ความไม่รู้เป็นลาภอันประเสริฐ

วันนี้ที่เราไม่อาจมองหน้าบรรพชนได้

เมื่อผลการลงคะแนนประชามติออกมา ก็ทำให้ได้ตะหนักว่า วันนี้มีอะไรที่เปลี่ยนไปจากเมื่อวานแค่ไหน วันวานที่ผ่านมามันช่างด้อยค่าและไร้ค่ามากมาย ไม่อาจจะบรรยายออกมาได้อย่างชัดเจน

เรากำลังเดินไปหาอะไร ที่ผ่านมานั้นบรรพชนเคยต่อสู้เพื่อให้ได้ซึ่งอะไรมา และต่อสู้กันมาอย่างไร ต่อสู้กับใคร มาถึงวันนี้สิ่งที่เหล่าบรรพชนเคยปฏิเสธ ผู้คนในตอนนี้กลับยอมรับมันอย่างหน้าชื่นตาบาน เปี่ยมด้วยความปิติยินดี ช่างลักลั่นย้อนแย้ง จนไม่อาจจะหาสิ่งใดมาเปรียบได้เลย

ประชาธิปไตยที่เหล่าบรรพชนเคยเรียกหา เคยต่อสู้ให้ได้มา ตลอดไปจนการหลั่งเลือดชโลมผิวดินที่เราเหยียบอยู่นั้น กลับเป็นเพียงรอยด่างเล็กน้อยที่ผู้คนไม่เห็น แม้กระทั่งการชำเลืองมองก็ยากที่ใครจะกระทำ

ผู้คนละเลยข้อเท็จจริงที่แฝงอยู่บนหน้าประวัติศาสตร์ สนใจเพียงตัวอักษรที่เขียนขึ้นจากเลือดของเหล่าบรรพชน รู้สึกน่าละอายใจยิ่งเป็นความรู้สึกที่สั่นคลอนหัวจิตหัวใจของตัวผู้เขียน อย่างมาก

ประชาธิปไตยที่ถูกบิดเบือนและกัดเซาะจนไม่คงสภาพ ไม่เหลือสาระสำคัญแห่งประชาธิปไตยแล้ว แต่ก็ยังเอาผ้าคลุมมาปกปิดหลอกลวงกันว่ามันยังใช่อยู่ แม้ว่าภายใต้ผ้าคลุมจะเปลี่ยนแปลงไปมากน้อยแค่ไหนก็ตาม

การยอมรับเหล่านั้น หากว่ามันยังใช่ประชาธิปไตย ดั่งที่กล่าวอ้างกันมาก็เป็นเรื่องราวที่ควรกระทำ หากแต่การที่ผู้คนตอนนี้ยอมรับสิ่งจอมปลอมทั้งหลายแหล่ที่อาศัยแอบอ้างอยู่ภายใต้ผ้าคลุมประชาธิปไตย สิ่งนี้เองที่ไม่อาจจะยอมรับได้เลย

การยินยอมพร้อมใจต้อนรับเผด็จการอย่างหน้าชื่นตาบานเมื่อ 19 กันยา และงานวันเด็กอย่างไม่เป็นทางการที่เกิดขึ้นในช่วงหลังการยึดอำนาจ งานเฉลิมฉลองบนซากศพและความล่มสลายของประชาธิปไตยที่ เริ่มก่อหวอดขึ้น ภาพผู้คนที่ดีใจระคนกับความปลาบปลื้มที่ประชาธิปไตยได้ล้มลง มันเสียดแทงหัวใจผู้คนที่เข้าใจและรู้จักประชาธิปไตยอย่างมาก

ชายชราผู้หนึ่งตอบข้อกังขานี้ไว้ด้วยชีวิต ที่เป็นการตบหน้าเหล่าเผด็จการและลิ่วล้ออย่างเจ็บแสบ แต่แล้วชีวิตของผู้รักประชาธิปไตยก็เป็นแค่สายลมพัดผ่านไป ในห้วงของสังคมที่อุดมด้วยเผด็จการอย่างเข้มข้นนี้เอง

หากเปรียบวันที่ 19 กันยาเป็นเพียงการเสียชีวิตของประชาธิปไตยที่ได้ตายจากไปจากผืนแผ่นดินนี้แล้ว เหตุการณ์ที่น่าจดจำไม่ด้อยไปกว่ากันเลยก็คือ เหตุการณ์ประชุมเพลิง เผาซากศพประชาธิปไตยที่เก็บมาแรมปี

การเผาเศษซากแห่งประชาธิปไตยให้หายไปจากสังคมนี้ เป็นการเปิดฉากเผด็จการภายใต้ผ้าคลุมแห่งประชาธิปไตย อย่างไม่ต้องใส่ใจเสียงครหาใดๆอีกต่อไป เพราะได้รับการรับรองผ่านการเห็นชอบจากประชาชนแล้ว

งานเผาศพประชาธิปไตยที่ เรียกว่า ประชามติ เป็นวันที่สร้างความหดหู่ให้กับผู้รักประชาธิปไตยไม่น้อย เหล่าผู้คนต่างยินดีโดยไม่ได้ยินร้าย รับรู้ถึงความเป็นจริง ที่จะเกิดขึ้นหลังจาก การยอมรับกันอย่างเปิดเผยถึงการรับรองอำนาจเผด็จการ ว่ามีความชอบธรรม ไม่ว่าจะเป็นในเวลานี้ ที่ผ่านมา หรือแม้กระทั่งที่อาจจะเกิดขึ้นได้อีกในอนาคต

การรับรองความชอบธรรม ด้วยการใช้วาทกรรมรัฐธรรมนูญ เป็นสิ่งที่ยากเกินความเข้าใจได้ของคนทั่วไป เข้าใจว่าผู้คนต้องการสิ่งที่จับต้องได้ และเห็นผลได้ นั่นคือ สิ่งที่เรียกร้องกัน อย่างเรื่องของ เศรษฐกิจ หรือ อย่างเรื่องของ ความสงบ ที่เข้าใจว่าหลายฝ่ายอยากให้เกิดขึ้น แล้วสิ่งเหล่านี้ก็ถูกจับเป็นตัวประกันโดย ผู้เผด็จการ ทำให้เหล่าผู้คนยากที่จะมีทางเลือกมากมาย

ประกอบกับ ความซ่อนเร้น แอบแฝงที่หมกเม็ดไว้ใน รัฐธรรมนูญที่มีหลายฝ่ายออกมาให้ความเห็น วิพากษ์วิจารณ์ แต่ความเห็นต่างนั้นกลับ ถูกปลกคลุมด้วยข้อครหาที่ฝ่ายรัฐปกป้องและ กดทับ อีกทั้งการให้ความกระจ่างและความเข้าใจที่ ดูเหมือนจะทำได้ยากยิ่ง เพราะเป็นการสื่อสารทางเดียว การประโคมข่าวสารจากทางภาครัฐและทางฝั่งด้านเห็นชอบ ยิ่งเป็นการสร้างความไม่เข้าใจให้กับผู้คนอย่างแพร่หลาย

และในที่สุดแล้ว เมื่อมันผ่านพ้นมา สิ่งที่เหล่าบรรพชน สร้างสม สิ่งที่พวกเขามอบหมายภาระ หน้าที่ ต่อมายังรุ่นเรา เราได้สานต่อเจตนารมณ์ดังกล่าวได้ดีแค่ไหน เหล่าบรรพชนที่ ปกปักษ์รักษาประชาธิปไตย มามอบให้เรา เราสามารถรักษามันไว้เพื่อมอบให้กับลูกหลานเรารุ่นต่อไปได้ไหม

ไม่สิ เราไม่เพียงมิอาจปกป้องมันไว้ได้ แต่เรากระทำเกินเลยไปไกลกว่านั้นมากโข เราส่งมอบประชาธิปไตยไปสู่เชิงตะกอน แล้วรับเอาเผด็จการที่เหล่าบรรพชนเคยพยายามต่อสู้ ต่อต้าน

เราเลือก เผด็จการ ผ่านการเห็นชอบ ด้วยหลักการที่ต้องเป็นกระบวนการของประชาธิปไตย นั่นคือประชามติเห็นชอบการกระทำเผด็จการ

เรายังสามารถเอ่ยปากได้อีกหรือว่าเราคือประชาธิปไตย

วันนี้เรายังสามารถมองหน้าเหล่าบรรพชนที่หวงแหนประชาธิปไตยได้อย่างไร



Create Date : 24 สิงหาคม 2550
Last Update : 24 สิงหาคม 2550 20:16:38 น. 2 comments
Counter : 514 Pageviews.  

 
มันจบไปอย่างไม่มีชิ้นดี


โดย: floral_flory วันที่: 24 สิงหาคม 2550 เวลา:23:25:49 น.  

 

ฟังแล้วขนลุกครับ.. ถ้าเช่นนั้นคนบาปในระบอบประชาธิปไตย ต้องมีแน่ ถามว่าคือใครบ้าง? ใครที่ไม่ต้องรับผิดชอบทางการเมือง..


โดย: เนื่อง มาจากเหตุ วันที่: 25 สิงหาคม 2550 เวลา:1:53:28 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

KongMing
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




เล่าจื้อกล่าวว่า"ผู้รู้เขาคือปราชญ์"
และกล่าวอีกว่า"ผู้รู้เราคือปัญญาชน"
ณ ปากทางเข้าถ้ำวิหารเทพอพอลโล่แห่งเดลฟี
มีป้ายทองคำเขียนว่า "Know thyself" แปลว่า รู้จักตนเอง
"temet nosce" ภาษาลาตินที่Oracleกล่าวให้
Neo รู้จักตนเอง

สิ่งที่สำคัญที่สุดของคนเราอยู่ที่ คำกล่าวเหล่านี้
[Add KongMing's blog to your web]