แก้วเจ้าจอม ตอนที่ 2
แก้วเจ้าจอม
เรื่องโดย คิงเพนกวิน
เขียนโดย ฌา



เธอ...ย้อนเวลากลับไปในอดีตเพื่อพบกับเขา และเขาเฝ้ารอการมาของเธอ
หัวใจสองดวงได้พันร้อยเกี่ยวกัน กลายเป็นความรักที่ฟ้ามิอาจห้าม


Author’s talk

วันหนึ่งได้นัดทานข้าวกับพี่คิงเพนกวิน และเธอได้ยื่นพล็อตนิยายเรื่องหนึ่งมาให้ ตอนแรกที่เริ่มต้นอ่าน ต้องส่ายหน้าไปมา เพราะว่ามันพล็อตมันซ้ำกับนิยายเรื่องอื่น แต่เธอบอกว่าพล็อตคล้ายกัน แต่โครงเรื่องไม่เหมือนกันแน่ พลางสาธยายเนื้อเรื่องย่อว่าเป็นอย่างไร เมื่อได้ยินเรื่องทั้งหมดแล้ว จึงเกิดความสนใจ ขอพล็อตเธอมาเพื่อต่อยอดจินตนาการของตัวเอง โดยตั้งใจไว้ว่าจะทำให้จบภายใน 15 หน้า แต่มันกลับเพิ่มจำนวนขึ้นเป็นเท่าตัวจนน่าตกใจ

ไม่ค่อยสันทัดแนวย้อนยุคเท่าไรนัก เขียนโดยใช้ข้อมูลที่มีอยู่แค่ในหัวสมอง หากผิดพลาดตรงจุดไหน ช่วยแนะนำด้วยค่ะ

และทั้งนี้ต้องขอบคุณพี่คิงเพนกวินอีกรอบที่ช่วยตรวจทานเนื้อเรื่องและแก้ไขบางจุดเพื่อให้สมเหตุสมผลมากขึ้น

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


แก้วเจ้าจอม
ตอนที่ 2

เช้าวันรุ่งขึ้นไม่สดใสเหมือนฤดูใบไม้ผลิ บรรยากาศในห้องทานอาหารถูกความกดดันของนายศรันยูแผ่ทับ ข้าวต้มที่คิดว่ากินง่ายที่สุดกลับถูกกลืนลงอย่างฝืดคอคล้ายเป็นอาหารแห้งข้ามวัน แถมแก้วเจ้าจอมยังนอนไม่เต็มอิ่ม หญิงสาวจึงตีหน้าบูดบึ้งแข่งกับผู้เป็นพ่อ

“วันนี้วันอาทิตย์ไม่ใช่หรือแก้ว ตื่นเช้าแบบนี้จะไปไหนล่ะ” คนกลางอย่างนางกลิ่นมณฑาหาหัวข้อสนทนา เพื่อไม่ให้บรรยากาศบนโต๊ะอึมครึมไปยิ่งกว่านี้

“จะไป...” แก้วเจ้าจอมกดลิ้นไว้ทันเมื่อเหลือบไปเห็นสายตาของพ่อเขม่นจ้องมา หากบอกว่าจะไปเที่ยวกับเพื่อนคงโดนขัดขวางแน่ หญิงสาวจึงแอบปด “จะไปเดินเที่ยวจตุจักร แก้วคงกลับตอนเย็น”

“ให้คนขับรถไปเป็นเพื่อนด้วยดีไหมจ๊ะ”

“ไม่เป็นไรค่ะ เดินคนเดียวสะดวกกว่า แก้วขอตัวก่อนนะแม่” พูดพลางรีบลุกขึ้นก่อนที่ผู้เป็นพ่อจะพูดอะไรให้ต้องอารมณ์เสียขึ้นมาอีก แต่ไม่วายที่แก้วเจ้าจอมจะได้ยินเสียงบ่นตามหลังมา

“มัวแต่เที่ยวไม่ยอมดูหนังสือ ถ้าคิดจะต่อต้านแบบโง่ ๆ มันก็วกกลับเข้ามาทำร้ายตัวเองนั่นแหละ”

“โธ่ คุณคะ” เสียงนางกลิ่นมณฑาปรามสามีอย่างอ่อนใจดังตามมา

แก้วเจ้าจอมรีบเร่งฝีเท้าหนีออกไปโดยไว พลางกลั้นน้ำตาที่พาลจะไหลออกมาไว้ ความคิดที่จะไปเที่ยวกับเพื่อนถูกปัดออกไปอย่างไม่ไยดี เมื่อถูกพ่อค่อนแขวะด้วยถ้อยคำร้ายกาจ หญิงสาวมุ่งตรงไปยังหลังบ้านที่เป็นสวนกว้าง จนต้นแก้วเจ้าจอมปรากฏขึ้นมาในครรลองสายตา เธอเดินไปทรุดนั่งลงด้านข้าง พลางเอนซบพิงลำต้นของมันด้วยใจปวดร้าว

ถ้าเธอหายตัวไปตลอดกาลคงสมใจพ่อแล้วล่ะ...ความคิดประชดประชันหลั่งไหลเข้ามาเต็มสมอง แก้วเจ้าจอมพริ้มตาหลับลง และเฝ้าฟังเสียงใบไม้ที่เสียดสีกันแผ่วเบา พร้อมกับสติที่จมลึกลงสู่ห้วงภวังค์

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

แก้วเจ้าจอมลืมตาตื่นขึ้นมา และพบว่าตัวเองหลงยุคกลับมาอีกครั้ง คราวนี้หญิงสาวไม่รู้สึกตื่นตกใจเช่นครั้งแรก เพราะรู้แล้วว่าอยู่ที่ไหน แต่คิ้วโก่งยังคงขมวดปมอยู่ไม่คลาย เธอจำได้ว่าตัวเองหลับอยู่ใต้ต้นแก้วเจ้าจอมเมื่อตอนสาย แล้วทำไมเพียงพริบตาเดียว เวลาถึงผ่านไปไวจนกลายเป็นกลางคืนเสียได้

ดวงตาสีดำขลับเหลือบมองไปยังเรือนไม้ด้านข้างอีกครั้ง มันสว่างด้วยแสงไฟสลัว บอกให้รู้ว่ามีคนอยู่บนเรือนนั้น หญิงสาวมองอย่างชั่งใจว่าควรไปจากตรงนี้ดีหรือไม่ เธอหวาดกลัวว่าจะพบเจอคนอื่นที่ไม่ใช่โชติ เด็กหนุ่มประหลาดที่คุยกับคนแปลกหน้าโดยไม่มีทีท่าตะขิดตะขวงใจ

“มองหาฉันอยู่หรือ แม่แก้ว” เสียงที่ดังขึ้นท่ามกลางความมืดทำเอาเจ้าของชื่อสะดุ้งโหยง แล้วหันขวับไปยังต้นเสียง

โชติยืนส่งยิ้มนุ่มละมุนให้แม่นางไม้ผมทองที่สวมชุดแตกต่างไปจากที่เห็นครั้งแรก คราวนี้เธอมาในชุดกระโปรงเหมือนที่หญิงฝรั่งชอบใส่ แต่ดูสั้นไปหน่อยเมื่อเห็นว่าความยาวของมันอยู่ระดับหัวเข่า เผยให้เห็นท่อนขากลมกลึงและรองเท้าสานด้วยเชือกหนัง

“ทีหลังอย่าโผล่มาแบบนี้อีกนะ“ แก้วเจ้าจอมแหวใส่เด็กหนุ่มประหลาดที่ทำหน้าแปลกใจ ยิ่งประโยคหลังที่เอ่ยตามมาทำให้เขาต้องกัดฟันกลั้นหัวเราะไว้ “นึกว่าเจอผีแล้วเสียอีก แล้วนั่นแอบหัวเราะอะไร”

ดวงตาสีดำขลับทอแววเอาเรื่องจนโชติต้องส่ายหน้าปฏิเสธพัลวัน พลางปั้นหน้าให้หญิงสาวได้เห็นว่าเขาไม่ได้หัวเราะเธอ แต่ท่าทางค้อนขวับแปดตลบนั้นอดที่จะเรียกรอยยิ้มจากเด็กหนุ่มไม่ได้

“ฉันคิดว่าคืนนี้แม่แก้วจะไม่มาแล้วเสียอีก” โชติเปรยขึ้นแผ่วเบา พลางส่งยิ้มที่ทำให้คนถูกมองเกิดความรู้สึกแปลก แต่แปลกแบบไหนไม่อาจรู้ได้

ตอนแรกแก้วเจ้าจอมไม่คิดจะหวนกลับมาอีก แต่เพราะความอยากประชดพ่อเลยทำให้เธอต้องมาโผล่ที่นี่ หญิงสาวไม่รู้ว่าตัวเองควรดีใจหรือเสียใจกับความคิดชั่ววูบนี้ดี อย่างน้อยการหายตัวไปของเธอคงทำให้พ่อหัวปั่นได้ แต่เธอจะกลับไปยุคเดิมของตัวเองได้อย่างไร ยังคงเป็นปัญหาให้กังวล

“ฉันสัญญาแล้วนี่” หญิงสาวเชิดหน้าขึ้น พลางโมเมว่าตัวเองทำตามสัญญาที่ให้ไว้ ทั้งที่ความจริงแล้วไม่ใช่เลยสักนิด

“ไม่ใช่ว่าทะเลาะกับพ่อมาอีกหรือ”

ใบหน้าขาวซับสีแดงเรื่อเมื่อการคาดคะเนของโชติแทงใจจนเป็นรูเบ้อเริ่ม ไหล่ที่เหยียดตรงงองุ้มลงทันควัน พร้อมกับความหดหู่เข้ามาแทนที่ น้ำตาเริ่มรื้นชื้นขึ้นมา ความอัดอั้นพรั่งพรูออกมาอย่างเก็บกดไว้ไม่อยู่

แก้วเจ้าจอมเล่าเรื่องปัญหาของเธอกับพ่อให้โชติฟังอย่างไม่ปิดบัง ความรู้สึกที่ปกปิดไว้ระบายออกมาหมดพร้อมกับน้ำตาที่รินไหล เป็นเวลาที่แก้วเจ้าจอมพูดอยู่ฝ่ายเดียวโดยไม่ถูกขัด จนกระทั่งหมดเรื่องที่จะเล่าต่อเหลือเพียงเสียงสะอึกสะอื้นที่เจ้าตัวพยายามเก็บกลั้นไว้

โชติเข้าใจในสิ่งที่แม่นางไม้ผมทองเล่าได้ไม่ถึงครึ่ง เธอพูดถึงบ้านเมืองที่แตกต่างไปจากของเขา อา...มันคงเป็นเมืองลับแลที่คนสมัยก่อนเล่าขานต่อมากระมัง บางทีเธอคงไม่ใช่ผีอย่างที่เขาคิด แต่เป็นคนที่มีชีวิตและเนื้อหนังเหมือนกัน

“ไม่มีพ่อที่ไหนไม่รักลูกหรอกนะ” เด็กหนุ่มเอ่ยแผ่วเบา และมองเจ้าของใบหน้าขาวที่เงยหน้าขึ้น แพขนตาชุ่มน้ำกะพริบปริบ ก่อนส่งสายตาคัดค้านออกมา

“ฉันเองก็ถูกเคี่ยวเข็ญให้ร่ำเรียนอย่างหนัก เพราะคุณพ่ออยากให้ฉันสืบทอดหน้าที่ต่อจากท่าน และฉันเองก็เต็มใจ”

“แต่ฉันไม่เต็มใจ” แก้วเจ้าจอมค้านพลางทำเสียงขึ้นจมูกอย่างไม่พอใจ

“แม่แก้วจ๊ะ” โชติทอดเสียงอ่อน ท่าทางของแม่นางไม้ผมทองช่างเหมือนกับแม่พลอยยามดื้อดึงเสียเหลือเกิน “แต่ละคนต่างมีหน้าที่ของตัวเองนะ สิ่งที่แม่แก้วเรียน สามารถนำมันไปใช้ประโยชน์ได้มากมาย เหมือนกับฉันที่จะนำความรู้นั้นมาใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดิน เพื่อตอบแทนบุญคุณพระเจ้าอยู่หัวของเรา”

ความคิดที่ใหญ่โตเกินวัยทำให้แก้วเจ้าจอมอดประหลาดใจไม่ได้ หญิงสาวหยุดร้องไห้ แล้วมองเด็กหนุ่มอย่างพิจารณา ท่าทางของเขาดูปลาบปลื้มใจที่ตัวเองจะได้ทำคุณประโยชน์ให้แผ่นดิน ถ้าเป็นในยุคของเธอคงหาคนที่จะคิดแบบเขายาก

“ดูเธอรักชาติมากเลยนะ”

คราวนี้โชติเป็นฝ่ายทำท่าแปลกใจ เด็กหนุ่มมองแม่นางไม้ผมทองที่ทำหน้าเหมือนได้กินของแสลง “แล้วแม่แก้วไม่รักชาติ ไม่รักบ้านเมืองของตัวเองหรือ”

คนถูกถามกลับยักไหล่อย่างเสียไม่ได้ “ไม่รู้สิ ฉันคิดว่ามันเป็นเหมือนเรื่องไกลตัว ประวัติศาสตร์เป็นเพียงบันทึกหรือบทเรียนบทหนึ่งให้เราอ่าน ฉันอาจไม่ได้รักชาติบ้านเมืองมากมายอะไรก็ได้มั้ง เพราะเท่าที่เป็นอยู่นี่ฉันก็ยุ่งหัวหมุนกับเรื่องของตัวเองจนไม่มีเวลาไปสนใจเรื่องอื่นหรอก”

“บ้านเมืองของเธอคงสงบสุขมากสินะ” โชติคลี่ยิ้มน้อย พลางนึกไปถึงเมืองลับแลของแม่นางไม้ผมทอง

ใบหน้าขาวเริ่มบิดเบี้ยวเมื่อเจอคำถามที่จะไม่มีวันได้ยินในยุคสมัยของเธอ “ฉันไม่คิดว่ามันจะสงบสุขนักหรอก มันเป็นแค่เมืองในอุดมคติที่ไม่มีวันเป็นจริง”

“แต่ฉันจะเป็นคนทำให้เมืองในอุดมคตินั้นเป็นจริงเอง” น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเชื่อมั่น แก้วเจ้าจอมยิ้มออกมา ถ้าโชติรู้ว่าอนาคตเป็นอย่างไร เขาจะทำหน้าให้เธอเห็นเช่นไรนะ แต่ก่อนที่หญิงสาวจะพูดอะไรต่อ เสียงของใครบางคนก็ดังขัดขึ้นมาก่อน

“คุณโชติ...คุณโชติอยู่ที่ไหนขอรับ”

โชติเหลียวมองไปทางต้นเสียง ก่อนหันมามองแม่นางไม้ผมทองที่ทำหน้าเลิ่กลั่ก เด็กหนุ่มยิ้มปลอบราวกับรู้ว่าเธอกลัวอะไร “นั่นนายมั่นเป็นต้นห้องของฉัน เขาคงมาตามเพราะเห็นหายไปนาน แม่แก้วหลบไปก่อนเถิด” ไม่ต้องพูดมากความ แก้วเจ้าจอมก็กระโดดหาที่ซ่อนเป็นที่เรียบร้อย พอเห็นดังนั้นเขาจึงก้าวเดินออกห่างจากที่ซ่อนของหญิงสาวไปหาต้นห้องที่ตะโกนเสียงดังลั่น

“มีอะไรหรือ นายมั่น”

เจ้าของชื่อสะดุ้งโหยงเมื่อเจ้านายโผล่ออกมาจากความเงียบ เขาลูบอกพลางบ่นอุบอิบ “คุณโชตินั่นเอง กระผมตกใจหมด นึกว่าผีมาหลอก” คำพูดที่เหมือนกับใครบางคนทำให้คนฟังกลั้วหัวเราะอย่างขบขัน

“ที่นี่มีผีที่ไหน”

“มีนะขอรับ พวกทาสลือกันลั่น” นายมั่นเอ่ยค้านเสียงหลง แล้วเล่าให้ลูกชายพระยาพิทักษ์เกษมราชฟังด้วยท่าทางกระตือรือร้น “พวกมันบอกว่าเมื่อวานได้ยินเสียงร้องไห้ดังมาทางเรือนแก้วเจ้าจอมของคุณโชติ พอเดินมาดูตามเสียงร้องก็เห็นว่ามีผู้หญิงนั่งร้องไห้อยู่ แต่หน้าหล่อนขาวมากเหมือนไม่ใช่คนเลยขอรับ”

“ฉันไม่เห็นได้ยินเสียงอะไร” โชติตอบเสียงเรียบ แต่ใจกลับห่วงกังวลแม่นางไม่ผมทองขึ้นมา เมื่อคืนวานมีคนเห็นเธอด้วยอย่างนั้นหรือ

“แต่...”

“ไม่มีอะไรหรอกนายมั่น ถ้ามีฉันต้องเห็นสิ กลับขึ้นเรือนไปก่อนเถอะ เดี๋ยวฉันจะเดินเล่นอีกสักพักแล้วค่อยขึ้นไป” เด็กหนุ่มขัดขึ้นก่อนที่ต้นห้องจะพูดอะไรออกมาอีก นายมั่นนึกห่วงเจ้านาย แต่ข่าวลือเรื่องผีหน้าขาวทำให้เขาเลือกรับคำสั่งอย่างไม่อิดเอื้อน

“กระผมจะไปจัดเครื่องนอนให้นะขอรับ”

“จะไปไหนก็ไปเถอะ”

นายมั่นเหลียวซ้ายแลขวาด้วยความขนพองสยองเกล้า ก่อนหมุนตัวกลับโดยไม่ต้องรอให้ย้ำ โชติส่ายหน้ากับอาการกลัวผีของต้นห้องอย่างอ่อนใจ แล้วหันไปมองแม่นางไม้ผมทองที่โผล่ออกมาจากที่ซ่อนด้วยใบหน้าบึ้งตึง

“ฉันไม่ใช่ผีเสียหน่อย”

“อย่าถือสาพวกทาสเลย ความกลัวในสิ่งที่ไม่รู้ก็มักพาลให้เห็นพวกภูตผีไปหมด” โชติเอ่ยเสียงนุ่มเพื่อให้แก้วเจ้าจอมคลายความขัดเคือง

คำว่า ‘ทาส’ ทำให้คนอารมณ์บูดเปลี่ยนเรื่องสนใจ แก้วเจ้าจอมรู้จากในหนังสือว่าสมัยก่อนมีทาสมากมาย แต่ด้วยพระบารมีปกเกล้าของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้มีคำสั่งให้เลิกทาส

“นี่ยังไม่เลิกทาสกันอีกหรือ”

“เลิกทาส? แม่แก้วก็ได้ยินข่าวลือเรื่องในหลวงท่านจะเลิกทาสด้วยหรือ?” โชติมองแม่นางไม้ผมทองด้วยสายตาประหลาดใจ ก่อนถอนหายใจเฮือกใหญ่ “เฮ้อ...ท่านว่าฝรั่งมังค่ามาเมืองเราเห็นมีทาสก็ว่าสยามเรานั้นด้อยอารยะต้องเลิกทาส แต่เราไม่ได้ทารุณพวกทาสอย่างที่พวกฝรั่งคิดเสียหน่อย ต่างก็อยู่ร่วมกันอาจมีบ้างที่โดนนายรังแก แต่ไม่ใช่ที่เรือนนี้เด็ดขาด อย่าบอกนะว่าแม่แก้วเองก็คิดเช่นนั้นด้วย?”

แก้วเจ้าจอมสะดุ้งโหยงที่ถูกจับได้ ใบหน้าขาวเชิดขึ้นแล้วเสมองไปทางอื่นด้วยท่าทางไม่รู้ไม่ชี้ เรียกเสียงหัวเราะจากอีกฝ่ายที่มองอย่างขบขัน แม่นางไม้ผมทองเป็นคนที่อ่านง่ายเหลือเกิน เวลาเธอคิดอะไรมักแสดงออกมาทางแววตาหมด

“หยุดหัวเราะได้แล้ว” แก้วเจ้าจอมหันมาค้อนขวับที่โชติยังหัวเราะไม่เลิก

“ขอโทษที ฉันคงทำให้แม่แก้วไม่พอใจ” เด็กหนุ่มพยายามกลั้นยิ้มไว้ แต่ไม่วายหลุดเสียงคิกคักออกมา และยิ่งทำให้หญิงสาวค้อนตาคว่ำ

สายลมเย็นพัดผ่านผิวกายให้รู้สึกขนลุก ใบไม้เสียดสีกันจนเกิดเสียงประหลาด แก้วเจ้าจอมรู้สึกตาพร่ากะทันหัน โลกโคลงเคลงไปมาคล้ายถูกเขย่า หญิงสาวหันไปมองโชติเพื่ออยากถามว่าเขารู้สึกแบบเธอหรือไม่ แต่เขากลับจ้องตอบกลับมาด้วยแววตาบางอย่างจนน่าสงสัย

“มีอะไรหรือโชติ”

“แม่แก้ว....แม่แก้วเป็นอะไรไป? หรือว่า....ถึงเวลาจะไปแล้วหรือ” ครั้งก่อนเมื่อหล่อนหายไปก็ค่อย ๆ เลือนรางลงแบบนี้เช่นกัน แต่คำถามของโชติยิ่งทำให้คิ้วโก่งสวยขมวดขึ้นอีกปม แก้วเจ้าจอมไม่รู้ว่าร่างของตัวเองกำลังเลือนลงในสายตาของเด็กหนุ่ม

“ไม่รู้สิ คงได้เวลาต้องไปแล้วมั้ง” หญิงสาวยักไหล่อย่างไม่ค่อยสนใจเท่าไร

“แล้วแม่แก้วจะมาที่นี่อีกไหม” น้ำเสียงคล้ายไม่แน่ใจเอ่ยขึ้นแผ่วเบา แม่นางไม้ผมทองคงไม่รู้ว่าเขามารอพบตั้งแต่หัวค่ำ ในใจก็นึกหวั่นว่าเธอจะมาตามสัญญาหรือไม่ จนกระทั่งได้พบกับคนที่เฝ้ารออีกครั้ง

แก้วเจ้าจอมคลี่ยิ้มน้อย หญิงสาวมีเรื่องอยากพูดหลายอย่าง ทั้งเรื่องเลิกทาสที่พูดค้างไว้ และการพัฒนาที่เกิดขึ้นมากมายหลังจากนี้ เธอจะไปหาหนังสือแล้วเอามาเล่าให้เขาฟัง มันคงสนุกพิลึกล่ะ “มาสิ แล้วฉันจะเล่าเรื่องสนุก ๆ ให้ฟัง”

โชติยิ้มกว้างอย่างยินดี ท่าทางนี้ทำให้เขาดูเด็กสมวัยขึ้นมา “ถ้าอย่างนั้นฉันจะมารอแม่แก้วที่นี่นะ แต่ถ้าแม่แก้วมาแล้วไม่เจอฉันก็ให้ไปหลบที่เรือนแก้วเจ้าจอมของฉันก่อน อย่าให้คนอื่นเห็นล่ะ เดี๋ยวจะเกิดเรื่องวุ่นวาย” ประโยคช่วงท้ายเอ่ยอย่างนึกขึ้นได้ ซึ่งทำให้คนฟังส่งค้อนมาอีกตลบ

“ฉันไม่ใช่ผี อย่าลืมไปแก้ข่าวด้วยล่ะ”

คนแก้ข่าวไม่มีโอกาสได้ตอบกลับ เมื่อร่างของแม่นางไม้หายลับไป โชติมองต้นแก้วเจ้าจอมที่ได้พาหญิงสาวประหลาดให้มาพบกับเขา มันเหมือนเป็นความฝัน แต่เขากลับพบว่าเธอคือความจริง เด็กหนุ่มถอนหายใจเฮือกก่อนเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้ายามราตรี

เหตุใดฟ้าจึงบันดาลให้เขาและเธอได้พบกัน

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

เสียงเรียกที่ดังแว่วมาพร้อมกับการเขย่าปลุกอย่างร้อนรนทำให้แก้วเจ้าจอมต้องลืมตาขึ้นอย่างงุนงง หญิงสาวมองดูนางกลิ่นมณฑาที่มีสีหน้าตื่นตกใจระคนเป็นห่วง พลางพยุงกายลุกขึ้นนั่งใต้ต้นไม้ที่มีชื่อเดียวกัน ในใจกำลังครุ่นคิดถึงความฝันที่เป็นเหมือนความจริงเมื่อครู่

“ทำไมแก้วมานอนตรงนี้ได้ล่ะลูก”

“นี่กี่โมงแล้ว” แก้วเจ้าจอมไม่ได้ตอบคำถามของแม่ หญิงสาวกำลังสนใจเรื่องเวลามากกว่า เพราะตอนนี้ท้องฟ้ากลับสว่างเหมือนเดิมราวกับเวลาที่เธอนอนไม่เคลื่อนผ่านไปสักนิด

นางกลิ่นมณฑามองลูกสาวอย่างงุนงง เธอได้รับโทรศัพท์จากเพื่อนของแก้วเจ้าจอมว่าอีกฝ่ายยังไม่มาตามนัด ซึ่งทำให้รู้ว่าโดนแม่ตัวดีโกหกเข้าให้เสียแล้ว ครั้นพอโทรเข้าเครื่องเพื่อสอบถามว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน กลับไม่มีคนรับสาย สร้างความกังวลให้เป็นอย่างมาก พอถามไปยังคนรับใช้หน้าบ้านว่าเห็นหญิงสาวออกไปจากบ้านแล้วหรือไม่ ก็ได้รับคำตอบว่าไม่เห็นแม้แต่เงา นางกลิ่นมณฑาจึงลองสุ่มมาสวนหลังบ้านดู และได้พบว่าคนที่ตามหากำลังนอนแน่นิ่งเหมือนคนตายอยู่ใต้ต้นแก้วเจ้าจอมนี้เอง

แม้ใจจะสงสัยพฤติกรรมของลูกสาว แต่นางกลิ่นมณฑาก็ยอมตอบคำถามกลับไป “เก้าโมงครึ่งแล้วจ้ะ นี่แม่คิดว่าลูกออกไปข้างนอกแล้วเสียอีก”

แก้วเจ้าจอมเบิกตากว้างด้วยความตกใจ หญิงสาวจำได้ว่าตัวเองมานอนอยู่ตรงนี้ประมาณเก้าโมงกว่า แสดงว่าเธอหลับไปแค่ไม่กี่นาทีเท่านั้นเอง ความรู้ที่ได้รับมาใหม่ทำให้เธอนิ่งเงียบไปนาน มันนานจนนางกลิ่นมณฑารู้สึกเป็นห่วงว่ามีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นกับลูกสาว

“แก้วเป็นอะไรหรือเปล่า” เสียงของผู้เป็นแม่ฉุดให้หญิงสาวหลุดจากภวังค์ความคิด และแอบปดออกไปอีกครั้ง

“แก้วไม่ได้เป็นอะไร แค่รู้สึกเวียนหัวเลยแวะเข้ามานอนพักตรงนี้”

“ตายจริง! แล้วแก้วมานอนตากลมตรงนี้ทำไม ไม่ขึ้นไปนอนพักบนห้องล่ะ” นางกลิ่นมณฑาอุทานเสียงหลง พลางลูบไปตามท่อนแขนเย็นชื้นของลูกสาวด้วยความเป็นห่วง

“แก้วไม่อยากกลับเข้าไปเจอพ่อ” หญิงสาวปดอีกครอบ ความจริงเธออยากหายตัวไปจากตรงนี้ให้พ่อหัวปั่นต่างหาก

ความขัดแย้งของสองพ่อลูกเริ่มเป็นรอยแผลใหญ่ นางกลิ่นมณฑาทอดมองลูกสาวด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรักไม่คลาย ตรงกันข้ามกับผู้เป็นสามีที่เก็บงอมความรักที่มีต่อลูกไว้ภายใน เขาไม่ใช่คนละเอียดอ่อนและเจ้าทิฐิ เธอรู้ดีว่าสิ่งที่สามีกระทำนั้นเป็นไปเพราะความรัก

“แก้วจ๊ะ ไม่มีพ่อที่ไหนไม่รักลูกหรอกนะ” ประโยคที่ได้ยินซ้ำเป็นครั้งที่สองทำให้แก้วเจ้าจอมขมวดคิ้วยุ่ง “พ่ออยากให้ลูกได้รับในสิ่งที่ดีที่สุด จะมีเด็กสักกี่คนกันเชียวที่ได้ไปเรียนต่อต่างประเทศ”

“มีตั้งมากมาย” คนดื้อส่งเสียงคัดค้าน

นางกลิ่นมณฑาเพียงยิ้มรับ ก่อนเอ่ยต่อ “มากมายในกลุ่มคนมีเงิน แต่เมื่อเทียบกับเด็กกลุ่มอื่นก็ถือว่าเป็นส่วนน้อย แก้วจ๋า” เสียงนุ่มหวานเอ่ยเรียกลูกสาวแผ่วเบา “ลูกยังเด็กนักถึงได้มองแต่สิ่งที่อยู่ตรงหน้า ถ้าไม่เห็นแก่พ่อก็เห็นแก่แม่เถอะนะ ทำตามใจแม่ได้ไหมจ๊ะ แม่อยากให้ลูกไปด้วยกัน ไปเรียนต่อที่นั่น”

แก้วเจ้าจอมเบะปากกับคำขอร้องของแม่ ตามปกติแม่จะตามใจเธอตลอด แต่ทำไมเรื่องนี้ถึงไม่ยอมเข้าข้างเธอ หญิงสาวอยากตอบปฏิเสธเหมือนกับที่ทำกับพ่อ แต่ริมฝีปากกลับหนักอึ้งเอ่ยอะไรไม่ออก

“แก้วไม่อยากไป ที่นี่มีเพื่อน...”

นางกลิ่นมณฑาไม่ได้แสดงท่าทางต่อต้านเพื่อนของลูกเหมือนสามี แต่ใช่ว่าจะชอบเด็กพวกนั้น พวกเขานิยมวัตถุและแฟชั่นสมัยใหม่มากเกินไป แล้วสิ่งที่ห่วงไม่ใช่แก้วเจ้าจอมจะเป็นไปตามแบบเพื่อน เธอมั่นใจว่าการอบรมบ่มสอนของตัวเอง จะไม่ทำให้เนื้อในของลูกสาวเปลี่ยนไป สิ่งที่กังวลคือคณะที่ลูกจะเข้าเรียนตามเพื่อนต่างหาก เธอรู้ดีว่าลูกไม่มีหัวทางด้านนั้น

“แม่ไม่เคยขอร้องอะไรแก้ว แต่ครั้งนี้แม่ขอได้ไหม”

เจอไม้นี้เข้า ลูกสาวที่ไม่คิดจะขัดใจแม่ต้องอ้ำอึ้ง ก่อนพยักหน้าตกลงอย่างเสียไม่ได้ แก้วเจ้าจอมโอดครวญกับตัวเองในใจ แบบนี้ไม่ยุติธรรมเลย!

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

เป็นเวลาเกือบเดือนที่แก้วเจ้าจอมข้ามเวลาไปมา หญิงสาวลงทุนไปค้นหาหนังสือประวัติศาสตร์ที่เขียนเรื่องราวสมัยรัชกาลที่ห้า เพื่อเอามาเล่าให้โชติฟัง เขาทำท่าตื่นตาตื่นใจ แต่ไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่าการรับฟังจากคนที่กลายเป็นนักเล่าเรื่องด้วยท่าทางสนุก

บางครั้งบางคราวแม่นางไม้ผมทองก็มักเอาเรื่องทุกข์ใจมาเล่าให้ฟัง และอีกไม่นานเธอก็ต้องจากที่นี่ไป โชติรู้สึกใจหายกับคำที่เป็นเหมือนคำบอกลา เขาไม่อยากให้เธอไป แต่ก็ไม่อาจเห็นแก่ตัวได้ เขาควรส่งเสริมเพื่อให้เธอพบแต่สิ่งที่ดี

พอใกล้สอบปิดภาคเรียน แก้วเจ้าจอมต้องยุ่งอยู่กับการเตรียมเอกสารเรียนต่อ พาสปอร์ตและใบขอวีซ่า หญิงสาวจึงร้างลาจากการไปเยี่ยมโชติเป็นเวลานาน พอจัดการทุกอย่างเสร็จก็ต้องมาเจอกับคำกระแนะกระแหนของพ่อ จนต้องหนีไปที่สวนหลังบ้านอีกครั้ง

แก้วเจ้าจอมนั่งกอดเข่าน้ำตาซึมอยู่ใต้ต้นไม้ชื่อเดียวกัน แม้จะยอมไปต่างประเทศตามคำขอร้องของแม่ แต่ภายในใจยังร้องค้านไม่อยากไปเช่นเดิม อีกทั้งยังถูกเพื่อนโกรธแบบไม่มีเหตุผล เมื่อรู้ว่าเธอจะไม่ต่อมหาวิทยาลัยที่เดียวกัน

ทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะพ่อคนเดียว!

เสียงสะอื้นไห้ดังสลับกับเสียงเสียดสีของใบไม้ แก้วเจ้าจอมร้องไห้จนเหนื่อยและเผลอหลับใต้ต้นไม้ที่เคยพาตัวเองกลับไปอดีต สายลมพัดผ่านร่างบอบบางไปแผ่วเบา มันให้ความรู้สึกอ่อนโยนจนความขุ่นข้องหมองใจทั้งหมดคลายลง

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

เสียงเอะอะดังมาแต่ไกลเรียกให้แก้วเจ้าจอมลืมตาตื่นขึ้นมา หญิงสาวกวาดตามองรอบด้าน แล้วต้องสะดุ้งด้วยความตกใจ เมื่อที่ตรงนี้ไม่ใช่บ้านของเธอ มันเป็นบ้านของโชติอย่างไม่ต้องสงสัยทีเดียว แต่ดูเหมือนจะมีบางอย่างแปลกไป

ร่างบอบบางพยุงกายลุกขึ้นยืน พลางเหลียวมองรอบกายอย่างระมัดระวัง แก้วเจ้าจอมรู้สึกว่ามันเอะอะผิดไปจากทุกคืน แต่เสียงเหล่านั้นยังไม่อยู่ในความสนใจเท่ากับต้นไม้ที่มีชื่อเดียวกันตรงหน้า รอบลำต้นของมันถูกผูกด้วยสายสิญจน์หลายทบ มันทำให้หญิงสาวนึกถึงผ้าเจ็ดสีที่ผูกตามต้นไม้ที่มีเจ้าที่ ระหว่างที่เธอไม่มาที่นี่เกิดอะไรขึ้นกับแก้วเจ้าจอมต้นนี้

ความสงสัยทำให้แก้วเจ้าจอมคิดอยากหาคำตอบ หญิงสาวลุกขึ้นตรงไปยังเรือนไม้ของเด็กหนุ่ม แต่เธอต้องเลิกล้มความคิดนั้นทันที เมื่อเรือนแก้วเจ้าจอมเต็มไปด้วยทาสชายหญิงนับสิบคน พวกเขาพากันขนย้ายข้าวของในเรือนนั้น พลางพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ผู้มาเยือนยามวิกาลจึงลัดเลาะไปตามเงามืด เพื่อเข้าไปฟังคำสนทนาของคนพวกนั้น

“เอ็งคิดว่าคุณประยงค์สวยไหมวะ” เสียงของผู้หญิงในกลุ่มคนหนึ่งดังขึ้นระหว่างขนของออกไปวางไว้นอกเรือน ซึ่งทำให้คนที่ลอบขึ้นมาต้องหาที่หลบซ่อนพัลวัน นับว่าโชคดีทีเดียวที่แก้วเจ้าจอมคุ้นเคยกับเรือนนี้ดี จึงรู้ว่าควรแอบตรงไหน

“ใช้คำว่าสวยไม่ได้หรอกว่ะ คุณประยงค์เธองามและอ่อนหวาน เหมาะสมกับคุณโชติราวกับกิ่งทองใบหยก แถมเธอยังใจดี ชอบทำขนมเผื่อแผ่มาให้พวกเรา” คำพรรณนาถึงคุณประยงค์ยังมีต่อไปอีกยาว แต่แก้วเจ้าจอมคร้านที่จะฟัง และอดสงสัยว่าแม่ประยงค์นี่เป็นใคร มาเกี่ยวข้องได้อย่างไร

“ข้าล่ะอยากให้วันแต่งงานของคุณทั้งสองมาโดยเร็ว”

งานแต่งงานงั้นหรือ!?

แก้วเจ้าจอมแทบยกมือขึ้นปิดปากกลั้นเสียงอุทานไม่ทัน ประโยคนั้นตอบความสงสัยในใจของเธอได้ดีทีเดียว แต่โชติเพิ่งอายุสิบห้าเองไม่ใช่หรือ แม้จะรู้มาว่าคนสมัยก่อนแต่งงานเร็ว มันก็ไม่น่าจะแต่งกันตอนนี้ เขายังเป็นเด็กอยู่เลยนะ

ความคิดหลายอย่างพุ่งชนกันในสมองจนแก้วเจ้าจอมทำอะไรไม่ถูก หญิงสาวอยากพบโชติแล้วถามว่ามันเกิดอะไรขึ้นในช่วงที่เธอไม่อยู่กันแน่ และมันทำให้เธออยากออกไปจากตรงนี้ เพื่อตามหาเด็กหนุ่มประหลาดที่จะตอบความจริงทั้งหมดของเธอ

“เฮ้อ...นี่ดีนะที่คุณโชติย้ายออกจากเรือนนี้เสียที ข้าล่ะกลัวแม่ผีหน้าขาวจะออกมาอาละวาดอีก”

คนถูกอุปโลกน์ให้เป็นผีชะงักกึก แล้วแยกเขี้ยวอย่างไม่พอใจ โชติยังไม่แก้ข่าวว่าเธอไม่ใช่ผีอีกงั้นหรือ และมันทำให้ผีเก๊นึกอยากลองเล่นบทนี้หลอกพวกทาสให้สมแค้นเสียจริง

“เฮ้ย! อย่าพูดให้มันมาสิ”

“แต่แค่เอาสายสิญจน์มาพันมันจะพอหรือ ข้าว่าน่าจะตัดไปเลยดีกว่า จะได้ไม่ต้องมานั่งอกสั่นขวัญแขวนกันแบบนี้”

ทาสที่จับกลุ่มคุยเรื่องเจ้านายพากันถอนหายใจดังเฮือก โดยไม่รู้เลยว่าเจ้าของบทสนทนานั้นแอบฟังอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล แก้วเจ้าจอมกลั้นใจฟัง ดูเหมือนเธอจะได้คำตอบที่ต้องการโดยไม่ต้องถามโชติแล้ว

“ไม่รู้ว่าคุณโชติถูกใจต้นไม้ผีอะไรนั่นนักหนา บอกแต่ว่าเป็นนางไม้ หรือว่าคุณถูกมนต์เสน่ห์อีผีนั่นวะ”

“ถ้าโดนอีผีหน้าขาวทำเสน่ห์ใส่ คุณโชติคงไม่แต่งงานกับคุณประยงค์หรอกว่ะ” คำคัดค้านนั้นทำให้หลายคนพยักหน้าอย่างเห็นด้วย

“แต่ข้ายังอดกลัวไม่ได้ว่ะ” คนแรกที่เริ่มต้นนินทาถึงผีหน้าขาวรำพึง เจ้าของเสียงคำราญเมื่อครู่ทำเสียงขึ้นจมูก

“ถ้ามันจะโผล่ คงโผล่มาตั้งแต่สิบปีก่อนแล้ว อีผีนั่นโดนหลวงพ่อมารดน้ำมนต์ใส่ มันคงหมดฤทธิ์หรือไม่ก็คงไปเกิดใหม่ไม่มาตามหลอกหลอนเอ็งหรอก”

“สิบปี!”

คราวนี้แก้วเจ้าจอมอุทานโดยปิดปากไม่ทัน เหล่าทาสหญิงพากันหยุดหัวเราะ แล้วหันขวับเพื่อมองหาเจ้าของเสียงประหลาด แต่ละคนเริ่มทำท่าหวาดกลัวขึ้นมา เมื่อพาลนึกเอาว่าผีหน้าขาวมาตามหลอกหลอนอีกครั้ง หญิงสาวรีบหลบลงจากเรือน พลางวิ่งกลับไปที่เดิม

ความสับสนวิ่งเข้าชนจนรู้สึกมึนงง เวลาสำหรับที่นี่ผ่านไปสิบปีแล้วหรือ ถ้าอย่างนั้นเธอไม่แปลกใจเลยถ้าโชติจะแต่งงานขึ้นมา แก้วเจ้าจอมทรุดนั่งหายใจหอบอยู่ข้างต้นไม้ที่มีชื่อเดียวกัน แค่เวลาเพียงไม่นานสำหรับเธอ กลับกลายเป็นระยะชั่วข้ามปีสำหรับโชติ

หญิงสาวอยากไปหาเขา และกล่าวคำขอโทษ ความรู้สึกผิดพรั่งพรูอย่างห้ามไม่ได้ แต่ความอ่อนล้าทำให้เธอต้องฟุบหน้าลงกับพื้นดิน เธอขอพักเหนื่อยสักครู่ แล้วค่อยไปตามหาโชติ คงไม่ว่ากันนะ

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

ความขบเมื่อยจากการนั่งกอดเข่าทำให้แก้วเจ้าจอมขยับตัวเพื่อเปลี่ยนอิริยาบถ แต่หญิงสาวต้องลุกพรวดขึ้นมาเมื่อเธอกลับมายังยุคปัจจุบันอีกครั้ง ความคาดหวังว่าจะได้พบโชติมลายไปในพริบตา และยิ่งรู้ว่าเวลาของอดีตล่วงผ่านไปสิบปียิ่งทำให้รู้สึกว้าวุ่นใจ

แก้วเจ้าจอมเฝ้าคิดวนเวียนว่าโชติจะเป็นอย่างไรบ้างหนอ เมื่อไม่ได้เจอเธอนานขนาดนั้น หากเป็นเธอคงรู้สึกเปลี่ยวเหงา และน้อยใจที่อีกฝ่ายไม่แวะเวียนมาหาเหมือนเดิม แล้วคงพาลโกรธจนไม่อยากเจอหน้าไปเลยก็ได้ หญิงสาวส่ายหน้าไปมา เธอไม่อยากถูกโชติเกลียด

เมื่อคิดได้อย่างนั้น แก้วเจ้าจอมก็ล้มตัวลงนอนเพื่อกลับไปอดีตอีกครั้ง หญิงสาวนอนหลับตาอยู่นานเพื่อให้เข้าสู่ภวังค์ แต่ความว้าวุ่นเข้ามารบกวนจนไม่อาจสงบใจลงได้ เธอพยายามตั้งสมาธิให้ใจสงบ พลางอธิษฐานขอกลับไปหาโชติอีกครั้ง ผลก็ยังคงเป็นเหมือนเดิม

“โธ่ ไปได้แค่วันละครั้งหรือไงกัน” หญิงสาวบ่นพึมพำ แล้วลุกขึ้นนั่งอย่างไม่สบายใจ ทั้งที่เธออยากพบโชติแต่กลับมีบางสิ่งบางอย่างไม่อำนวย

“มาอยู่ที่นี่อีกแล้วหรือแก้ว” เสียงของนางกลิ่นมณฑาดึงสติของแก้วเจ้าจอมให้กลับมา หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองแม่ที่ทรุดนั่งลงเคียงข้าง พลางยกมือลูบท่อนแขนเย็นชื้นของลูกสาวแผ่วเบา

“ดูท่าลูกจะชอบที่นี่มากเลยนะ”

“ที่นี่ทำให้แก้วคิดถึงยาย” แก้วเจ้าจอมตอบกลับเสียงเบา พลางก้มหน้าหลบสายตาของแม่ที่จ้องมองมา ความจริงเธอไม่ได้คิดถึงยาย แต่คิดถึงโชติต่างหาก

นางกลิ่นมณฑามองต้นแก้วเจ้าจอมที่เอามาใช้ตั้งเป็นชื่อลูกสาว “ยายชอบต้นแก้วเจ้าจอมต้นนี้มาก มันปลูกมานานมากกว่าอายุของลูกกับของแม่รวมกันอีกนะ” เธอพูดพลางถอนหายใจอีกครั้งเมื่อนึกถึงอดีต ก่อนหันไปยิ้มให้กับคนที่เป็นดั่งแก้วตาดวงใจ

“นี่ก็เย็นมากแล้ว เรากลับเข้าไปในบ้านกันเถอะจ้ะ ถ้าอยู่รอตากน้ำค้างเดี๋ยวจะไม่สบายเอานะ”
แก้วเจ้าจอมอิดออดไม่อยากลุก เธออยากลองนอนเพื่อย้อนกลับไปอดีตอีกครั้ง แต่สายของแม่ที่แฝงแววห่วงใยทำให้ปฏิเสธไม่ออก หญิงสาวลุกขึ้นยืนตามแรงฉุด แล้วเดินตามหลังแม่โดยไม่วายมองต้นไม้ที่มีชื่อเดียวกันตาละห้อย เธอคงต้องเลื่อนเวลาย้อนอดีตเป็นวันพรุ่งนี้เสียแล้ว




Create Date : 06 เมษายน 2550
Last Update : 26 ตุลาคม 2556 16:58:02 น.
Counter : 303 Pageviews.

1 comments
  
ต่อ ต่อ ตามไปต่อ
โดย: taklomklom วันที่: 25 มีนาคม 2551 เวลา:20:09:19 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ฌา
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



New Comments
All Blog