ความไม่รู้เป็นลาภอันประเสริฐ

มันไม่ใช่ประชาธิปไตย อ่ะ กิ๊ฟ มันไม่ใช่

ประชาธิปไตย อาจจะฟังดูกว้าง และแต่ละประเทศจะแตกต่างกันไปตาม ขึ้นอยู่กับเรื่องราวของ พื้นฐานประเทศอันจะประกอบด้วยประวัติศาสตร์ ประเพณี วัฒนธรรม ต่างๆ ที่ประกอบขึ้นมาเป็นประชาธิปไตยตามที่กล่าวอ้างกัน

ไม่ว่าจะแตกต่างกันอย่างไร ในเรื่องรายละเอียด แต่แก่นหลัก เนื้อหาหลักๆ ที่กล่าวถึงเรื่องของอำนาจเป็นเรื่องที่ขาดไม่ได้ เลยในเรื่องของระบบการปกครอง ซึ่งจะนำมากล่าวถึงรายละเอียดส่วนนี้

เพราะนับวันแล้ว ความบิดเบือนจะยิ่งทวีคูณขึ้นเรื่อยๆ อำนาจที่พึงมีตามระบบประชาธิปไตย ที่กล่าวถึงเรื่องของความมีอำนาจสูงสุดของประชาชน กลับถูกบั่นทอนลงเหลือเพียงแค่การมีอำนาจแค่เพียงหย่อนบัตรเลือกตั้ง ส่วนอื่นๆนั่นแทบจะไม่สามารถกระดิกตัวทำอะไรได้เลย

หลักพื้นฐาน เรื่องของ สิทธิ เสรีภาพ ที่จะยิ่งถูกจำกัดจำเขี่ยมากขึ้นเรื่อยๆ จนในกฎหมายบางฉบับนั้น ไม่ได้ต่างอะไรกับคอมมิวนิสที่ละเลยซึ่งเรื่องของสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐาน แม้แต่น้อย

อำนาจในการเลือกผู้แทนเริ่มกลายพันธ์ออกไป จากความบิดเบือนต่างๆ การเลือกผู้แทนเริ่มกลายสภาพจากการเลือกตัวแทนไปทำงานให้ตนเอง กลายเป็นการเลือกเจ้านายไปปกครองตัวเอง ที่แทบจะเรียกได้ว่าระบบเจ้าขุนใหม่ ( neo-feudal) ที่เจ้าขุนได้รับการเลือกการสนับสนุนจากประชาชนอย่างชอบธรรมในการปกครอง มากกว่าที่จะเป็นไปอย่างที่ประชาธิปไตยเป็นคือ ตัวแทนไปทำหน้าที่รับใช้ ประชาชน แต่เป็นไปปกครองประชาชนแทน

ส่วนนี้เองที่ถูกบิดเบือนมากมาย และเสมอมา จนหลายๆครั้งผู้คนบางคนอาจจะเข้าใจผิดได้ไม่ยากเลยว่าแท้จริงตนเองมีอำนาจแค่นั้น หย่อนบัตรแล้วก็นั่งรออำนาจการหย่อนบัตรครั้งหน้า เพราะ มันไม่ได้มีอะไรมากไปกว่านั้นจริงๆ

เพราะว่าประชาชนไม่เคยได้รับอำนาจที่มากไปกว่านั้นจริงๆ การลดทอนอำนาจให้เหลือเพียงการหย่อนบัตร อาจจะเป็นวิธีการที่แยบยลของพวกเหล่านักปกครองทั้งหลาย การตัดทอนอำนาจในการมีส่วนร่วมของประชาชน ที่เรียกว่าประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วมออกไป

ทั้งการมีส่วนร่วมแบบเป็นทางการตามสิทธิที่พึงมี พึงได้ อย่างการมีส่วนร่วมในการออกกฎหมายตามที่ รธนระบุไว้ แต่พอเอาเข้าจริงก็ไม่อาจทำได้ตามที่รธนบอก ทั้งนี้เพราะการมีส่วนร่วมในความเป็นจริงมันแตกต่างกับในกระดาษมากมาย บนกระดาษจะเขียนอะไรก็ได้แต่การนำมาใช้มันต่างกัน

หรือว่าจะเป็นการมีส่วนร่วมอย่างไม่เป็นทางการ อย่างการชุมนุมอย่างสงบ ที่จริงๆแล้วเป็นส่วนประกอบหนึ่งของระบบประชาธิปไตยที่ว่าด้วยสิทธิขั้นพื้นฐาน ซึ่งเป็นการแสดงออกถึงการไม่เห็นด้วย รวมไปถึงการเรียกร้องในสิ่งที่ผู้มาชุมนุมต้องการ แต่นั่นกลับจัดการด้วยการใช้กฎหมาย ที่ขัดแย้งกันเองมาเล่นงาน กลายเป็นการปิดกั้นการแสดงออกทางประชาธิปไตย

การเสี้ยมสอนให้เชื่องและอยู่ในโอวาท กลับกลายเป็นเรื่องที่ถูกต้องในประชาธิปไตยที่เราๆ คุ้นเคย การไม่เห็นด้วยหรือเห็นต่างกลับกลายเป็นเรื่องราวที่รับไม่ได้ และพยายามให้เห็นพ้องต้องกัน และใช้วิธีการต่างนานา เพื่อบอกว่าคนที่ไม่เห็นด้วยไม่ถูกต้อง ซึ่งการทำแบบนั้นมันแทบจะไม่ใช่ประชาธิปไตยเลย มันเหมือนกับระบบอะไร ไม่ขอกล่าว



ความบิดเบือนยังคงระอุอยู่และนับวันจะมากขึ้น นั่นหมายถึงการที่เราบิดเบือนจนกลายเป็นถูก จนกลายเป็นสภาพเป็นประชาธิปไตยแบบไทยๆ ที่เรากล่าวอ้าง โดยละทิ้งความเป็นจริงของประชาธิปไตย ที่ต้องเน้นไปที่ประชาชน

แต่ที่เป็นมันคือระบบที่เน้นไปที่เหล่านักปกครองมากกว่า แล้วยังจะมีหน้ามาเรียกว่าประชาธิปไตยได้อย่างไร
การปกครอง(ไม่ใช่)ของประชาชน(ส่วนใหญ่)
โดยประชาชน (ส่วนน้อย )
เพื่อประชาชน (ส่วนน้อย )
ถึงจะเป็นประชาธิปไตยมิใช่หรือ


Create Date : 03 มกราคม 2551
Last Update : 3 มกราคม 2551 15:04:19 น. 0 comments
Counter : 741 Pageviews.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

KongMing
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




เล่าจื้อกล่าวว่า"ผู้รู้เขาคือปราชญ์"
และกล่าวอีกว่า"ผู้รู้เราคือปัญญาชน"
ณ ปากทางเข้าถ้ำวิหารเทพอพอลโล่แห่งเดลฟี
มีป้ายทองคำเขียนว่า "Know thyself" แปลว่า รู้จักตนเอง
"temet nosce" ภาษาลาตินที่Oracleกล่าวให้
Neo รู้จักตนเอง

สิ่งที่สำคัญที่สุดของคนเราอยู่ที่ คำกล่าวเหล่านี้
[Add KongMing's blog to your web]