Devil Crisis ก่อนเริ่มภารกิจ

ภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้าทำให้ผู้เฝ้ามองหาคำมาบรรยายไม่ถูกแต่อย่างน้อยเขาก็บอกได้ว่าคนที่ยืนอยู่ด้านข้างกำลังหัวเราะชอบอกชอบใจมากจนน่าหงุดหงิดราวกับต้องการสมน้ำหน้าเขาที่เฝ้าระวังแทบเป็นแทบตาย แต่พอเผลอวางตาไปครู่เดียวความวิบัติที่ไม่อยากต้อนรับก็มาเคาะถึงประตูหน้าบ้านและขณะนี้ก็มาปรากฏอยู่ในรูปของทุ่งหญ้าคาสูงสองเมตรกว้างสุดลูกหูลูกตาหน้ามหาวิทยาลัย

เขาไม่อยากยอมรับนักหรอกว่ามหาวิทยาลัยแห่งนี้ตั้งอยู่บนที่อาถรรพ์ ตอนที่เริ่มบุกเบิกพื้นที่ก็เจอปัญหามากมายทั้งเรื่องที่วันดีคืนดีสถานที่คุ้นเคยกลับกลายเป็นสถานที่แปลกตา หรือเรื่องที่มีบางสิ่งบางอย่างลักพาตัวผู้คนจนตามได้แต่ซากร่างไร้ชีวิตกลับคืนมาทำให้เขาต้องทุ่มเทพลังไปมากมายกว่าจะปิดผนึกมิติที่บิดผันเหล่านี้ได้

ผนึกทำหน้าที่ของมันได้ดีและยาวนานจนเกือบจะวางใจได้แล้วแต่ไม่ทันไรแดนอาถรรพ์ก็แผลงฤทธิ์ใส่เขาเข้าจนได้ถือว่าโชคดีนักที่ตอนผนึกแดนอาถรรพ์ ตัวเองเคยกลัวเกินกว่าเหตุและสังหรณ์ร้ายว่าอาจจะมีเหตุการณ์แบบวันนี้เขาจึงวางเงื่อนไขให้สถานที่ที่เคยผลุบโผล่ไม่เป็นที่เป็นทางให้ปรากฎออกมายังจุดที่วางกำหนดไว้

ยามใดที่ประตูอัลลอยด์สีเทาเงินปิดตัวลงระฆังที่ห้อยอยู่ตรงซุ้มทางเข้าประตูจะส่งเสียงดังกังวาน เป็น สัญญาณบอกถึงสองแดนดินที่ถูกเชื่อมต่อแม้จะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่คนด้านนอกจะรู้โดยทันทีว่าควรถอยออกไปให้ห่างจนกว่าประตูมหาวิทยาลัยจะเปิดขึ้นอีกครา ส่วนคนที่อยู่ด้านในก็อาจจะทันได้เห็นท้องทุ่งแห่งแดนอสูรก่อนถูกไล่ไม่ให้เข้าไปรบกวนการปิดผนึกแดนอาถรรพ์ และทั้งที่เฝ้าระวังถึงเพียงนี้ก็ยังมีคนหลุดรอดเข้าไปในแดนอาถรรพ์เข้าจนได้

“ถึงมองแบบนั้น ข้าก็ไม่คิดช่วยให้หรอกนะ”

คนข้างกายยังคงหัวเราะชอบอกชอบใจไม่อินังขังขอบต่อภาพความตายที่กำลังเกิดขึ้นเบื้องหน้า ซึ่งแม้จะไกลไปหน่อยแต่ก็ยังอยู่ในระยะที่ยังมองเห็น และยังสามารถช่วยให้มีชีวิตรอดได้เขาไม่กล้าเสี่ยงขัดใจอีกฝ่าย จึงได้แต่ถอนหายใจอย่างยอมรับสภาพที่เกิดขึ้นกระนั้นก็อดรู้สึกสงสารอดีตนักศึกษาที่ต้องมาตายอย่างโง่เขลาไม่ได้

“เมื่อไรท่านจะยอมลบอาถรรพ์ของเขตแดนนี้ให้หายไปอย่างถาวรครับข้าทำใจลำบากเวลาต้องมองภาพแบบนี้” คำถามของเขาเรียกเสียงหัวเราะจากคนข้างกายที่คราวนี้แฝงความมุ่งหวังมาจนรู้สึกได้

“ก็จนกว่าภารกิจที่ได้รับมาจากเขาจะเสร็จสิ้นลงนั่นละ”




Create Date : 28 มกราคม 2555
Last Update : 10 มกราคม 2557 23:57:19 น.
Counter : 300 Pageviews.

0 comment
Devil Crisis เรื่องนี้มีที่มา...
Devil Crisis
ภารกิจพิทักษ์จอมมาร





เรื่องนี้มีที่มา....

ต่อ ไปนี้จะเรียก Devil Crisis ว่า "DC" เรื่องนี้ได้รับแนวความคิดนิยายประกวดของ สนพ.เอ็นเทอร์บุ๊คส์ ในโครงการ "Enter Books Writer Episode 1" ที่จัดขึ้นที่เว็บเด็กดีดอทคอม ชื่อเรื่อง Satan’s Papa ผมน่ะหรือคือปะป๋าจอมมาร ของ Chiori Noel

น่าเสียดายเล็กน้อยที่ตัวผู้เขียนเอามาลงไว้แค่สามตอนเท่านั้น แต่พอมาคิดอีกทีรู้สึกว่าดีแล้วล่ะที่ตัวผู้เขียนลงไปแค่นั้น เพราะเกรงว่าจะกลายเป็นรับอิทธิพลไปแทนเสียก่อน

ขั้นแรกที่หยิบยืมมาคือ ลูกชายที่เป็นจอมมาร แต่ควรจะเป็นลูกชายแบบไหนดี แล้วจอมมารจะมีพ่อแบบไหนดีล่ะ

พ่อจอมมาร...ต้องเรียกว่าพ่ออุปถัมภ์สินะ เป็น มนุษย์ เป็นเด็กหนุ่มก็ดี โก๊ะ ๆ รั่ว ๆ จริงจังในบางเรื่อง และมีบรรพบุรุษสุดเยี่ยมยอด ตัวเอกคนนี้จะได้มีภาษีเรื่องความสามารถเสียหน่อย แต่สุดท้ายความสามารถของคุณพ่ออุปถัมภ์ก็รั่วพอกันกับนิสัยนั่นล่ะ

จอมมาร...เป็นไข่!? แต่ก็ต้องมีวันฟักเป็นตัวเพื่อเรียกร้องหาความน่ารักล่ะนะแต่จะฟักไข่ตอนไหนดี แล้วพอออกมาจากไข่จะให้จอมมารอายุเท่าไร?

อยากได้จอมมารตัวเล็ก ๆ และน่ารัก อยู่ในวัยกำลังซน ที่สำคัญคือกำลังคลาน เพื่อที่จะได้เรียกร้องความสนใจจากคุณพ่ออุปถัมภ์ของเราได้

...คิดสรุปกับตัวเองเสร็จสรรพ เอาทารกจอมมารที่มีอายุสัก 9 เดือนแล้วกัน


ภาพข้างบนเก็บเซฟไว้นานแล้ว แต่ไม่คิดเลยว่าจะได้เอามาใช้ในลักษณะแบบนี้ และค่อนข้างจะตรงอิมเมจในเรื่องของเราอยู่


ในภาพคือ ไข่จอมมารที่ "ฟีเดล" ตัวเอกของเราต้องดูแลค่ะ สภาพภายนอกคือไข่เกลี้ยงเกลาสีขาวธรรมดา ที่ไม่ธรรมดาคือขนาดที่ใหญ่เต็มอ้อมแขน แต่จะว่าไปก็มีจอมมารวัย 9 เดือนอยู่ข้างในนี่นะ ย่อมใหญ่เป็นธรรมดาอยู่แล้ว



แอบ ซุบซิบ จอมมารของเรามีแม่เป็นเทพนักรบด้วยนะเออ ส่วนต้นกำเนิดทางฝ่ายพ่อขออุบอิบไว้ก่อนแล้วกัน เพราะมีผลกับส่วนเฉลยของเนื้อเรื่องช่วงหลัง




สถานะของเรื่อง : ดองตลอดศก โปรดทำใจก่อนอ่านค่ะ ^^



Create Date : 28 มกราคม 2555
Last Update : 20 มกราคม 2557 16:09:29 น.
Counter : 432 Pageviews.

0 comment
เลื่อมเวลา
Author Note :
เมื่อช่วงวันหยุดจัดการ 5 ส. กับห้องตัวเอง แล้วได้รู้ว่าห้องรกอย่างกับรังหนู หนังสือนิยายวางระเกะระกะและอยู่แทบทุกพื้นที่ ส่วนพวกสมุดจดพล็อตและเขียนนิยายนี่ก็วางรกไม่แพ้กันเลย จัดไปจัดมาเจอสมุดเขียนนิยายที่หลุดออกมาเป็นแผ่นแล้ว (แอบคิดว่าฉันเมื่อตอนสมัยเด็กนี่จินตนาการเยอะแยะจริงแฮะ แต่ทำไมตอนนี้จินตนาการมันถึงหดหายไปไหนหมด)

กระดาษพวกนี้เหลืองอ๋อยบอกอายุอานามเสียดิบดี ทำให้คิดถึงสมัยก่อน เพราะเวลาเราเขียนนิยายทีไร มักจะมีวันที่กำกับว่าเขียนไว้ตอนไหน หลายแผ่นที่เห็นนี้ เขียนค้างไว้เรื่องละหน้าสองหน้า มากหน่อยก็ไม่เกินยี่สิบหน้า แต่ไม่มีเรื่องไหนที่เขียนจบ ยกเว้นเรื่องนี้เรื่องเดียว

"เลื่อมเวลา" เขียนไว้เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2547 เป็นช่วงที่ใช้ชีวิตตามอย่างเนื้อหาในนิยาย ตอนที่ได้อ่านงานก้นหีบที่ไม่เคยพิมพ์ลงคอม คิดว่ายังมีอีกหลายจุดที่ยังต้องปรับปรุง พล็อตค่อนข้างหลวม และช่องโหว่เยอะจนน่าติติง คิดไปคิดมา เรื่องนี้สามารถต่อยอดออกไปได้แยะ ตอนนี้คิดแตกออกไปได้สองเรื่องแล้ว แต่ไม่รู้จะได้เขียนไอ้เรื่องที่แตกหน่อนี้เมื่อไร พานให้คิดถึงเวลาว่างสมัยยังเรียนอยู่ไม่น้อย

เรื่องนี้ยังไม่เกลา เคยเขียนไว้อย่างไหนก็พิมพ์โชว์ห่วยทั้งอย่างนั้นนั่นแหละค่ะ เอามาคั่นเวลาในขณะที่หน้านิยายของตัวเองกำลังรกร้าง

ขอคำแนะนำด้วยค่ะ (โค้ง)
กันตะชา
.
.
.
.
.
เสียงกรีดแหลมของนาฬิกาปลุกดังก่อนเวลาที่ตั้งไว้สองชั่วโมง ผมลุกขึ้นมากดปิดมันอย่างอารมณ์เสีย ปากได้แต่บ่นสบถพอเป็นพิธีก่อนจะหลับลงไปอีกครั้ง และนั่นทำให้ผมต้องรีบลุกขึ้นจากเตียงตอนเจ็ดโมงเช้า มันทำให้วันแรกของหนุ่มมหาลัยอย่างผมต้องไปสาย

“วัจน์! ไม่กินข้าวเหรอ”

“ไม่ล่ะแม่ สายแล้ว” ไปถึงมหาลัยก็ปาเข้าไปตั้ง 10 โมง นักศึกษาใหม่รอรายงานตัวกันยาวเหยียด แต่ผมก็รอดมาจากตรงนั้นได้ชนิดหัวฟูยิ่งกว่าตอนมามหาลัยเสียอีก

พอรายงานตัวเรียบร้อยแล้วก็ไม่มีอะไร ผมออกจากมหาลัยกะจะไปครุสภาต่อ

ผมทอดสายตามองออกไปนอกรถ รถไม่ว่ายังไงก็ยังคงติดเหมือนเดิม มองดูสถานที่ต่างๆ ที่บางแห่งยังคงมีเค้าแห่งอดีตหลงเหลืออยู่ นั่งรถผ่านสนามหลวงและโรงละครแห่งชาติ นั่งไปเรื่อยจนถึงป้อมพระสุเมรุ

สายตาผมที่ไม่เคยสะดุดกับที่ไหนก็ต้องมาสะดุดเข้าให้เมื่อรถผ่านสวนข้าง ป้อมพระสุเมรุ จะว่าไปแล้วผมก็เคยผ่านที่นี่มาหลายครั้งหลายหน เห็นสวนนั่นจนเจนตา (หรืออาจจะไม่) แต่ไม่เคยมีครั้งไหนที่ผมเกิดอาการสนใจสิ่งใดสิ่งหนึ่งเหมือนกับที่สนใจสวน นั้นขึ้นมาเหมือนกับวันนี้

ผมกดกริ่งลงมาอย่างที่ใจคิด มองดูสวนเบื้องหน้าที่ผมเดินเข้าไป เลียบไปตามทางเดินเรื่อยๆ สวนที่นี่ร่มรื่นกว่าที่ผมคิดเพียงแค่เห็นภายนอกไว้เยอะ ผู้คนนั่งกันประปรายไม่ว่าจะเป็นพื้นหญ้าและโต๊ะไม้สีน้ำตาลที่ตั้งเรียงราย ไปตามแนวยาวของทางเดิน เด็กวิ่งซุกซนผ่านตัวผมไปหนึ่งคน สองคนและสามคน เห็นแล้วอดจะยิ้มตามไปด้วยไม่ได้กับเสียงหัวเราะใสๆ ของเด็กพวกนั้น

ลมเย็นพัดกระทบเข้ากับใบหน้าอย่างแผ่วเบาเหมือนกับสัมผัสอ่อนโยนของแม่ ผมหรี่ตาเมื่อแสงแดดส่องกระทบเข้ากับตา ชะงักไปครู่หนึ่งเมื่อลืมตาขึ้นมาก็เห็นร่างเพรียวระหงของใครคนหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้า ผมยาวประบ่าปลิมพริ้วไปกับลมจนผมแตกกระจายเป็นเกลียวคลื่น

“เราเคยพบกันมาก่อนหรือเปล่า” เหมือนได้ยินเสียงตัวเองแว่วผ่านไปอย่างเชื่องช้า ทำไมผมถึงได้พูดออกไปแบบนั้นนะ เธอหันมาทางผมเอียงคอเล็กน้อยราวกับกำลังดูสิ่งแปลกประหลาด

“เราเคยเจอกันงั้นเหรอ” เธอพึมพำแต่ตายังคงจ้องมองผมอยู่

“สงสัยคงบังเอิญมั้ง” ผมหัวเราะแก้เก้อ ยกมือเก้งก้างทำท่าไม่ถูก

“ไม่รู้สิ ไม่คิดบ้างเหรอว่าไอ้คำว่าบังเอิญมันเป็นการจงใจของคนที่เล่นตลกอยู่ข้างบน โน้น” เธอยิ้มชี้มือให้ผมเงยหน้าขึ้นมองฟ้าที่มีเมฆสีขาวเบาบาง

“งั้นบังเอิญนี่ผมถือว่าโชคดีนะ”

“ทำไมถึงโชคดีล่ะ อาจจะโชคร้ายก็ได้นะ” เธอแย้ง

“ถ้ามันเป็นการจงใจของคนที่อยู่ข้างบนผมถือว่าโชคดีหมด เพราะเขาคงไม่คิดร้ายกับเราหรอก” เธอหัวเราะกับคำตอบของผม คงไม่คิดว่าจะมีคนมาพูดแบบนี้ให้เธอฟัง พวกเราสองคนไม่ได้คุยอะไรกันไปมากกว่านี้เพราะผมรีบกลับบ้านเสียก่อน แผนที่วางไว้ว่าจะไปครุสภาก็เป็นอันต้องล้มเลิกไป เพราะผมคงลืมสาเหตุที่จะไปครุสภาเสียแล้ว

คืนนี้พระจันทร์หงาย แสงดาวเกลื่อนระยิบประปรายอยู่บนท้องฟ้า ผมเปิดหน้าต่างห้องเพื่อรับลมเย็นตอนกลางคืน ฟังเสียงเอื่อยเฉื่อยของคลองหลังบ้านที่บางครั้งมักจะมีเสียงปลากระเพื่อมน้ำขึ้นมาบ้าง มองท้องฟ้ายามราตรีที่ผมเริ่มหมกมุ่นใจเชื่อเรื่องการนำพาของคนข้างบน

ผมลืมเรื่องของเธอไปชั่วระยะเวลาหนึ่งเมื่อตัวเองวุ่นกับงานรับน้องใหม่ของพวกรุ่นพี่ในคณะ นั่นทำให้ผมหัวหมุนติ้วไปมากับสารพัดวิธีของพวกรุ่นพี่ คงต้องจดจำไว้ใช้รับน้องต่อปีหน้าซะแล้ว หนึ่งในหัวข้อการรับน้องใหม่ของคณะเราก็คือวิธีการหาพี่รหัสที่ต้องให้น้องรหัสกระเสือกกระสนตามหาพี่รหัสกันเอาเอง (ดีไม่ดีอาจโดนแกล้งให้สับสนจนหัวหมุน)

ผมโชคดีกว่าใครที่ตามหาพี่รหัสเจอไวกว่าคนอื่นเขา พี่รหัสของผมเป็นผู้หญิงที่สวยพร้อม พี่เดือนเธอนิสัยดีทีเดียว เธอให้คำแนะนำกับนักศึกษาใหม่อย่างผมหลายอย่างพร้อมกับหนังสือเรียนเล่มเก่าๆ ที่เธอยินดีที่จะขนมาให้ยืมถ้าผมต้องการ

รอยยิ้มของพี่เดือนทำให้ผมนึกถึงผู้หญิงคนหนึ่งที่ผมหลงลืมไป เธอที่ผมพบเพราะความบังเอิญหรือการเล่นตลกของคนที่อยู่ข้างบน รอยยิ้มของเธอคนนั้นกลับเขามาอยู่ในความทรงจำของผมอีกครั้งหนึ่ง และความประทับใจครั้งแรกที่มีให้กับผู้หญิงคนหนึ่งก็ผุดขึ้นมา

ผมเริ่มชินกับมหาลัยแล้ว การนั่งรถไปกลับระหว่างบ้านกับมหาลัยก็เหนื่อยหฤโหดพอดู รถติดได้ตลอดทั้งเช้าและเย็น อีกซ้ำคนยังแน่นขนัดเหมือนปลากระป๋องทำให้ผมต้องกลับบ้านมืดค่ำเสียส่วนใหญ่ ผมยังไม่มีโอกาสที่จะไปสวนนั่นเสียทีจนถึงวันอาทิตย์ก็มาเยือนอีกครั้ง

“วัจน์จะไปไหน่ะ นี่มันวันอาทิตย์นะ”

“จะไปสวนข้างป้อมพระสุเมรุน่ะ”

“ไปทำอะไรที่นั่นล่ะ”

“ไปทำอะไรงั้นเหรอ? ไปหาเพื่อนมั้ง”

“มั้ง?”

“เอาเถอะแม่ ไปหาเพื่อนน่ะแหละ อาจจะกลับเย็น ไปนะ”

รถเมล์สายเดิม เส้นทางสายเดิมที่นั่งไป ผ่านท้องสนามหลวงที่มีคนหลายคนมานั่งพักและคนพลุกพล่านไปมา ผ่านศาลหลักเมืองที่ผมไม่เคยเข้าไปเลยแม้แต่น้อย ผ่านโรงละครแห่งชาติ สะพานพระปกเกล้า จนมาถึงป้อมพระสุเมรุและสวนอะไรซักอย่างที่ผมลืมชื่อมันไปแล้ว

ผมกดกริ่งลงที่ป้ายรถเมล์ป้ายเดิม เดินย้อนกลับไปไม่เท่าไหร่ก็ถึง ผมเดินเข้าไปอีกครั้ง ไม่ได้คาดหวังไว้มากมายนักว่าจะได้เจอเธอคนนั้นอีกหรือเปล่า ที่มานี่ก็เพราะนึกถึงรอยยิ้มและใบหน้าของเธอเท่านั้น แต่ผมก็ยังอยากเจอเธอ…คนที่ฟ้าเล่นตลกให้มาพบกัน

“อ้าว! เจอกันอีกแล้ว” ผมคลี่ยิ้มเมื่อเห็นเธอยืนอยู่ที่เดิม เสแกล้งเข้าไปทัก เป็นความบังเอิญอีกครั้งหรือไงกันนะ

“คราวนี้จะใช่บังเอิญหรือเปล่านะ” เธอหัวเราะและยังมีความคิดแบบเดียวกับผมเสียอีก ยิ้มเริ่มเป็นมิตรมากขึ้นไม่เหมือนกับครั้งแรก หรือเพราะเรารู้จักกันแล้วนะ…ไม่สิ ยังไม่รู้จักชื่อกันเลย

“ผมยังไม่รู้ชื่อคุณเลย ผมชื่อวัจน์ คุณล่ะ”

“มัลลิกา”

“แปลว่าอะไรน่ะ”

“ดอกมะลิ”

“แล้วชื่อคุณล่ะแปลว่าอะไร” มัลลิกาถามผมบ้าง ผมยิ้มกริ่มตอบไปอย่างภาคภูมิใจ

“ก็แปลตรงตัวน่ะแหละ แปลว่าคำพูด มาจาก วจนะ พ่อเขาอยากให้ผมมีศิลปะในการพูด”

“แล้วก็เป็นคนพูดเก่ง” มัลลิกาตบท้ายให้

ผมเริ่มหาเรื่องอะไรสักอย่างที่คิดออกมาพูดกับเธอ มัลลิกาเองก็อัธยาศัยดีตอบกลับทุกคำถามและทุกคำพูดที่ผมชวนคุย เธอไม่เคยพูดขัดเวลาผมเล่าเรื่องอะไรเลยสักอย่าง จะยกเว้นเพียงช่วงเวลาที่มัลลิกาหยอกเล่นและผมก็หน้าหงายกลับทุกครั้ง เวลาเหมือนกับผ่านไปอย่างรวดเร็ว เมื่อผมมารู้สึกตัวอีกครั้งว่าพระอาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำลงมาแล้ว

“ว้า…ต้องกลับแล้วล่ะ บ้านอยู่ไหนล่ะเดี๋ยวไปส่ง”

“ไม่ต้องหรอก บ้านฉันอยู่แถวนี้ เดี๋ยวกลับเองได้”

“งั้นผมมาหาอีกนะ” มัลลิกาทำท่าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าตอบออกมา

“วันอาทิตย์แล้วกัน จะมาตอนบ่ายเหมือนกับวันนี้ก็ได้ ฉันอยู่ตรงนี้ตลอดน่ะแหละ”

“ตกลงวันอาทิตย์ตอนบ่ายสองนะ เออรู้จักชื่อสวนนี่มั้ย ผมลืมชื่อมันไปแล้ว”

“สวนสันติไชยปราการ เรียกสวนสันติก็ได้” มัลลิกาคลี่ยิ้มตอบเสียงนุ่ม ผมพยักหน้ารับพยายามจำชื่อสวนนี่ไว้ เพราะอาจจะมาทุกอาทิตย์ก็ได้

“สวนสันติ อืม…จำได้แล้ว งั้นอาทิตย์หน้าเจอกันนะ” ผมโบกมือลาและเดินออกไปอย่างเชื่องช้า เหลียวหลังหันกลับไปมองก็ไม่เห็นมัลลิกาเสียแล้ว ทำไมเธอถึงเดินหายไปไวขนาดนี้นะ

ลมพัดโกรกแรงวูบหนึ่งทำให้ผมหรี่ตาเพื่อป้องกันฝุ่นที่ฟุ้งกระจาย เศษใบไม้ปลิวว่อนหมุนเป็นวงกลมและลอยไปตามแรงลมที่พัดพามันขึ้นมา แสงอาทิตย์ยามเย็นทำให้ผมตาพร่าอยู่ครู่หนึ่ง เสียงน้ำชนกับประตูกั้นน้ำดังครืนลั่น เสียงมันดูน่ากลัวไม่น้อย

ผมกลับบ้านด้วยใจชื่นบาน เห็นดอกมะลิที่แม่ซื้อมาร้อยมาลัยถวายพระก็ทำให้ผมนึกถึงดอกมะลิที่เจอที่สวนสันติขึ้นมา ผมขึ้นไปบนห้องเปิดหน้าต่างรับลมตอนค่ำ ผ้าม่านปลิวระรื่นกับสายลมฉ่ำ กลิ่นมะลิตรงคลองหลังบ้านส่งพัดให้ผมได้สูดดม

วันนี้แรม 14 ค่ำ พระจันทร์แทบจะไม่โผล่ออกมาแม้แต่เศษเสี้ยว เมฆดำทะมึนกลบบังแสงระยับของดาวบนฟ้า เสียงกบร้องดังระงมเป็นสัญญาณเตือนว่าฝนจะตก ฟ้าดังครืนมาแต่ไกลทำให้ผมตัดสินใจที่จะอาบน้ำทันที

เสียงน้ำฝนตกกระทบกับหลังคาราวเสียงปรบมือลั่น กระทบกับน้ำในลำคลองฝนสาดกระเซ็นไปทั่วเหมือนกับเพลงบรรเลง มีเสียงกบเป็นคอรัสการบรรเลงนั้น ผมพลิกตัวกระสับกระส่ายไปมา รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังตื่นโดยที่ตายังหลับ

ในห้วงสติเหมือนตัวเองอยู่ในสภาพไร้น้ำหนัก ล่องลอยอยู่ในอะไรซักอย่าง เสียงฟองอากาศดังบุ๋มทำให้ผมรู้ว่าตัวเองอยู่ในน้ำ มันทั้งอึดอัดและทรมาน หายใจไม่ออก สมองหนักอึ้งมีน้ำเข้ามาแทนที่เป็นความคิด ผมพยายามลอยตัวให้ขึ้นไปสู่ผิวน้ำโดยไว แต่ไม่ว่าจะพยายามเท่าไรผิวน้ำก็อยู่ห่างไกลเหลือเกิน มือขึ้นไขว่คว้าเพื่อหาสิ่งยึดเหนี่ยวที่พอจะมี แต่มันก็ไร้สิ้นเรี่ยวแรง

วูบหนึ่งที่รู้สึกผมถูกฉุดขึ้นด้วยมือของใครบางคน ผมลืมตาโพลงมองดูเพดานสีขาวท่ามกลางความมืดมิด มือยกค้างไว้กลางอากาศ ข้างนอกฝนยังตกอยู่ ผมลุกขึ้นนั่งอย่างงุนงง ทบทวนกับเรื่องที่ฝันเมื่อครู่ ความรู้สึกยามเมื่ออยู่ใต้น้ำยังคงจำได้ดี แต่ผมอยากจะรู้ว่ามือที่ฉุดผมขึ้นมาจากพื้นน้ำและความฝันนั้นคือมือของใคร

“มันก็แค่ฝัน” ผมปลอบตัวเองก่อนจะล้มตัวลงนอนอีกครั้ง ตัวเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อแตกพลั่ก ทั้งที่อากาศข้างนอกและข้างในออกจะเย็นย่ำ ผมหลับลึกลงไปไม่รู้สึกตัวอีกจนกระทั่งเช้าของวันจันทร์





หลายอาทิตย์ผ่านไปเราเริ่มสนิทกันมากขึ้นตามระยะเวลาที่ได้รู้จักกัน มัลลิกาใช้คำเรียกแทนตัวว่ามัล และเรียกผมว่าวัจน์เฉยๆ แล้ว บางครั้งที่ผมไปหาเธอมักจะเอาหนังสือที่คิดว่ามัลลิกาสนใจไปให้เธออ่าน ผมอยู่กับมัลลิกาอย่างไม่เคยเบื่อหน่าย บางครั้งก็พูดถึงสถานที่ที่อยากไป

“แม่! วันนี้กลับบ้านช้านะ ไม่ต้องเตรียมข้างเย็นเผื่อ” ผมกระโจนลงถึงชั้นล่าง เกือบหน้าทิ่มลงพื้น แทนเท้าที่ลงได้อย่างพอดิบพอดี สายตาผมเหลือบไปเห็นแม่ที่มองอย่างงุนงง อ้าปากจะถามก็คงไม่ทันผมที่เผ่นออกไปนอกบ้านเรียบร้อยแล้ว

วันนี้ผมนัดกับมัลลิกาไว้ว่าจะพาไปเที่ยว แต่ยังไม่ตกลงว่าจะไปกันที่ไหน แค่พูดเกริ่นกันไว้ว่าอยากไปใกล้ๆที่ไม่ต้องเสียเงินมากมาย พอนึกได้ว่าที่ใกล้ๆ ไม่ต้องเสียเงินมากก็มีอยู่ที่หนึ่งแหละ และผมก็ชำนาญพื้นที่ตรงแถวนั้นเสียด้วย ถึงจะไม่ครอบคลุมทั้งหมด แต่ก็พอเป็นไกด์ผีนำเที่ยวได้ไม่มากก็น้อยล่ะ

“มาไวจัง”

“ก็รีบมานี่นากลัวมัลจะคอยนาน”

“แล้วตกลงว่าจะไปที่ไหนล่ะใกล้ๆ ที่วัจน์ว่านี่วัดพระแก้ว หรือว่าศาลหลักเมือง” มัลลิกาหยอกกลับ ผมกระตุกยิ้มที่เธอเดาเสียใกล้

“ไปสมุทรปราการต่างหาก”

“จะไปตอนนี้เลยเหรอ”

ผมพยักหน้าตอบก่อนจะถือวิสาสะดึงมือมัลลิกามากุมไว้พาออกไปนอกสวนสันติ ชั่วครู่ที่ผมกุมมือของมัลลิกาทำให้ผมนึกถึงมือของใครบางคนที่ฉุดผมขึ้นมา จากน้ำ มือของมัลลิกาให้ขนาดเท่ากับเจ้าของมือนั้นเลย ทั้งที่มันผ่านมาหลายเดือนและผมก็ลืมมันไปแล้วแต่ไม่รู้ทำไมถึงนึกถึงมัน ขึ้นมาได้อีก

พวกเรานั่งรถเมล์ผ่านเส้นทางถนนสุขสวัสดิ์ สถานที่แรกที่ผมพามัลลิกาไปคือพระสมุทรเจดีย์ พาเธอไปไหว้พระพุทธปฏิมากรชัยวัฒน์ และผมก็เริ่มสวมบทไกด์ที่เพื่อนเคยทำกับผมบ้างทันที

“พระสมุทรเจดีย์กลางน้ำสร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2369 ในสมัยพระพุทธเลิศหล้านภาลัย แต่พระองค์ทรงสร้างไว้ไม่เสร็จ รัชกาลที่ 3 เลยมาสร้างต่อ ผมจำชื่อท่านรัชกาลที่ 3 ไม่ได้เลย เป็นพระองค์เดียวที่คิดยังไงก็คิดไม่ออก น่าขำมั้ย”

มัลลิกายิ้มน้อย พยักเพยิดฟังผมที่พูดกระท่อนกระแท่นต่อไปโดยไม่มีทีท่าให้เห็นว่าเบื่อ ผมถนัดที่จะเที่ยวมากกว่าที่จะอธิบายเสียอีก แต่เพื่อมัลลิกาที่ตั้งใจฟังแล้ว ผมทุ่มสุดตัวเลยงานนี้

“แต่พอมาในสมัยรัชกาลที่ 4 สมัยสมเด็จพระจอมเกล้า ท่านทรงเห็นว่าพระสมุทรเจดีย์กลางน้ำเริ่มทรุดโทรมลง ท่านจึงทำนุบำรุงขึ้นมาใหม่โดยสร้างเจดีย์ครอบลงไปอีกชั้นหนึ่ง และปรับปรุงบริเวณโดยรอบจนมาถึงทุกวันนี้ ที่นี่จะจัดงานสมโภชพระสมุทรเจดีย์ 9 วัน 9 คืนจะเริ่มตั้งแต่วันแรม 5 ค่ำเดือน 11”

“คนเยอะไหม”

“เยอะสิ เรียกว่าไหลไปมากกว่าเดินเลยล่ะ เพราะคนแน่นมาก บางทีจะควักเงินซื้อของนะ คนก็เคลื่อนตัวไปพาเอาเราที่จะควักเงินไปด้วย เลยได้ของฟรีถือว่าคุ้ม ก็สนุกดีแต่ระวังอย่างเดียวก็คือพวกล้วงกระเป๋า” และผมก็พาเธอไปดูที่อื่นบ้าง

ผมจ้างเรือหางยาวพาพวกเราชมทัศนียภาพระหว่างสองฝั่งแม่น้ำของเมืองสมุทรปราการ สิ่งที่ผมอยากให้มัลลิกาดูก็คือสิ่งนี้ ชีวิตความเป็นอยู่ของคนและสายน้ำ “มัลเห็นมั้ยน้ำยังมีสองสี แล้วคนล่ะจะไม่มีสองสีเลยหรือไงกัน มันก็เปรียบเหมือนความดีและความเลวของคนเราน่ะแหละ”

“น้ำสองสีที่มาบรรจบกัน สีน้ำตาลเหมือนโคลนนั่นก็คือน้ำเค็มไงล่ะ ส่วนสีฟ้าสวยนั่นก็คือน้ำกร่อย มัลลองมองเงาสะท้อนของน้ำนะ มันสะท้อนส่องให้เห็นเงาของภูเขาของชลบุรีได้เลย” เธอทำหน้าเหมือนไม่เชื่อ ผมก็เลยท้าให้เธอลองมองดู และนั่นก็ทำให้ผมได้เห็นรอยยิ้มของเธอ

พอเรือตีกลับผมก็ชี้ให้มัลดูความเด่นสง่าของรัชกาลที่ห้าที่ยืนหันหน้าออกไปยังอ่าวไทย ชี้เลยให้ดูเรือรบหลวงแม่กลองที่เคยเป็นประวัติศาสตร์ของน่านน้ำอ่าวไทยมาก่อน และผมยังให้เธอดูอู่ต่อเรือย่อยของบางกอกน้อย มัลลิกายิ้มน้อยยิ้มใหญ่ที่ได้เห็นสิ่งที่ผมชี้ให้ดู พอเห็นแล้วผมก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ตามเธอไปด้วย

พวกเราขึ้นเรือที่ท่าเรือวิบูลย์ศรีของฝั่งพระสมุทรเจดีย์เพื่อไปป้อมพระจุลต่อ แล้วพักทานอาหารกันที่นั่น ร้านอาหารที่ผมอยากให้เธอเข้าไปชิมก็คือร้ายอาหารท้ายเรือนี่แหละ ผมพาเธอหันไปมองบรรยากาศที่อยู่รอบร้านอย่างภูมิใจเหมือนกับตัวเองเป็นเจ้าของร้านนี้เลย “ร้านนี่หันหน้าเข้าอ่าวไทย ด้านขวาก็เป็นเรือรบหลวงแม่กลอง ด้านซ้ายเป็นป่าชายเลนของสมุทรปราการ ด้านหลังก็เป็นอุทยานประวัติศาสตร์ทหารเรือ โน่นอีกด้านขวาหลังเห็นมั้ยป้อมปืน…”

“วัจน์นี่รู้เยอะนะ” เธอหัวเราะเสียงเบาเมื่อนั่งลงเรียบร้อยแล้ว

“ก็ตามเพื่อนมาน่ะแหละ พอดีมันเป็นไกด์ท้องถิ่น เห็นมันบอกว่าอยากสอบเก็บเวลาไกด์เป็นไกด์ภูมิภาคเสียที ตามมันไปบ่อยก็เลยพอจำได้บ้างว่าที่ไหนเป็นที่ไหน แต่ก็ไม่ชำนาญเท่ามันหรอกนะ”

พวกเราใช้เวลาพักทานข้าวร่วมชั่วโมงเห็นจะได้ ผมพามัลลิกาไปเที่ยวต่อชนิดไม่รู้จักเหนื่อยทันที ก็เพราะลูกทัวร์ผมคนนี้ช่างทำสายตาอยากรู้อยากเห็นเสียเหลือเกิน ผมก็ต้องตอบสนองต่อความอยากรู้ของเธอเสียหน่อยล่ะ ผมพามัลลิกาขึ้นเรือรบหลวงแม่กลองที่เดินออกมาจากร้านแค่เพียงห้านาทีก็ถึง ผมพาเธอเดินดูในเรือบอกถึงประวัติความเป็นมาของเรือลำนี้ จนมาถึงห้องพลเรือน เจ้ากรรมฟ้าบันดาลก็ทำให้ผมต้องรับร่างเพรียวที่สะดุดลงมาปะทะกับผมเข้าพอดี

โอ้! พระแม่เจ้า ทำไมถึงได้ช่างกลั่นแกล้งขนาดนี้นะ มัลลิกาทำท่าเขินครู่หนึ่งก่อนจะทรงตัวเดินนำผมต่อไป ผมหัวเราะในลำคอลูบท้ายทอยตัวเองเพราะเขินเหมือนกัน แต่ก็คงไม่มากเท่ามัลลิกาหรอกนะ ผมพาเธอไปยอดบนสุดของเรือลำนี้ ท้องน้ำส่องประกายเล่นล้อกับแสงตะวันทำให้ตรงนี้ดูจะโรคแมนติคขึ้นมา แต่คนที่ยืนอยู่ข้างผมนี่สิ คงไม่ได้คิดอะไรแน่เลย เพราะสายตาของเธอเต็มไปด้วยแววตาแห่งความชื่นชมยินดีเท่านั้น

“ขอบคุณมากนะวัจน์” ผมคลี่ยิ้มเล็กน้อย ลมพัดโกรกปะทะเข้ากับใบหน้า พัดพาเอาผมยาวประบ่าหอมกลิ่นแชมพูกระทบเข้ากับหน้าผมด้วย “มัลคงลืมไม่ลงเลยล่ะ”

“ถ้ามัลอยากไปที่ไหนอีกผมจะพาไปเลยล่ะ” และคราวนี้มัลลิกาเงียบไม่พูดอะไรต่อ มองดูวิวที่เห็นได้โดยรอบ ครู่หนึ่งผมเห็นเหมือนกับหน้าของเธอหมองลง หรือผมจะตาฝาดหรือเปล่าไม่รู้ พอลงมาจากเรือรบหลวงผมก็พาเธอไปดูช้างเอราวัณที่มัลลิการบเร้าอยากให้พาไปดู ตอนเห็นเงาสะท้อนของมันตอนล่องน้ำต่อ

จะว่าไปแล้วสมุทรปราการนี่เที่ยวสามวันก็ยังเที่ยวไม่หมดเลย แค่วันเดียวนี่ก็เล่นทำเอาผมลิ้นห้อยได้เหมือนกัน ท่าทางผมจะถนัดเที่ยวมากกว่าจะถนัดเป็นไกด์อธิบาย มัลลิกาก็แสบไม่ใช่เล่น รู้ว่าผมอธิบายไม่เก่งก็ยังคะยั้นคะยอให้ผมพูดเสียให้ได้ แล้วผมก็ใจอ่อนให้กับเจ้าหล่อนเสียทุกครั้ง พูดไปพูดมาชักคอแห้งผมก็ซื้อน้ำกินมองดูเวลาที่เรียกว่าเย็นย่ำแล้วอย่าง เสียดาย “เย็นแล้วเรารีบกลับเถอะ ถึงที่สวนก็มืดพอดี”

เรานั่งรถมเมล์สาย 6 คันใหญ่ไปจนถึงสวนสันติ ผมเดินจูงมือเธอไปเงียบๆ ทุกอย่างดูเงียบไปหมด มือเธอเริ่มเย็นขึ้นจนผมบีบมือเธอแน่น และมัลลิกาก็บีบมือผมตอบ นั่นยิ่งทำให้ผมใจเต้นแรงกว่าทุกครั้งที่ผ่านมาเสียอีก บรรยากาศมันดูวังเวงจนผมกลัว ทั้งที่เวลานี้ยังมีคนอยู่ในสวนประปราย แต่ผมรู้สึกเหมือนกับว่าตรงนี้มีแค่ผมกับมัลลิกาเพียงสองคน

“ตอนที่เจอกันครั้งแรก มัลบอกว่าที่เราเจอกันนี่อาจจะเป็นเพราะฟ้าข้างบน ผมเองก็อาจจะเชื่อนะ” ผมพูดออกไปอย่างไม่อาย ความรู้สึกของผมพรั่งพรูออกมาจนเรียงร้อยเป็นถ้อยคำได้แบบนี้

“วันนี้มัลสนุกมาก วัจน์พูดเก่งสมชื่อเลย มัลคงลืมไม่ลงจริงๆน่ะแหละ”

มัลลิกาตอบพลางยิ้มน้อย ผมหัวเราะร่วมไปกับเธอ นาทีต่อมาก็รู้สึกใจหายเมื่อเห็นเธอทำหน้าจริงจังผิดปกติ สัญชาตญาณของผมบอกให้ผมคว้ามือเธอเอาไว้แต่ว่ามันคว้าได้แต่อากาศเปล่า ร่างกายของมัลลิกาเลือนลางลงไปแทบจะทันทีจนผมตกใจ แต่ร่างกายนั้นก็แจ่มชัดขึ้นมาอีกครั้ง…นี่มันเกิดอะไรขึ้น!!

“กลัวเหรอ” มัลลิกาทำเสียงเศร้าเมื่อเห็นผมชักเท้าถอยหลัง ผมสะดุ้งส่ายหน้าอย่างเชื่องช้า “ก็สมควรอยู่หรอกถ้าเห็นแบบนี้ก็กลัวกันเป็นของธรรมดา” เสียงเธอดูเย็นชาขึ้นเล็กน้อย ทำสายตาเหมือนผิดหวังกับตัวผมเป็นอย่างมาก

ผมกลืนก้อนน้ำลายลงคออย่างลำบาก คนที่ยืนต่อหน้าผมนี่คือสิ่งที่เรียกว่าผีหรือวิญญาณหรือเปล่านะ และผมสะดุดวูบขึ้นมาเมื่อความคิดแล่นไปนึกถึงความฝันที่นึกขึ้นมาได้เมื่อเช้า มันอาจจะเป็นมือของมัลลิกาก็ได้ที่ฉุดผมขึ้นมา เหตุการณ์ที่ผมฝันเห็นอาจเป็นเหตุการณ์ของมัลลิกาที่อยากให้ผมได้รับรู้ “คิดว่าไม่ได้กลัวนะ แค่ตกใจ”

“แต่มัลก็ดีใจนะที่ได้คุยกับวัจน์” อากาศโดยรอบมืดลงทุกที มีเพียงแสงไฟที่ส่องกระทบลงมาบนร่างเราสองคนเท่านั้น เสียงของเธอดูเศร้าเสียจนผมสะเทือนใจไปด้วย ผมไม่อยากจะคิดเลยว่าสิ่งที่ผมพอเดาได้ลางๆ คืออะไร

“เราจะไม่ได้พบกันอีกแล้วงั้นเหรอ” ความเงียบเข้าครอบคลุม ผมเจ็บลึกในอก ทำไมมัลลิกาถึงไม่ยอมตอบล่ะว่าที่ผมพูดมันผิด สังหรณ์บางอย่างทำให้ผมนึกอย่างนั้น ทุกอย่างมันยิ่งเงียบเข้าไปใหญ่จนผมใจหวิว

“เราอาจจะได้พบกันอีกนะ ที่ไหนซักแห่ง มัลเป็นคนบอกเองไม่ใช่เหรอว่าการพบกันของพวกเราอาจจะเป็นการนำพาของคนที่ อยู่ข้างบน” ผมปลอบมัลลิการวมถึงตัวเองไปด้วย เคลื่อนตัวเข้าไปใกล้เธอมากขึ้น ยกมือเธอขึ้นมากุมไว้

มือของมัลลิกาก็อุ่นเหมือนกับคนทั่วไป ไม่เห็นเหมือนมือของคนที่ตายแล้วเลย ผมไม่อยากจะคิดว่าเธอตายไปแล้ว ผมยังหวังอะไรได้อยู่อีกหรือเปล่านะ “ผมจะคอยมัลนะ ผมจะคอยมัลอยู่ที่นี่ ตรงนี้ แล้วสักวันเราอาจจะพบกันอีกครั้ง”

“สักวัน…”…ทั้งที่ความหวังแบบนั้นมันน้อยเหลือเกิน

“ใช่ สักวัน ผมจะรอมัล” ผมพูดเสียงเครือทั้งที่ไม่รู้ว่าสักวันที่เราจะเจอกันมันตอนไหน ลำคอตีบตันจนเจ็บ มือยกปาดน้ำตาที่ไหลออกมาจากดวงตาสีน้ำตาลสวย และร่างของเธอก็หายไป หายไปทั้งน้ำตาและรอยยิ้ม ผมบีบมือตัวเองที่ยังเหลือสัมผัสของมัลลิกาไว้อยู่ มันอบอุ่นไม่เย็นซีดเหมือนอย่างคนตายเลย





นับจากวันนั้นก็ผ่านมา 3 ปีแล้ว ผมเทียวไปเทียวมาที่สวนสันติบ่อยครั้งขึ้นกว่าเดิม พอมีเวลาว่างทีไรผมก็มักจะไปทุกที เผื่อว่าผมจะได้เจอมัลลิกาอีกครั้งตามที่เคยสัญญากันไว้ โอกาสที่ผมหวังมันมีไม่ถึง 1% แต่ในส่วนน้อยนิดนั้นคือความเป็นไปได้ที่เราจะได้พบกัน

ผู้หญิงที่ชื่อมัลลิกายังคงฝังตรึงอยู่ในใจผม รูปร่างหน้าตาและรอยยิ้ม ผมยังจำได้ดีถึงมันจะผ่านมานานแล้วก็ตามที วันที่เราไปเที่ยวสมุทรปราการผมก็ยังจำได้ ทุกอิริยาบถของเธอ ผมสงสัยตัวเองเหลือเกินว่าผมชอบมัลลิกาหรือเปล่า ผู้หญิงที่คบกันมาก็เลิกกันไปเพราะใจผมมีแต่ใบหน้าของมัลลิกา ผมกลั้วหัวเราะในลำคอพลางส่ายหน้า

“มัล…ผมคิดถึงมัลเหลือเกิน อยากจะพบมัลไวๆ” …เผื่อผมจะได้รู้และมั่นใจกับตัวเองว่าชอบมัลลิกาเข้าให้แล้ว ผมจะได้บอกกับเธอ

แผ่นกระดาษสีขาวปลิวผ่านหน้าผมไปทำให้ต้องคว้ามันไว้ หันกลับไปมองกระดาษหลายแผ่นที่ลอยละลิ่วตามลมมา ผมรีบช่วยเก็บแผ่นกระดาษที่เดาว่ามันเป็นโน๊ตดนตรีไทย มีแต่ชื่อเพลงที่ผมไม่รู้จัก นกเขาขะแมร์ ทองย่อน สีนวล โหมโรงไอยเรศ ลาวดวงเดือน …เออ อันนี้ค่อยรู้จักหน่อย

“ลมแรงจังเลยนะครับ” ผมยิ้มพลางยื่นโน๊ตดนตรีที่ช่วยเก็บส่งคืนให้เจ้าของที่มีผมยาวประบ่าปลิวไปตามลมจนยุ่งเหยิง

“ค่ะ ไม่รู้ว่ามันปลิวออกมาได้ยังไง คิดว่าเก็บดีแล้วนะเนี่ย” เธอคนนั้นบ่นพึมพำเสียงเบา รวบรวมเอากระดาษสีขาวที่บรรจุทำนองโน๊ตเพลงต่างๆ ไว้ลงแฟ้มอย่างลวกๆ ริมฝีปากบางขมุบขมิบนับจำนวนกระดาษที่ดูเหมือนจะไม่ครบ

“ว้า ขาดไปอีกแผ่น อยู่ไหนนะ”

“อ้าว! นั่นไง!! ลอยไปโน่นแล้ว” และผมกับเธอก็วิ่งไล่ตามจับกระดาษที่ปลิวไปเรื่อย พอเข้าใกล้ ลมก็พัดให้มันหนีห่างมือพวกเราไปอีก

“เฮ้อ…จับได้เสียที” เสียงเธอบ่นพึมพำ ผมมองดูจุดที่พวกเรายืนอยู่ สถานที่นี้เป็นสถานที่ผมพบกับมัลลิกาครั้งแรก

“บางทีน้ำตรงนี้ก็น่ากลัวนะ จะทำให้เราจมลงไปไม่รู้ตัว” ใครจงใจให้ผมพูดแบบนั้นออกไปนะ แต่ผมก็รู้คำตอบเลยเมื่อได้ยินคำพูดของคนที่ยืนอยู่ข้างๆ

“ฉันเองก็เคยจมลงตรงนั้น นอนหลับไปนานตั้ง 1 ปี พอฟื้นขึ้นมาพ่อแม่ก็ร้องไห้เสียยกใหญ่ เราเองก็ไม่รู้เรื่องอะไร ความจริงปีนี้ฉันต้องอยู่มหาลัยปี 2 แล้วนะ แต่มาเสียเวลาตรงที่นอนอหลับเพลินนี่สิ นึกแล้วก็เสียดายเหมือนกัน” เธอปรับทุกข์กับผมที่พยักหน้ารับฟัง ผมยิ้มน้อยมองเธอที่สนิทสนมกับคนง่ายเหลือเกิน

“แต่บางทีช่วงเวลาที่หลับไปคงจะเป็นเพราะความตั้งใจของคนที่อยู่ข้างบน โน้นก็ได้มั้ง” เธอแหงนขึ้นมองฟ้าครามไร้เมฆ เหมือนกับผมเมื่อครั้งนั้นที่มองตามมือของมัลลิกาไป

“งั้นถ้าเป็นจริงเขาจะทำไปทำไมล่ะ” ผมหัวเราะเป็นคำตอบ

“ก็ช่วงที่คุณหลับ คุณอาจจะไปพบกับใครบางคนก็ได้ ใครจะไปรู้จริงไหม…”

“มัล!! ลุงเรียกซ้อมดนตรีแล้ว” เธอที่จะอ้าปากพูดต่อเป็นต้องหุบลงไปแล้วก้มหัวเป็นเชิงลา ก่อนจะวิ่งไปหาเพื่อนที่เรียกชื่อเธอ ผมควรจะตามเธอไปดีมั้ยนะ ไปตามบอกข้อข้องใจที่เธอจะถามผม และข้อข้องใจของผมที่กำลังจะบอกกับเธอ แล้วผมควรจะพูดกับเธอว่าอะไรดีล่ะ

“ดีใจที่พบกันอีกครั้ง” …เธอคงมีคำถามเพิ่มขึ้นมาอีกข้อแน่เลย




Create Date : 25 มกราคม 2555
Last Update : 26 ตุลาคม 2556 16:55:04 น.
Counter : 270 Pageviews.

2 comment
พิษเสน่หา (รามิล x กิ่งดาว) ก่อนเปิดเรื่อง


จะเรียกว่าอะไรดี
สองสามปีที่ผ่านมานี้ ผู้เขียนแทบไม่ได้จับปากกาเขียนนิยายเป็นชิ้นเป็นอันเท่าไร
จากที่เคยสัญญากับนักอ่านที่อุตส่าห์เข้ามาเป็นแฟนคลับว่าจะพยายามเขียนตอนใหม่ ก็ดูจะเหมือนควันลอยล่องที่ไม่สามารถจับต้องได้
ซึ่งพอผ่านเวลาช่วงหนึ่ง ผู้เขียนกลับพบเรื่องที่น่ากลัวอย่างหนึ่งคือ เราไม่สามารถเรียบเรียงสิ่งที่แล่นอยู่ในสมองให้ออกมาโลดแล่นเป็นตัวหนังสือได้ตามใจคิดเสียแล้ว
เหมือนถูกบล็อค ถูกล็อคมือให้เขียนหนังสือไม่ออกไปเสียอย่างนั้น



จะว่าไป
เรื่องนี้ก็เกิดขึ้นเพราะผู้เขียนอยากหาวิธีแก้อาการเขียนหนังสือไม่ออก
เลยลองกับนิยายเรื่องเก่าที่เคยเขียน เรื่องนี้ผู้เขียนตั้งใจให้เรื่องดำเนินไปตามชื่อของมัน
นั่นคือ “พิษเสน่หา” แต่ไม่รู้ทำไมเรื่องกลับแหวกไปอีกทางได้ก็ไม่รู้ (ฮา)
ซึ่งแต่เดิมที่ผู้เขียนตั้งใจไว้คือ อยากหาชายหญิงคู่หนึ่งที่แตกต่างกันสุดขั้ว
คนหนึ่งโดดเด่นแพรวพราวเหมือนเดือนบนฟ้า
ขณะที่อีกคนมืดมนและเย็นชายิ่งกว่าเหวลึกในมหาสมุทร
ซึ่งมันเป็นความท้าทายอย่างหนึ่งของตัวเองที่จะทำอย่างไรให้คนสองคนที่มีลักษณะนิสัยและสิ่งแวดล้อมที่แตกต่างกันสุดขั้วหันมาสนใจกันได้
แต่กลัวว่าด้วยความมักง่ายของตัวเอง จะตัดช่องน้อยแต่พอตัว
ตัดโน่นเติมนี่เพื่อหาเหตุผลเอื้อให้ทั้งคู่ได้รักกันจังเลยแฮะ....งึมงำ



เรื่องนี้จะยังคงดำเนินพล็อตไปตามเรื่องเก่า
มีแตกต่างกันไปบ้างในบางจุด ความเร็วในการเขียนคงจะช้า
แต่ก็ขอให้เขียนได้ดีกว่าเขียนไม่ได้เลย




ฌา


26 พฤศจิกายน
2554






Create Date : 26 พฤศจิกายน 2554
Last Update : 26 ตุลาคม 2556 17:16:05 น.
Counter : 282 Pageviews.

0 comment
มงกุฎรักตำหนักขาว 1

บทที่ ๑ โจรขโมยกุหลาบ

ท้องฟ้าคำรนคำรามมาได้สักระยะหนึ่งแล้วแม้แต่เมฆยังม้วนตัวบิดเป็นเกลียว และเคลื่อนเข้าบดบังผืนฟ้าจนมืดมิด อีกทั้งสายลมยังเป็นใจช่วยโห่ไล่และข่มขวัญเหล่าต้นไม้น้อยใหญ่ให้เอนลู่ไปตามแรงกรรโชก จนผู้คนที่อยู่เบื้องล่างแทบจะหลบอารมณ์แปรปรวนบนฟากฟ้าไม่ทัน

แต่คงต้องยกเว้นร่างหนึ่งในชุดคลุมสีดำที่ยังนอนแผ่หลาอยู่กลางดงดอกไม้ขาวที่ถูกสายลมเด็ดกลีบปลิดใบทอดเศษร่างให้สายลมพัดพาไปอย่างไร้จุดหมายกระนั้นก็มีกลีบหนึ่งลอยผ่านลมเปรยแล้วทิ้งร่างลงบนริมฝีปากที่มีสีแดงระเรื่อเหมือนตัวของมัน

มือหนาไล้กลีบดอกด้วยสัมผัสผะแผ่วดวงตาปรือเปิดขึ้นอย่างเชื่องช้าราวกับมีบางอย่างมาดลใจให้มองภาพกลีบดอกไม้สองสีที่เคลียเคล้าคู่กันเขามองเหม่ออยู่นานจนกระทั่งได้ยินเสียงสนทนาของใครบางคนลอยแว่วมาให้ได้ยิน

“อา...ทุ่งกุหลาบที่นี่สวยจัง ใครเป็นเจ้าของหรือ ข้าอยากได้กุหลาบขาวพวกนี้มากเลยนะ”

สุ้มเสียงหวานที่ดังมาพร้อมกับเสียงลมพอจะช่วยให้เจ้าของร่างในชุดคลุมสีดำหลุดออกมาจากวังวนความคิดที่ไร้ทางออกได้บ้างเขาผงกศีรษะขึ้นเล็กน้อยเพื่อจับตำแหน่งที่มาของเสียง

“ไม่ได้หรอกค่ะท่านพี่ ที่นี่คือทุ่งมาวารไกลาสของเจ้าชโยทะนา ท่านหวงมันมากจนแทบไม่เคยอนุญาตให้ใครเก็บเลยค่ะ”อีกเสียงหนึ่งที่หวานไม่แพ้กันตอบกลับมาบ้าง แต่ในน้ำเสียงนี้ฟังดูค่อนข้างลำบากใจกับการตอบคำถามและความต้องการของอีกฝ่าย

“เมื่อกี้เจ้าบอกว่าแทบไม่เคยอนุญาต แสดงว่ามีคนได้รับอนุญาตให้เก็บกุหลาบขาวพวกนี้ได้ใช่ไหม”

“อา...ก็พวกคนสวนนั่นแหละค่ะพวกเขาได้รับอนุญาตให้เก็บกุหลาบพวกนี้เพื่อไปทำน้ำหอมที่คนในวังนิยมใช้กันไงคะ”

“อย่าริมาโกหกข้านะ มีวิธีไหนบ้างที่ข้าจะได้กุหลาบพวกนี้ แม่หญิงแก่นจันทร์”

“โธ่...ท่านพี่คะ”

“แก่นจันทร์...” ชื่อนี้เป็นที่รู้จักของคนทั้งเมืองเลยทีเดียว เพราะหากจะถามว่าหญิงใดงามที่สุดในเมืองนี้คำตอบคงไม่พ้นแก่นจันทร์ บุตรีคนเล็กของกรวิกเป็นแน่

ถ้าแก่นจันทร์คนนี้เป็นคนเดียวกับบุตรีของอดีตข้าหลวงใหญ่จากเมืองหลวง“ท่านพี่” ที่หญิงสาวพูดคุยด้วยก็เดาได้ไม่ยากว่าเป็นใคร เพราะเธอมีพี่สาวต่างมารดาอยู่คนหนึ่งอีกทั้งยังมีเสียงร่ำลือถึงนิสัยที่ตรงกันข้ามกับขนิษฐาราวนางฟ้ากับแม่มดเลยทีเดียว

ผิดแต่ว่าน้ำเสียงของ “ท่านพี่” คนนี้ดูไม่เหมือนแม่มดตามคำกล่าวของคนในเมืองเท่าไรนัก

“นั่นใครน่ะ! มาทำอะไรในสวนของเจ้าชโยทะนา”

“อ๊ะ! ท่านพี่คะเรารีบออกไปจากทุ่งนี้กันเถอะค่ะเราไม่ควรให้ใครรู้ว่าท่านพี่อยู่ที่นี่นะคะ”แก่นจันทร์ละล่ำละลักเอ่ยออกไปด้วยความตกใจ เมื่อได้ยินเสียงตะโกนดังมาแต่ไกลแต่ดูเหมือนว่าคนที่ถูกชักชวนให้รีบกลับจะยังอิดออดไม่ยอมไป

“แต่ว่าแก่นจันทร์ ข้าอยากได้กุหลาบขาวพวกนี้จริง ๆ นะช่วยหาวิธีให้ข้าได้มันมาหน่อยสิ”

“ไว้ก่อนเถอะค่ะถ้าถูกจับได้แล้วเรื่องรู้ไปถึงหูพี่กุสุมาว่าข้าพาท่านหนีมาเที่ยวข้างนอกโดยไม่ขออนุญาตข้าโดนตีตายแน่”

ชายหนุ่มหลับตาลงเมื่อทุกอย่างกลับคืนสู่สภาพเดิมแต่ละอองฝนที่โปรยปรายลงมาทำให้เขาต้องลืมตาขึ้นมาอีกครั้งคราครั้งนี้เขาพบกับร่างโปร่งระหงของหญิงสาวนางหนึ่งที่ยืนเท้าสะเอวอยู่ตรงปลายเท้าพลางทำหน้าถมึงทึงราวกับแม่ยักษ์ก็ไม่ปาน

“ท่านมณินทร! ในที่สุดก็หาตัวเจอเสียที”

ฝนตกลงมาแล้ว แต่โศธินยังไม่เห็นแม้แต่เงาของคนที่หายตัวไปถึงสองคนชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองฟ้าที่ทิ้งสายฝนเม็ดหนาลงมา เขาทอดถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ พลางเดาว่าตัวเองจะโดนอะไรบ้างหลังจากที่ทั้งสองคนนั้นกลับมา

“โศธิน! โศธินอยู่ที่ไหน!”

เจ้าของเสียงนี้จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากจารวีหัวหน้าแม่บ้านที่ออกตระเวนตามหาเจ้านายตั้งแต่ช่วงเที่ยง และการที่เธอมาเรียกชื่อของเขาได้อย่างนี้ก็แปลว่าพบตัวคนที่ตามหาแล้วชายหนุ่มสูดลมหายใจลึกเพื่อเตรียมรับคำบ่นของหัวหน้าแม่บ้านผู้แสนเอาการเอางานแต่เขาสารภาพกับตัวเองเลยว่าไม่ได้เตรียมใจกับสภาพของคนที่ตัวเองต้องออกมาต้อนรับเลย

“จารวี! นี่เจ้าพาท่านมณินทรไปเล่นน้ำที่ไหนกันมาเปียกโชกเหมือนลูกหมาตกน้ำเชียวนะ” โศธินเอ่ยถามพลางพยายามกลั้นเสียงหัวเราะไม่ให้หลุดออกไปอย่างเสียมารยาททั้งต่อเจ้านายและหญิงสาวที่ชายหนุ่มทั้งรักทั้งเกรงอยู่ในที

“น้ำฝนนอกตำหนักนี่ไงล่ะ ตาบอดหรือไงกัน” จารวีสะบัดเสียงตอบ แต่ไม่วายส่งสายตาแกมดุไปยังเจ้านายที่ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ว่าตัวเองเป็นสาเหตุให้ทั้งเธอและเขาเปียกปอนจนดูไม่ได้แบบนี้“ท่านมณินทรนี่น่าตีนักเชียว กว่าจะยอมออกมาจากทุ่งมาวารไกลาสได้ต้องรอให้ฝนมาไล่ถ้าไม่สบายขึ้นมาจะทำอย่างไรกัน”

นอกจากจะอยากตีคนที่ทำให้ตัวเองเปียกโชกแล้วจารวีก็นึกอยากหยิกใบหน้าเปื้อนยิ้มของหัวหน้าพ่อบ้านที่ชอบทำอะไรเอื่อยเฉื่อยขึ้นมาครามครันแต่ติดตรงที่ยังมีเจ้านายยืนนิ่งไม่ต่างจากตุ๊กตาไม้อยู่ด้านข้างจึงไม่อาจทำได้ตามใจคิดหญิงสาวจึงทำเพียงถลึงตาดุใส่

“โศธิน ข้าฝากท่านมณินทรให้เจ้าช่วยดูแลต่อทีข้าจะรีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วเดี๋ยวจะตามไปที่ห้อง” จารวีฝากวานให้ชายหนุ่มรับช่วงต่อพลางขึงตาใส่คนที่ยังยืนยิ้มพรายอยู่ตรงหน้า“และข้าก็หวังว่าจะเห็นเจ้ากับท่านมณินทรที่ห้องนะ”พอมอบหมายงานให้หัวหน้าพ่อบ้านที่ชอบอู้งานเสร็จร่างโปร่งระหงก็เดินลิ่วจากไปแบบไม่เหลียวหลัง ทิ้งให้โศธินไล่สายตามองตามด้วยความทึ่งปนชื่นชม

“จารวีนี่เอาการเอางานเสมอเลยนะขอรับข้าเห็นนางแล้วรู้สึกเหนื่อยแทนอย่างไรไม่รู้” ชายหนุ่มหันไปทางเจ้านายที่ยังยืนนิ่งเหมือนหุ่นไม่พูดจาหรือสนทนาอะไรราวกับเป็นคนบ้าใบ้

หากจะบอกว่าเจ้ามณินทรเป็นคนบ้าก็ดูจะไม่ผิดเพี้ยนไปจากความจริงเท่าไรนักซึ่งพอโศธินนึกถึงต้นเหตุที่ทำให้เจ้านครของตัวเองต้องมีสภาพเช่นนี้ชายหนุ่มก็ต้องถอนหายใจออกมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า “เรารีบกลับห้องดีกว่าครับถ้าจารวีไปถึงห้องก่อนพวกเราคงได้มีเทศน์อีกชุดใหญ่ข้าว่าท่านคงไม่อยากฟังนางอบรมตลอดเย็นนี้แน่”

“มาช้า

จารวีขึ้นเสียงสูงทันทีที่เห็นโศธินเพิ่งพาเจ้ามณินทรเข้ามาในห้องมิหนำซ้ำยังมองชายหนุ่มด้วยสายตาถมึงทึงจนน่าหวั่นว่าหากเจ้าตัวไม่บ่นจนเสียงหมดไปก่อน คนมาช้าคงได้หูหนวกเพราะคำบ่นที่จะตามมาเป็นแน่ แต่จารวีไม่ได้ทำอย่างที่โศธินนึกกลัวหญิงสาวสะบัดหน้าเมินชายหนุ่มจนชวนให้หัวใจเจ็บจี๊ด แล้วเดินตรงไปหาเจ้ามณินทรที่ไม่อินังขังขอบต่อสิ่งใดทั้งสิ้นก่อนลากพาร่างสูงใหญ่เข้าไปยังส่วนที่ใช้อาบน้ำหลังฉากกั้นมีอ่างไม้บรรจุน้ำอุ่นเตรียมรอไว้เสร็จสรรพซึ่งเธอก็รีบถอดชุดคลุมสีดำที่เปียกชื้นออกจากตัวของคนตรงหน้า

“ท่านมณินทร...” หญิงสาวติงเสียงเบา เมื่อมือใหญ่รวบผ้าคลุมที่ปิดซ่อนเรือนกายและใบหน้าไว้แน่นราวดรุณีน้อยที่ขลาดอายเธอส่ายหน้าพร้อมกับถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่พลางมองร่างสูงใหญ่เดินโซซัดโซเซเข้าไปนอนแช่ในอ่างน้ำอุ่นทั้งสภาพอย่างนั้น

ท่อนขาแข็งแรงพาดยาวออกมานอกอ่างไม้ให้จารวีเดินเข้าไปถอดบูทหนังที่มีสีเดียวกับผ้าคลุมพอถอดเสร็จหญิงสาวก็ยกมือขึ้นเท้าเอวพลางมองสภาพของชายหนุ่มในอ่างน้ำที่ไม่ต่างอะไรกับเด็กชายวัยสิบขวบโดยมีโศธินพยายามกลั้นยิ้มไว้อย่างเต็มที่และพยายามอย่างมากที่จะไม่หลุดเสียงหัวเราะออกมา

จารวีคงลืมไปแล้วกระมังว่าเจ้านายของตัวเองไม่ใช่เด็กชายวัยห้าขวบที่เคยวิ่งไล่จับอาบน้ำอีกแล้วเจ้ามณินทรเป็นชายหนุ่มที่มีอายุล่วงเข้าเบญจเพสและเคยหล่อเหลาจนมีหญิงสาวมากมายอยากเข้ามาปรนนิบัติรับใช้ แต่เพราะเจ้ามณินทรมีนิสัยหวงเนื้อหวงตัวจึงไม่เคยมีหญิงสาวคนไหนเข้ามารับใช้ใกล้ชิดแบบจารวีเท่าไรนักอีกทั้งพอเกิดเหตุการณ์ในคืนโศกขีดความหวงเนื้อหวงตัวของเจ้ามณินทรก็พุ่งทะลุเกินระดับคนทั่วไป

“ทำไมถึงได้ดื้อแบบนี้ ไม่ใช่เด็กแล้วนะเจ้าคะ”

โศธินอยากโต้กับจารวีนักว่าเจ้ามณินทรก็ดื้อมาตั้งแต่เล็กจนโตนั่นล่ะ และยังเป็นคนที่ดื้อเงียบอีกด้วยตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ เรื่องที่อดีตเจ้าชโยทะนาเคี่ยวเข็ญให้บุตรชายร่ำเรียนเชิงดาบแต่เจ้าตัวกลับสนใจแต่หนังสือโดยเฉพาะด้านโหราศาสตร์และดาราศาสตร์ถึงขนาดแอบหนีไปหมกตัวอยู่บนยอดหอคอยที่อยู่ด้านข้างติดริมผาของตำหนักหริจันทน์ จนมีเสียงลือไปว่าบุตรชายของผู้ครองนครฝักใฝ่ในศาสตร์มืด

ไม่มีใครรู้ว่าเรื่องของเจ้ามณินทรถูกลือไปทางนั้นได้อย่างไรแต่โชคดีนักที่ไม่มีใครเชื่อถือข่าวลือจวบจนเกิดเหตุเพลิงไหม้ตำหนักหริจันทน์เมื่อห้าปีก่อนที่ได้สั่นคลอนความเชื่อของคนทั้งชโยทะนาเหตุการณ์นั้นทำให้คนทั้งชโยทะนาต้องสูญเสียเจ้าผู้ครองนครไปพร้อมกับชายา และอารมณ์ของเจ้ามณินทรเองก็เริ่มปรวนแปรวิปริต

อย่างเช่นในวันที่ฟ้าครึ้มและมีฝน เจ้ามณินทรมักจะพูดน้อยหรือบางทีอาจจะไม่พูดอะไรเลยหลายคนต่างชอบอาการนี้ของเจ้านครมากกว่าตอนที่อีกฝ่ายแสดงอาการโมโหร้ายเสียอีกโดยเฉพาะวันไหนที่มีฝนตกฟ้าคะนอง เจ้าของตำหนักหริจันทน์ก็ดูจะถูกความปั่นป่วนของสภาพอากาศทำให้อาละวาดหนักยิ่งกว่าคนบ้า

โศธินมองจารวีที่ยื้อยุดฉุดดึงผ้าคลุมดำออกมาจากตัวของเจ้ามณินทรเผยให้เห็นรอยแผลที่จารอยู่เต็มครึ่งหน้าซีกซ้ายและตามลำตัว ซึ่งคงมีเพียงคนชิดใกล้ที่จะไม่ผงะไปหลังจากได้เห็นรอยแผลฉกรรจ์ที่เป็นต้นเหตุให้บรรดาหญิงสาวที่อยากใกล้ชิดผู้ปกครองหนุ่มพากันถอยหนีแทบไม่ทัน

“จะมีผู้หญิงคนไหนที่ไม่หวาดกลัวต่อบาดแผลนี้บ้างนะ”

หัวหน้าพ่อบ้านพ่นลมหายใจกับถ้อยคำที่ฟังมาไม่ต่ำกว่าพันรอบแต่ละรอบที่จารวีเอ่ยมักเกิดขึ้นจากความวิตกของพี่เลี้ยงสาวที่หวาดกลัวว่าจะไม่มีหญิงสาวที่ดีพร้อมและเหมาะสมกับเจ้ามณินทรมาอยู่เป็นคู่ตุนาหงันซึ่งมาตรฐานของเธอมีเพียงแค่อยากได้ผู้หญิงที่ไม่กลัวเกรงต่อรอยอัปลักษณ์บนใบหน้าของผู้ปกครองหนุ่มรวมถึงอุปนิสัยที่ค่อนข้างจะรับได้ยากสำหรับคนทั่วไป ซึ่งคนที่โศธินเห็นว่าเข้าข่ายนี้ก็มีแต่คนพูดแต่เขาไม่คิดจะยกเธอให้กับผู้ชายหน้าไหน แม้ว่าผู้ชายคนนั้นจะเป็นเจ้านายที่เล่นด้วยกันมาตั้งแต่เยาว์วัยก็ตามที

“ท่านมณินทร

เสียงร้องของจารวีฉุดสติของโศธินให้ออกมาจากภวังค์ความคิดแล้วรีบหันไปมองต้นเหตุที่ทำให้หญิงสาวร้องเสียงหลงชายหนุ่มหลุดหัวเราะออกมาเสียงดังเมื่อภาพที่เห็นคือภาพของผู้ปกครองหนุ่มที่ถูกจับเปลื้องผ้าเสียเกือบล่อนจ้อนที่เอนตัวลงนอนราบใต้ผิวน้ำและไม่มีทีท่าจะผุดขึ้นมาหายใจเสียด้วย

“ท่านมณินทรอย่าทำแบบนี้นะ โผล่ขึ้นมาเดี๋ยวนี้เลย ท่านมณินทร

หลังจากโดนจารวีบ่นจนหูชาไปทั้งนายและบ่าว เจ้ามณินทรก็ตรงดิ่งไปยังหอคอยข้างตำหนักทันทีหอคอยแห่งนี้เป็นสถานที่ส่วนบุคคลที่ไม่อนุญาตให้ใครเข้าไปได้นอกจากโศธินกับจารวีที่เข้ามาคอยดูแลทำความสะอาดแบบวันเว้นวัน

มีหลายเสียงที่ไม่ทราบแหล่งที่มาบอกว่าบนยอดหอคอยตำหนักหริจันทน์เป็นสถานที่ที่เจ้ามณินทรใช้ประกอบพิธีไสยศาสตร์มนตร์ดำจนถึงขนาดมีคนริลองของแอบลักลอบเข้าไปในหอคอยเพื่อพิสูจน์เรื่องนี้ แต่ก็โดนผู้ปกครองหนุ่มจับได้ทุกครั้งราวกับมีภูตผีมากระซิบบอกซึ่งผลของการลองดีคือการถูกลงโทษหนักปางตาย และทำให้ไม่มีใครกล้าเสี่ยงเข้ามาพิสูจน์ข้อเท็จจริงของข่าวลือนั้นอีก

แสงจากดวงโคมที่ถูกจุดเผยให้เห็นสภาพรอบห้องบนยอดหอคอยที่มีชั้นหนังสือเป็นผนังรอบด้านส่วนที่อยู่ตรงข้ามกับประตูที่เข้ามาในห้องหอคอยคือ แผนที่อาณาจักรอุษาปารีกับอาณาจักรเพื่อนบ้านที่อยู่ในทวีปเดียวกันและทวีปใกล้เคียง

นครชโยทะนาอยู่สุดเขตแดนตะวันตกของทวีป มีอาณาเขตติดทะเลยาวไปถึงด้านเหนือที่มีแนวเขากั้นอาณาจักรเพื่อนบ้านไว้ซึ่งตำหนักหริจันทน์ก็ตั้งอยู่บนเชิงเขาที่เป็นดั่งเส้นกั้นพรมแดนนั่นเอง

ถัดจากแผนที่แผ่นใหญ่เป็นบันไดที่ขึ้นไปสู่ชั้นสองที่เป็นรูปครึ่งวงกลมพื้นที่นี้อยู่เหนือประตูทางเข้าหอคอย ซึ่งมีหน้าต่างที่จะเปิดให้เห็นพื้นที่โดยรอบของชโยทะนาที่มีอาณาเขตจรดกับพื้นน้ำมหาสมุทรที่อยู่ไกลสุดลูกหูลูกตาและยังมีบันไดเล็กที่สามารถขึ้นไปบนยอดหอคอยที่แขวนธงสัญลักษณ์ประจำตระกูลของเจ้าผู้ปกครองเมือง

เจ้ามณินทรขึ้นบันไดชั้นสองขึ้นไปอย่างเชื่องช้าผ่านมุมที่มีเตียงสี่เสาขนาดหกฟุตครึ่งที่ใช้หลับนอนบ่อยครั้งยิ่งกว่าห้องพักจริงในตำหนักแล้วตรงไปยังหน้าต่างที่อยู่ในมุมตั้งฉากกับชั้นล่างซึ่งบานนี้เปิดให้เห็นทุ่งกุหลาบขาวที่ทอดตัวบานสะพรั่งไปจรดชายป่าสนและตัวเมืองเลียบชายเขาที่ถูกกั้นด้วยคลองเส้นใหญ่

ตัวเมืองถูกปกคลุมด้วยฝนโปรยปรายปกปิดความเคลื่อนไหวบางอย่างที่ไม่ได้เป็นความลับเสียเท่าไรนักแต่ก็มีน้อยคนที่จะสังเกตเห็นรถม้าที่ไม่ระบุสัญชาติและยังมีการคุ้มกันแน่นหนาผ่านเข้าอาณาเขตคฤหาสน์เอราวัณเมื่อสัปดาห์ก่อน

การมาของบุคคลที่อยู่ในรถม้าคันนั้นถูกปกปิดเป็นความลับอย่างที่สุดอีกทั้งยังมีการลวงผู้เฝ้ามองการเคลื่อนไหวด้วยรถม้าที่คล้ายกันนี้อีกเก้าสิบเก้าคันพวกมันวิ่งกระจัดกระจายไปตามบ้านพักของเหล่าข้าราชสำนักน้อยใหญ่ทั่วอาณาจักรเพื่อสร้างความสับสนและคลุมเครือแต่เจ้ามณินทรก็ไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะส่งว่าที่ราชินีของตัวเองมาให้คนที่เคยมีเรื่องบาดหมางกับราชสำนักคอยดูแลแบบนี้

สายตาของเจ้ามณินทรมุ่งตรงไปยังยอดหลังคาที่โผล่วับแวมในทิวสนเขาจำได้ว่าส่วนของยอดหลังคานั้นเป็นของคฤหาสน์เอราวัณ ที่พำนักของกรวิกที่ชอบทำตัวคะคานอำนาจกับเจ้าชโยทะนาชายหนุ่มกระตุกมุมปากขึ้นหยัดยิ้ม เมื่อนึกไปถึงบทสนทนาที่บังเอิญได้ยินมา

เขาเชื่อว่าคนที่ส่งตัวหญิงสาวที่แก่นจันทร์เรียกว่า “ท่านพี่”จะต้องแก้เผ็ดอดีตข้าหลวงที่เคยเมินหน้าหนีจากราชสำนักอย่างไม่ต้องสงสัยและด้วยสถานภาพของเธอคนนั้นก็คงทำให้อีกฝ่ายผลักไสไล่ส่งเธอไม่สะดวกเท่าไร

เจ้ามณินทรอยากรู้นักว่ากรวิกจะทำอย่างไรหากหญิงสาวคนนั้นริอยากจะเป็นโจรขโมยกุหลาบขึ้นมา

พอเข้าช่วงพลบค่ำสายฝนที่ซัดกระหน่ำมาตั้งแต่บ่ายก็ซบเซาลงจนเหลือแต่เม็ดฝนปรอยและบรรยากาศเย็นชื้นชวนให้ใจสงบแต่ก็มีข้ารับใช้บางคนในคฤหาสน์เอราวัณที่ไม่อาจสงบใจได้เท่าไรเมื่อถูกดวงตาคมกริบของหญิงสาวในชุดแดงจดจ้องไม่วางตาอีกทั้งไม้แส้ที่ขยับขึ้นลงในมือเรียวบางก็ดูราวกับช่วยเสริมความน่าเกรงขามของหญิงสาวให้เพิ่มมากขึ้น

หากจะให้ถามว่าใครน่ากลัวรองลงมาจากเจ้าชโยทะนาหลายเสียงอาจจะบอกว่าเป็นกรวิก กระนั้นก็มีอีกหลายเสียงบอกว่าผู้ที่สามารถสร้างความหวาดหวั่นระคนหวาดกลัวได้นั้นไม่ใช่กรวิกหรอก แต่เป็นกุสุมาบุตรีคนโตของท่านที่มีเสียงลือถึงความน่ากลัวของนางไว้มากมาย

เรื่องที่เด่นดังมากที่สุดก็เห็นจะไม่พ้นเรื่องการผลักภรรยาคนที่สองของกรวิกให้ตกลงมาจากบันไดชั้นบนสุดของคฤหาสน์ซึ่งขณะนั้นเจ้าตัวมีอายุเพียงสิบขวบปีเท่านั้น

ส่วนเรื่องที่ทำให้ข้ารับใช้เหล่านั้นหวาดหวั่นจนแทบจะจับไข้หัวโกร๋นคงเริ่มมาตั้งแต่สองชั่วยามที่แล้วพวกเขาไม่รู้ว่าภูตผีตนไหนไปกระซิบบอกว่าคุณหนูของพวกเขาแอบหนีเที่ยว หญิงสาวที่มีดวงตาน่าขนลุกจึงได้ออกมาจากเรือนเดือนแดงเพื่อมาเยี่ยมเยือนน้องสาวต่างมารดาโดยไม่มีการบอกกล่าว

จวบจนเมื่อคุณหนูของพวกเขากลับมาพร้อมกับญาติผู้พี่ที่เป็นตัวต้นเหตุของการหนีเที่ยวครั้งนี้เป้าสายตาของหญิงสาวที่น่ากลัวที่สุดในชโยทะนานครจึงเบี่ยงเบนไปทางผู้มาใหม่ทันที แต่ยังไม่ทันที่เหล่าข้ารับใช้ทั้งหลายจะได้โล่งอกโล่งใจกับความอึดอัดที่บรรเทาลงพวกเขาก็พร้อมใจกันกลั้นหายใจด้วยความหวาดหวั่นอีกระลอก เมื่อหนึ่งในนั้นโอบอุ้มดอกกุหลาบขาวเข้ามาราวกับเป็นของรักของหวงก็ไม่ปาน

“เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของแก่นจันทร์หรอกกุสุมาข้ารั้นต่อคำกล่าวห้ามของนางและแอบไปเอามันมาเอง” ทอฟ้าเอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบที่ชวนให้รู้สึกอึดอัดแต่อีกฝ่ายกลับมีท่าทางไม่สนใจเธอเลยสักนิดซึ่งเธอก็ยอมรับว่าตัวเองแพ้ทางอีกฝ่ายอยู่ไม่น้อยยิ่งพอได้สบกับดวงตาดุคมยิ่งกว่ามีดความคิดที่อยากพูดอะไรต่อมิอะไรก็ถูกกลืนหายลงลำคอไป

“แก่นจันทร์”

ถ้าไม่ติดว่าเจ้าของเสียงเจือรอยดุมาด้วยสุ้มเสียงของคนพูดก็เพราะนุ่มอยู่ไม่น้อยแต่คงมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่คอยเฝ้าฟังเสียงเสนาะของหญิงสาวที่ชอบสร้างความหวาดหวั่นให้กับคนรอบข้างซึ่งแก่นจันทร์เองก็เป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ว่าเพียงแต่ยามนี้เสียงของพี่สาวต่างมารดากลับทำให้เจ้าของชื่อสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจ

“ค่ะ...คะ พี่กุสุมา”

“เจ้าพาทอฟ้าไปที่เขตท่าเรือมาอย่างนั้นหรือ”

แก่นจันทร์ทำเสียงอึกอักในลำคอไม่กล้าตอบคำถามของผู้เป็นพี่สาวเท่าไรนักเพราะหากจะแอบย่องออกไปนอกคฤหาสน์โดยไม่ให้กุสุมารู้ก็มีแต่เส้นทางข้ามคลองที่ติดกับทุ่งมาวารไกลาสเท่านั้นที่จะไปได้ ซึ่งพอผ่านพ้นสะพานข้ามคลองไปก็จะล่วงเข้าสู่เขตท่าเรือที่อีกฝ่ายเคยห้ามไม่ให้ไปเดินเที่ยวตามลำพัง

หญิงสาวพอจะรู้สาเหตุที่กุสุมาไม่ยอมให้ไปที่เขตท่าเรือเพราะแม้ที่นั่นจะมีของน่าสนใจจากอีกฟากฝั่งทะเลมากมาย แต่เขตท่าเรือก็เต็มไปด้วยกะลาสีคนงาน รวมถึงหญิงหากิน คนเหล่านี้มีบางจำพวกที่หยาบโลนเหนือสิ่งอื่นใดคือในช่วงที่เธอยังอยู่ในช่วงวัยกำดัดอยากรู้อยากเห็นสิ่งรอบข้างถึงขนาดเรียกได้ว่าซุกซนพอตัวก็เคยถูกคนพวกนี้คุกคามจนเกือบเอาตัวไม่รอดแต่ก็ได้คนรู้จักของพี่สาวเข้ามาช่วยเหลือ

ทั้งที่รู้ว่าเขตท่าเรืออันตราย แก่นจันทร์ก็ยังพาทอฟ้าไปเที่ยวที่นั่นโดยมีแค่คนรับใช้ติดตามไปเพียงหนึ่งคนนั่นคือความผิดที่กุสุมากำลังกล่าวเป็นนัยมาทางคำถามแต่เรื่องนี้คงยังไม่ร้ายแรงเท่ากับเรื่องที่หญิงสาวปล่อยให้ลูกพี่ลูกน้องกลายเป็นโจรขโมยกุหลาบได้

เพราะสิ่งเดียวที่กุสุมาเกลียดที่สุด คือการลักเอาของของผู้อื่นมาเป็นของตัวเอง

“ขออภัยค่ะท่านพี่”

พอเห็นท่าทางน่าสงสารของแก่นจันทร์แล้ว ทอฟ้าก็อดรู้สึกสงสารขึ้นมาไม่ได้หญิงสาวมองกุหลาบขาวในมือตัวเองพลางนึกไปถึงผู้สมรู้ร่วมคิดตัวจริงที่ให้คำมั่นเหมาะแล้วว่าทุกอย่างจะไม่เป็นไร “อย่าได้ห่วงไปเลยข้าจะรับผิดชอบเรื่องที่เอากุหลาบขาวของเจ้าชโยทะนาไปโดยไม่ได้รับอนุญาตเอง”

“รู้ไหมว่ากุหลาบนั้นเคยทำให้ลูกเศรษฐีในเมืองนี้กลายเป็นทาสในเรือพาณิชย์ของเจ้าชโยทะนามาแล้วข้าได้ยินมาว่าเวลาสามเดือนนั้นช่างโหดร้ายและทารุณสำหรับเขามาก”กุสุมาบอกเล่าสิ่งที่เป็นไปด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยแต่ท่าทางของคนฟังไม่มีทีท่าหวาดหวั่นเลยสักนิดคงมีเพียงแก่นจันทร์ที่ตัวสั่นงันงกราวกับตัวเองจะโดนโทษทัณฑ์นั้นเสียเอง

“เจ้าชโยทะนาไม่เคยไว้หน้าใคร แม้ว่าคนผู้นั้นจะเป็นว่าที่ราชินีของกษัตริย์ที่กำลังตั้งครรภ์ก็ตามดังนั้นสิ่งเดียวที่ข้าอยากได้ในตอนนี้คือ จงอยู่กันอย่างสงบเสงี่ยม ปิดปากเรื่องที่ตัวเองทำไว้ให้เงียบที่สุดแล้วอย่าคิดทำอะไรไร้สาระให้เรื่องยุ่งยากไปมากกว่านี้เป็นพอ”

หลังจากผ่านค่ำคืนที่อบอวลด้วยสายฝนบรรยากาศตอนเช้าจึงเต็มไปด้วยความสดชื่นและเย็นสบายจนยากที่จะลุกออกมาจากที่นอนได้กระนั้นผู้คนในตำหนักหริจันทน์ก็ต้องหักห้ามใจเด็ดความขี้เกียจทิ้งแล้วลุกขึ้นมาทำกิจวัตรของตนให้เสร็จเรียบร้อย

โศธินเรียกประชุมเหล่าข้ารับใช้แล้วมอบหมายงายประจำวันให้แต่ละคนรับไปทำตามหน้าที่แต่ดูเหมือนจะมีอยู่คนหนึ่งที่ไม่ยอมให้หัวหน้าพ่อบ้านทำตามหน้าที่เท่าไรเมื่อเจ้าของตำหนักออกมาข้างนอกตั้งแต่เช้าตรู่ด้วยชุดคลุมดำเต็มยศ

“ทำไมวันนี้ออกมาข้างนอกตั้งแต่เช้าล่ะครับ ท่านมณินทร”

เจ้าครองนครไม่ได้ตอบคำถามของหัวหน้าพ่อบ้านนอกจากเดินตรงไปยังเส้นทางที่มุ่งสู่ทุ่งมาวารไกลาส ตรงชายทุ่งมีกลุ่มคนสวนกำลังมุงดูบางอย่างด้วยท่าทางเป็นกังวลโศธินจึงเรียกคนที่อยู่ใกล้ตัวที่สุดให้ไปสอบถามเหล่าคนสวนว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น

เมื่อสอบถามได้ความมาแล้ว โศธินก็เดินตามเจ้ามณินทรไปยังจุดเกิดเหตุพลางมองเจ้าครองนครที่ยื่นมือไปแตะกิ่งก้านกุหลาบที่ถูกตัดแผ่วเบา ร่องรอยของผู้บุกรุกที่ทิ้งเอาไว้ช่างดูอุกอาจและหยามน้ำหน้าเจ้าของทุ่งอยู่ไม่น้อยเขาอดรำพึงในใจไม่ได้ว่าใครกันหนอที่ช่างกล้าลองดีกับเจ้ามณินทรแบบนี้แล้วยิ่งพอได้เห็นริมฝีปากได้รูปของเจ้าครองนครแสยะยิ้มขึ้นมาวูบหนึ่งเขาก็อดหวั่นใจแทนคนผู้นั้นขึ้นมาครามครัน

“โศธิน” เจ้ามณินทรเรียกขานหัวหน้าพ่อบ้านด้วยน้ำเสียงต่ำพร่าเจ้าของชื่อรีบขานรับเสียงเรียกทันที

“ขอรับนายท่าน”

“ตามรอยโจรขโมยกุหลาบไปว่าเป็นใครแล้วสืบเรื่องราวรอบตัวของคนผู้นั้นทุกอย่างอย่าให้พลาดแม้รายละเอียดเพียงเล็กน้อย ข้าจะรออยู่ที่ห้องสมุดในตอนบ่าย”

โศธินค้อมศีรษะน้อมรับคำสั่งของเจ้าครองนครที่หมุนตัวกลับเข้าตำหนักทันทีที่มอบหมายงานเสร็จซึ่งเขาก็อดหนักใจกับคำสั่งของเจ้ามณินทรไม่ได้เพราะดูทีท่าแล้วเจ้านายของเขาคงรู้แล้วว่าโจรขโมยกุหลาบเป็นใครชายหนุ่มรู้สึกสังหรณ์ใจพิกลว่าเรื่องคงไม่ได้จบแค่การตามหาโจรขโมยกุหลาบเป็นแน่

พอตกบ่ายโศธินก็นำข้อมูลที่ตัวเองหามาได้เข้าไปรายงานเจ้ามณินทรที่ห้องสมุดซึ่งผลปรากฏว่าโจรขโมยกุหลาบในรอบนี้เป็นถึงคนในรั้วคฤหาสน์เอราวัณแต่จะพูดว่าเป็นคนของเอราวัณก็ไม่ถูกเสียทีเดียวนักเมื่อคนผู้นั้นเพียงแค่เข้ามาอยู่เป็นการชั่วคราวจนกว่าเรื่องวุ่นวายของที่ทางเจ้าตัวจากมาจะจบลง

หัวหน้าพ่อบ้านถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่กับความวุ่นวายที่จะตามมาหลังจากนี้บุคคลในคฤหาสน์เอราวัณเป็นหนึ่งในเรื่องยุ่งยากที่มีมาแต่ช้านานสำหรับเจ้าครองนครเพราะอิทธิพลและเส้นสายที่เจ้าคฤหาสน์หลังนั้นมีล้วนแล้วแต่เป็นกองกำลังที่เข้มแข็งยิ่งกว่าที่เจ้าชโยทะนามีเสียอีก

แต่ก็อย่างว่า เจ้านายของเขาสนเสียที่ไหนล่ะ

“โศธิน” เจ้ามณินทรเอ่ยเรียกหัวหน้าพ่อบ้านด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยแน่นอนว่าโศธินขานรับตอบทันทีและรู้ว่าเจ้านายของเขาจะทำอย่างไรต่อไป

“ขอรับนายท่าน”

“เตรียมคนของเราให้พร้อมภายในหนึ่งชั่วยามข้าจะไปเยี่ยมเยียนท่านกรวิกเสียหน่อย”





Create Date : 25 มิถุนายน 2554
Last Update : 20 มกราคม 2557 15:56:51 น.
Counter : 238 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  

ฌา
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



New Comments
All Blog