ความไม่รู้เป็นลาภอันประเสริฐ

อาชีพรูปธรรม อาชีพนามธรรม

ความหมาย อาชีพ (Occupation) หมายถึง การทำมาหากินจากการทำงานหรือกิจกรรมใด ๆ ที่ก่อให้เกิดรายได้
1.1 ความหมายและความสำคัญของอาชีพ
ความสำคัญของอาชีพ การมีอาชีพเป็นสิ่งที่สำคัญจำเป็นยิ่ง ในวิถีชีวิตและการดำรงชีพเพราะอาชีพสร้างรายได้เพื่อเลี้ยงชีพตนเองและครอบครัว การสร้างอาชีพก่อให้เกิดตลาดแรงงาน อาชีพก่อให้เกิดผลผลิตและการบริการ ซึ่งสนองตอบต่อความต้องการของผู้บริโภค อาชีพมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศชาติ ความสำคัญของอาชีพจึงเป็นฟันเฟืองสำคัญในการพัฒนาคุณภาพชีวิต เศรษฐกิจชุมชน ส่งผลถึงความเจริญก้าวหน้าของประเทศชาติ
1.2 ประเภทของอาชีพ ประเภทของอาชีพสามารถจัดแบ่งได้หลายประเภท ดังนี้
1.2.1 แบ่งตามลักษณะของอาชีพ ได้แก่
อาชีพอิสระ หมายถึง ลักษณะอาชีพที่ผู้ประกอบการเป็นเจ้าของกิจการ กลุ่มผู้ประกอบอาชีพอิสระเหล่านี้ ได้แก่
1. อาชีพผู้ผลิต เป็นการสร้างผลผลิตขึ้นจำหน่ายเอง เช่น ผลผลิตทางด้านการเกษตร อาหาร งานบ้าน งานประดิษฐ์ งานศิลปหัตถกรรม ฯลฯ
2. อาชีพผู้บริการ ได้แก่ อาชีพที่อำนวยความสะดวกสบาย หรือสร้างความบันเทิง แก่ผู้บริโภค เช่น ตัดผม ทำผม บริการทางการเงิน บริการแสดงดนตรี การบริการอันเป็นสาธารณะ ธุรกิจการโรงแรม บริการนำเที่ยว เป็นต้น
อาชีพรับจ้าง หมายถึง ลักษณะอาชีพที่ผู้ประกอบการไม่ได้เป็นเจ้าของกิจการ ทำงาน ภายใต้การว่าจ้างจากผู้จ้างวาน หรือทำงานภายใต้ระบบงานที่ตนสังกัด เช่น ลูกจ้าง พนักงานรัฐวิสาหกิจ พนักงานร้านค้าต่างๆ ช่างระดับต่างๆ เป็นต้น
1.2.2 แบ่งตามลักษณะของรายได้ และความมั่นคงในอาชีพ ได้แก่
อาชีพหลัก เป็นอาชีพที่ใช้เวลาส่วนใหญ่ในการประกอบการ
อาชีพรอง หรืออาชีพเสริม เป็นอาชีพที่ใช้เวลานอกเวลางานปกติของอาชีพหลัก เพื่อการมีรายได้เพิ่มขึ้น
อ้างอิง //ebook.nfe.go.th/ebook/html/027/48.htm

ถ้าจะว่าไปตามนิยามหรือคำจำกัด มันก็ดูเหมือนจะง่ายและไม่ยากเกินความเข้าใจ อีกทั้งยังไม่เห็นถึงประเด็นเรื่องราวอะไร สิ่งที่จะกล่าวเป็นเพียงสมมุติฐานเล็กๆ อันต่ำต้อยของตัวผู้เขียนที่มองเห็นอะไรบางอย่างที่ไม่ถูกไม่ควร เกิดขึ้นในสังคม และก็อยากนำเอามาเล่าสู่กันฟัง

ในปัจจุบันนี้อาชีพที่เราเคยเข้าใจมันยังเป็นแบบนั้นอยู่อีกหรือไม่ นี่คือ เรื่องของการตั้งคำถามอย่างง่ายๆ และห็พบว่ามันไม่ใช่อย่างที่เราเข้าใจเหมือนอย่างที่ผ่านๆมาแล้ว

อาชีพที่มีอยู่ในปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก และก็สามารถจำแนกใหม่ได้เป็นรูปแบบดังนี้
อาชีพรูปธรรม หรืออาชีพที่จับต้องได้ เป็นอาชีพที่สามารถมองเห็นได้ สัมผัสได้มีตัวตน มีผลผลิต มีการบริการที่เกิดขึ้นจริง ๆ กล่าวอย่างง่ายคือ อาชีพที่จับต้องได้ เป็นรูปธรรม และก่อให้เกิดรูปธรรมอื่นๆตามมาด้วย

อาชีพนามธรรม หรืออาชีพที่จับต้องไม่ได้ เป็นอาชีพที่แฝงอยู่ในองค์กรต่างๆ แฝงอยู่ในสังคม อาจมาในรูปแบบที่แตกต่างออกไป แต่หลักๆแล้ว จะไม่ก่อให้เกิด สิ่งที่เป็นรูปธรรมเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด

เราจะมาขยายความถึงทั้ง2ส่วนเพื่อให้เกิดความเข้าใจในสิ่งที่ยกขึ้นมา
ที่กล่าวว่ารูปธรรมหมายถึงจับต้องได้นั้นหมายความถึงอะไร หมายถึง อาชีพโดยปกติแล้วที่จะเป็นการผลิตหรือการให้บริการก็ตาม อาชีพเหล่านี้จะทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า รูปธรรมที่ตามมา

ถ้าเป็นภาคผลิต ผลผลิตนั่นเองเป็นส่วนของรูปธรรม เครื่องอุปโภค บริโภค ที่ผู้คนใช้กันอยู่ เป็นรูปธรรมที่ก่อเกิดมาจากอาชีพรูปธรรม ในส่วนนั้นจะเห็นได้ชัดเจน และเข้าใจได้ง่าย
ส่วนภาคบริการเองก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ทำให้เกิดรูปธรรม ภาคบริการนั้นก็ทำให้เกิดรูปธรรมจากผลของการให้บริการนั้นๆด้วย อย่างการตัดผมที่ทำให้รูปธรรมแห่งเส้นผมเปลี่ยนแปลงไป เป็นต้น

ดังนั้นเมื่อมองดู องค์ประกอบโดยรวมของสังคมแล้ว จะเห็นได้ว่าอาชีพที่เป็นรูปธรรม มักจะเป็นอาชีพประกอบการโดยตรงและไม่สลับซับซ้อนต่อความเข้าใจมากมายนัก

คราวนี้เรามาดูที่อาชีพนามธรรมบ้าง อาชีพนามธรรมที่จับต้องไม่ได้ หมายถึงอะไร ความหมายของมันไม่ได้หมายถึงสิ่งที่จับต้องไม่ได้โดยตรง แต่หมายถึง อาชีพเหล่านั้นไม่ก่อให้เกิดผลเป็นรูปธรรมและผลของอาชีพเหล่านี้ไม่สามารถจับต้องได้จริงเสมอไป

อาชีพนามธรรมมักจะเกิดขึ้นเป็นลักษณะแฝงตัวอยู่ในสังคม อาชีพเหล่านี้จะไม่ส่งผลทางตรงต่อกระบวนการต่างๆ อย่างกระบวนการผลิตหรือกระบวนการบริโภค แต่จะเป็นส่วนคั่นของส่วนต่างๆ หรือที่เราเรียกกันอย่างง่ายๆว่าคนกลาง

ตามหลักของมาร์กจะกล่าวถึงอาชีพนี้ไว้ว่าเป็นส่วนเกินที่คั่นอยู่ระหว่างนายทุน และ แรงงาน อย่างพวกกลุ่มเจ้าของที่ดินต่างๆที่ไม่ได้ก่อให้เกิดรูปธรรมอะไรขึ้นต่อสังคมแต่ตัวเองเก็บกินผลประโยชน์จากแรงงานและนายทุนอยู่อย่างสบายๆ

อาชีพนามธรรมที่แฝงอยู่ เริ่มลามขึ้นเรื่อยๆในสังคม ความลุกลามนี้เป็นเหลือบ ไรที่กัดกินสังคมอยู่เนืองๆ และทำให้สังคมต้องสูญเสียผลประโยชน์ที่น่าจะต้องไปตกให้กับอาชีพที่เป็นรูปธรรมมากกว่านี้ และเราจะมาแยกย่อยถึงที่กล่าวว่าแฝงตัวอยู่

1 ภาคเกษตรกรรม – ที่คอยมีอาชีพนามธรรมที่ก่อตั้งกันมาเป็นองค์กรรัฐบ้าง เอกชนบ้าง ผู้มีอิทธิพลบ้าง มากัดกินสิ่งที่เรียกกันว่า หัวคิว ซึ่งกินกันมากมายกินกันเป็นทอดๆ กินตามน้ำทวนน้ำ มีทุกรูปแบบ คนเหล่านี้ไม่ได้ช่วยให้เกิดผลผลิตหรือการบริการอะไรที่จับต้องได้ อาศัยการเอารัดเอาเปรียบผู้ผลิตจริง และผู้บริโภคจริง จนผู้คนทั้งต้นทางและปลายทางต้องลำบาก
2 ภาคอุตสาหกรรม – ที่เช่นกันว่ามีเรื่องของกระบวนการผลิตที่มีองค์กร ต่างๆที่จัดตั้งกันมาในรูปแบบต่างๆ ทำให้กระบวนการผลิตมีมูลค่าสูงขึ้นโดยใช่เหตุ และต้นทุนการผลิตนั้นๆก็จะไปตกกับผู้คนที่เป็นผู้บริโภคจริงอย่างเลี่ยงไม่ได้
3 ภาคธุรกิจ – ในข้อนี้แทบจะเป็นวัฒนธรรมไปเลยที่มีเรื่องราวของการกินหัวคิว ยัดเงินหรือวิธีการพิเศษที่ช่วยให้ธุรกิจราบรื่นขึ้น แล้วไหนจะเหล่าตำแหน่งที่ไร้ประโยชน์ทั้งหลายแหล่ ที่มีเกลื่อนกลาดในเมือง ที่ส่วนใหญ่อาศัยการกินหัวคิวเป็นหลัก ซึ่งก็ต่างปฏิเสธการเป็นการขาย งานขาย อาชีพเหล่านี้มันงอกเงยอย่างอุดมสมบูรณ์มาก ในห้วงเวลาปัจจุบันนี้ ผู้ประกอบอาชีพเหล่านี้ต่างก็อิ่มหมีพีมันกับการประกอบอาชีพนี้ เพราะอาศัยการใช้เครือข่ายหรือหลักการขาย ข้ออ้างต่างๆนานาที่จูงใจให้คนสนใจจะจ่ายเงินให้เขา แต่พอเอาเข้าจริง อาชีพ ตำแหน่งที่กล่าวมาไม่ได้ก่อให้เกิดผลทางรูปธรรมแต่อย่างใด
4 ภาคบริการ – ในการบริการอะไรนั้น มักจะมีเรื่องของการเก็บเบี้ยใบ้รายทาง ทั้งในแบบที่ถูกต้องตามกฎหมายและแบบที่ผิดกฎหมาย ซึ่งไม่ว่าจะแบบไหนก็ตามผู้ประกอบกิจการบริการก็ไม่อาจจะหลบเลี่ยงเหล่า อาชีพนามธรรมที่จับต้องไม่ได้นี้ และก็ไม่ได้ช่วยให้มีอะไรดีขึ้นไปกับการบริการต่างๆ เพียงแค่ผู้คั่นกลางก็ได้ประโยชน์ไป ไม่มากไม่น้อยกว่านั้น
5 ภาคการเมือง – ที่เต็มไปด้วยตัวแทน ตามระบอบประชาธิปไตย แต่เหล่าตัวแทนต่างๆนั้น มีทั้งแบบที่จับต้องได้ที่เป็นเหล่าตัวแทนที่มากจากการเลือกสรรของประชาชน และ ก็ยงมีตัวแทนภาคการเมืองที่เป็นนามธรรมแฝงอยู่ ที่ไม่ได้ช่วยให้ประชาชนเกิดรูปธรรมอะไรขึ้นมาเลย มีแต่เรื่องราว นามธรรมเพ้อฝัน จับต้องไม่ได้ วนเวียนไปมาใน ระบอบประชาธิปไตยแบบแกร็นๆ
ฯลฯ

ดังที่ได้ยกตัวอย่างมาบ้าง จะเห็นได้ว่า มีอาชีพที่เรามองไม่เห็น ไม่เกิดผลประโยชน์ที่จับต้องได้เต็มไปหมด เกือบทุกภาคส่วนของสังคม และพวกนี้ได้ประโยชน์มากมายมหาศาลจากการมาเป็นคนคั่นกลาง โดยที่ตนไม่ต้องทำอะไรมากมาย อาชีพนามธรรมที่อาจจะเรียกได้อีกอย่างว่าอาชีพกินหัวคิว

อาชีพกินหัวคิวที่ หาได้ไม่ยากในปัจจุบัน อย่างภาคธุรกิจเอง ก็มีแต่เซลแมน เซลวูแม่น เต็มบ้านเต็มเมือง แต่ทว่าได้ปรับเปลี่ยนป้ายชื่อไป ตามยุคสมัย เพื่อไม่ให้ผู้คนเข้าใจไปว่าเป็นงานกินหัวคิว กินเป็นทอดๆ ดังจะเห็นได้จากโฆษณาที่หลั่งไหลมา แก้ต่างสร้างความชอบธรรมให้กับอาชีพ ที่แทบจะไม่ได้สร้างอะไรขึ้นมาเป็นรูปธรรมเลย แค่สร้างรายได้วนเวียนไปมา เป็นลักษณะคล้ายๆ กับการหมุนเงินมากกว่า

อาจจะกล่าวเกินเลยไปบ้าง แต่เหล่าอาชีพนามธรรมทั้งหลายแหล่ มันจะทำให้โครงสร้างสังคมทรุดลงได้ และเสื่อมลงในท้ายที่สุด เพราะว่าผู้คนจะเริ่มผละออกจากภาคผลิต และภาคบริการ มาหาช่องทางทำมาหากินด้วยอาชีพนามธรรมกันมากขึ้น ดังที่จะเห็นได้ในปัจจุบันที่มีแต่อาชีพเหล่านี้เกร่อไปหมด

อาชีพเหล่านี้สร้างรายได้ให้กับคนเหล่านั้นได้จริง แต่มันไม่ได้สร้างประโยชน์ที่แท้จริงให้กับสังคมแม้แต่น้อย หากว่ายังปล่อยให้ภาคผลิต ภาคบริการ ที่เป็นอาชีพรูปธรรมที่สร้างสิ่งต่างๆออกมาเป็นรูปธรรมจับต้องได้จริง ทยอยลดลง และทยอยออกมานั่งทำอาชีพนามธรรมมากขึ้น มันจะทำให้เกิดสภาพ ผลผลิตและการบริการไม่เพียงพอต่อความต้องการ

ถ้าผลผลิตเราไม่เพียงพอต่อความต้องการ เราก็ต้องนำเข้า ภาคการผลิตที่นับวันจะแย่ลง จะล้มหายตายจากกันไปเลย
ภาคบริการเองก็จะมีต้นทุนสูงขึ้นไปด้วยตามภาคการผลิต และจะให้อาชีพบริการมีผลกระทบและอาจจะอยู่ไม่ได้

ถ้าสังคมยังส่งเสริมเหล่าอาชีพที่เอารัดเอาเปรียบผู้คนอยู่แบบนี้ ไม่ยอมตัดทอนเหล่าคนกลางและผู้แสวงหาผลประโยชน์และไม่ก่อให้เกิด ผลดีให้กับสังคม แบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ในไม่ช้าผู้ถูกกัดกินถูกเอาเปรียบจะอยู่กันไม่ได้ แล้วเมื่อนั้นเหล่าผู้ที่เอาเปรียบจะอยู่ได้อย่างไร จะอยู่นั่งกินหัวคิวจากใครที่ไหนอีก หรือว่าพวกเขาเหล่านั้นไม่สนใจและไม่คิดว่าเรื่องแบบนั้นจะเกิดขึ้น จากการกระทำที่ตัวเองสร้างขึ้น

หรือว่าอาชีพนามธรรมที่จับต้องไม่ได้นั้นมันเหมาะสมกับประเทศเราแล้ว เพราะมันฝังรากมากับ ขนบ ธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรม จนไม่อาจจะทำให้มันหมดสิ้นไปได้

หากเป็นเช่นนั้น แล้วเราจะก้าวข้ามวิถีเดิมๆไปได้อย่างไร และเราจะย่ำถอยหลังไปอีกนานแค่ไหน เราต้องรอให้ลูหลานและคนรุ่นต่อไปมานั่งถามคำถามนี้ไป แล้วสุดท้ายใครจะเป็นผู้ตอบ




 

Create Date : 03 กันยายน 2550   
Last Update : 3 กันยายน 2550 20:32:17 น.   
Counter : 2925 Pageviews.  

ความโง่

โง่ หมายถึงสิ่งตรงข้ามกับความฉลาด หรือ ความรู้ และนั่นก็อาจเหมารวมไปถึงความไม่รู้หรืออวิชชาด้วย หากจะนิยามความหมายก็น่าจะได้ว่า ความคิดหรือการกระทำทั้ง รู้และไม่รู้ เป็นการแสดงออกหรือไม่แสดงออกซึ่งสิ่งที่ให้ผลลัพธ์ไม่ตรงกับความประสงค์ ความคาดหวัง และข้อเท็จจริง จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับสถานการณ์และปัจจัยต่างๆ ฟังดู อาจเป็นนิยามที่หลวมมาก แต่ก็ไม่อาจจะนิยามให้รัดกุมไปได้มากกว่านี้อีกแล้ว ซึ่งจะกล่าวต่อไป

ความโง่ นั้นอาจจะมีได้หลายรูปแบบ หลากประเภท ในที่นี้เราจะจำแนก สิ่งที่เรียกว่าความโง่ออกเป็น ตามรูปแบบที่เกิดหรือบ่อเกิดของมัน



รูปภาพประกอบ

ดังรูปภาพประกอบ เราจะจำแนกตามประเภทออกเป็น3 ลักษณะ ซึ่ง3ลักษณะนั้นจะเป็นไปในรูปแบบของปีระมิด เพื่อแสดงให้เห็นถึงปริมาณที่ลดลั่นกันไป เราจะมาแยกย่อยตรงส่วนนั้น

1 ความโง่ประเภทที่1 หรือขั้นพื้นฐาน เราเรียกว่าความโง่ที่เกิดตามธรรมชาติ ไม่เกินเลยไปกว่าความเป็นจริงแม้แต่น้อย ความโง่นี้เกิดขึ้นมาพร้อมๆ กับมนุษย์ เพราะว่าเมื่อมนุษย์เกิดมานั้นเรายังไม่มีความรู้ ความคิดอะไรเลยดังที่ชอบเปรียบกับผ้าขาว ดังนั้นเมื่อเกิดมาพร้อมกับความไม่รู้ และความไม่มีความคิดนั่นคือ เรื่องของความโง่

ความโง่ที่ติดตัวมากับมนุษย์ในส่วนนี้เองไม่เคยจางหายไป ถึงแม้ว่ามนุษย์จะได้สั่งสมสติปัญญา ความรู้ต่างๆมากขึ้นเพียงใด แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่ามนุษย์คนนั้นๆจะปราศจากความโง่ เพราะไม่ว่าจะรู้มากขึ้นเพิ่มขึ้นเท่าใด ก็ยังต้องมีเรื่องราวที่ยังไม่รู้รออยู่อีกมากมายเช่นกัน ไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะรู้ไปหมดทุกสิ่งทุกอย่าง

ในความโง่ประเภทนี้เองที่จะมีขนาดที่ใหญ่กว่า เป็นความโง่พื้นฐานที่เปรียบได้กับฐานของปีรามิด(รูปประกอบ) ซึ่งที่กล่าวว่ามันมีปริมาณมากกว่า เพราะว่าในสังคมหนึ่งๆนั้น ไม่มีการพัฒนาเพื่อลดปริมาณความโง่แบบนี้ลงเลยแม้แต่น้อย

ในสังคมของอารยะการพัฒนาต่างๆนั้นจะเป็นหนทางไปสู่การเจริญเติบโตของระบบความคิดความรู้ ซึ่งเป็นหนทางเพื่อสร้างความฉลาดหรือการลดความโง่ให้น้อยลงไป ดังที่กล่าวมาว่า ความโง่นั้นไม่มีทางหายไปหมดสิ้นได้ หากแต่สามารถลดปริมาณมันลงมาได้ ถ้าตะหนักถึงจุดนี้แนวทางการพัฒนาต่างๆ อาจจะไม่สะเปะสะปะ อย่างที่เป็นอยู่

การดำเนินในวิถีทางให้ผู้คนสั่งสมความฉลาดและลดความโง่ลง อาจเป็นแนวทางของอารยะผู้เจริญแล้ว แต่ทว่าในหลายๆประเทศกลับเลือกทำให้ผู้คนที่อยู่ภายใต้การปกครองนั้นยังคงความโง่อยู่ ทั้งนี้เพื่อการปกครองที่ง่ายดาย สะดวกสบายต่อการปกครองและล้าหลัง

ความโง่ที่เกิดจากธรรมชาติ และไม่ได้รับการชะล้างให้จางหายไป ทำให้ความโง่ในแบบดั้งเดิมนี้ยังมีอยู่มากและปกคลุมไปทั่วทั้งสังคมที่ปราศจากเหตุผล ความรู้ ความคิด ที่เรื่องพวกนี้ไม่ได้ติดตัวมาแต่เกิดเหมือนกับความโง่ที่มีมา

2 ความโง่ที่เกิดจากการถูกทำให้โง่ ในข้อนี้เองเป็นส่วนที่2ของปีรามิด(ดูรูปประกอบ) ที่จะมีสัดส่วนเล็กลงมา ซึ่งหมายถึงปริมาณที่ผู้คนในที่อยู่ในระดับนี้มีน้อยกว่าในประเภทแรก ความโง่ประเภทนี้จะได้รับการพัฒนามาแล้วในบางส่วน กล่าวคือ ได้มีการสั่งสมความฉลาดเพื่อลดความโง่ลงบ้างแล้วแต่ไม่ถึงกลับมากมาย

และที่มักเกิดขึ้นอยู่บ่อยๆคือ ความฉลาดที่ได้การถ่ายทอด มักเป็นความฉลาดที่เหล่าผู้ปกครองได้ทำการคัดกรองมาแล้ว เพื่อไม่ให้ผู้คนได้รับความฉลาดที่มากเกินไป ทั้งนี้เพื่อให้ง่ายต่อการปกครองดังเช่น ระบบการปกครองที่คร่ำครึ

ในส่วนนี้เอง จะมีเรื่องของการยัดเยียดความเชื่อ ความศรัทธา ตลอดไปจนความงมงายอย่างมากมาย เพื่อให้เกิดสภาพความโง่อย่างปฏิเสธไม่ได้ ความโงที่เกิดจากส่วนนี้ เกิดจากความจงใจของผู้มีส่วนในการครอบงำ

เป็นการสร้างความโง่ให้เกิดขึ้นมาในหมู่ผู้คนในสังคม เพื่อให้สามารถที่จะชักจูง ชี้นำไปในทางต่างๆได้ง่าย โดยอาศัยวาทกรรมรูปแบบต่างๆ ที่แฝงมาในรูปแบบความเชื่อ ศรัทธา และแล้วในท้ายที่สุด ผู้บรรลุจุดประสงค์ก็จะมีความพอใจในความโง่ที่พวกเขาบรรจุลงสู่สมองของผู้คนทั่วไป

3 ความโง่ที่เป็นการเลือกที่จะโง่เอง ในประเภทนี้จะเป็นส่วนยอดของปีรามิด ซึ่งจะมีสัดส่วนน้อยที่สุดเมื่อเทียบกันส่วนอื่น ความโง่ชิดนี้เป็นความโง่ที่เกิดจากการกระทำของตัวเอง

ผู้คนที่อยู่ในประเภทมักมีความรู้ ความคิด เหตุผล แต่ในบางครั้งการเป็นคนมีความรู้ต่างๆนั้น ไม่ได้เป็นการรับประกันว่าจะไม่มีเรื่องของความโง่เกิดขึ้น อย่างที่เคยกล่าวไปว่าไม่ว่าจะมีความรู้ฉลาดแค่ไหน ก็ไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะรู้ไปทั้งหมด และนั่นเองก็คือส่วนที่บอกว่า คนที่จัดอยู่ในประเภทนี้มีอยู่และอาจจะเกิดขึ้นได้เรื่อยๆ ตามแต่สถานการณ์

ตัวอย่างของความโง่ทั้ง3ประเภทจะอธิบายได้ถึงพฤติกรรมต่างๆ รวมไปถึงที่ว่าทำไม ตัวผู้เขียนถึงได้จำแนกออกเป็นเช่นนี้

ประเภทที่1 โง่ตามธรรมชาติ คนกลุ่มนี้ จะเห็นได้บ่อยและมากขึ้นเรื่อยๆ สถานที่ๆพบได้บ่อยคือตามเวบบอร์ดและเกมส์ออนไลน์ หรือที่เราสามารถเรียกคนพวกนี้ได้อีกว่า เกรียน คนพวกนี้จะปราศจากความรู้ความคิด เหตุผล ดังจะเห็นได้ทั่วไปว่า การโชว์เกรียนเป็นอย่างไร การยืนกราน แสดงจุดยืนแบบกระต่ายขาเดียว และการหัวชนฝา ไม่มองถึงความเป็นจริง การแสดงความรู้หรือหลักการที่นึกคิดเอาเอง เป็นลักษณะเฉพาะของกลุ่มเกรียน ที่คนทั่วไปยากที่จะเลียนแบบได้

นี่เป็นการแสดงออกถึงธาตุแท้ของสัจธรรมที่ว่า คนเราเกิดความพร้อมกับความไม่รู้หรือ อวิชชา และเหล่าเกรียนก็มักที่จะไม่ยอมให้ความไม่รู้ความโง่นั้นสถิตกับตนเอง ไม่ให้จางหายไปไหน

ประเภทที่ 2 โง่เพราะถูกทำให้โง่ อันนี้จะพบเห็นได้มากในประเทศอนารยะ ที่ระบบการศึกษามักอิงไปด้วยความเชื่อต่างๆนานา ความรู้ที่ปราศจากความคิดปรัชญา และความคิดเชิงวิทยาศาสตร์ ใช้การครอบงำด้วยวาทกรรมต่างๆ ทำให้ผู้คนถูกปกคลุมด้วยความโง่ส่วนนี้

ปรากฏการณ์ แห่บูชาอะไรซักอย่าง เป็นกระแสให้เห็นเป็นพักๆ ที่มักจะพบได้ทั่วไป ผู้คนอยู่กับความไม่รู้และความโง่อย่างเสียไม่ได้ เพราะว่าพวกเขาถูกครอบงำและสั่งสอนมาแบบนั้น มันไม่เกินเลยที่จะกล่าวว่า มันเป็นเรื่องที่น่าเวทนาไม่น้อยที่เหล่าผู้คนต้องถูกทำให้เป็นแบบนั้น
การหลงเชื่อแบบไร้เหตุผลยังมีให้เห็นได้อยู่เป็นระยะๆ อย่างการรับรองอะไรซักอย่างที่ถูกทำให้โง่ ลงคะแนนแบบปราศจากความผิดชอบชั่วดีได้ไม่ยากเย็น เพราะถูกชวนให้เชื่อจากเหล่าโฆษณาชวนเชื่อไปจนหมดแล้ว

ประเภทที่ 3 โง่เพราะเลือกที่จะโง่ คนพวกนี้เหมือนจะดี เพราะเหมือนว่ามีความรู้ ความฉลาด แต่มันกลับกลายเป็นเรื่องน่าละอายใจยิ่งกว่าความโง่2ประเภทแรก ใน2ประเภทแรกนั้น หากได้รับการสั่งสอนปลูกฝัง อาจจะหายจากความโง่ได้ แต่ประเภทนี้กลับเลือกโง่เอง

ผู้คนที่ในบางครั้งเรียกตัวเองว่าปัญญาชน ผู้มีความรู้ ฯลฯ ยอมโง่ในหลายๆโอกาส เพื่อตอบสนองต่อตัณหาความต้องการของตัวเอง อย่างเห็นแก่ตัวยิ่ง
การยอมที่จะรับอะไรซักอย่าง โดย การคิดเข้าข้างตัวเอง แล้วยังปิดกั้นความคิดที่เห็นตรงข้ามโดยสิ้นเชิง กล่าวเพียงตนเองเป็นผู้มีความรู้เลือกถูกต้องแล้ว ไหนจะเหตุผลการปลอบใจอย่างเรื่องของการอยากเห็นอะไรซักย่างเกิดขึ้นไวๆ อยากให้บ้านเมืองสงบเรียบร้อย หรือแม้กระทั่งการคิดแบบห้วนๆ ว่ารับๆไปก่อนเดี่ยวค่อยไปแก้ นี่เป็นความคิดของเหล่าผู้ที่กล่าวอ้างว่ามีสติปัญญา

นี่ยังไม่รวมไปถึงการที่เหล่าผู้มีสติปัญญาไปยอมรับใช้เหล่าอำนาจผู้เลวร้ายต่างๆ เพื่อผลประโยชน์ นี่ย่อมเป็นการแสดงออกถึงความแกล้งโง่ หรือเลือกที่จะโง่อีกนัยหนึ่ง

ขอทิ้งท้ายตัวอย่างไว้ด้วย เหล่าผู้คนที่ลุ่มหลงในความรักอย่างหัวปักหัวปรำที่หาได้ไม่ยากในยุค เรอนาซองแห่งความรักนี้
1โง่ตามธรรมชาติ แบบโดนหลอกแล้วหลอกอีกก็ยังไม่หายโง่ในเรื่องความรัก
2 โง่เพราะถูกทำให้โง่ ดังคำกล่าวที่ว่าค วามรักทำให้คนตาบอด(หูหนวกเป็นใบ้ พิการซ้ำซ้อนสำหรับบางราย)
3 โง่เพราะเลือกที่จะโง่ ตามบทเพลงอันโด่งดังที่ว่า รู้เขาหลอกแต่เต็มใจให้หลอก ....

ดังที่ยกตัวอย่างมาพอหอมปากหอมคอ จะเห็นถึงสภาพของความโง่ที่ติดตัวมากับมนุษย์อย่างหามิได้ และก็อย่างที่กล่าวมาในข้างต้นว่าไม่อาจจะนิยามให้รัดกุมได้มากกว่านั้น ซึ่งก็จะพบได้ตามตัวอย่างที่ยกให้เห็น

ถึงอย่างไรก็ตาม ถึงแม้เราจะไม่สลัดมันออกไปได้อย่างหมดจด แต่มนุษย์สามารถเลือกกระทำได้ และการใช้ความคิด(ที่หาได้ยากในอนารยะประเทศ) จะเป็นสิ่งที่ช่วยลดดีกรีความโง่ลงได้

สำคัญที่สุดคือ ความโง่ที่เราประสบพบเห็นกันอยู่นี้ ทำไมถึงไม่มีใครคิดจะทำให้มันจางหายไป หรือว่าถ้าผู้คนปราศจากความโง่จะทำให้ ใครบางคนบางกลุ่มต้องเดือดร้อนหรืออย่างไร เหล่าผู้มีส่วนเกี่ยวข้องจึงมักจะพยายามทำให้ผู้คนโง่มากขึ้นมากกว่าจะทำให้โง่น้อยลง

หรือว่าบางสถานที่ ไม่เหมาะสมกับความฉลาดแบบนั้นหรือ




 

Create Date : 28 สิงหาคม 2550   
Last Update : 28 สิงหาคม 2550 23:31:04 น.   
Counter : 1397 Pageviews.  

วันนี้ที่เราไม่อาจมองหน้าบรรพชนได้

เมื่อผลการลงคะแนนประชามติออกมา ก็ทำให้ได้ตะหนักว่า วันนี้มีอะไรที่เปลี่ยนไปจากเมื่อวานแค่ไหน วันวานที่ผ่านมามันช่างด้อยค่าและไร้ค่ามากมาย ไม่อาจจะบรรยายออกมาได้อย่างชัดเจน

เรากำลังเดินไปหาอะไร ที่ผ่านมานั้นบรรพชนเคยต่อสู้เพื่อให้ได้ซึ่งอะไรมา และต่อสู้กันมาอย่างไร ต่อสู้กับใคร มาถึงวันนี้สิ่งที่เหล่าบรรพชนเคยปฏิเสธ ผู้คนในตอนนี้กลับยอมรับมันอย่างหน้าชื่นตาบาน เปี่ยมด้วยความปิติยินดี ช่างลักลั่นย้อนแย้ง จนไม่อาจจะหาสิ่งใดมาเปรียบได้เลย

ประชาธิปไตยที่เหล่าบรรพชนเคยเรียกหา เคยต่อสู้ให้ได้มา ตลอดไปจนการหลั่งเลือดชโลมผิวดินที่เราเหยียบอยู่นั้น กลับเป็นเพียงรอยด่างเล็กน้อยที่ผู้คนไม่เห็น แม้กระทั่งการชำเลืองมองก็ยากที่ใครจะกระทำ

ผู้คนละเลยข้อเท็จจริงที่แฝงอยู่บนหน้าประวัติศาสตร์ สนใจเพียงตัวอักษรที่เขียนขึ้นจากเลือดของเหล่าบรรพชน รู้สึกน่าละอายใจยิ่งเป็นความรู้สึกที่สั่นคลอนหัวจิตหัวใจของตัวผู้เขียน อย่างมาก

ประชาธิปไตยที่ถูกบิดเบือนและกัดเซาะจนไม่คงสภาพ ไม่เหลือสาระสำคัญแห่งประชาธิปไตยแล้ว แต่ก็ยังเอาผ้าคลุมมาปกปิดหลอกลวงกันว่ามันยังใช่อยู่ แม้ว่าภายใต้ผ้าคลุมจะเปลี่ยนแปลงไปมากน้อยแค่ไหนก็ตาม

การยอมรับเหล่านั้น หากว่ามันยังใช่ประชาธิปไตย ดั่งที่กล่าวอ้างกันมาก็เป็นเรื่องราวที่ควรกระทำ หากแต่การที่ผู้คนตอนนี้ยอมรับสิ่งจอมปลอมทั้งหลายแหล่ที่อาศัยแอบอ้างอยู่ภายใต้ผ้าคลุมประชาธิปไตย สิ่งนี้เองที่ไม่อาจจะยอมรับได้เลย

การยินยอมพร้อมใจต้อนรับเผด็จการอย่างหน้าชื่นตาบานเมื่อ 19 กันยา และงานวันเด็กอย่างไม่เป็นทางการที่เกิดขึ้นในช่วงหลังการยึดอำนาจ งานเฉลิมฉลองบนซากศพและความล่มสลายของประชาธิปไตยที่ เริ่มก่อหวอดขึ้น ภาพผู้คนที่ดีใจระคนกับความปลาบปลื้มที่ประชาธิปไตยได้ล้มลง มันเสียดแทงหัวใจผู้คนที่เข้าใจและรู้จักประชาธิปไตยอย่างมาก

ชายชราผู้หนึ่งตอบข้อกังขานี้ไว้ด้วยชีวิต ที่เป็นการตบหน้าเหล่าเผด็จการและลิ่วล้ออย่างเจ็บแสบ แต่แล้วชีวิตของผู้รักประชาธิปไตยก็เป็นแค่สายลมพัดผ่านไป ในห้วงของสังคมที่อุดมด้วยเผด็จการอย่างเข้มข้นนี้เอง

หากเปรียบวันที่ 19 กันยาเป็นเพียงการเสียชีวิตของประชาธิปไตยที่ได้ตายจากไปจากผืนแผ่นดินนี้แล้ว เหตุการณ์ที่น่าจดจำไม่ด้อยไปกว่ากันเลยก็คือ เหตุการณ์ประชุมเพลิง เผาซากศพประชาธิปไตยที่เก็บมาแรมปี

การเผาเศษซากแห่งประชาธิปไตยให้หายไปจากสังคมนี้ เป็นการเปิดฉากเผด็จการภายใต้ผ้าคลุมแห่งประชาธิปไตย อย่างไม่ต้องใส่ใจเสียงครหาใดๆอีกต่อไป เพราะได้รับการรับรองผ่านการเห็นชอบจากประชาชนแล้ว

งานเผาศพประชาธิปไตยที่ เรียกว่า ประชามติ เป็นวันที่สร้างความหดหู่ให้กับผู้รักประชาธิปไตยไม่น้อย เหล่าผู้คนต่างยินดีโดยไม่ได้ยินร้าย รับรู้ถึงความเป็นจริง ที่จะเกิดขึ้นหลังจาก การยอมรับกันอย่างเปิดเผยถึงการรับรองอำนาจเผด็จการ ว่ามีความชอบธรรม ไม่ว่าจะเป็นในเวลานี้ ที่ผ่านมา หรือแม้กระทั่งที่อาจจะเกิดขึ้นได้อีกในอนาคต

การรับรองความชอบธรรม ด้วยการใช้วาทกรรมรัฐธรรมนูญ เป็นสิ่งที่ยากเกินความเข้าใจได้ของคนทั่วไป เข้าใจว่าผู้คนต้องการสิ่งที่จับต้องได้ และเห็นผลได้ นั่นคือ สิ่งที่เรียกร้องกัน อย่างเรื่องของ เศรษฐกิจ หรือ อย่างเรื่องของ ความสงบ ที่เข้าใจว่าหลายฝ่ายอยากให้เกิดขึ้น แล้วสิ่งเหล่านี้ก็ถูกจับเป็นตัวประกันโดย ผู้เผด็จการ ทำให้เหล่าผู้คนยากที่จะมีทางเลือกมากมาย

ประกอบกับ ความซ่อนเร้น แอบแฝงที่หมกเม็ดไว้ใน รัฐธรรมนูญที่มีหลายฝ่ายออกมาให้ความเห็น วิพากษ์วิจารณ์ แต่ความเห็นต่างนั้นกลับ ถูกปลกคลุมด้วยข้อครหาที่ฝ่ายรัฐปกป้องและ กดทับ อีกทั้งการให้ความกระจ่างและความเข้าใจที่ ดูเหมือนจะทำได้ยากยิ่ง เพราะเป็นการสื่อสารทางเดียว การประโคมข่าวสารจากทางภาครัฐและทางฝั่งด้านเห็นชอบ ยิ่งเป็นการสร้างความไม่เข้าใจให้กับผู้คนอย่างแพร่หลาย

และในที่สุดแล้ว เมื่อมันผ่านพ้นมา สิ่งที่เหล่าบรรพชน สร้างสม สิ่งที่พวกเขามอบหมายภาระ หน้าที่ ต่อมายังรุ่นเรา เราได้สานต่อเจตนารมณ์ดังกล่าวได้ดีแค่ไหน เหล่าบรรพชนที่ ปกปักษ์รักษาประชาธิปไตย มามอบให้เรา เราสามารถรักษามันไว้เพื่อมอบให้กับลูกหลานเรารุ่นต่อไปได้ไหม

ไม่สิ เราไม่เพียงมิอาจปกป้องมันไว้ได้ แต่เรากระทำเกินเลยไปไกลกว่านั้นมากโข เราส่งมอบประชาธิปไตยไปสู่เชิงตะกอน แล้วรับเอาเผด็จการที่เหล่าบรรพชนเคยพยายามต่อสู้ ต่อต้าน

เราเลือก เผด็จการ ผ่านการเห็นชอบ ด้วยหลักการที่ต้องเป็นกระบวนการของประชาธิปไตย นั่นคือประชามติเห็นชอบการกระทำเผด็จการ

เรายังสามารถเอ่ยปากได้อีกหรือว่าเราคือประชาธิปไตย

วันนี้เรายังสามารถมองหน้าเหล่าบรรพชนที่หวงแหนประชาธิปไตยได้อย่างไร




 

Create Date : 24 สิงหาคม 2550   
Last Update : 24 สิงหาคม 2550 20:16:38 น.   
Counter : 515 Pageviews.  

ThirdWorldDemocracy ?

คนทำ ลืม ประเทศไหน ไปรึเปล่าเนี่ย
ดู แล้ว อึ้งๆ




 

Create Date : 18 สิงหาคม 2550   
Last Update : 18 สิงหาคม 2550 16:55:57 น.   
Counter : 516 Pageviews.  

รับ ไม่รับ จะเลือกอันไหน ขอให้รับผิดชอบด้วย

จะรับร่าง หรือไม่รับร่าง ที่ในตอนนี้กลายเป็นวาทกรรมระดับชาติที่ผู้คนตางให้ความสนใจกัน ซึ่งในรายละเอียดของทั้ง2ฝั่งที่ตะรับ หรือไม่รับก็ อ้างกันไปต่างๆนานา ต่างฝ่ายต่างมีเหตุผลเพื่อสนับสนุนแนวความคิดของตน ข้ออ้างและเหตุผลทั้งหลายคงได้อ่านมากันบ้างไม่มาก็น้อย และก็ขอข้ามไปจากจุดตรงนี้เลย เพราะว่าเรื่องพวกนี้มีคนกล่าวถึงเยอะมากแล้ว ไม่อยากจะกล่าวซ้ำอีก

ก่อนอื่น ขอท้าวความกลับไปก่อนที่เราจะตัดสินใจว่าเรารับหรือไม่รับอะไร เราเลือกระหว่าง2ทางเลือก เรากำลังเลือกอะไร ถ้ามันเปรียบเสมือนยาเม็ดสีแดงที่พาเรากลับไปยังเตียงนอนที่พร้อมกับลืมเรื่องราวทุกอย่าง หรือยาสีฟ้าที่จะพาเราไปสู่ทะเลทรายแห่งความจริงที่อ้างว้าง อย่างในเมทริกเราคงตัดสินเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งได้

แต่ทว่า เรากำลังทำการเลือก ระหว่างอะไร อย่างหนึ่ง กับอะไร อีกอย่าง ที่แทบจะเรียกได้ว่า ได้อะไรมาก็ไม้ได้ช่วยให้เราได้ยาเม็ดสีฟ้า เทียบได้เพียงยาเม็ดสีแดงให้รากลับไปสู่ชีวิตแบบที่เมทริกต้องการให้เราเป็น คือการกลับไปใช้ชีวิตในวิถีประชาตามประสาไพร่ที่ไร้ซึ่งการเมือง ปล่อยให้เรื่องของบ้านเมืองเป็นเรื่องของเหล่าโปรแกรมเสมือนแห่งเมทริก ไม่แตกต่างกันเลยไม่ว่าเราจะเลือกอะไร

อะไรคือสาเหตุนำเรามานั่งเลือกยาเม็ดสีแดง2เม็ดกับ มอเฟียส เราสงสัยอะไร เราอยากรู้อะไร เราค้นหาอะไร และอะไรคือเมทริก แต่ทว่ากลายเป็นเรื่องกลับตละปัดเพราะเราไม่ได้มานั่งเลือกยาอยู่กับมอเฟียส แต่เราโดนเอเย่นสมิทลากคอมานั่งในห้องสอบสวนแล้วให้เลือก ยาเม็ดสีแดง 2เม็ดแทน ซึ่งเราไม่ได้เต็มใจจะมารับขอเสนอแบบนี้เลย เราเพียงแค่อยู่ๆ ก็เอเย่นลากคอมาให้นั่งเลือก อย่างปฎิเสธไม่ได้เลย

อย่างที่กล่าวมาว่าข้อดีข้อเสีย ที่แสนไร้สาระ ขอไม่กล่าวถึง มันเปลืองน้ำลายเกินกว่าจะพูดไป แต่ที่ไม่น่าเชื่อคือ มันกลายเป็นเรื่องของการเข้าใจผิดระดับใหญ่หลวงที่ เกิดจากการตั้งต้นที่ผิดแล้วก็จะนำไปสู่การเดินทางที่ผิด เรากำลังสนับสนุนพัลพาทีนให้ได้รับอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด จากข้ออ้างความสงบเรียบร้อยของจักรวาล เรากำลังทำให้ กาแลคติกเอ็มไพร์ตั้งตนขึ้น ผ่านวาทกรรมสภาที่เหล่าเอ็มไพร์เป็นผู้ครอบงำ ซึ่งแน่นอนว่าเสียงปรบมืออย่างท่วมถ้นสภา สร้างความกลัดกลุ้มให้กับ นักประชาธิปไตยอย่างแพดเม่ อมิดาร่า แล้วเมื่อเสียงส่วนใหญ่เห็นพ้อง ทำไม ไม่เรียกว่าประชาธิปไตย หรือว่า มันเป็นเพียงเผด็จการเสียงข้างมากผ่านสภา ที่โดนพัลพาทีนชักใยเรียบร้อยแล้ว

การต้องเลือกรับหรือไม่รับ อาจจะเทียบไม่ได้กับ อนาคิน ที่ต้องเลือกระหวางด้านสว่างและด้านมืด ที่ดูเหมือนว่าอนาคินจะเข้าใจจุดยืนและการตัดสินเลือกของเขาดีพอและยอมรับผลลัพท์จากการเลือกของเขาเรื่อยมาแบกรับเอาไว้จนกระทั่งเสียชีวิตลง

แต่ว่าเราเองที่กำลังจะเลือกอะไรซักอย่างนั้น เราเตรียมตัวยอมรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นจากผลที่เราเลือกหรือไม่ หากว่าเราเลือกผิดฝั่ง เหมือนอย่างที่อนาคินทำ เราพร้อมที่จะเดินไปตามอุดมการณ์ที่เราเลือกพร้อมกับร่างกายที่ไม่สมประกอบและความล่มสลายของจิตใจ กับความเปล่าเปลี่ยวของหนทางที่เดินโดยปราศจากคนรักเคียงข้างแบบอนาคิน ได้หรือ

เมื่อเหล่านักปกครอง ทำการมอบให้ประชาชนได้มีโอกาสเลือกอะไรซักอย่าง นั่นหมายถึงมอบการตัดสินใจเลือกหนทางเดินของประชาชนแล้วหรือไม่ เพราะทว่าลองมองต่อไปแล้วก็เป็นเพียง การให้ประชาชนเลือก เพื่อสร้างความชอบธรรมอะไรซักอย่างให้กับใครคนใดบางกลุ่ม แน่นอนถ้าใช้คำว่าบางกลุ่มบางคนนั่นย่อมเป็นแค่เรื่องของอภิชนาธิปไตย เพียงแค่นั้น

จากการเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบ จะเป็นอะไรก็ตาม การแก้ปัญหาของคนส่วนใหญ่ ย่อมเป็นเรื่องรองเสมอๆ ปัญหาของเหล่าอภิชนที่เป็นเรื่องของอำนาจและผลประโยชน์เป็นเรื่องหลักเสมอมา

เหล่าผู้มีโอกาสเลือกตะหนักดี พอหรือยังว่า เรากำลังทำอะไร เรากำลังเลือกสิ่งที่เขาหยิบยื่นให้ แล้วสิ่งนั้นเราจำเป็นต้องเลือกแค่ที่เค้ายื่นหรือ หรือว่าเรามีทางเลือกแค่นั้นเราเลยต้องก้มหน้าก้มตายอมรับชะตากรรมกันไป อย่างไม่แยแสใยดีต่อผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น เพราะคิดเพียงว่าสิ่งที่ตนทำไปแล้วนั้น สมบูรณ์ถูกต้อง และจบสิ้นหน้าที่ความรับผิดชอบของตนเองแล้ว

จะมีใครหน้าไหน ที่พอการรับหรือไม่รับอะไรนี่ ผ่านพ้นแล้ว ตนที่เป็นส่วนหนึ่งของการทำให้ผ่านมาทั้งในด้านรับหรือจะเป็นด้านไม่รับ จะยึดอกรับผิดชอบต่อสังคม หากว่าสิ่งที่เลือกแล้วผ่านมานั้นทำให้เกิดผลร้ายต่อสังคม หรือว่าพอหย่อนบัตรแล้วถือว่าตนเองก้นสะอาดเช็ดตูดเปิดหนีไปนอนอยู่บ้านโดยไม่สนใจว่าใครจะมาเช็ดขี้เช็ดเยี่ยวที่รวมหัวกนกระทำชำเราไว้ร่วมกัน

หลังจากจบวาทกรรม ปาหี่มติแล้ว ผู้คนก็คงพากันไปนอนดูทีวี หรือเล่นอินเทอลิ้ง ที่รัฐบาลของ อดัม ซุทเลอครอบงำไว้จนหมดไม่เหลือพื้นที่อะไรไว้เลย เพราะทุกอย่างถูกควบคุมไว้หมดแล้ว แม่กระทั่งการพูดคุยกันยังต้องดักฟังไว้ ทั้งนี้ต้องไม่ลืมว่าเค้าหวังดีกับประชาชนแค่ไหน หาไม่แล้วประชาชนอาจจะได้รับความเดือดร้อน ความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงย่อมเป็นเรื่องที่น่าชื่นชมมากมาย

V น่ะหรือจะมาปลุกเล้าผู้คนให้ตื่นจากหลับใหลและลุกฮือขึ้นมาสู้และเรียกร้องเอาสิ่งที่เหล่ารัฐพรากไปจากเหล่าประชาชน V ก็แค่ผู้ก่อการร้ายในสายตารัฐ ที่สร้างความไม่สงบต่อบ้านเมือง V ก็คงแค่คนไม่หวังดี มิอาจเทียบได้กับ อดัม ซุทเล่อ


ท่านผู้อ่านทั้งหลาย ไม่ว่าท่านรับหรือไม่รับ จะอย่างไรก็ตาม อย่าลืมว่า ท่านได้กระทำการเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว เมื่ออนาคตมาถึงมันจะดีจะร้ายจากสิ่งที่ท่านเลือก อยากให้อย่าหลงลืมมันเป็นอันขาด อย่าถ่ายเรี่ยราดแล้วให้ลูกหลานมาตามเช็ดล้าง ท่านถ่ายไว้ท่านต้องมีหน้าที่เช็ดมันเมื่อถึงเวลา


เวลาที่ว่านั้นคงไม่นานเกินกว่าที่เราผู้ถูกบังคับเลือกทั้งหลายจะได้เห็นมัน



Choice is an illusion, created between those with power, and those without.

Merovingian: From The Matrix Reloaded




 

Create Date : 10 สิงหาคม 2550   
Last Update : 10 สิงหาคม 2550 21:23:22 น.   
Counter : 540 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  

KongMing
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




เล่าจื้อกล่าวว่า"ผู้รู้เขาคือปราชญ์"
และกล่าวอีกว่า"ผู้รู้เราคือปัญญาชน"
ณ ปากทางเข้าถ้ำวิหารเทพอพอลโล่แห่งเดลฟี
มีป้ายทองคำเขียนว่า "Know thyself" แปลว่า รู้จักตนเอง
"temet nosce" ภาษาลาตินที่Oracleกล่าวให้
Neo รู้จักตนเอง

สิ่งที่สำคัญที่สุดของคนเราอยู่ที่ คำกล่าวเหล่านี้
[Add KongMing's blog to your web]