วัดสุวรรณาราม : พระมหาชนก
ภาพที่สอง คือชนกชาดก เป็นเรื่องเกี่ยวกับการบำเพ็ญวิริยะบารมี เมื่อเกิดเป็นคนควรมีความพากเพียรให้ถึงที่สุด เพื่อให้ถึงแก่สิ่งที่มุ่งหวัง เพียรสุดกำลังจนชีวิตหาไม่ก็จงเพียร แล้วความสำเร็จจะมาเยือน
มุมซ้ายบนเป็นตอนต้นเรื่องหรือเปล่าไม่แน่ใจ แต่เรื่องนั้นมีอยู่ว่า เมืองมิถิลามีพระเจ้าอริฏฐชนกครองบ้านเมือง มีเจ้าโปลชนกทรงเป็นอุปราช อำมาตย์คนหนึ่งไม่พอใจพระเจ้าโปลชนก จึงทูลพระราชาว่าอุปราชคิดขบถ พระเจ้าโปลชนกจึงต้องเสด็จหนีไปหลบไปอยู่ที่ชายแดนเมืองมิถิลา
ชาวบ้านที่ทราบเรื่องได้เข้ามาเป็นพวกอุปราชจำนวนมาก จึงตัดสินใจกลับไปโจมตีเมืองมิถิลา ทหารต่างพากันมาเข้าเป็นพวก พระเจ้าอริฏฐชนกจึงตรัสสั่งพระมเหสีซึ่งกำลังทรงครรภ์แก่ให้หลบหนีไป พระองค์ทรงออกทำสงคราม และสิ้นพระชนม์ในสนามรบ
ฝ่ายพระมเหสีของพระเจ้าอริฏฐชนก เมื่อถึงเมืองกาลจัมปากะ บังเอิญมีพราหมณ์ทิศาปาโมกข์เดินผ่านมาเห็น ก็เกิดความเอ็นดูสงสาร จึงรับพระนางไปอยู่ด้วยที่บ้าน พระนางก็ประสูติพระโอรสพระนามว่า มหาชนกกุมาร เมื่อมหาชนกกุมารทรงเติบโตขึ้น ทราบว่าพระองค์ทรงมี ความเป็นมาอย่างไร ก็ทรงตั้งพระทัยว่าจะเรียนวิชาการเพื่อจะได้เสด็จไปเอาราชสมบัติเมืองมิถิลาคืน
มุมขวาบนเล่าตอนมหาชนกกุมารร่ำเรียนจนพระชนม์ได้ 16 พรรษาจึงทูลมารดาว่า หม่อมฉันจะเดินทางไปค้าขาย พระมารดาทรงพระราชทานทรัพย์สินมีค่า 3 สิ่ง พระมหาชนกทรงจัดซื้อสินค้าบรรทุกลงเรือไปกับพ่อค้าชาวสุวรรณภูมิ ในระหว่างทางเกิดพายุใหญ่โหมกระหน่ำ พระมหาชนกกุมาทรงทราบว่าเรือจะจม ก็เสวยอาหารจนอิ่มและนำผ้ามาชุบน้ำมันจนชุ่ม แล้วนุ่งผ้านั้นอย่างแน่นหนา
พระมหาชนกทรงแหวกว่ายอยู่ในทะเลได้นานถึง 7 วัน นางมณีเมขลา เห็นพระมหาชนกจึงลองพระทัย โดยพูดว่ามหาสมุทรกว้างใหญ่ จะพยายามเท่าไร ก็คงไม่ถึงฝั่ง คงจะตายเสียก่อนเป็นแน่พระมหาชนกตรัสตอบว่า คนที่ทำความเพียรนั้น แม้จะต้องตายไปก็จะไม่มีผู้ใดมาตำหนิติเตียนได้ นางมณีเมขลาช่วยอุ้มพามหาชนกกุมารไปจนถึงฝั่งเมืองมิถิลา ในรูปเล่าไว้ตรงกลางภาพ
พระราชาโปลชนกทรงมีพระธิดา พระนามว่าเจ้าหญิงสิวลี ครั้นเมื่อพระองค์ประชวรหนักใกล้จะสวรรคต เสนาจึงทูลถามขึ้นว่าราชสมบัติ ควรจะตกเป็นของผู้ใด พระองค์ตรัสสั่งว่า จงมอบให้แก่ผู้มีความสามารถดังต่อไปนี้
ประการแรก เป็นผู้ที่ทำให้พระราชธิดาของเราพอพระทัยได้ ประการสอง สามารถรู้ว่าด้านไหนเป็นด้านหัวนอนของบัลลังก์รูปสี่เหลี่ยม ประการสาม สามารถยกธนูใหญ่ ซึ่งต้องใช้คนถึงพันคนจึงจะยกขึ้นได้ ประการสี่ สามารถชี้บอกขุมทรัพย์มหาศาลทั้ง 13 แห่งได้ แล้วจึงตรัสบอกปริศนาของขุมทรัพย์ทั้งหมดแก่เหล่าอำมาตย์
คนทั้งหลายพยายามที่จะเป็นผู้สืบราชสมบัติ แต่ก็ไม่มีผู้ใดที่มีคุณสมบัติครบทุกข้อ ข้าราชบริพารจึงตั้งพิธีเสี่ยงราชรถ เพื่อหาตัวบุคคลผู้มีบุญญาธิการสมควรครองเมือง ราชรถเสี่ยงทายนั้นแล่นตรงไปหยุดอยู่หน้าศาลาที่พระมหาชนกทรงนอนอยู่ ปุโรหิตที่ตามราชรถจึงให้ประโคมดนตรีขึ้น พระมหาชนกมิได้แสดงอาการอย่างใด
ปุโรหิตเข้าไปตรวจดูพระบาทพระมหาชนก เห็นลักษณะต้องตาม คำโบราณว่าเป็นผู้มีบุญ จึงทูลอัญเชิญพระมหาชนกให้เข้าไปในเมือง และก็สามารถทำตามที่พระเจ้าโปลชนกได้ตรัสสั่งไว้ได้ครบทุกประการ ผู้คนจึงพากันสรรเสริญปัญญาของ พระมหาชนกกันทั่วทุกแห่งหน
เมื่อขึ้นเป็นพระราชาแล้วทรงบริจาคมหาทานเป็นประจำ เมืองมิถิลาจึงมีแต่ความผาสุก อยู่มาวันหนึ่ง พระราชามหาชนกเสด็จอุทยานทอดพระเนตรเห็น มะม่วงต้นหนึ่งกิ่งหัก ใบไม้ร่วง แต่อีกต้นกลับมีใบแน่นหนาเขียวชอุ่ม อำมาตย์จึงกราบทูลว่าต้นมะม่วง ที่มีกิ่งหักนั้น เป็นเพราะผลมีรสอร่อย ผู้คนจึงพากันสอยบ้าง เด็ดกิ่งและขว้างปาเพื่อเอาบ้าง จนมีสภาพเช่นนั้น
ส่วนอีกต้น ไม่มีผล จึงไม่มีคนสนใจ ใบและกิ่งจึงสมบูรณ์เรียบร้อยดี พระราชาได้ฟังก็ทรงคิดว่าราชสมบัติเปรียบเหมือนต้นไม้มีผลอาจถูกทำลาย เราจะทำตนเป็นผู้ไม่มีกังวลเหมือนต้นไม้ไม่มีผล พระมหาชนกจึงมอบราชสมบัติให้แก่พระโอรสคือ ทีฆาวุกุมาร ปลงพระเกศา ครองผ้ากาสาวพัสตร์ แล้วเสด็จออกจากเมืองไป
Create Date : 12 กันยายน 2555 |
|
6 comments |
Last Update : 12 กันยายน 2555 11:34:22 น. |
Counter : 3835 Pageviews. |
|
|