|
เคลื่อนทัพสงครามไขมัน วันที่ 58 (FAT WAR # 6) เรื่องเล่าเช้านี้ของพี่ปลา 3
วันอังคารที่ 8 มี.ค. 54
เรื่องเล่าเช้านี้ของพี่ปลา 3 ชีวิตชาวกรุง มีความสุขจริงหรือ ? ชีวิตชาวกรุง มีความสุขจริงหรือ ? คำถามนี้เกิดขึ้นในใจพี่ปลาเมื่อครั้งที่เดินทางกลับมาจากไปสำรวจโรงเรียน บ้านบางพุน้ำเปรี้ยว จ.กาญจนบุรี ขณะที่ขับรถกลับจันท์แล้วเลี้ยวผิดก็ต้องขับวนในกรุงอยู่หลายซอยกว่าจะออกจากกรุงเทพฯได้
รอบนี้สร้างความหงุดหงิดให้พี่ปลาน้อยกว่าเมื่อครั้งก่อน (เพราะรอบนี้เป็นคนนั่งไม่ใช่คนขับ) มีการวางแผนเอาไว้แล้วล่ะ ว่าถ้าเกิดหลงทางขึ้นมา อาจหิว ก่อนเข้ากรุงเทพ ก็แวะปั๊มแถว ๆ นครปฐม เพื่อซื้อของกินในร้านสะดวกซื้อ ตุนไว้ก่อนสำหรับลูกชายเอาไว้รองท้องยามหิว มีไส้กรอก แซนวิชทูน่า ถั่วอบเกลือ นมเปรี้ยว
แล้วก็เป็นไปตามความคาดหมาย (เข้ากรุงเทพไม่เคยไม่หลงค่ะ เรียกว่า ถ้าขับเลยซอยที่ต้องเลี้ยว มีอันตะเหลิด เปิดเปิง พี่ล่ะนับถือ ชาวกรุงเสียจริง เก่งมาก ๆ ) ขนาดว่ามาตามคุณสมศรี(ชื่อที่ใช้เรียก GPS) ก็ยังไม่วายเลี้ยวผิดค่ะ ก็เพราะต้องขับรถวนอยู่ในถนนเมืองกรุงเป็นเวลานานในช่วง ค่ำ ๆ อย่างนี้ทำให้พี่ปลาได้มีโอกาสมองเห็นวิถีการดำเนินชีวิตของชาวกรุง เริ่มตั้งแต่แถว ๆ ย่านอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ริมฟุตบาททางเดิน ล้วนคลาคล่ำไปด้วย อาหารการกินที่หลายหลาย ไม่ว่าจะเป็น ผลไม้ ไส้กรอก ลูกชิ้น ยำชนิดต่าง ๆ ปลาย่าง หมูย่าง ไก่ย่าง มาลัย น้ำชากาแฟ น้ำผลไม้ ฯลฯ อื่น ๆ อีกที่มองไม่ทันเพราะรถแล่นไปเรื่อย ๆ ผู้คนมากหน้าหลายตา บ้างก็เดินอย่างรีบเร่ง บ้างก็แวะเวียนเลือกหาของกิน (ความสะอาดคงไม่ต้องพูดถึงนะคะ อยู่ริมถนนขนาดนั้น) ระหว่างที่รถติดไฟแดง เหลือบไปเห็นรถเมล์ที่ติดอยู่ข้าง ๆ กัน สังเกตใบหน้าของแต่ละคน ล้วนเต็มไปด้วย ความเหนื่อยหน่าย สายตาของแต่ละคนที่ทอดมองออกไปนอกรถดูไร้ความสุข (เป็นสายตาที่แปลความได้ว่า เมื่อไหร่จะถึงบ้านเสียที เหนื่อยเหลือเกิน) บางคนที่ไม่รู้จะทำอะไรได้ดีไปกว่านี้ ก็เอาหูฟังมาเสียบฟังเพลงเพลิน ๆ บ้างก็คุยโทรศัพท์ หลาย ๆ คนก็หลับคอพับ คออ่อน บ่งบอกถึงคุณภาพชีวิตของคนเมือง ที่คงต้องเป็นแบบนี้ วันแล้ววันเล่า มิน่าล่ะเพื่อน ๆ บางคนที่อยู่เมืองกรุงนาน ๆ พอวันหยุดได้ออกต่างจังหวัด จึงมีอาการที่เค้าพูดกันว่า ระริกระรี้ เหมือนปลากระดี่ได้น้ำกันเลยทีเดียว
นึกเห็นใจคนที่ต้องอยู่บนรถเมล์แบบนี้ทุกวัน เพราะพี่ปลาเองเคยทำงานในกรุงเทพ ตอนนั้นอายุยังน้อย เพิ่งจบใหม่ ๆ ก็อยากจะเข้ามาหาประสบการณ์ในกรุงเทพ ฯ ย้อนนึกไปในเวลานั้น แน่นอนเหนื่อยมากค่ะ ต้องตื่นแต่เช้าเพื่อแต่งตัวไปทำงาน และก็ต้องนั่งรถเมล์แบบนี้แหละ หลับคอพับ คออ่อนถ้าเหนื่อยมาก ๆ หลับเลยป้ายไปก็หลายครั้ง ถ้าเลยไปไม่กี่ป้ายก็จะใช้วิธีการเดินย้อนกลับมาค่ะ ต้องฝืนเดินทั้ง ๆ ที่เหนื่อยเหลือเกินอยากพักผ่อน แต่ก็เพื่อจะได้ประหยัดเงินไงคะ (ชีวิตในเมืองกรุงค่าใช้จ่ายเยอะค่ะ เงินเดือนก็แทบจะไม่พอกินนะ ข้าวของก็แพง)
แต่ตอนนั้นอายุยังน้อย ยังมีไฟ ยังแข็งแรง เรียกว่า ศรีทนได้ค่ะ เป็นแบบนั้นไปทุกวี่ทุกวันไม่ได้คิดหรือรู้สึกอะไรเลย เพราะทุกคนก็เป็นแบบนี้ไม่ใช่เราคนเดียว
แต่เดี๋ยวนี้พอมีโอกาสได้กลับมาทำงานที่บ้านเกิด อยู่ชนบท แม้จะเป็นจังหวัดเล็ก ๆ เป็นเมืองที่เงียบสงบไม่หวือหวา แต่คุณภาพชีวิตเราดีขึ้นมาก อากาศสดชื่น ไม่ต้องนั่งรถเมล์รับมลภาวะทุกวัน ปอดสะอาด อาหารไม่แพงมาก หากินได้ง่ายและหลากหลาย
มีความสุขแล้วที่อยู่ในปัจจุบันนี้ ไม่คิดอยากจะดิ้นรนเข้าไปทำงานในกรุงอีกแล้ว แค่การใช้ชีวิตช่วงสั้น ๆ ตอนเรียนและทำงานเพียงไม่กี่ปี เราก็สัมผัสถึงความเร่งรีบ แก่งแย่ง ชิงดี เวลาที่จำกัด จำได้ว่าตอนไปใหม่ ๆ ขึ้นรถเมล์ไม่ทันเลยค่ะ แบบว่ามัวมีมารยาทให้เค้าขึ้นก่อน เลยตกรถค่ะ ขึ้นไปไม่ทัน ก็เรียนรู้ว่า ต่อไปต้องรีบเอาตัวรอดก่อนไม่ต้องสนใจใครค่ะ (เห็นไหมคะ จากคนไม่เห็นแค่คนอื่นก่อน พอมาใช้ชีวิตในเมือง ต้องเปลี่ยนนิสัยค่ะไม่งั้นเอาตัวไม่รอด ) ก็ด้วยความเป็นคนที่เห็นกับคนอื่นก่อนตลอดน่ะ ทำให้พี่ปลาถูกเพื่อนเอาเปรียบเสมอ ก็เรียนรู้อีกว่า ถ้าใช้ชีวิตเมืองเราต้องเห็นแต่ตัวค่ะ จึงจะอยู่ได้ (ขัดใจมาก พี่ปลาไม่ชอบนิสัยแบบนี้เลย ) สังคมเมืองหล่อหลอมให้คนต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อการอยู่รอดจริง ๆ (สงสารเด็ก ๆ สมัยใหม่มาก ๆ ที่ต้องฝึกเห็นแก่ตัวเพราะชีวิตความเป็นอยู่บีบบังคับนะ)
โล่งใจมากที่ได้กลับมาเป็นตัวของตัวเองอีกครั้ง เมื่อกลับมาอยู่บ้านนอกแบบนี้ เราเป็นตัวเราได้ดีขึ้น ไม่ต้องเร่งรีบ ไม่ต้องเห็นแก่ตัว เราก็อยู่ได้ค่ะ อยู่แบบเรียบง่าย สบาย ๆ ไม่รู้นะคะว่า พอลูกชายโต จะต้องส่งเค้ามาฝึกความเห็นแก่ตัว และการเอาตัวรอดในสังคมกรุงหรือเปล่า (เอามาฉีดวัคซีนค่ะ เพราะกว่าชีวิตจะโตขึ้นมายังต้องเจอเรื่องราวมากมายเหลือเกิน)
แต่เชื่ออย่างหนึ่งค่ะว่า สังคมเหล่านั้นเปลี่ยนแปลงจิตวิญญาณเราไม่ได้หรอกค่ะ อาจมีบางคราวที่เราอาจมีพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงไปบ้างตามกระแสที่พัดพาไปเพื่อความอยู่รอด แต่สุดท้ายแล้วมนุษย์เราก็มีจิตวิญญาณที่แน่วแน่และพร้อมจะเผยตัวตนเมื่อมีสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยเสมอ เช่น เดียวกับพี่ปลาที่แม้จะผ่านอะไรมามากมายทั้งดีและไม่ดี มีเพื่อนที่ดีและเลว หลากหลาย ผ่านสังคมต่าง ๆ หลายรูปแบบ ถูกเอารัดเอาเปรียบมานับครั้งไม่ถ้วน แต่ถ้าเรายืนหยัด สิ่งเหล่านั้นทำร้ายเราไม่ได้ตลอดหรอกค่ะ
และสุดท้ายแล้ว จิตวิญญาณที่เป็นตัวตนของเราจะเป็นตัวเลือกที่จะแสดงออกซึ่งพฤติกรรมดั่งเดิมนั้นเองว่าเราเป็นอย่างไร ชอบอย่างไร และสิ่งนี้ก็เป็นจิตวิญญาณของพี่ปลาค่ะ
Create Date : 08 มีนาคม 2554 |
|
26 comments |
Last Update : 8 มีนาคม 2554 11:05:37 น. |
Counter : 345 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: Ping IP: 202.183.176.65 8 มีนาคม 2554 8:54:14 น. |
|
|
|
| |
โดย: ญ. 8 มีนาคม 2554 8:58:45 น. |
|
|
|
| |
โดย: pa_jeab 8 มีนาคม 2554 11:48:43 น. |
|
|
|
| |
โดย: araya.m 8 มีนาคม 2554 13:47:55 น. |
|
|
|
| |
โดย: ญ. 8 มีนาคม 2554 14:19:38 น. |
|
|
|
| |
โดย: bobolink (potjanee ) 8 มีนาคม 2554 14:46:10 น. |
|
|
|
| |
โดย: ญ. 8 มีนาคม 2554 15:12:00 น. |
|
|
|
| |
โดย: Choco-latte IP: 192.168.0.20, 124.121.241.96 8 มีนาคม 2554 15:39:49 น. |
|
|
|
| |
โดย: ญ. 8 มีนาคม 2554 18:12:13 น. |
|
|
|
| |
โดย: Ping IP: 182.52.101.193 8 มีนาคม 2554 22:11:06 น. |
|
|
|
| |
โดย: Choco-latte IP: 192.168.0.20, 124.120.157.241 9 มีนาคม 2554 13:52:42 น. |
|
|
|
|
|
|
|
Have a nice day naka
บ่ายนี้มีประชุมอีกแล้วววววค่ะ