ความไม่รู้เป็นลาภอันประเสริฐ

คิดไปคิดมา เราก็เหมาะกับแบบนี้แล้วนี่นา

ระบบเผด็จการน่าจะเหมาะสมกับบ้านเมืองเราแล้ว ด้วยปัจจัยหลายๆอย่าง ที่แวดล้อมและเกิ้อหนุน ซึ่งเราจะมาดูกันเป็นเรื่องๆไป

เริ่มต้นเรื่องที่ระบบสังคมย่อยที่เล็กที่สุด ซึ่งเป็นพื้นฐานทางสังคม และกล่าวกันเสมอว่าเป็นรากฐานที่จะทำให้เกิดประชาธิปไตยและ สร้างประโยชน์ต่อสังคมได้หากว่าครอบครัวมีคุณภาพ สังคมก็จะมีคุณภาพ ตาม

ในครอบครัวแบบไทยๆเอง ระบบการเลี้ยงดูและสั่งสอนที่เน้นความเผด็จการอยู่เสมอๆ ครอบครัวไทยๆที่ผู้ใหญ่มักจะมีความถูกต้องเสมอกว่า วึ่งนั่นไม่รวมไปถึงการยัดเยียดทางความคิดความเชื่อในรูปแบบต่างๆ ซึ่งแน่นอนว่าผู้ใต้ปกครองนั้นเลี่ยงไม่ได้เลย

ต่อมาพอเด็กเริ่มโตขึ้น ก็จะไปที่ระบบการศึกษา ที่เห็นได้ชัดเจนว่าเราเน้นกันเหลือเกินในความเป็นเผด็จการ ที่เน้นการท่องจำ ถูกผิด ดำขาวแบบ100เปอร์เซ็น ไม่มีการใช้เรื่องของความคิด ไม่ยอมรับความคิดของเด็กและเยาวชน มุ่งเน้นความถูกต้องที่เหล่าผู้ใหญ่กำหนดเพียงเท่านั้น

ภาพเหล่านี้จะปฏิเสธได้อย่างไรว่าไม่ใช่เผด็จการ เพราะว่าประชาธิปไตยมันไม่มีถูกผิด ขาวดำแบบ100เปร์เซ้น มันเป็นการผสมผสานความคิดเหก็นที่แตกต่างเข้าด้วยกัน ซึ่ง มันไม่ได้ใกล้เคียงกับระบบการศึกษาเราเลยแม้แต่น้อย

เรื่อยมาพอโตขึ้น ระบบงานชองบ้านเราเองก็ มุ่งเน้นไปที่ตัวผู้นำต่างๆนานา ที่ยิ่งเน้นมากขึ้นทุกวัน นั่นไม่ใช่เรื่องของเผด็จการหรือ เพราะตัวลูกจ้างเองนั่นแทบจะหาปากเสียงหรืออะไร ที่จะสู้กับเหล่าเจ้านายทั้งหลายได้เลย ซึ่งนั่นไม่ต้องไปพูดถึงเรื่องระบบการคุ้มครองต่างๆที่แทบจะไร้ประสิทธิภาพ

ระบบสังคมที่ใครใหญ่ได้เปรียบ เน้นเป็นเฉพาะบุคคลไป ไม่มีการสร้างสรรในลักษณะความร่วมมือเชิงองกรค์ อาศัยความเข้มแข็งเป็นคนๆไป ซึ่งทำให้ยิ่งเป็นการรวมศุนย์อำนาจไปเรื่อยๆ

ระบบข่าวสารที่ผู้คนมักได้รับเป็นแบบ ถูกผิด มากกว่าจะเป็นแบบ รวบรวมข้อมูล กล่าวคือ ระบบข้อมูลข่าวสารที่แท้จริงแล้วมันเป็นเรื่องของการกระจัดกระจายของข้อมูล และสื่อเป็นเพียงผู้นำมาเสนอ แต่นั่นเองสื่อบ้านเรามักจะทำตัวเป็นผู้ตัดสินมากกว่าที่จะเป็นเพียงแค่สื่อกลางของข็อมูลเหล่านั่น แต่นั่นก็กลับเป็นที่ถูกอกถูกใจของเหล่าผู้คน

ที่น่าแปลกคงเป็นเรื่องของ ผู้คนเองก็เลือกที่จะเชื่อแบบขาวดำ 100เปอรเซ็นมากกว่าที่จะรวบรวมหลายๆภาคส่วน ผู้คนเลือกเชื่ออันที่ตนเองปักใจเชื่อ และในหลายๆครั้งก็เชื่อในชนิดที่ไม่ลืมหูลืมตา

และด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ เราจะเห็นความพยายามนำเสนอความ๔กต้องทางความคิด แบบข้าแน่น ข้าถูกในรูปแบบใหม่ๆตามมา อย่างในเรื่องของ ระบบ sms ที่แทบจะไม่ใช่การแลกเปลี่ยนความคิดเห็น แต่มันคือ เรื่องของการแข่งขันความเป็นเผด็จการ และ แก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกันมากกว่า จะเห็นได้ชัดว่า ผู้คนยอมเสียเงินเสียเวลา เพื่อให้ ความคิดที่ตนเองคิดถูกต้องนั้นไปขึ้นอยู่ที่หน้าจอทีวี แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆก็ตาม แต่นั่นคือเครื่องมือยืนยันแนวความคิดแบบสุดขั้วของผู้คน

และในกระดานสนทนาเองจะยิ่งพบกับความเป็นเผด็จการได้มากขึ้นเรื่อยๆ การจับกลุ่มรวมกลุ่ม เล่นพรรคเล่นพวก พวกมากลากไป หลายต่อหลายอย่างที่เกิดขึ้น กลุ่มเกรียน ติ่งหู กลุ่มแฟนคลับ แฟนบอย สาวก กองเชียร์ กองแช่ง และอีกมากมายที่ผุดขึ้นมาเรื่อยๆ ในสังคมอินเทอเน็ต

และนั่นเองยิ่งเป็นการตอกย้ำลงไปอีกว่า เรามีความคิดเห็นที่เป็นเผด็จการมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะว่ากลุ่มที่กล่าวมาจะไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นของกลุ่มอื่นๆเลยแม้แต่น้อย ข้าถูกข้าแน่ กลุ่มของข้าคือผู้รู้เท่านั้น กลุ่มของข้าถูกต้อง คนอื่นๆผิด คนอื่นๆโง่ ข้อมูลคนอื่นไม่ได้เรื่อง

เรื่องราวที่เกิดขึ้นไม่ได้เกินเลยความจริงเลยแม้แต่น้อย เพราะมันพบเห็นได้ทั่วไป หาได้ไม่ยากเลยในสังคมที่มีความเป็นเผด็จการแฝงไว้ทุกอณูขนาดนั้
เราแทบจะปิดโอกาสและไม่ยอมรับฟังความเห็นผู้อื่นมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งมันก็เกิดมาจากหลายๆองค์ประกอสบอย่างที่กล่าวมา

หากว่าเป็นแบบนี้แล้วนับวันมันจะยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ความแตกต่างทางความคิดที่ไม่มีการยินยอมกัน และน้อยครั้งมากที่จะถกเถียงพูดคุยกันด้วยเหตุผล ผู้คนเลือกที่จะใช้อารมณ์ในการโต้แย้งกัน นำพาไปสู่ความแตกแยกที่จะทวีคูรมากขึ้นเรื่อยๆ

ซึ่งแน่นอนว่า ประชาธิปไตยมันไม่ใช่แบบนี้ และเมื่อมันเป็นแบบนี้ เราก็ อาจจะกล่าวได้ว่า จริงๆ แล้วเราคงเหมาะกับเผด็จการแล้ว เพราะถึงอย่างไร มันก็คงแก้ไขอะไรไม่ได้อีกแล้ว

คงได้แต่ปล่อยมันไป เพราะถ้ามันไม่เหมาะ มันก็คงไม่สามารถจะเติบโตได้ขนาดนี้หรอก


Create Date : 08 กุมภาพันธ์ 2551
Last Update : 8 กุมภาพันธ์ 2551 8:35:05 น. 1 comments
Counter : 654 Pageviews.  

 


โดย: นายแจม วันที่: 8 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:9:04:42 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

KongMing
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




เล่าจื้อกล่าวว่า"ผู้รู้เขาคือปราชญ์"
และกล่าวอีกว่า"ผู้รู้เราคือปัญญาชน"
ณ ปากทางเข้าถ้ำวิหารเทพอพอลโล่แห่งเดลฟี
มีป้ายทองคำเขียนว่า "Know thyself" แปลว่า รู้จักตนเอง
"temet nosce" ภาษาลาตินที่Oracleกล่าวให้
Neo รู้จักตนเอง

สิ่งที่สำคัญที่สุดของคนเราอยู่ที่ คำกล่าวเหล่านี้
[Add KongMing's blog to your web]