พิษเสน่หา 29
๒๙ ความเอย...ความรัก

ท่านผู้หญิงสรัสวดีแบ่งกลุ่มทำกิจกรรมเป็นสองกลุ่มใหญ่ ซึ่งสิริกัญญาเพิ่งมารู้ทีหลังว่าเจ้าหญิงที่จับกลุ่มกันเหนียวแน่นทั้งสามพระองค์นั้น อยู่สายของพระสนมฝ่ายขวา ส่วนเจ้าหญิงอีกพระองค์ที่ถูกผลักให้มารวมกลุ่มกับเจ้าหญิงแสงอัปสรที่เป็นสายของมเหสีนั้น เป็นราชธิดาที่อยู่สายของพระสนมฝ่ายซ้าย และนอกจากเจ้าหญิงกับพระพี่เลี้ยงของพระองค์ ที่มาจับกลุ่มอยู่ด้วยกันแล้ว ยังมีบุตรีของท่านผู้หญิง ที่ชอบส่งสายตาขวางให้กับสิริกัญญาเพิ่มเข้ามาอีกคน เพื่อให้จำนวนของนักเรียนทั้งสองกลุ่มเท่ากัน

“ไม่น่าเชื่อเลยนะว่าฝ่ายในก็มีการแบ่งพรรคแบ่งพวกกันด้วย” สิริกัญญาบ่นพึมพำกับคุณหนูพระจันทร์ที่มือข้างหนึ่งถือมีดคว้านที่ส่องประกายคมวาวยามต้องแสงไฟ ส่วนอีกข้างถือลูกแตงล้าน ซึ่งเป็นอุปกรณ์ประกอบการเรียนแกะสลักในเช้าวันนี้

“ข้าไม่ค่อยสนใจนักหรอกว่าใครจะอยู่ฝ่ายไหน” บริมาสพูดพลางขมวดคิ้วยุ่ง เมื่อแตงล้านลูกแรกหักเป็นสองท่อนคามือ “แต่เราต้องรู้ว่าตัวเองอยู่ฝ่ายใคร แล้วข้าก็ไม่ค่อยอยากพูดเลยว่าตอนนี้คนที่คุมฝ่ายในเกือบทั้งหมด คือพระสนมฝ่ายขวา ซึ่งไม่ใช่ฝ่ายเดียวกับเรา”

“มิน่า...ทำไมทุกคนถึงลุ้นกันว่าเจ้าชายในพระสนมฝ่ายขวาอาจมีสิทธิ์ขึ้นครองบัลลังก์”

“มันก็ไม่แน่เสมอไปหรอกจ้ะ” เจ้าหญิงในสายของพระสนมฝ่ายซ้ายทรงพระสรวลแผ่วเบา เรียกความสนใจจากคนในกลุ่มทั้งหมดให้หันไปมอง “เพราะถ้าไม่นับเจ้าชายในพระสนมฝ่ายขวาแล้ว อีกสี่สายที่เหลือก็เป็นของพระมเหสีกับพระสนมฝ่ายซ้ายนะ”

“สามต่างหาก เพราะพี่ชัยนเรนทร์ไม่ลงเล่นด้วย” เจ้าหญิงแสงอัปสรตรัสท้วงแทนเชษฐา ที่ทรงประสูติในพระชายาที่เป็นคนธรรมดาสามัญ จึงทำให้พระองค์เป็นคนติดดิน และชอบอยู่ท่ามกลางฝูงชนมากกว่าจะอยู่ท่ามกลางเหล่าเชื้อพระวงศ์

“เสด็จอาทรงรักอิสระเกินไป บางทีหม่อมฉันยังเคยคิดเลย ว่าหากฝ่าบาทไม่ทรงรั้งไว้ด้วยตำแหน่งผู้บัญชาการกองทหารรักษาพระองค์ ตอนนี้เสด็จอาคงกำลังพเนจรอยู่ที่ไหนสักแห่งเป็นแน่”

ไม่มีใครคัดค้านความคิดนั้น แต่บทสนทนาก็ต้องหยุดลง เมื่อท่านผู้หญิงเดินมายังโต๊ะของเจ้าหญิงสองพระองค์ เพื่อดูผลงานการแกะสลัก คิ้วเรียวสวยขมวดเข้าหากันเล็กน้อย เมื่อสายตาเหลือบไปเห็นผลงานของลูกสาวที่มีสภาพบิดเบี้ยวไปมา ดูไม่เหมือนใบไม้สักเท่าไรนัก ซึ่งมิรันตีก็ได้แต่ยิ้มแหย ด้วยรู้ตัวเองดีว่ามีฝีมือยอดแย่ขนาดไหน และผลงานของบริมาสก็มีสภาพไม่แตกต่างจากคุณหนูบ้านปาเยนทร์

สำหรับเจ้าหญิงแสงอัปสรที่เพิ่งเคยเข้าเรียนการเรือนกับท่านผู้หญิงครั้งแรก แต่ก็ทรงทำผลงานออกมาได้ดีกว่าสองคนแรกที่พากันหลบสายตาด้วยความขายหน้า และฝ่ายของเจ้าหญิงในสายของพระสนมฝ่ายซ้าย ที่ทรงเป็นนักเรียนหน้าเก่า เคยผ่านการแกะสลักชั้นต้นของท่านผู้หญิงมาแล้ว ก็ทำได้ดีกว่าใครในนี้

จะยกเว้นก็แต่สิริกัญญาที่ทำอะไรเกินคาด

ดวงตาสีน้ำเงินกวาดมองรอบตัวด้วยความงุนงง เมื่อแต่ละคนต่างมองเธอด้วยสายตาที่เหมือนกับมองสัตว์ประหลาด โดยเฉพาะท่านผู้หญิงสรัสวดีที่มองเธออยู่เนิ่นนาน แล้วท่านผู้หญิงก็คลี่ยิ้มน้อย พลางมองลูกแตงล้านที่ถูกปรับปรุงจากการทำเสียของสองสาวที่มีฝีมือยอดแย่ ให้ดูสวยงามไม่แตกต่างจากผลงานของเจ้าหญิงในพระสนมฝ่ายซ้ายเท่าไร

“เป็นการแก้งานที่ดี ใครสอนหรือจ๊ะ”

สิริกัญญาคลี่ยิ้มอย่างโล่งใจที่ไม่โดนดุ เพราะเธอรู้สึกเสียดายลูกแตงเหล่านี้ ที่ยังไม่ทันกินก็ต้องทิ้งเสียแล้ว เธอจึงนำมันมาทำการดัดแปลง เพื่อให้สามารถนำไปประกอบอาหารได้ และคนที่สอนไม่ให้เธอทิ้งขว้างของกินเหล่านี้ ก็คือคนสอนวิชาการแกะสลักให้กับเธอนั่นเอง

“ท่านแม่บุญธรรมของข้าค่ะ”

“แม่บุญธรรมของเจ้าสอนอะไรให้อีกบ้าง นอกจากการแกะสลัก” ท่านผู้หญิงถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนดุจเดิม พลางมองลวดลายชดช้อยที่แตกต่างไปจากลวดลายของปามะห์

“งานบ้านงานเรือนทั้งหมดค่ะ”

ท่านผู้หญิงสรัสวดีหัวเราะออกมาแผ่วเบา พลางมองหญิงสาวสีน้ำเงินด้วยความเอื้อเอ็นดู เมื่อก่อนสามีของเธอเคยบอกว่าพวกสีน้ำเงินมีเสน่ห์บางอย่างที่ทำให้ผู้พบเห็นหลงใหล ซึ่งไม่รู้ว่ามันเป็นพรหรือคำสาปกันแน่ เพราะเสน่ห์อันนั้นมักนำเภทภัยมาสู่ผู้ครอบครองดวงตาสีรัตติกาลเสมอ แต่สำหรับท่านผู้หญิงแล้ว อยากให้มันเป็นพรมากกว่าสิ่งอื่นใด

“ท่านแม่ของเจ้าเป็นคุณหนูบ้านไหนหรือจ๊ะ”

“ท่านแม่ของข้าเป็นแค่ลูกพ่อค้าธรรมดาเท่านั้นค่ะ”

รอยยิ้มหวานประดับอยู่บนใบหน้าของท่านผู้หญิงสรัสวดีบางเบา และมีร่องรอยของความแปลกใจในคำตอบเล็กน้อย แต่ท่านผู้หญิงก็ไม่ได้พูดอะไรอีก นอกจากวางผลงานของสิริกัญญาลง “ข้าชักอยากเจอแม่ของเจ้าเสียแล้วสิ ลูกสาวพ่อค้าธรรมดาที่มีฝีมือเยี่ยงข้าหลวงในวังแบบนี้หาได้ยากนัก และข้าคงไม่มีความจำเป็นอะไรต้องสอนเจ้าอีกแล้วล่ะจ้ะ”

ใบหน้าของสิริกัญญาซีดลงไปเล็กน้อย พลางมองท่านผู้หญิงอย่างไม่เข้าใจว่าเหตุอันใดจึงบอกว่าไม่จำเป็นต้องสอนเธออีก

“แค่ดูผลงานของเจ้า ข้าก็รู้แล้วว่าแม่บุญธรรมของเจ้า ได้สอนสรรพวิชาที่ลูกผู้หญิงสมควรเรียนให้แก่เจ้าหมดแล้ว แต่ถ้าเจ้าอยากเรียนร่วมกับคนอื่น ข้าก็ไม่ว่าจ้ะ” ท่านผู้หญิงคลี่ยิ้มน้อย พลางพูดด้วยน้ำเสียงปลอบโยน เมื่อเดาสีหน้าของสิริกัญญาออกว่ากำลังรู้สึกอย่างไร “แล้ววันนี้ที่บ้านปาเยนทร์จะมีแขกมาเยี่ยมเยียน ข้ากำลังอยากได้ลูกมือทำอาหารต้อนรับแขกพิเศษของเราอยู่ทีเดียว เจ้าจะช่วยเป็นลูกมือให้ข้าหน่อยได้ไหมจ๊ะ”

สิริกัญญาลอบระบายลมหายใจออกมาอย่างเชื่องช้า เมื่อเห็นเค้าความวุ่นวายที่จะเกิดขึ้นในอนาคตขึ้นมารำไร แต่เธอจะทำอะไรได้นอกจากยิ้มรับคำเชิญชวนของท่านผู้หญิงสรัสวดีกลับไป “ด้วยความยินดีค่ะ”

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


วิชาแกะสลักในช่วงเช้า สำหรับบริมาสกับมิรันตีแล้ว กว่าจะผ่านไปได้ก็เรียกว่าทุลักทุเลพอสมควร สองสาวสลับกันโดนมีดคว้านบาดนิ้วกันไปคนละสามสี่แผล เรียกหาแต่ยาทาวุ่นวายตลอดชั่วโมงเรียน ครั้นพอถึงวิชาคหกรรม ที่ให้ทำอาหารกลางวันต้อนรับแขกพิเศษของบ้านปาเยนทร์ ก็ทำเอาห้องครัวคฤหาสน์ใหญ่เกือบวอดวาย ด้วยฝีมือของคนที่ไม่เอาอ่าวด้านนี้เลยสักอย่าง ท่านผู้หญิงจึงตัดสินใจให้ทั้งสองรับผิดชอบลำเลียงอาหาร ไปสู่ห้องอาหารใหญ่ที่อยู่ถัดไปห้าห้อง โดยไม่ให้สาวใช้สักคนช่วย ซึ่งพวกเธอก็บ่นอะไรไม่ได้ นอกจากทำตามคำสั่งของผู้เป็นอาจารย์

“อื้อหือ...กลิ่นหอมจัง พยาธิในท้องข้าเริ่มร้องโวยวายอยากกินของพวกนี้เร็ว ๆ เสียแล้วสิ” สุรเสียงทุ้มที่ดังมาจากเบื้องนอก เรียกสายตาจากมิรันตีกับบริมาสให้หันไปมองอย่างตกใจ และถวายบังคมให้แทบไม่ทัน เมื่อจู่ ๆ เจ้าหลวงก็ทรงโผล่พรวดขึ้นมาจากราวกั้นระเบียงด้านนอก

“ฝ่าบาท! เจ้าชายชัยนเรนทร์! เจ้าชายอินทรวิเชียร! มาได้ยังไงกันเพคะ” บริมาสร้องทักอย่างแปลกใจ และแย้มยิ้มกว้างให้กับเจ้าชายสองพระองค์ที่โบกหัตถ์ขึ้นทักทาย

“อ้าว! สรัสวดียังไม่บอกอีกหรือว่าแขกพิเศษที่จะมาทานมื้อเที่ยงด้วยกันเป็นใคร” เจ้าหลวงทรงเลิกพระขนงขึ้น ก่อนกระโดดข้ามราวกั้นระเบียงเข้ามา

บริมาสเบี่ยงตัวหลบ เมื่อหัตถ์ใหญ่เตรียมจกของกินในถาดอาหารของเธอ แล้วส่งสายตาดุทันที “ห้ามจกกินเล่นเพคะ ถ้าอยากชิมก็เชิญเสด็จไปที่ห้องครัวดีกว่า ในนั้นมีอาจารย์หญิงกับพระพี่เลี้ยงคนอื่นช่วยทำอาหารอยู่เพคะ”

“แล้วพวกเจ้าสองคนไม่ช่วยอาจารย์หญิงของตัวเองทำอาหารด้วยหรือไง”

คำถามของเจ้าหลวงทำให้สองสาวลอบมองสบตากันอย่างไม่มีอคติเป็นครั้งแรก และท่าทางกระอักกระอ่วนของสองสาว ก็ทำให้เจ้าหลวงทรงเดาได้ว่าเจ้าตัวคงกระดาก ที่จะพูดว่าไม่เก่งทำอาหารต่อหน้าผู้ชาย พระองค์จึงทรงพระสรวล พลางตบศีรษะสองสาวด้วยความเอ็นดู

“ไปทำหน้าที่ของตัวเองต่อเถอะ ข้าไม่กวนแล้ว”

“แต่จะทรงไปกวนคนอื่นต่อใช่ไหมเพคะ” บริมาสสวนกลับอย่างรู้ทัน เรียกเสียงสรวลจากเจ้าหลวงผู้ทรงชอบทำให้คนอื่นวุ่นวายอยู่เป็นนิจ

“เบื่อคนรู้ทันจริง ๆ ไปเถอะ เจ้าชัย เจ้าอิน ไปหาคนโชคร้ายของเรากัน”

บริมาสถวายบังคมลาเจ้านายทั้งสามพระองค์ และทันได้เห็นมิรันตีแย้มยิ้มหวานให้กับเจ้าชายอินทรวิเชียร ที่ส่งรอยแย้มสรวลแบบเดียวกันตอบกลับไป หญิงสาวมองทั้งคู่สลับกันไปมาด้วยความสงสัย บรรยากาศแปลกประหลาดที่อบอวลรอบกายคนทั้งคู่ ชวนให้เธอรู้สึกเป็นส่วนเกินอย่างไรพิกล

“เจ้าชอบเจ้าอินงั้นหรือ” บริมาสถามด้วยน้ำเสียงหยอกเย้า เมื่อเจ้าอินเสด็จจากไปไกล

มิรันตีหน้าแดงขึ้นมาวูบหนึ่ง ก่อนชักสีหน้าโกรธขึ้งขึ้นมากลบความอาย และอาการของคุณหนูบ้านปาเยนทร์ก็เดาได้ ว่าเจ้าตัวแอบชอบพอกับเจ้าชายอินทรวิเชียรอยู่

“ข้าช่วยเอาไหม” บริมาสเสนอตัวเป็นผู้ช่วยขจัดปัญหารัก โดยไม่รอคำตอบจากคนปากแข็ง ก่อนแย้มยิ้มกว้างเมื่อเห็นอีกฝ่ายจ้องกลับมาด้วยสายตาไม่ไว้วางใจ “แลกกับการที่เจ้าต้องช่วยเหลือข้าบางอย่างไง”

มิรันตีพ่นลมใส่จมูก ด้วยเดาได้ว่าอีกฝ่ายอยากให้ช่วยอะไร แต่ก็ยังไว้ท่าและเชิดหน้าถามกลับไป “เจ้าอยากให้ข้าช่วยอะไรล่ะ” หางเสียงของเด็กสาวสะบัดขึ้น คล้ายกับจะบอกว่าตัวเองถือไพ่เหนือกว่า

“ง่ายมาก...” บริมาสพยายามข่มเสียงให้เรียบไว้ และรู้ดีว่าการที่มิรันตีทำตัวเป็นอริต่อเธอกับสิริกัญญานั้น เป็นด้วยความหวงพี่ชาย ซึ่งถ้าไม่มีราเชนมาเป็นชนวนจุดระเบิด อีกฝ่ายก็เป็นคุณหนูที่น่ารักมากทีเดียว

“ข้าจะช่วยเป็นแม่สื่อให้เจ้ากับเจ้าอิน แลกกับที่เจ้าต้องเป็นแม่สื่อให้เพื่อนข้ากับพี่ชายเจ้า”

และคำตอบของบริมาสก็ไม่ได้ผิดไปจากที่มิรันตีคาดเดาไว้ เด็กสาวยิ้มหมิ่นขึ้นมา และลอยหน้าถามกลับไปอย่างไม่สนใจ ในข้อแลกเปลี่ยนของคุณหนูพระจันทร์เลยแม้แต่น้อย “ทำไมข้าต้องช่วยด้วยล่ะ” คุณหนูบ้านปาเยนทร์ชะงักคำพูดไปครู่หนึ่ง และแย้มยิ้มขึ้นราวกับนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

“หรือว่าเพื่อนเจ้าไม่มีเสน่ห์พอที่จะดึงดูดให้พี่ข้าสนใจเพื่อนเจ้าได้นาน ๆ เหมือนกับผู้หญิงคนอื่นล่ะ”

โชคดีที่บริมาสวางถาดอาหารและออกมาจากห้องนั้นแล้ว ไม่อย่างนั้นของที่เหล่าพระพี่เลี้ยงอุตส่าห์ทำ เพื่อต้อนรับแขกกิตติมศักดิ์ คงถูกเอามาทำเป็นอาวุธแก้อาการหมั่นไส้คนท่ามาก อีกทั้งคุณหนูพระจันทร์ก็อยากช่วยเหลือเพื่อนที่เป็นพวกสับสนในความรัก ทำตัวปากแข็งบอกว่าไม่ชอบ ไม่สนใจ ทั้งที่ใจก็ติดบ่วงเสน่หาของอีกฝ่ายไปแล้ว ก็เลยยังทำใจเย็นอยู่เพื่อให้การต่อรองครั้งนี้สัมฤทธิ์ผล

บริมาสแสร้งหัวเราะออกมา แล้วหลิ่วตาให้มิรันตีที่ไม่ชอบใจในน้ำเสียง ที่บอกว่าคนถือไพ่เหนือกว่าไม่ใช่เธอ “เจ้าก็น่าจะได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับเพื่อนข้านะ...” หญิงสาวเว้นจังหวะพูดไว้ พลางนึกขอบคุณข่าวลือที่เกินความจริงไปเสียหน่อย แต่มันก็ช่วยเหลือเธอได้มากเลยทีเดียว

“ไม่ใช่ว่าเพื่อนข้าไม่มีเสน่ห์อย่างที่เจ้าว่า มันมีมากเกินจนตัดสินใจไม่ถูกเลยล่ะว่าจะเลือกใครดี อย่างเจ้าอินไง” และเป็นอีกครั้งที่คุณหนูพระจันทร์ทิ้งช่วงได้ถูกจังหวะ เมื่อคุณหนูบ้านปาเยนทร์ขมวดคิ้วยุ่งขึ้นมาที่ได้ยินพระนามของเจ้าชายอินทรวิเชียร

“แต่ถ้าไม่อยากช่วยก็ไม่เป็นไร” บริมาสยักไหล่อย่างไม่เห็นความสำคัญกับคำขอร้องของตัวเองเท่าไรนัก พลางเหลือบมองมิรันตีที่เม้มปากแน่นด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ “ถึงไม่มีเจ้าปาเยนทร์ ข้าก็ยังมีตัวเลือกให้เพื่อนของข้าอีกเยอะ และข้าว่าเจ้าอินก็ดูเหมาะกับเพื่อนข้าดี เจ้าว่างั้นไหมมิรันตี”

คุณหนูพระจันทร์รีบหันหลังให้คุณหนูบ้านปาเยนทร์ แล้วเดินจากไปทันที เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายจับได้ว่าเธอพยายามกลั้นหัวเราะอย่างสุดความสามารถ คุณหนูอ่อนต่อโลกอย่างมิรันตี ไม่มีทางตามมารยาของเธอทันหรอก และเธอก็เดาได้ว่าเดี๋ยวอีกฝ่ายจะต้องเรียกรั้งเธอให้หยุดแน่

“เดี๋ยวก่อน!”

บริมาสแทบจะร้องไชโยออกมา เมื่อการกระทำของมิรันตีเป็นไปตามที่เธอคาด พลางนึกไปถึงเจ้าชายอินทรวิเชียรที่ทรงเสน่ห์นัก พระองค์สามารถจับหัวใจของคุณหนูบ้านปาเยนทร์ที่ขึ้นชื่อว่าเย็นชากับทุกคนได้ และมันก็ทำให้แผนของเธอง่ายขึ้น

ร่างบอบบางหันหลังกลับไปประจันหน้ากับมิรันตีที่ฉายแววลังเลออกมา พลางเลิกคิ้วเป็นเชิงถามว่าจะเอาอย่างไร คุณหนูบ้านปาเยนทร์ถอนหายใจด้วยท่าทางฮึดฮัด แล้วเชิดหน้าขึ้นอย่างไว้ท่าเช่นเดิม “ข้าจะเปิดทางให้เพื่อนเจ้าเข้ามายุ่งกับพี่ชายของข้าก็ได้ แต่ถ้าเพื่อนเจ้าต้องน้ำตาเช็ดหัวเข่า เพราะโดนพี่ข้าทิ้ง ก็อย่ามาโอดครวญแล้วกัน”

บริมาสยืนมองมิรันตีที่รีบเร่งฝีเท้าเดินจากไปหลังพูดจบด้วยใบหน้ายิ้มกริ่ม ครั้นพอลับร่างคุณหนูบ้านปาเยนทร์ไปแล้ว หญิงสาวก็กระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจอย่างเก็บอาการไว้ไม่อยู่ ขอแค่มีน้องสาวของราเชนเข้ามาช่วย ความสัมพันธ์ระหว่างคนปากไม่ตรงกับใจจะต้องราบรื่นและคืบหน้าขึ้นเป็นแน่

“ไชโย!” แค่คิดว่าสิริกัญญาจะได้คู่กับผู้ชายที่เหมาะสม คุณหนูพระจันทร์ก็เก็บเสียงดีใจไว้ไม่ได้ หญิงสาวหัวเราะคิกอย่างสมใจ ก่อนหมุนตัวกลับไปทางเดิม เพื่อไม่ให้คนในห้องครัวสงสัยว่าทำไมเธอถึงได้กลับมาช้าเหลือเกิน แต่ร่างบอบบางก็สะดุ้งโหยง เมื่อหันไปปะทะเข้ากับอกกว้างของใครบางคน

ดวงตาสีมรกตไล่มองจากแผ่นอุระกว้างขึ้นไป จนหยุดอยู่ที่ดวงพักตร์คมคายที่แย้มโอษฐ์นุ่มละมุนให้กับคนงาม ที่เบิกตากว้างอย่างตกใจ กับการพบเจออีกครั้งอย่างไม่คาดฝัน “ท่านพระอาทิตย์...”

“ไม่น่าเชื่อว่าคุณหนูพระจันทร์จะเจ้าแผนการ ทำตัวเป็นแม่สื่อแม่ชักให้เพื่อนแบบนี้” เจ้าหลวงวิวัสวัตตรัสพลางกลั้นเสียงสรวลไว้ในพระศอ ด้วยทรงได้ยินบทสนทนาของสองสาวตั้งแต่ต้นจนจบ และอดทึ่งกับการแสดงละครของหญิงสาวที่ทรงพึงใจไม่ได้

บริมาสพูดอะไรไม่ออก นอกจากตกตะลึงและดีใจที่ได้พบพระอาทิตย์ของเธออีก หญิงสาวเอียงคอมองวรองค์สูง ก่อนแย้มยิ้มหวานอย่างที่คุณหนูบ้านปาเยนทร์ส่งให้เจ้าชายอินทรวิเชียร “ทำไมท่านพระอาทิตย์มาอยู่ที่นี่ได้คะ เป็นเพื่อนกับเจ้าปาเยนทร์หรือคะ”

เจ้าหลวงวิวัสวัตไม่ตรัสตอบ นอกจากทอดพระเนตรมองคุณหนูพระจันทร์ ที่ถูกพระพรหมชักนำให้มาหาพระองค์ถึงคฤหาสน์ปาเยนทร์ “แล้วเจ้าล่ะ ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้”

“พระจันทร์มาเรียนการเรือนค่ะ” บริมาสตอบเสียงใส มันทำให้เจ้าหลวงพระอาทิตย์หายสงสัย ว่าเหตุใดมือบอบบางจึงมีแต่รอยมีดบาดมากมายเพียงนั้น หัตถ์ใหญ่จับมือเล็กนุ่มนิ่มขึ้นมา พลางก้มลงจุมพิตเรียวนิ้วสวยที่เต็มไปด้วยรอยแผลแผ่วเบา

“แผลนี้มาจากการเรียนสินะ” เจ้าหลวงช้อนสายพระเนตรขึ้นมองใบหน้าขาว ที่แดงก่ำกับจุมพิตที่ได้รับมาอย่างไม่ตั้งตัว แม้จะเป็นที่มือ แต่ก็ทำเอาหัวใจของเธอเต้นโครมครามจนกลัวว่าอีกฝ่ายจะได้ยิน

เจ้าหลวงทรงพระสรวลแผ่วเบา ก่อนปล่อยมือเรียวเล็กให้ตกแนบข้างตัวตามเดิม “ข้าคงต้องไปก่อนล่ะ คุณหนูก็รีบกลับเข้าห้องเรียนเสียนะ เดี๋ยวคนอื่นจะเป็นห่วงเอา”

บริมาสผวาเฮือก และโผเข้าเกาะพระพาหาแข็งแรง พลางส่งสายตาไม่อยากให้อีกฝ่ายจากไปเร็วนัก ด้วยในแต่ละครั้งที่ได้พบกัน มันช่างแสนสั้นจนน่าใจหาย และทุกครั้งที่เห็นพระปฤษฎางค์ที่ค่อย ๆ ไกลห่างไป ก็มักทำให้หัวใจโหวงเหวงอย่างบอกไม่ถูก

ดวงเนตรสีน้ำเงินทอแววอ่อนละมุน พลางยกหัตถ์ขึ้นลูบเรือนผมสีทองไปมา “ถ้าเสร็จธุระจะมาหา...สัญญา” ทรงตรัสด้วยถ้อยคำสั้นและกระชับ ซึ่งทำให้บริมาสคลายมือจากการเกาะกุม พลางจ้องดวงพักตร์คมคายด้วยสายตาแน่วนิ่ง

“อีกนานไหมคะที่พระจันทร์จะได้คุยกับท่านพระอาทิตย์นาน ๆ”

เจ้าหลวงทรงแย้มโอษฐ์ออกมาเล็กน้อย พลางทอดพระเนตรมองริมฝีปากจิ้มลิ้ม ที่ส่งคำถามน่าเอ็นดูออกมา พระองค์ทรงถอดธำมรงค์ที่เป็นของรับขวัญจากพระบิดาเมื่อครั้งประสูติ แล้วประทานใส่อุ้งมือเรียวบางที่ยกขึ้นมาจุมพิตแผ่วเบาอีกครั้ง

“เก็บแหวนนี่ไว้นะ แล้วข้าจะมาทวงคืน”

...พระองค์จะทรงทวงคืนทั้งแหวน ทั้งตัวคุณหนูพระจันทร์ให้กลับไปกูราด้วยกันเลยทีเดียว

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


มิรันตีเดินชักหน้าตึงเข้ามาในห้องครัว ด้วยอาการเจ็บใจในตัวเองที่ตกปากรับคำเป็นแม่สื่อตามข้อตกลงของบริมาส และยิ่งสายตาพลัดไปเห็นหญิงสาวสีน้ำเงิน ก็ยิ่งรู้สึกขุ่นเคืองใจ ที่อีกฝ่ายผิดเพี้ยนไปจากที่เธอคาดไว้

ตอนแรกมิรันตีคิดว่าหญิงสาวที่เป็นที่ต้องตาต้องใจเจ้าชายหลายพระองค์ รวมถึงพี่ชายของเธอคงเป็นคนที่งดงามตรึงตาตรึงใจ แต่พอได้เจอตัวจริงแล้วก็ทำให้คุณหนูบ้านปาเยนทร์พูดไม่ออก สิริกัญญาไม่ได้เป็นผู้หญิงที่สวยเด่นจนน่าจับตาเสียเท่าไร และเธอก็ไม่อยากยอมรับนักว่าในรอยยิ้มหวานละมุน และดวงตาที่แสดงความหยิ่งทะนงไว้สูงพอตัวนั้น มีบางอย่างที่สะกดใจคนมอง

“มีใครยกสำรับไปให้ราเชนแล้วหรือยัง” เสียงของท่านผู้หญิงสรัสวดีช่วยฉุดมิรันตีออกมาจากภวังค์

“ยังค่ะ นายหญิง”

“ถ้าอย่างนั้นก็ยกไปให้ที่ห้องเถอะ วันนี้เขาคงออกมาทานมื้อเที่ยงกับเราไม่ได้”

“เดี๋ยวลูกยกไปให้พี่ชายเองค่ะ แต่ขอลูกศิษย์ของท่านแม่สักคน มาช่วยลูกถือถาดสำรับหน่อยได้ไหมคะ” มิรันตีเสนอตัวขึ้นมาทันที ทั้งที่สายตายังจ้องเขม็งไปทางสิริกัญญา ที่เหลือบตาขึ้นมองตอบ ราวกับรู้สึกถึงการจดจ้องของคุณหนูบ้านปาเยนทร์

“แม่จะให้สิริกัญญาช่วยยกไปนะ” ท่านผู้หญิงพูดราวกับรู้จุดประสงค์แอบแฝงของลูกสาว ซึ่งมิรันตีก็เสหลบสายตาของมารดาไปยังคนที่ตัวเองมีปัญหาด้วย และท่านผู้หญิงก็ไม่ได้คาดคิดเลยว่าคำพูดของตน จะกลายเป็นการเปิดช่องทางให้สิริกัญญาได้พบกับราเชน ตามแผนการของมิรันตีที่ซ่อนจุดประสงค์แท้จริงไว้อย่างแนบเนียน

“ก็ได้ค่ะ ลูกมีเรื่องบางอย่างจะพูดกับนางพอดี”

นิสัยของมิรันตีนั้นเป็นคนตรง และท่านผู้หญิงสรัสวดีก็เดาได้ว่าบุตรีคงจะพูดเรื่องเจ้าชายอินทรวิเชียร ต่อหน้าหญิงสาวสีน้ำเงินที่ซ่อนไฟเย็นไว้ใต้ท่าทางสงบนิ่ง บางทีการได้พูดคุยเพื่อสืบหาความจริงแท้ที่ไม่ได้มาจากข่าวลือ คงทำให้เด็กสาวเข้าใจอะไรได้ดีขึ้น ท่านผู้หญิงจึงสั่งให้สาวใช้เรียกสิริกัญญามาหาเธอ

สิริกัญญาเดินตรงมาหาอาจารย์อย่างรวดเร็ว โดยไม่สนใจสายตาที่จับจ้องมาของมิรันตีเลยสักนิด แล้วหญิงสาวก็ค้อมตัวลงเล็กน้อย เมื่อมาถึงจุดที่ท่านผู้หญิงยืนรออยู่

“มีอะไรหรือคะ อาจารย์”

“เจ้าช่วยมิรันตียกสำรับอาหารกลางวันไปให้ลูกชายข้าหน่อยได้ไหมจ๊ะ” ท่านผู้หญิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงกึ่งถามกึ่งสั่ง ซึ่งน้ำหนักของส่วนหลังดูจะมีมากกว่า

สิริกัญญาทำหน้าแปลกไปเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา นอกจากค้อมตัวรับคำสั่งด้วยท่าทางเรียบเฉย “ได้ค่ะ อาจารย์”

มิรันตีแสร้งตบมือด้วยความดีใจ แล้วโผเข้ากอดแขนสิริกัญญาอย่างสนิทสนม “ดีจังเลย ข้าจะได้มีเพื่อนคุยระหว่างเดินไปเรือนส่วนตัวของพี่ชาย ไปกันเถอะสิริกัญญา เดี๋ยวพี่ชายข้าจะท้องร้องบ่นหิวข้าวเสียก่อน” พูดเสร็จเด็กสาวก็ยัดสำรับของคาวที่สาวใช้ส่งมาให้อีกฝ่ายถือ ก่อนรับสำรับของหวานมาถือเอง แล้วเดินนำออกไปทันที

สิริกัญญามองหน้าท่านผู้หญิงที่พยักหน้าปลอบ ราวกับรู้ถึงความลำบากใจของเธอ แต่ที่ไม่รู้ก็คงเป็นสายตาที่เต็มไปด้วยความอิจฉาริษยาของอรัญญา ที่ได้ยินคำพูดของมิรันตีที่ประกาศให้ทุกคนทราบกันถ้วนหน้า ว่าพวกเธอจะไปไหนกัน แต่เธอจะทำอะไรได้ นอกจากเดินตามหลังคุณหนูบ้านปาเยนทร์ไป

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


“เจ้าเป็นอะไรกับเจ้าอิน” มิรันตีเอ่ยถามขึ้นท่ามกลางความเงียบที่น่าอึดอัด ตอนแรกเธอตั้งใจไว้ว่าจะใช้ความเงียบนี้โจมตีให้อีกฝ่ายไม่สบายใจเล่น แต่กลับกลายเป็นว่าเธอโดนเล่นงานเสียเอง ทำให้ต้องพูดอะไรบางอย่างออกมา ก่อนจะโดนกดดันจนตายเสียก่อน

สิริกัญญาปรายตามองมิรันตีด้วยความแปลกใจ ที่อีกฝ่ายเอ่ยถึงเจ้าชายอินทรวิเชียร แทนที่จะเป็นพี่ชายของตนเอง แล้วหญิงสาวก็ไม่ใช่คนโง่ที่จะไม่รู้ว่าคุณหนูบ้านปาเยนทร์ เอ่ยถามถึงเจ้าชายด้วยอารมณ์แบบไหน ซึ่งมันทำให้เธออดหัวเราะออกมาไม่ได้

“หัวเราะอะไร!” คุณหนูบ้านปาเยนทร์เอ่ยอย่างไม่ชอบใจที่ถูกหัวเราะใส่ราวกับตัวเองเป็นตัวตลก

“เจ้าอินเป็นเพื่อน” สิริกัญญาตอบคำถามแรก โดยไม่คิดจะต่อความยาวสาวความยืด เพื่อหาเรื่องคนอ่อนกว่า และเธอก็ไม่ใช่บริมาสที่สนุกกับการต่อล้อต่อเถียง

“แต่ข่าวลือ...”

“ข่าวลือที่เจ้าได้ยินมาเชื่อได้มากน้อยแค่ไหน” หญิงสาวขัดขึ้นก่อนที่มิรันตีจะพูดจบ พลางส่งสายตาติเตียนคนหูเบาให้หน้าม้านไป “ข้าไม่รู้หรอกนะว่าข่าวลือพวกนั้นมีเนื้อหาอย่างไรบ้าง แต่สำหรับข้าแล้ว เจ้าอินคือเพื่อน”

“ก็เจ้าอินไปหาเจ้าตอนอยู่ที่ตำหนักอรินทรา...” มิรันตีบ่นงุบงิบ เรียกเสียงหัวเราะจากคนที่ตกเป็นข่าวลือเกินจริง

“ข้าจำไม่เห็นได้ว่าเจ้าอินไปหาข้าที่ตำหนักอรินทรา มีแต่เสด็จไปหาเจ้าชายชเยนทรเพื่อสอนพายเรือ”

ความจริงจากปากหญิงสาวตรงหน้า ทำให้มิรันตีอับอายจนหน้าม้านไปเป็นครั้งที่สอง แต่เธอก็ยังไม่หมดความสงสัยไปง่าย ๆ เพราะอย่างน้อยข่าวลือก็มีพื้นฐานมาจากความจริง “แล้วข่าวที่ว่าเจ้าอินหาของฝากไปให้เจ้าทั้งตอนอยู่ตำหนักอรินทรา หรือตอนอยู่ตำหนักวิหคสุบรรณล่ะ แล้วยังมีคนเห็นเจ้ากับเจ้าอินพูดคุยกันอย่างสนิทสนมกันสองต่อสองอีก”

ท่าทางของมิรันตีดูจะคับข้องใจมากทีเดียว และคงหาทางระบายไม่ได้ ด้วยคนที่ตกเป็นข่าวเสด็จมาหาเด็กสาวแทบนับครั้งได้ และถึงแม้จะได้พบพระพักตร์ เธอก็ไม่กล้าถามความจริงจากเจ้าชายอยู่ดี

สิริกัญญาขมวดคิ้วกับข่าวลือ ที่ไม่รู้ว่าแพร่กระจายไปในทำนองชู้สาวได้อย่างไร พลางนึกสงสัยว่าใครหนอเป็นเจ้ากรมข่าวลือ ที่ตอกไข่ใส่สีเสียจนมันผิดเพี้ยนไปได้มากขนาดนี้ “ของที่ข้าได้รับมาจากเจ้าอินมีแต่หนังสือ และเรื่องที่ข้ากับเจ้าอินพูดคุยกันก็มีแต่เรื่องการเมือง บริมาสก็อยู่คุยด้วย ไม่ใช่อยู่กันสองต่อสองเสียหน่อย”

“คุยกันเรื่องการเมืองนี่นะ!” หากไม่นับท่านผู้หญิงสรัสวดีที่พูดคุยเรื่องการเมือง กับผู้เป็นสามีให้ลูกสาวได้เห็นบ่อยครั้ง มิรันตีก็ไม่อยากเชื่อว่าจะมีผู้หญิงที่สนใจเรื่องการเมืองแบบมารดาของเธออีก

“มันช่วยไม่ได้นี่ ตอนนี้เจ้าอินถูกเจ้าหลวงผลักภาระต่าง ๆ มาให้รับผิดชอบหมด และพระองค์ก็อยากได้แนวความคิดใหม่ ๆ ที่ไม่ได้มาจากเหล่าเสนาบดีบ้าง และข้าก็สนใจด้านนี้อยู่แล้ว พวกเราจึงพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน”

มิรันตีรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนที่แย่นัก เด็กสาวมัวแต่หลงฟังข่าวลือที่ไม่มีเค้าความจริง คอยให้มันทิ่มแทงกัดกร่อนใจอยู่เป็นนาน และเธอก็ไม่ได้สนใจเลยว่าเจ้าชายอินทรวิเชียรมีราชกิจวุ่นวายขนาดไหน นอกจากเฝ้ารอให้ทรงแวะเวียนมาด้วยใจคาดหวัง ครั้นไม่เสด็จมาก็นึกน้อยเนื้อต่ำใจ เฝ้าระแวงว่าคงมีพระทัยออกห่างจากเธอไปเสียแล้ว

ดวงตาสีน้ำเงินจ้องมองไหล่บอบบางที่ห่อลู่ลงด้วยสายตากึ่งสงสาร ถึงเห็นใจ แต่เธอก็ไม่คิดจะปลอบอีกฝ่าย นอกจากเอ่ยคำต่อไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เจ้ายังดีที่มาถามกับข้าโดยตรง และรับฟังคำพูดของข้า ส่วนเรื่องจะเชื่อหรือไม่นั้น ข้าไม่บังคับหรอกนะ” หญิงสาวระบายลมหายใจออกมา เมื่อเด็กสาวยังคงทำตัวมืดมนอยู่เช่นเดิม

“ถ้าเจ้าชอบพอกับเจ้าอินจริง ข้าก็อยากให้เจ้าเชื่อในตัวเจ้าอินมากกว่านี้ พระองค์ไม่ใช่คนโลเล แต่ด้วยภาระหน้าที่ ทำให้ต้องเลือกแผ่นดินมาเป็นอันดับหนึ่ง เจ้าควรเป็นกำลังให้สิถึงจะถูก ไม่ใช่มาระแวงในเรื่องไม่เป็นเรื่อง”

คำสั่งสอนหนึ่งชุดใหญ่และความจริงที่ปรากฎ ทำให้มิรันตีทั้งโล่งใจและละอายใจไปพร้อมกัน เด็กสาวเงยหน้าขึ้นมองสบกับดวงตาสีน้ำเงิน ที่ส่งความมิตรมาให้มากขึ้น หลังจากปรับความเข้าใจผิดที่มีต่อกันเป็นที่เรียบร้อย แต่ใช่ว่าเธอจะปล่อยอีกเรื่องให้เลยผ่านไปง่าย ๆ

“แล้วข่าวลือเรื่องเจ้ากับพี่ชายข้าล่ะ ความจริงมันเป็นอย่างไรกันแน่”

ท่าทีของสิริกัญญายามได้ยินเรื่องของราเชนผิดไปจากที่มิรันตีคิดไว้มาก เด็กสาวคิดว่าอีกฝ่ายจะแสดงท่าทางเขินอาย แต่กลับกลายเป็นว่าเจ้าตัวขมวดคิ้วยุ่ง และทำสายตาขุ่นมัวด้วยความไม่ชอบใจ

“ข้าไม่เคยคิดอะไรกับผู้ชายหยาบคายคนนั้น ถ้าไม่ต้องพบกันได้เสียก็ดี”

หยาคาย? มิรันตีทวนคำในใจโดยไม่ออกเสียง

ผู้หญิงทั่วปามะห์ต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าราเชนเป็นชายหนุ่มที่สุภาพน่ารัก มีดวงตาที่แทบจะหลอมละลายใครต่อใครให้กลายเป็นน้ำตาล อีกทั้งยังมีเรือนร่างที่ชวนให้สตรีพากันหวามไหว และสำหรับเธอก็คิดว่าพี่ชายเป็นคนปากหวาน ออกจะเจ้าเล่ห์นิดหน่อย แล้วตรงส่วนไหนกันที่ทำให้สิริกัญญามองพี่ชายของเธอว่าเป็นคนหยาบคาย

“ขอโทษที...ข้าลืมไปว่าเขาเป็นพี่ชายเจ้า” สิริกัญญาเอ่ยอย่างนึกขึ้นได้ว่าตัวเองกำลังพูดถึงใคร จึงหันไปขอโทษขอโพยน้องสาวคนหยาบคายยกใหญ่

“พี่ชายของข้าตอนอยู่บ้านกับตอนอยู่ข้างนอกคงทำตัวไม่เหมือนกันเท่าไรนักหรอก ข้าสิที่ต้องขอโทษแทนพี่ชายที่ทำตัวหยาบคายกับเจ้า” มิรันตีกัดริมฝีปากอย่างชั่งใจว่าจะถามสิ่งที่สงสัยออกไปดีหรือไม่ แต่ด้วยความอยากรู้อยากเห็นที่พุ่งขึ้นมาคับอกก็อดไม่ได้ที่จะหลุดปากถามออกไป

“จะเป็นการละลาบละล้วงเกินไปไหม ถ้าข้าอยากรู้ว่าพี่ชายทำเรื่องหยาบคายอะไรกับเจ้า”

สิริกัญญาขบริมฝีปากตรงที่คนหยาบคายเคยฝากฝังรอยแผล ที่แม้จะเลือนหายไปตามกาลเวลา แต่รอยสัมผัสที่เขาตีตราลงมาก็ไม่ยอมจางหายไปเสียที ริ้วสีแดงปรากฏขึ้นที่โหนกแก้ม เมื่อเจ้าตัวนึกถึงการถูกสัมผัสครั้งแล้วครั้งเล่าที่ผูกมัดหัวใจเธอเอาไว้ “ก็ไม่มีอะไรมากหรอก เขาแค่บังคับข้าให้ทำในสิ่งที่ไม่ชอบ”

แล้วราเชนบังคับให้สิริกัญญาทำอะไรล่ะ เจ้าตัวถึงได้ทำท่ากระอักกระอ่วน ขลาดอายเกินกว่าจะพูดให้คนอื่นฟัง มิรันตีเก็บซ่อนความสงสัยอันนั้นไว้ ด้วยรู้ดีว่าบางสิ่งบางอย่างก็ไม่ควรถามออกมาตรง ๆ และเธอก็รู้สึกถึงสิ่งที่ซุกซ่อนอยู่ใต้แววตาสีน้ำเงิน เด็กสาวยักไหล่คล้ายไม่อยากถามอะไรให้มากความอีก ก่อนเดินนำทางไปยังห้องนอนของราเชน

บางทีข่าวลือเรื่องที่เจ้าปาเยนทร์กำลังสนใจดอกไม้สีน้ำเงินดอกนี้ อาจจะเป็นความจริงในบรรดาข่าวลือที่แทบหาความจริงไม่ได้ก็เป็นได้!



Create Date : 25 กุมภาพันธ์ 2551
Last Update : 25 กุมภาพันธ์ 2551 20:00:45 น.
Counter : 360 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ฌา
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



New Comments
All Blog