก็ทรงพาไป ซึ่งปรากฏอยู่ในมุมขวาล่าง
จากนั้นการเขียนจะวนขึ้นไปตรงขวากลางของภาพ ที่สุวรรณสามนอนอยู่ สองดาบสต่างพากันรำพันถึงสุวรรณสามด้วยความโศกเศร้า ก็ได้ตั้งสัตยาธิษฐานว่า เราทำหน้าที่ รักษาเขาคันธมาทน์มาเป็นเวลานาน สุวรรณสามเป็นผู้มีเมตตาจิตและมีความกตัญญู ขอให้พิษจงจางหายไปเถิด
ทันใดนั้น สุวรรณสามก็พลิกกายฟื้นตื่นขึ้นหายจากพิษธนูโดยสิ้นเชิง ยิ่งกว่านั้นดวงตาของพ่อและแม่ของสุวรรณสามก็กลับแลเห็นเหมือนเดิม พระราชาทรงพิศวงยิ่งนัก จึงตรัสถามว่าสุวรรณสามฟื้นขึ้นมาได้อย่างไร สุวรรณสามตอบพระราชาว่า บุคคลใดเลี้ยงดูปรนนิบัติบิดามารดาด้วยความรัก
เทวดาและมนุษย์ย่อมช่วยคุ้มครองบุคคลนั้น นักปราชญ์ย่อมสรรเสริญ แม้เมื่อตายไปแล้ว บุคคลนั้นก็จะได้ไปบังเกิดในสวรรค์ เสวยผลบุญแห่งตน พระราชากบิลยักขราชได้ยินดังนั้นก็ชื่นชมโสมนัสตรัสกับ สุวรรณสามว่า ท่านทำให้จิตใจและดวงตาของข้าพเจ้าสว่างไสว มองเห็นธรรม
ต่อนี้ไปข้าพเจ้าจะรักษาศีล จะบำเพ็ญกุศลกิจ จะไม่เบียดเบียนชีวิตสัตว์ พระราชาก็เสด็จกลับพาราณสี ทรงปฏิบัติตามที่ได้ตรัสไว้ทุกประการ จนตลอดพระชนม์ชีพ ฝ่ายสุวรรณสามก็เลี้ยงดูปรนนิบัติพ่อแม่ บำเพ็ญเพียรใน ทางธรรมเมื่อสิ้นชีพก็ได้ไปเกิดในพรหมโลก
Create Date : 18 กันยายน 2555 |
|
2 comments |
Last Update : 18 กันยายน 2555 9:17:43 น. |
Counter : 2673 Pageviews. |
|
|
สารภาพตามตรงว่าถ้าดูภาพจิตรกรรมก็ยังไม่ทราบอยู่ดีค่ะ ว่ามาจากเรื่องอะไร