10 หนังแห่งปี 2008
by merveillesxx
10. Modern Life (2008, Raymond Depardon, France) สารภาพอย่างตรงไปตรงมาว่าปกติไม่ค่อยอินกับหนังแนวภูธรหรือหนังสะท้อนความยากลำบากของชนชั้นล่างนัก แต่รู้สึกติดตราตรึงใจกับหนังเรื่องนี้เพราะมันถ่ายภาพสวยมาก (ทั้งที่จริงๆ ก็เป็นการตั้งกล้องนิ่งๆ เท่านั้น) หนังสารคดีเรื่องนี้สัมภาษณ์เหล่าเกษตรกรที่สะท้อนในเราเห็นว่าวิถีชีวิตแบบกสิกรรมกำลังจะล่มสลายในไม่ช้า ฉะนั้นยิ่งภาพสวยมากเท่าไรมันก็ยอกย้อนถึงความเศร้ามากขึ้นเท่านั้น โดยเฉพาะในฉากสุดท้ายที่กล้องค่อยๆ ถอยออกมาจากหมู่บ้านนั้นพร้อมกับภาพพระอาทิตย์ตกดินอันแสนสวยงาม
9. Water Lilies (2007, Celine Sciamma, France) ถ้าพูดถึงหนังสำรวจผู้หญิง แคทเธอรีน เบรลญาต์ คงทำไปมากแล้ว (หรืออาจจะมากเกินไปเสียด้วย) หนังที่ได้ฉายาว่าร่างทรงของเบรลญาต์เรื่องนี้ไม่ได้พยายามทำตัวให้แรงหรือฉลาดแต่อย่างใด ตรงกับข้ามนี่มันคือ American Pie ภาคฝรั่งเศสด้วยซ้ำ คือการว่าด้วยการฝ่าฟันความอยากรู้เห็นทางเพศของวัยรุ่น เพียงแต่ตัดความตลกเปรอะเื้ปื้อนทิ้ง และมุ่งสำรวจทางจิตวิทยาแทน หนังเต็มไปด้วยฉากน่าจดจำมากมาย ไม่ว่าจะเป็นตอนที่นางเอกขุดคุ้ยขยะของหญิงสาวที่เธอแอบมาสำรวจ ดม และกิน, ฉากเซ็กซ์ระหว่างทั้งสองที่เหมือนฉากฆาตกรรม และฉากเอาคืนของสาวอวบในตอนท้าย นอกจากนั้นเพลงประกอบของหนังยังเพราะสุดๆ
8. Wall E (2008, Andrew Stanton, USA) ห่างเกินกับ Pixar มานานพอสมควรทีเดียว เพราะไม่ได้ดูทั้ง Cars และ Ratatouille ไม่ได้คาดหวังอะไรกับมันมากนัก แต่เพียงแค่ 15 นาทีแรกก็ทำเอาแทบไม่กะพริบตาแล้ว ปกติเป็นคนไม่ได้หลงใหลในซีจีนัก แต่โลกเวิ้งว้าง Wall-E ทำให้รู้สึกทึ่งกับเทคโนโลยีนี้จริงๆ จุดที่ชอบคือหนังพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างตัวเอกทั้งสองได้อย่างละเอียดอ่อนมาก จนเรารู้สึกคล้อยตาม และลุ้นอย่างสุดตัว แม้ว่าจะรู้สึกติดขัดกับช่วงหลังของหนังบ้าง แต่ก็ควรบอกไว้ว่านี่เป็นหนังไม่กี่เรื่องที่ผมลุ้นให้มันจบอย่างแฮปปี้เอนดิ้ง และคงไม่ให้อภัยผู้สร้างหากมันจบทำร้ายจิตใจคนดู
7. In the City of Sylvia (2007, Jose Luis Guerin, Spain) นี่คือหนังที่ดูแล้วรู้สึกตื่นเต้นระทึกใจมากที่สุดในรอบหลายปี (แม้แต่ฝรั่งที่นั่งข้างๆ ในโรงจะหาวตลบเกือบ 85 ครั้งก็ตาม) หนังให้เราติดตามผู้ชายคนหนึ่งที่มาตามหาหญิงสาวที่ชื่อซิลเวียเป็นเวลา 3 วัน ตลอดเรื่องของหนังมีแต่การเดิน เดิน เดิน และการแช่กล้องนิ่งๆ จับคนหรือวัตถุต่างๆ นี่คือหนังที่ทำให้เราจำได้ว่าการเฝ้ามองนั้นมันงดงามเพียงใด คู่รักที่กำลังทะเลาะกัน สาวเสิร์ฟที่เก็บกดอารมณ์ของตนเอง หญิงสาวที่ทำหน้านิ่งไร้อารมณ์ หรือกระัทั่งแก้วน้ำที่ล้มลง สิ่งเหล่านี้ดูมีชีวิตและน่าจดจำมากกว่าพระเอกนางเอกที่สวยหล่อราวรูปวาดเสียอีก แต่ก็ปฏิเสธไม่้ได้ว่าทั้งสองน่ามองน่าชมจริงๆ โดยเฉพาะเมื่ออยู่บนจอภาพยนตร์
6. Vicky Christina Barcelona (2008, Woody Allen, Spain-USA) หลายปีก่อนผมเคยตัด Match Point ออกจากท็อปเท็นของตัวเองอย่างเสียดาย แต่มาปีนี้ถึงเวลาที่ผมจะบรรจุหนังของ วู้ดดี้ อัลเลน ไว้อย่างไม่ต้องคิดซ้ำสองเสียที Vicky เป็นอย่างที่สนุก ตลก น่ารัก มีเสน่ห์ และฉลาด (สุดๆ) ไปพร้อมกัน ประเด็นของหนังทั้งรักรักสามเส้า, เซ็กซ์ และความสัมพันธ์หลายผัวเมีย (Polygamy) เป็นสิ่งที่รู้สึกอินสุดๆ พูดได้เลยว่านี่เป็นตัวแทนหนังที่สะท้อนชีวิตของผู้คนในศตวรรษที่ 21 ได้อย่างดีเยี่ยม และต้องสารภาพบาปไว้เสียตรงนี้ ใครต่อใครอาจเทิดทูนการแสดงของ เพเนโลปี ครูซ (ซึ่งผมปลื้มเธอมาจาก Elegy) อย่างไรก็ดี สการ์เล็ตต์ โจแฮนสัน คือสิ่งที่สุดยอดในหนังเรื่องนี้สำหรับผมอยู่ดี
5. A Christmas Tale (2008, Arnaud Desplechin, France) ตอนดูหนังจบใหม่ๆ ก็รู้สึกว่ามันพยายามที่ทำตัวฉลาดไปหน่อย แต่มาคิดดูอีกที เฮ้ นี่มันหนังฝรั่งเศสนี่นา จะมีประเทศไหนทำหนังแนวปัญญาชนได้ดีกว่าเมืองน้ำหอม หนังว่าด้วยครอบครัวใหญ่ที่กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง สิ่งที่ดีคือหนังไม่ได้เชิดชูความรักเชิงครอบครัวเท่าไร เพราะหลายตัวละครในเรื่องนี้เกลียดกัน และความเกลียดชังก็ถูกถ่ายทอดอย่างซับซ้อนมากๆ ด้วย ชอบที่หนังไม่เลือกจบอย่างเพ้อฝัน แต่จบแบบสมจริงและวิทยาศาสตร์เอามากๆ ที่สำคัญต้องขอกราบเท้าการแสดงอันน่าทึ่งของ เอมมานูเอล เดโวส์ และ มัลธิเออ อัลมาริค ไว้ด้วย โดยเฉพาะฝ่ายแรกที่ไม่ได้ทำอะไรเฮี้ยนๆ เลย แต่ดูมีของสุดๆ
4. The Mist (2007, Frank Darabont, USA) หลายคนอาจด่าที่ แฟรงค์ ดาราบองต์ ยังหากินอยู่กับนิยายของ สตีเฟ่น คิง ไม่เลิกรา แต่บางทีเขาก็คงเป็นคนที่ทำหน้าที่ได้ดีที่สุดกระมัง สิ่งที่โดนใจมากๆ คือ คิดว่าสัตว์ประหลาดในหนังไม่ได้น่ากลัวเท่าไรหรอก แต่สิ่งที่น่ากลัวคือเรื่องของพื้นที่ปิด สถานการณ์บีบคั้น และการกระทำของมนุษย์ หนังมันเค้นเรื่องความชั่วร้ายของมนุษย์ออกมาได้เข้มข้นจริงๆ หลายคนอาจพูดถึงฉากจบอันอื้อฉาวของมัน (ซึ่งที่จริงแล้วผมคิดว่ามันดูจงใจไปหน่อย แต่ก็ชอบมันอยู่ดีในแง่ความกล้า) แต่สิ่งที่น่าคิดคือ การที่เรารู้สึกสะใจกับสิ่งที่เกิดกับตัวละครของ มาร์เซีย เกรย์ ฮาร์เดน พอๆ กับการตัดสินใจของ นิโคล คิดแมน ในหนังเรื่อง Dogville
3. There Will Be Blood (2007, Paul Thomas Anderson, USA) ไม่เสียแรงที่ตั้งความหวังไว้อย่างสูงส่ง ผู้กำกับสุดหล่อคนนี้ำไม่ทำให้เราผิดหวังจริงๆ หลายคนอาจสนุกในการตีความเรื่องทุนนิยมและศาสนา แต่สำหรับผมแค่ดูพัฒนาการของตัวละครในเรื่องก็ขนลุกพอแล้ว ดูหนังเรื่องนี้เหมือนความร้อนที่ทวีอุณหภูมิสูงขึ้นเรื่อยๆ การปะทะกันของ แดเนียล เดย์-ลูอิส และ พอล ดาโน่ ก็น่ากลัวมากๆ หนังทำสำเร็จในการปูทางไปสู่ตอนจบที่รุนแรง หลอกหลอน ชนิดผ่านไปหลายวันหน้าของลุงลูอิส 'แอม ฟินิช' ก็ยังติดตา ความเจ๋งของหนังยังอยู่ที่เพลงประกอบฝีมือ จอนนี่ กรีนวู้ด ณ Radiohead ซึ่งรายนี้ก็ไม่เสียแรง (เหมือนกัน) ที่อุตส่าห์ติดตามมาตลอด
2. Summer Hours (2008, Olivier Assayas, France) ดูหนังของอัสซายาสมาหลายเรื่อง ยอมรับว่าเขาเป็นผู้กำกับที่น่าสนใจและทำหนังหลายแนวเก่งดี แต่ไม่ค่อยอินกับหนังของเขาเท่าไรนัก (ซึ่งเขาก็คงตั้งใจ) แต่ Summer Hours เป็นหนังที่สะเทือนใจมากๆ โดยที่ไม่ต้องมีการเร้าอารมณ์อะไรเลย หนังเป็นเหมือนด้านตรงข้ามของ A Christmas Tale ที่พูดเรื่องครอบครัวเหมือนกัน แต่ไม่ต้องใส่ความเป็นปัญญาชนมากนัก แต่ทำให้ตัวละครดูเป็นมนุษย์อย่างเราๆ หนังเศร้ามากตรงที่พูดเรื่องความล่มสลายของสถาบันครอบครัวแบบเก่า ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงในวันนี้ แต่สิ่งที่ดีคือหนังไม่ได้พูดในเชิงฟูมฟาย แต่มองว่าเป็นเพียงการผลัดเปลี่ยนในอีกวาระหนึ่ง (อนึ่ง นี่เป็นหนังที่ ความสุขของกะทิ ควรไปศึกษาว่าทำ 'หนังคนรวย' อย่างไรไม่ให้น่าหมั่นไส้)
1. Let the Right One In (2008, Tomas Alfredson, Sweden) เป็นหนังที่เริ่มต้นมาแค่ 30 วินาทีก็รู้เลยว่าต้องชอบ หนังใช้ประโยชน์ของบรรยากาศแถบแสกนดิเนเวียอย่างคุ้มค่า หิมะขาวโพลน ความหนาวเหน็บ ความหลอกหลอน จุดน่าสนใจอยู่ที่ส่วนผสมระหว่างหนังหลายแนวอยู่ในเรื่องเดียวกัน ทั้งหนังก้าวผ่านวัย, หนังแวมไพร์ และหนังโรแมนติก ซึ่งหนังก็ทำได้ดีทุกส่วน แล้วก็ชอบที่หนังเล่นประเด็นของความเป็นคนนอก (เด็กที่ถูกรังแก/แวมไพร์/เกย์) กับเรื่องของความคลุมเครือทางเพศไปพร้อมกัน เหนืออื่นใดนี่เป็นหนังศิลปะที่ดูและเข้าถึงได้ง่ายมาก โดยเฉพาะตอนจบที่เป็นการ "ให้คนดูเห็นในสิ่งที่อยากเห็น" ซึ่งก็ทำได้อย่างมีรสนิยมและน่าจดจำ
MER MOVIE AWARDS 2008
Film of the Year: Let the Right One In
Short Film of the Year : เกมผีปากกา (วีระศักดิ์ สุยะลา)
Scene of the Year: น้องว่านเก็บบอร์ด - ปิดเทอมใหญ่หัวใจว้าวุ่น
Performance of the Year: Heath Ledger in The Dark Knight
Guilty Pleasure of the Year: My Blueberry Nights
Discovery of the Year: Sombre (1998, Philippe Grandrieux)
Overrated Film of the Year: The Dark Knight / Juno
Underrated Film of the Year: The X-Files: I Want To Believe
สถิติบ้าๆบอๆ
ดูหนังโรงทั้งหมด 81 เรื่อง ดูคนเดียว 78 ดูคนเพื่อน 2 ดูกับกิ๊ก 1 ดูกับแฟน 0
Create Date : 19 มกราคม 2552 |
|
45 comments |
Last Update : 19 มกราคม 2552 5:59:38 น. |
Counter : 6599 Pageviews. |
|
|
|
|
1. ความสุขของกะทิ (2009, เจนไวยย์ ทองดีนอก, C+)
เดาว่าครอบครัวของกะทิคงชอบดูหนังกันมาก ไล่ตั้งแต่แม่ของกะทิคงชอบเรื่อง The End of the Affair เลยสาบานตัวแบบบ้าๆบอๆ ตาม จูลี่แอน มัวร์ หรือฉากที่กะทิวิ่งสโลว์โมชั่นร้องไห้ไปเจอม้าสีหมอก (!?) เธอก็ต้องกำลังคิดว่าตัวเองเป็น เฮเลน มีร์เรน ที่ร้องไห้แล้วเจอะกับเจ้ากวางน้อยเข้าให้ แล้วไหนจะเสื้อสีฟ้าที่เธอใส่ตลอดเรื่องที่คงได้แรงบันดาลใจมาจากสีเขียวใน Great Expectations ส่วน น้อย วงพรู ก็คงเป็นเหยื่อที่รอดมาจากเรื่อง '13 เกมสยอง' เพราะเขาแสดงเป็นคนมีอาการทางจิตได้แนบเนียนเหลือเกิน (ไม่แปลกใจเลยที่กะทิจะกลัวจนวิ่งหนี)
ตระกูลของกะทิคงชอบดูละเวทีมากๆ ด้วย ดูได้จากฉากร้องไห้ในครัวที่จัดบล็อคกิ้งหมู่ได้แนบเนียน ชนิดที่ว่าละครคณะพระจันทร์เสี้ยวยังต้องกราบ และแม้พวกเขาจะมีความทุกข์กันชิบหายขนาดไหน ก็ยังไม่ลืมที่จะแต่งตัวดีๆ ออกจากบ้านไปดู 'นางสีดาลุยไฟ'
ความสุขของกะทิยังมีคุณูปการต่อการเรียนการสอนภาพยนตร์อย่างมาก นศ.ได้ดูแล้วของใช้กล้องเก่งระดับออสการ์ เพราะทุกฉากต้องนำเข้าด้วยการ tilt ลงจากต้นไม้ ส่วนบ้านคุณตาคุณยายก็ขาย dolly เป็นอาชีพหลัก ยังไม่นับเรื่องสัญลักษณ์สีฟ้าที่ตีความกันได้เป็นวัน, การจัดองค์ประกอบฉาก (ผ้าม่านปลิวไสวนั่นไง) หรือกระทั่งศิลปะแห่งความคลุมเครือ เพราะดูจบไปสามวันแล้ว ก็ยังไม่เข้าใจว่า ไมเคิล, น้อย, เชอร์รี่ เป็นใคร มีความสัมพันธ์อะไรกับกะทิ หรือกระทั่งมาแส่อะไรกับเรื่องนี้ อ้อ แล้วยังมีประเด็น surrealism อีก ทั้งรถไปรษณีย์เคลื่อนที่ ทั้งลิ้นชักอลังการอันเขื่องนั่น
กะทิยังเป็นหนัง feminism สุดๆ ด้วย ดูได้จากฉากที่ไม่ยอมแลกข้าวกับผู้ชาย, ฉากที่เธอขึ้นรถ แล้วไปขึ้นฝั่งคุณยาย จนคุณยายต้องหลีกให้เธอ แล้วไหนจะฉากที่เธอแสดงความกลัวต่อหนุ่มฝรั่งเศสอย่างชัดเจน เพราะว่าเธอรู้ว่าชาตินี้แหละที่ยึดดินแดนจากไทยไปในสมัย ร.5 จนเรื่องเขาพระวิหารยังเถียงกันอยู่ทุกวันนี้ แม้ว่าศาลโลกจะมีคำตัดสินไปชาติกว่าแล้วก็เถอะ
จะขัดใจหน่อยก็แค่ฉากกะทิเจอแม่ครั้งแรก ถ้าเป็นฉัน ฉันคงเปลี่ยนให้กะทิสปินนิ่งเบิร์ดคิกใส่คุณแม่สักสามรอบ ข้อหาที่ว่ารวยจะตายห่า แต่ดันส่งลูกไปเรียนโรงเรียนบ้านนอก ยังดีว่าตอนหลังไถ่โทษด้วยคอนโดหรูใจกลางเมือง (พร้อมกับลิ้นชักที่ดูเล่นไปได้ตลอดชีวิต)
พูดถึงหนังเรื่องนู่นนี่แล้ว เกือบลืมบอกว่าไปช่วงฉากบ้านริมทะเล (เซอร์เรียล) ในหนังเนี่ย ฉันมีความคิดอย่างแรงกล้าอยู่ตลอดเวลาเลยว่า "นี่แหละคือครอบครัวที่สมควรถูกกระทำเหมือนในหนังเรื่อง Funny Games" เพราะงั้นถ้าใครจะรีเมคหนังเรื่องนี้เวอร์ชันไทยล่ะก็ บ้านหลังนี้แหละเหมาะสุดๆ
สุดท้ายหนังเรื่องนี้ยังทำเก๋ด้วยการขึ้น text ตรงกลางเรื่องด้วย (เหมือนกับที่หนังร็อตเทอร์ดามชอบทำไง) แต่แหม ไม่รู้ทำไม text ที่ฉันเห็นตลอดเรื่องมันถึงขึ้นว่า PRETENTIOUS
อ๊ะ ว่าแล้วขอไปอ่าน 'ความเลอเลิศของกะทิ' ของ คำ ผกา อีกสักรอบดีกว่า เผื่อจะเข้าใจอะไรในหนังมากขึ้น
2. Yes Man (2008, Peyton Reed, B+)
3. The Three Burials of Melquiades Estrada (2005, Tommy Lee Jones, A- )
4. Funny Games U.S. (2008, Michael Haneke, A+)
5. The Living World (2003, Eugene Green, A+++++)
6. Borat (2006, Larry Charles, A-)
7. High School Musical (2006, Kenny Ortega, A-)
8. High School Musical 2 (2007, Kenny Ortega, B+)
9. ทราม (2009, เชิดศักดิ์ ประทุมศรีสาคร, A)
10. Slowdive: Pygmalion (1995, A++++++)