ความไม่รู้เป็นลาภอันประเสริฐ

ชราธิปไตย การปกครองของคนชรา โดยคนชรา เพื่อคนชรา

ประชาธิปไตย หมายถึง การปกครองของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน
แน่นอน ชราธิปไตย ก็ย่อมหมายถึง การปกครองของคนชรา โดยคนชรา เพื่อคนชรา

อ่านถึงตรงนี้ ก็ อาจคิดไปได้ว่า ต้องการถากถาง ด่าทอ เสียดสี เหล่า ผู้เฒ่าผู้แก่ ที่เดินถือไม้เท้ากันไป กันมา ขวักไขว่ เต็มสภา แต่ไม่ใช่ครับ ไม่ได้จะว่าพ่อแก่แม่เฒ่าเหล่านั้นเท่านั้น

แต่ที่จะกล่าวถึงคือ ไม่ว่าจะยุคสมัยผ่านไปเท่าไร การปกครองยังคงเป็นเรื่องของผู้สูงวัย ไม่ใช่เรื่องของ คนอ่อนวัยกว่า มันไม่ใช่เรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นมา แต่ว่ามันเกิดมานานแล้วในสังคมของเรา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของขนบธรรมเนียม ประเพณี ที่ให้ความเคารพต่อผู้สูงอายุ แต่ว่านั่นมันคนละเรื่องกัน เพราะถ้าคุณจะกล่าวอ้างว่าประชาธิปไตย นั่นย่อมหมายถึงความมีส่วนร่วมของประชาชนทุกคน เน้นนะครับว่าทุกคน ไม่ใช่เฉพาะประชาชนคนแก่เท่านั้นที่มีอำนาจปกครอง

ที่ผ่านมาผู้อ่อนวัยกว่ามักตกเป็นเพียงเครื่องมือของเหล่าคนแก่ทั้งหลายแหล่ ไม่ว่าจะพยายามให้คนรุ่นใหม่ เข้ามามีส่วนร่วมกับการเมืองกันเพียงไร สุดท้ายก็ไม่เคยเห็นว่า ผู้อ่อนวัยกว่าจะได้อะไรขึ้นเป็นชิ้นเป็นอัน อย่างการลดอายุผู้มีสิทธิเลือกตั้งเหลือ 18 ปี ที่ไม่เห็นว่ามันจะช่วยให้เยาวชนได้อะไรขึ้นมาเลย เยาวชนเหล่านั้นได้มีส่วนร่วมในการปกครองตรงไหน แล้วไปๆมาก็กลายเป็นเครื่องมือให้ เหล่าคนชราเอาไปหาเสียงหรือซื้อเสียงซะงั้น

แล้วยุคสมัยที่ผ่านมา ก็ยังคงมองเห็นไม่เห็นว่า คนหนุ่มๆ คนสาวๆ คนรุ่นใหม่ได้ ก้าวเข้าไป หรือได้โอกาสเข้าไปมีส่วนร่วมของการปกครองมากน้อยแค่ไหน เพราะจะมองไป ก็เห็นมีแต่หน้าตา ริ้วรอยเหี่ยวย่น ของเหล่าคนแก่ป้วนเปี้ยนกันไป ในสภา ราวกับว่าจะยึดครองไว้เพื่อเป็น สถานคนชราก็ไม่ปาน

ประสบการณ์ เป็นข้ออ้างที่ฟังขึ้นทุกยุคสมัย คำกล่าวอ้างเพื่อการสร้างความชอบธรรมให้กับคนแก่ ที่ในบางครั้งอาจไม่ได้มีอะไร ดี ไปกว่าคนรุ่นใหม่เลย ครั้นจะต้องปลดระวางย่อมไม่ง่ายดาย เพราะฐานอำนาจย่อมคงอยู่และไม่สั่นคลอน จากการอยู่มานาน ไม่ว่าจะเป็นองค์กร ภาครัฐหรือ เอกชน เหล่าคนแก่มัก จะนำเอา คำศักดิ์สิทธ์ นี้มาท่องบอกกล่าวแก่ เหล่าพนักงาน ลูกจ้างทั้งหลายแหล่ ให้รอ อายุงาน ประสบการณ์ มันไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น เลย ที่ในหลายๆครั้งคนดีๆ คนรุ่นใหม่ ผู้อ่อนวัยกว่า ไม่สามารถที่จะ ทำอะไรได้ เพียงเพราะ พวกเขาอายุ(แน่นอนรวมไปถึงประสบการณ์ด้วย)น้อยกว่าเพียงเท่านั้น

อันว่าความชราภาพ นำมาซึ่งสมรรถภาพที่ลดหย่อนไปตามอายุขัย หูตา ฟ้าฟาง กระดูกกระเดี้ยวไม่ดี ขาเขอไม่มีแร็ง โรคอะไรต่อมิอะไร ปะเดปะดังกันเข้ามา ในเมื่อสภาพต่างๆลดหย่อนลงไปมากมาย เราจะแน่ใจได้อย่างไร ว่าในการที่เค้าบอกว่าอาสา มาทำงานล่วงเวลาในครั้งนี้นั้น เค้าทำเพื่ออนาคต ของเหล่าลูกหลานเขา ทำเพื่อคนรุ่นใหม่ หรือ ผู้อ่อนวัยกว่าจริงหรือ เค้าจะมองเห็นอนาคตของเหล่าคนรุ่นใหม่ได้อย่างไร ในเมื่อตัวพวกเขาเอง ยังอ่านตัวหนังสือของรัฐธรรมนูญที่อยู่ตรงหน้าและร่างกันมาเองและฉีกกันเองไม่ชัดเจนเลย จะเอาอะไรไปมองอนาคต และวิสัยทรรศน์

ยิ่งได้เห็นพฤติกรรม ที่ยกบ้านบ้านแค มาทำงานกันแล้วนั้น ยิ่งทำให้ รู้สึก กระอักกระอ่วนใจอย่างบอกไม่ถูก ทำไม ถึงต้องเป็นเหล่าคนแก่ ประเทศนี้มีแค่คนแก่เท่านั้นหรือ ที่จะแก้ปัญหาประเทศได้ แล้วคนอ่อนวัยกว่าทำไมถึงไม่ได้ รับโอกาสให้เข้าไปมีส่วนร่วม คนแก่เท่านั้นหรือที่อาศัยอยู่ในประเทศนี้

รัฐธรรมนูญ ฉบับประชาชน ถูกฉีกทิ้ง แล้วก็เตรียมเอาผู้เฒ่าผู้แก่ มาร่างกันใหม่ ไม่เห็นการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนที่อายุน้อย มีแต่ทุกภาคส่วนของผู้มีอายุถึงจะได้เข้าไปร่าง หากเป็นเช่น ก็คงไม่พ้นคำว่า รัฐธรรมนูญ ฉบับประชาชนอาวุโส

แล้วจะไม่ให้ เรียกว่า ชราธิปไตยได้ อย่างไร
การปกครองของคนชรา (ก็ปกครองกันอยู่เห็นๆ)
โดยคนชรา (โดยปืนชราด้วย ไม่รู้รถถังชราหรือเปล่า)
เพื่อคนชรา? (อันนี้ยังต้องรอดูกันต่อไป)




 

Create Date : 22 มกราคม 2550   
Last Update : 22 มกราคม 2550 20:20:10 น.   
Counter : 590 Pageviews.  

ความอดทนสัมพัทธ์อำนาจ

อดทน หมายถึง ความสามารถทางร่างกาย ความคิด จิตใจ ที่จะปฏิบัติกิจกรรมต่าง ๆ ให้สำเร็จลุล่วงตามเป้าหมายที่กำหนด ไม่ย่อท้อต่อปัญหาอุปสรรค มีความเข้มแข็ง พยายามเอาชนะปัญหาอุปสรรคโดยไม่ย่อท้อ มีจิตใจหนักแน่น สามารถควบคุมอารมณ์และพฤติกรรมให้เป็นปกติเมื่อพบ กับปัญหาหรือสิ่งยั่วยุต่าง ๆ

ความหมายของความอดทนที่ เคยเป็นมานั้นก็ยังคงอยู่ไม่เปลี่ยนแปลงไปไหน หากแต่ว่า ผู้คนเป็นผู้เปลี่ยนแปลงไปเองมากกว่า ไม่ใช่ ความหมายของคำนี้เปลี่ยน

ยุคสมัยนี้ผู้คน มีความอดทนเปลี่ยนแปลงไปจากแต่ก่อน เนื่องจากสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป จากสังคมชนบทแปรสภาพเป็นสังคมเมือง ลามไปทั่วทุกพื้นที่ และด้วยความเปลี่ยนแปลงทางสภาพสังคมย่อมมีผลกระทบต่อ การดำรงชีวิตของผู้คนให้เปลี่ยนไปไม่มากก็น้อย

ความอดทน เริ่มมีภาพที่แตกต่างจากอดีตที่พบเห็น และรับรู้

ผู้คน มีความอดทนต่ำลงมาก ในการประกอบกิจกรรมต่างๆ เพื่อการดำรงค์ ชีวิต
- คนขับรถไม่สามารถอดทนอดกลั้นในการจราจรที่ถูกต้องได้ ก่อให้เกิด การขับรถที่เรียกว่าซิ่ง เพื่อสนองตอบต่อความใจร้อนของตน
- เหล่าสาวกแห่งแฟชั่น ไม่อาจอดทนต่อความอินเทรนด์ต่างๆได้ ไม่อาจระงับจิตใจให้หยุดการชอบปิ้งได้
- ผู้คนไม่อาจอดทนยับยั้ง ความสะดวกสบายแห่งการใช้บัตรพลาสติกรูดซื้อสินค้าได้ (จนบางคนเป็นหนี้บัตรไม่รู้กี่ใบต่อกี่ใบ)
- ผู้คนไม่อาจอดทนต่อความเย้ายวนของ เสน่หา ความลุ่มหลงในเรื่อง ของความรัก ความชอบพอ ได้(แน่นอนเซ็กซ์ด้วย)
- และผู้คนก็ไม่อาจอดทนได้ต่อไปเช่นกันเมื่อ ต่อมาความรักนั้นมันจืดจางลง เพราะเป็นความรักที่ไม่อดทนเพียงพอ ก่อให้เกิดการเลิกรา หย่าร้าง เต็มบ้านเมือง
- ผู้คนมีดีกรีความอดทนต่ำ ยิ่งขึ้นไปอีกเมื่อก้าวเข้าสู่ไซเบอร์สเปซ เห็นได้จากแทนที่ผู้คนจะแลกเปลี่ยนข้อมูล ข่าวสารกันอย่างมีอารยะ กับกลายเป็นเพียงสนามรบของตัวอักษร ที่เอามาด่าทอ กันอย่างสนุกสนาน เมื่อ มีผู้อื่นไม่เห็นด้วยกับ ข้อความ หรือ ความเห็นของตนเอง
- ฯลฯ

แน่นอน ความอดทนอดกลั้นที่ต่ำลงนั้น จะเห็นได้ว่า มักที่จะเป็นเรื่องของส่วนตัว และการที่ความอดทนต่ำนั้น มันสัมพันธ์ไปถึง อำนาจด้วย เพราะ เมื่อใดก็ตาม ความอดทนที่ผู้คนมีต่อผู้ที่มีอำนาจมากกว่านั้น จะไม่ต่ำแบบเดียวกัน ในตอนที่มีความอดทนต่อ อำนาจที่น้อยกว่า

กล่าวคือ กับตนเอง และกับผู้มีอำนาจน้อยกว่าหรือเท่ากัน ผู้คนมักมีความอดทนต่อ สิ่งเหล่านั้นได้ต่ำ
แต่หาก กับผู้มีอำนาจมากกว่าแล้ว ความอดทน จะมีมากขึ้นผิดหูผิดตา เทียบกันไม่ได้ เลย ถึงแม้หลายๆ ครั้งจะเป็นกรณีเดียวกันก็ตาม

ผู้คนที่มีความอดทนสูงขึ้น
- ผู้คนอดทนได้มากกับพฤติกรรม อุบาทว์ โกงกินบ้านเมืองของเหล่านักการเมืองผู้เสียสละตัวเองมาทำผลประโยชน์ ไม่ว่าจะเป็นเช่นไร โกงกินกันแต่ไหน กินตามน้ำ กินทวนน้ำ ผู้คนก็ จะมีความอดทนสูงมากกับพฤติกรรมของคนพวกนี้
- นายจ้าง เจ้านาย CEO CFO Cอะไรต่อมิอะไรตามแต่จะหามาได้ ทั้งหลายแหล่นั้น ต่อให้ แย่แค่ไหน ด่าว่าลูกน้องแค่ไหน เลวร้ายต่อลูกน้องแค่ไหน ก็มักจะได้รับการอดทนอดกลั้นจากลูกน้องมาก เสมอๆ
- ฯลฯ

ดังที่กล่าว มา ผู้คนจะมีความอดทนต่ำมากๆ ในกรณี ทั่วไป และที่สำคัญกรณีที่เกี่ยวกับตนเอง แล้วตนเองมีอำนาจพอที่จะอ้าปาก มีปากมีเสียงได้ ยิ่งมีอำนาจมากแต่ไหน ความอดทนอดกลั้นจะยิ่งน้อยลงตามลำดับ แต่เมื่อใดก็ตาม ที่ตนเองไม่มีอำนาจพอทำให้มีปากเสียงแล้วละก็ คนจะมีความอดทนอดกลั้นได้มากขึ้นเป็นอย่างมาก

อย่างถ้ามองกลับไปที่ตัวอย่างแรกที่ยังไม่ได้ นำเอา เรื่องของอำนาจมาสัมพันธ์ด้วย จะเห็นได้ว่า มีบางอย่างเปลี่ยนแปลงไปได้
- อำนาจที่มากมาย ในอินเตอร์เน็ต ทำให้ เหล่าผู้คนที่อยากแสดงออกความคิดอ่าน และมีอำนาจให้แสดงสิ่งเหล่านั้นได้ ทำให้แสดงออกกันอย่าง ขาดซึ่งความอดทนอดกลั้น ยามคนอื่นไม่เห็นด้วยกับตน หรือ ตนไม่เห็นด้วยกับผู้อื่น
- เมื่อกลับมาอยู่ในสังคมแห่งความจริง หากคนเหล่านั้นไร้ซึ่งอำนาจแล้ว พวกเขาจะไม่ไร้ความอดทนเหมือน เวลาแสดงออกใน อินเตอร์เน็ต แตกต่างกันเป็นอย่างมาก

กลายเป็นเชิงสัมพัทธ์ ระหว่างอำนาจ กับ ความอดทนอดกลั้น
อำนาจยิ่งมากยิ่งทำให้คนมีความอดทนต่ำลง อำนาจที่น้อยลงเพิ่มความอดทนให้คน

แต่โดยส่วนตัวกลับคิด ว่า ความสัมพันธ์เชิงนี้ ไม่ดีเพราะ อำนาจเหล่านั้น ไม่ได้ ระบุ ถึงเรื่องราวที่ถูกต้อง รวมไปถึงที่มาที่ไปของอำนาจนั้นๆด้วย ซึ่งนั่นรวมไปถึงอำนาจเงินด้วย (จะ7หมื่น3พันล้านหรือเปล่า ไม่จำเป็น)

ความอดทนอดกลั้น เชิงสัมพัทธ์ กับความชั่ว น่าจะถูกนำมาใช้แทนที่ เพราะมันจะช่วยจรรโลงสังคมที่ผุกร่อนนี้ ให้ดีขึ้นมาได้ ความอดทนต่ำต่อความชั่วมาก อย่าง
- เหล่านักการเมือง อำมาตย์ กระฎุมพี ที่เปี่ยมไปด้วยศักยภาพแห่งความชั่ว ที่โกงกินบ้านเมือง กล่าวอ้างการทำเพ่อประชาชน เพื่อชาติ
- เหล่ากระฎุมพี ที่ครอบงำสังคมด้วย การมอมเมารูปแบบต่างๆ สินค้าใหม่ๆ บันเทิงรูปแบบต่างๆ
- ฯลฯ
ตามที่ยกตัวอย่าง สิ่งที่เหล่านี้น่าจะต้องได้รับความอดทนที่ต่ำกว่าเป็นอย่างมาก เพราะจะทำให้ เหล่าคนที่ทำชั่วไม่กล้าที่จะทำด้วยความกลัว ผู้คนอดรนทนไม่ได้

ยิ่งชั่วยิ่งเลว เราต้องยิ่งไม่อดทนกับสิ่งเหล่านั้น แล้วสังคมเราจะดีขึ้นได้ หากว่าเป็นเช่นนั้นได้





และขอบคุณครับสำหรับ คนอ่านที่ "อดทน" อ่านมาจนถึงบรรทัดนี้ได้




 

Create Date : 13 มกราคม 2550   
Last Update : 13 มกราคม 2550 10:52:50 น.   
Counter : 690 Pageviews.  

จิตใจตีบตัน

จิตใจคับแคบ หมายถึงว่า ความคิดที่คิดว่าความเห็นของตนเท่านั้นที่ถูกต้อง ของคนอื่นผิดหมด ยึดติดในทิฐิของตน

ซึ่งในสังคมปัจจุบันนี้ ที่กล่าวอ้างความมีเสรีภาพทางความคิด ความเป็นปัจเจกของแต่ละบุคคลที่ทำให้เกิดความหลายหลายทางความคิด ความแตกต่างหลากหลายเหล่านั้นนำไปสู่หนทางแห่งความขัดแย้งกันทางความคิด และนำพาไปสู่การถกเถียงกัน แต่นั่นไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้นมาเลย เพราะว่าความใจแคบที่มีอยู่ของผู้คน

การถกเถียงกันอย่างเป็นเหตุเป็นผล ไม่สามารถเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาได้ แม้แต่วุ้นก็ไม่เกิดหากว่าความใจแคบยังมีอยู่ในตัวผู้คน ซึ่งไม่ต่างอะไรกับอคติ ที่มีต่ออาหารแช่แข็ง

ความใจคับแคบ หาได้ทั่วไป ไม่ใช่แค่ตามท้องตลาด มันมีอยู่ในทุกหมู่เหล่าทุกระดับชั้นของผู้คน

ผู้คนระดับสูงมักจะใจแคบพอที่จะไม่รับฟังความคิดความอ่านของผู้ที่มีศักดิ์ฐานะ ต่ำต้อยกว่าตนเอง เพราะความสูงส่งที่ทำให้ อัตตาเปี่ยมล้นด้วยความมั่นใจและ คิดแบบคับแคบเพียงว่า ข้าถูกเพราะข้ากำหนดให้ถูกได้ จากตัวอย่างมากมายในกฎหมายต่างๆ ที่เหล่าผู้มีอำนาจที่สูงศักดิ์เหล่านั้น นำออกมาใช้เพื่อกำหนดให้ความคิดตนเองเป็นสิ่งที่ถูกต้อง

การร่างรัฐธรรมนูญ ที่กล่าวอ้างถึงความเป็นประชาธิปไตย ที่ผู้ร่างเป็นเพียงเหล่านักกฎหมายผู้ช่ำชอง ก็ย่อมนำมาซึ่ง กฎหมายที่เป็นการแสดงออกทางความคิดของพวกเขาเท่านั้น มิใช่ รัฐธรรมนูญของประชาชนอย่างที่กล่าวอ้าง และ ตามที่ควรจะเป็น


ยกตัวอย่างไปไหนไกลคงไม่เห็นชัด
กระดานสนทนา สื่อเสรี ที่ผู้คนเข้าถึงได้ง่าย และทำให้ ผู้คนมีปากมีเสียงมากขึ้น เป้าหมายคือการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น แลกเปลี่ยนข้อมูลซึ่งกันและกัน เป็นการเพิ่มเติมความรู้ ให้แก่ผู้คน

แต่ในความจริงที่เห็นและเป็นอยู่ กระดานสนทนาเป็นเพียง การโอ้อวดภูมิ ความรู้กัน ว่าข้าก็รู้ ข้าก็แน่ การถกเถียงเป็นเพียงการด่าทอ ไม่ได้ใช้เหตุและผลในการถกเถียง เป็นเพียงอารมณ์ครุกรุ่นที่นำเข้ามาประหัสประหารกัน และท้ายที่สุดก็เป็นเพียงการเลิกรากันไป ด้วยความไม่อยากต่อล้อต่อเถียง มากกว่าการจบลงด้วยความเข้าใจในหลักการและเหตุผล ซึ่งทำให้ความคิดและความมีเหตุผลไม่มีได้มีเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด

เมื่อใดที่มีกระทู้ที่ตนเองไม่เห็นด้วย ก็จะโพสตอบในเชิงด่าทอ เสียดสี มากกว่าจะนำเอาเหตุและผลมาโต้แย้งว่าส่วนไหน จุดใดที่ไม่เห็นด้วย และทำการเสนอแนะ โต้แย้งอย่างที่ควร ไม่ใช่ การออกมาว่าการ ประณาม ทำร้ายคนอื่นด้วยถ้อยคำ ถากถาง ในบางครั้งก็เป็นการพูดเชิง ว่าข้ารู้ดีกว่า เพราะข้ามีการศึกษาสูงส่งกว่า ข้ารู้ดีกว่า เพราะข้ามีการงานที่ดีกว่า หรือแม้กระทั่งข้ารู้ดีกว่า เพราะข้ารวยกว่า และนั่นเป็นเพียงการแสดงออกถึงจิตใจคับแคบ ที่ไม่เปิดให้ผู้อื่นคิดและแสดงออกอย่างอื่น ที่ต่างไปจากตน

ส่วนอันที่เห็นด้วยก็มีแบบพวกมากลากไปอีก คนอื่นไม่เห็นด้วยไม่ได้ หากมีผู้ไม่เห็นด้วยสักคนหนึ่ง พวกมากเหล่านั้นก็จะรวมหัวกันแสดงความใจแคบออกมารุมสกรัม ผู้ที่คิดแตกต่าง อาศัยความสุนัขหมู่ รุมเห่าหอน ใส่บุคคลที่ไม่เห็นด้วย

และยังมีอีกมากมายหลายกรณี ที่ปรากฏอยู่ในกระดานสนทนา
สิ่งเหล่านั้น แสดงถึงความใจคับแคบของเหล่าผู้คนในกระดานสนทนา

การกระทำที่ไม่เปิดกว้างเพื่อรับฟังความคิดความเห็นของผู้อื่น ซึ่งคนแต่ละคนนั้นมีที่มาที่ไป มีพื้นฐาน รากฐาน ทางความคิดแตกต่างกันออกไป แค่เปิดใจให้กว้างขึ้น หากอันไหนเราไม่เห็นด้วยก็พูดคุยถกเถียงกันด้วยหลักการและเหตุผล ไม่ใช่การต่อสู้อย่างที่เป็นอยู่

ถ้าผู้คนเปิดใจให้กว้างมากขึ้น สังคมก็จะน่าอยู่มากขึ้น ความสมานฉันท์ที่อยากให้เป็นก็จะเกิดขึ้นได้ ไม่ใช่ สามานย์นะฉัน อย่างที่เป็นอยู่ แล้วในที่สุดประชาธิปไตยที่กล่าวอ้างและใฝ่ฝันก็จะเกิดขึ้นได้จริง

ความใจแคบนั้นมีอยู่ ซึ่งก็แล้วแต่ว่าใครจะเห็นหรือไม่เห็น ใครจะสนหรือไม่สน มากหรือน้อยเพียงไร ก็แล้วแต่ว่าผู้ใดจะประสบพบเจอ หากท่านไม่เห็นหรือไม่เจอ ก็อย่าได้ใจคับแคบ ไม่เห็นด้วยในทันที

ในปัจจุบันนี้ความใจแคบนั้นกำลังบีบลงเรื่อยๆ จนทางแคบนั้นๆ เริ่มจะแปรสภาพเป็นทางที่ตีบตัน ซึ่งมันแย่ยิ่งกว่าคับแคบเสียอีก
จิตใจที่ตีบตันย่อมมืดมิด และเมื่อความตีบตันนั้นขยายวงกว้างขึ้นเรื่อยๆ ความมืดมิดนั้นก็จะครอบคลุมสังคม




 

Create Date : 05 มกราคม 2550   
Last Update : 5 มกราคม 2550 12:02:08 น.   
Counter : 568 Pageviews.  

เป้าหมาย

เป้าหมาย หรือ end ที่เป็นจุดมุ่งหมายสุดท้ายของสิ่งต่างๆ หรือจะว่าอย่างง่ายๆก็คือ จุดประสงค์ของสิ่งนั้นๆ ซึ่งในความหมายที่มีการพูดถึงกันบ่อยครั้งนั้นก็คือ เรื่องของ มรรควิถี หรือ means ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกันกับ เป้าหมาย ในลักษณะเชิงสัมพันธ์กัน

ซึ่งในที่นี้เราจะไม่กล่าวถึงเรื่องราวความสัมพันธุ์นั้นๆ แต่เราจะพูดถึงเรื่องของ เป้าหมาย เจาะจงไปที่นัยยะความหมายของเป้าหมายที่คลุมเครือ และลางเลือนลงทุกขณะจิต

เป้าหมายที่นับวันจะส่อให้เห็นถึงความเสื่อมถอยของความจริง สังคมมองหาเป้าหมาย ผู้คนมองหาเป้าหมาย ตัววัตถุต่างๆเองมีเป้าหมายของตัวเอง หากแต่ว่าเป้าหมายที่ไม่ชัดเจนและยิ่งจะลางเลือนมากขึ้นทุกวัน ดังที่กล่าวคือ เรื่องของสิ่งที่ผู้คนต่างมองข้ามและหลงลืม ความหมายของเป้าหมาย นั้นๆ

ข้าวของเครื่องใช้ มากมาย ซึ่งเหล่ามนุษย์ได้ประดิดประดอย ขึ้นมาใช้สอยนั้น เป้าหมายแรกเริ่มมักเด่นชัด ตรงไปตรงมา แต่เมื่อผ่านกระบวนการทางสังคม ซึ่งทำให้ตัวเป้าหมายต่างๆ ถูกทำให้ผิดรูปผิดร่างจากแรกเริ่มเดิมที ที่สิ่งของเหล่านั้นเคยเป็น

เสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย ถูกแปรเปลี่ยนจากเป้าหมายเดิมๆ ไปด้วยคำว่า แฟชั่น ไลฟสไตล์ คำกล่าวแห่งทุนที่แปรสภาพทำให้ เสื้อผ้าเครื่อง หลุดพ้นไปจากความเป็นปัจจัย พื้นฐาน ก้าวสู่ความเป็นสินค้าแห่งความฟุ้งเฟ้อ สร้างความพึงพอใจ สนองตอบต่อความต้องการไม่มีที่สิ้นสุด ในเรื่องของความทันสมัย อินเทรนด์ ที่พล่ามบอกกล่าวกับผู้คนให้คอยวิ่งตามหาเพื่อความไม่ตกยุคสมัย ไม่หลุดจากสังคมย่อยที่ตนอยู่ จึงเป็นการสมยอมกลายๆในการที่ต้องตามแฟชั่น การแต่งกายในรูปแบบนั้น หากมีความต้องการที่จะอยู่ร่วมสังคมย่อยนั้นๆ แต่ถึงอย่างไร เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายเหล่านั้นก็ยังคงทำหน้าที่ของมันตามเป้าหมายโดยไม่สามารถเปลี่ยนแปลงไปไหนได้ คือ ใช้เพื่อการนุ่งห่ม ปกปิดร่างกาย ยังไงซะ ไม่ว่าจะถูกแพง สวยงามแค่ไหน ก็ไม่มีทางพ้นเป้ามหายเดิมของมันไปได้

อาหาร การกินที่ เป้าหมายคือ การประทังชีวิตให้มีพลังงานในการใช้ชีวิตต่อไป อาหารมีการพัฒนาไปต่างๆนานา เพิ่มเติมรสชาติ เพื่อเพิ่มความสุขในการลิ้มรส การพัฒนารูปแบการปรุงให้มีความหลากหลายให้การกินมีทางเลือกเพื่อตอบสนองรูปแบบความต้องการการลิ้มลองที่ไม่เหมือนกัน มีการสรรหาวัตถุดิบแปลกๆใหม่ๆ หายาก ทำยากมาปรุง เพื่อการกืน พัฒนา การกินให้กินง่ายกินด่วนได้ มีการตกแต่งใส่ภาชนะให้มีความสวยงามเพื่อความดึงดูดตาให้เกิดความอยากลิ้มลองมากขึ้น หลากหลายรูปแบบของอาหารการกินที่พัฒนาไปไม่จบไม่สิ้น แต่ถึงจะพัฒนาไปอย่างไร ต่อไปจะกลายเป็นแคปซูลรวมแบบที่นักบินอวกาศกิน หรือแบบไหน ก็ตาม เป้าหมาย ของมันจะยังคงเดิมไม่เปลี่ยนไป คือ ให้สารอาหารให้พลังานแก่ตัวผู้กิน เพียงเท่านั้น ไม่เปลี่ยนไป
โทรศัพท์ คือเครื่องมือที่ใช้ติดต่อสื่อสาร ส่งและรับสัญญาณเสียงเพื่อการสนทนา ระหว่างบุคคล ต่อมาได้พัฒนาขึ้น จนเป็นโทรศัพท์ เคลื่อนที่ ถึงแม้ว่าจะได้ทำให้ มีระบบการใช้งานต่างๆมากมายขึ้น หรือ ทำให้สามารถ ชมภาพยนตร์สั้นได้ ฟังเพลงได้ เล่นเกมส์ได้ หรือ แม้กระทั่งต่อเข้าอินเตอร์เน็ตได้ และไม่ว่าต่อไปจะพัฒนาไปถึงไหนก็ตาม เป้าหมายที่แท้ของมันก็ไม่มีวันที่จะผิดเพี้ยนไปจากเดิมได้ คือ โทรศัพท์ ก็ยังมีไว้เพื่อการสนทนาระหว่างบุคคล หากว่ามันไม่ใช่เพื่อการนั้น นั่นก็ย่อมไม่ใช่สิ่งที่เรียกว่า โทรศัพท์

ดังที่ยกตัวอย่างมา หากจะกล่าวถึงสิ่งอื่นๆ ต่อไปก็คงยกตัวอย่างได้ไม่จบไม่สิ้น

เป้าหมายยังคงอยู่ แต่ ด้วยองค์ประกอบมากมายทำให้เป้าหมายหลักต่างๆ อุดมไปด้วย เป้าหมายรองมากขึ้น จนผู้คนเริ่มที่จะไม่สนใจเป้าหมายหลักของสิ่งต่างๆ สนใจเรื่องของเป้าหมายรองของสิ่งนั้นมากกว่า อย่างเรื่องของ ความสวยงามในตัววัตถุ ความหลากหลายในการใช้งานทีมากขึ้น

หรือว่าเป็นเพียงภาพลวงของทุนที่ทำให้เป้าหมายมีเรื่องของทุนเคลือบแฝง ทำให้เป้าหมายมีความน่าสนใจมากขึ้น ทำให้เกิดความต้องการในสิ่งของต่างๆมากขึ้น และก่อเกิดผลกำไรต่อหล่านายทุน

หรือว่าแท้จริงแล้วผู้คนเรา ไม่สนใจถึงเป้าหมายที่แท้จริงของสิ่งต่างๆกันแล้ว หรือว่าเป้าหมายแท้จริงของสิ่งต่างๆเหล่านั้นได้เปลี่ยนไป จากที่เคยเป็น ไม่ใช่เป้าหมายอย่างเคยอีกต่อไป แต่ต้องมีเป้าหมายรองเป็นส่วนประกอบที่น่าสนใจในตัวเนื้อหาของเป้าหมายนั้นๆ ด้วย

ทุกวันนี้เราใช้สิ่งของต่างๆในชีวิตประจำวัน โดยคำนึงเป้าหมายหลักของมัน หรือ เป้าหมายรองของมันมากกว่ากัน




 

Create Date : 22 ธันวาคม 2549   
Last Update : 23 ธันวาคม 2549 18:54:42 น.   
Counter : 786 Pageviews.  

ลัทธิบูชากระดาษ

กระดาษ คือ เป็นวัสดุที่ผลิตขึ้นมาสำหรับการจดบันทึก มีประวัติศาสตร์ยาวนาน เชื่อกันว่ามีการใช้กระดาษครั้งแรกๆ โดยชาวอียิปต์โบราณ และชาวจีนตั้งแต่สมัยโบราณ แต่กระดาษในยุคแรกๆ ล้วนผลิตขึ้นเพื่อการจดบันทึกด้วยกันทั้งสิ้น จึงกล่าวได้ว่าระบบการเขียน คือแรงผลักดันให้เกิดการผลิตกระดาษขึ้นในโลก ปัจจุบันกระดาษไม่ได้มีประโยชน์ในการใช้จดบันทึกตัวหนังสือ หรือข้อความ เท่านั้น ยังใช้ประโยชน์อื่นๆ ได้มากมาย เช่น กระดาษชำระ กระดาษห่อของขวัญ กระดาษลูกฟูกสำหรับทำกล่อง ฯลฯ

กระดาษได้นำมาใช้ประโยชน์ในรุปแบบต่างๆ ซึ่งสร้างสรรค์ประโยชน์นานัปการต่อสังคมและชีวิตมนุษย์ หากจะกล่าวถึงประโยชน์ของกระดาษ คงยกมาได้นับไม่ถ้วน และอาจเขียนไปไม่จบ

แต่ในที่นี้ ตัวผู้เขียนจะกล่าวถึง กระดาษในเชิงสัญลักษณ์ที่ผู้คนในสังคม เลือกยอมรับ และนับถือ กระดาษเหล่านั้นเป็น เครื่องมือ ที่ใช้ในวัตถุประสงค์แห่งความเข้าใจร่วมกัน

กล่าวคือ ในปัจจุบัน มีการใช้กระดาษเชิงสัญลักษณ์ เพื่อให้ผู้คนเข้าใจถึงความหมายของตัวกระดาษเหล่านั้นว่า มันไม่ใช่เป็นเพียงกระดาษ แต่มันคือตัวแทนของความหมายที่อยู่ในกระดาษนั้นๆ และก็เป็นสิ่งที่กำหนดความเข้าใจร่วมกันที่ไม่ว่าใครก็เข้าใจในรุปแบบนั้นๆ

กระดาษแห่ง ความมั่งมี คือ กระดาษที่ใช้เป็นตัวแทนเงินตรา หรือ ธนบัตร เพื่อใช้เป็นสื่อกลางการซื้อขายแลกเปลี่ยนของผู้คนในสังคม และนั่นก็คือ สิ่งที่ผู้คนใคว้คว้าหามันเพื่อความมีของชีวิต เพราะ หากขาดกระดาษนี้ ก็ไม่สามารถก้าวไปสู่ปัจจัยแห่งการดำรงชีพได้

และการใคว้คว้าหา กระดาษธนบัตร ก็ ตามมาด้วยความมุ่งมั่นความสนใจนั้นๆไปสู่ กระดาษอีกแผ่น นั่นก็คือ กระดาษเสี่ยงโชค หรือ หวยและลอตเตอรี่ ซึ่งกระดาษเสี่ยงโชคเหล่านี้ เป็นเครื่องปูทางของเหล่าผู้คนส่วนใหญ่ของสังคมที่ ต้องการให้กระดาษเสี่ยงโชคใบนี้ นำไปสู่กระดาษแห่งความมั่งมี แล้วก็กลายสภาพเป็นความบ้าคลั่งกระดาษเสี่ยงโชค ที่ทำให้เห็นภาพความพยายามให้กระดาษเสี่ยงโชคนั้นสัมฤทธ์ผล ไม่ว่าจะเป็นการบนบานสานกล่าว การขอเลขเด็ด การตีความฝัน ฯลฯ

นั่นคือ กระดาษที่ใช้แทนเงินตราของเหล่าชนชั้นผู้ช่วยเหลือตนเองมิได้ แต่กระดาษของเหล่าชนชั้นสูงทั้งหลาย ก็จะเป็นเงินตราแต่พวกเขาจะ บูชาเหล่ากระดาษแห่งทุน มากกว่า เพราะมูลค่าที่มากกว่า กระดาษธนบัตร กระดาษเหล่านั้นก็คือ กระดาษหุ้น หนังสือสัญญา พันธบัตรต่างๆ สิ่งเหล่านี้คือ กระดาษของเหล่าชนชั้นสูงที่พวกเขาเฝ้าใคว่คว้า ซึ่งในทางพฤติกรรมแล้วมันก็ไม่ต่างจากความบ้าคลั่งกระดาษเสี่ยงโชคของเหล่าผู้ยากไร้อำนาจ ไม่ว่าจะเป็นกลยุทธ์ทางธุริกิจต่างๆ การหลบเลี่ยงภาษี การปั่นหุ้นฯลฯ

กระดาษอีกใบที่สังคมยอมรับ กระดาษที่เป็นตัวบ่งชี้ บอกว่า คนๆนี้เป็นคนที่ผ่านการตีตรามาแล้วว่าได้ผลิตออกมาสนองตอบต่อโครงสร้างทางสังคม กระดาษที่เหล่าผู้คนใคว้คว้ามาประดับ เพี่อการยกระดับฐานะของตน เพื่อความสะดวกในการก้าวเข้าหากระดาษแห่งเงินตรา กระดาษปริญญา กระดาษหนึ่งใบที่มีค่ามากกว่าตัวตนของผู้ถือครอง กระดาษแห่งการการันตี จากแหล่งผลิต ว่านี่คือผลผลิตคุณภาพจากอุตสาหกรรมการศึกษา ที่สังคมจะยอมรับนับถือ ยิ่งหากว่ากระดาษใบนี้ออกมาจากโรงงานการศึกษาที่มีแท่นพิมพ์กระดษาใบนี้ ดีกว่าโรงงานอื่นๆ นั่นก็คือ การยอมรับว่า กระดาษใบนี้คุณค่ามากกว่า กระดาษที่ผลิตจากโรงงานไร้ชื่อ

และนับวันธุรกิจกระดาษปริญญา จะยิ่งทวีคุณความรุนแรงขึ้น เพราะ การออกนอกระบบของโรงพิมพ์ปริญญา
ทำให้ ผู้คนจะยิ่งบ้าคลั่ง กระดษษแห่งความร็นี้มากขึ้นเรื่อยๆ และมูลค่าของกระดาษนี้ก็จะยิ่งสูงขึ้นตามความต้องการของสังคมที่นิยม กระดาษใบนี้

ดังที่กล่าวมาแล้วทั้งหมด นั่นคือ การยกตัวอย่าง ลัทธิบูชากระดาษ ที่ผู้คนให้ค่าความสำคัญเป็นอย่างมาก

ผู้คนในสังคมตีตราตีค่าสิ่งต่างผ่านกระดาษ ซึ่งการตีค่าเหล่านั้น อาจเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว เพราะว่า ตัวกระดาษเอง ก็เปรียบได้กับ ความไม่คงทนถาวร กระดาษง่ายต่อการเปียกน้ำเปื่อยยุ่ย กระดาษง่ายต่อการฉีกขาดได้ กระดาษ ง่ายต่อเผาไหม้ได้

เปรียบได้กับความไม่จีรังของความต้องการของมนุษย์ที่อิงกับกระดาษ ซึ่งมันจะเปลี่ยนแปลงไปได้ไม่จบไม่สิ้น มีแต่เรื่องราวของการใคว้คว้า ผู้คนต่างหาหนทางต่างๆนานา เพื่อการครอบครอบกระดาษทั้งหลาย ไม่เลือกวิธีและหนทางที่จะไปสู่การได้มาของกระดาษเหล่านั้น

จนหนทางที่เลวร้ายหนทางที่ อุบาทว์ ก็งัดกันออกมาใช้กันอย่างแพร่หลาย เพียงเพื่อกระดาษเหล่านั้น และที่แย่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ผู้คนยอมรับว่ากลายๆ ว่าการทำอย่างไรก็ได้ เพื่อให้ได้ กระดาษที่พวกเขาบูชานั้นมาครอบครอง เป็นเรื่องปกติสุข

ลัทธิบูชากระดาษ เป็นเรื่องของความบ้าคลั่งในสัญลักษณ์ที่กระดาษเหล่านั้น เป็นตัวแทนอยู่ ยิ่งคนเราให้ค่าความสำคัญต่อกระดาษเหล่านั้นมากเท่าไหร่ ก็คือการสะท้อนภาพกลับมาว่าคนเราก็คือความไม่แน่นอนเช่นตัวกระดาษเหล่านั้นเอง

จนในที่สุดมูลค่าที่แท้จริงที่อยู่ในกระดาษ ก็จะถูกมองข้ามไป เหมือนมูลค่าที่แท้จริงของผู้คนที่ครอบครองมัน ที่มองข้ามมูลค่าภายในไม่ต่างกัน




 

Create Date : 20 ธันวาคม 2549   
Last Update : 20 ธันวาคม 2549 13:41:25 น.   
Counter : 638 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  

KongMing
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




เล่าจื้อกล่าวว่า"ผู้รู้เขาคือปราชญ์"
และกล่าวอีกว่า"ผู้รู้เราคือปัญญาชน"
ณ ปากทางเข้าถ้ำวิหารเทพอพอลโล่แห่งเดลฟี
มีป้ายทองคำเขียนว่า "Know thyself" แปลว่า รู้จักตนเอง
"temet nosce" ภาษาลาตินที่Oracleกล่าวให้
Neo รู้จักตนเอง

สิ่งที่สำคัญที่สุดของคนเราอยู่ที่ คำกล่าวเหล่านี้
[Add KongMing's blog to your web]