พิษเสน่หา 23
๒๓ ความลับที่ซุกซ่อน

หลังจากที่ราเชนได้ชมหัวหน้ากองเกวียนหญิงเผยมาดนางเสือออกมา ชายหนุ่มก็ช่วยสมาชิกหญิงมัดโจรที่ดันเลือกเหยื่อผิดอย่างแน่นหนา เพื่อส่งให้ทางการ ส่วนโจรค่าหัวที่ดับดิ้นคามีดของเขาก็จำต้องหาที่ฝังให้ ตามคำสั่งของหัวหน้ากองเกวียนหญิง เพราะอย่างไรเธอก็ยังเห็นค่าว่าอีกฝ่ายเป็นมนุษย์อยู่ แม้สันดานจะเลยเถิดเกินสัญชาติตัวเองไปก็ตาม

แล้วทุกคนก็ช่วยกันยกเกวียนขึ้นจากหล่ม ซึ่งราเชนขอติดขบวนไปด้วยจนกว่าจะถึงประตูเมืองบูกิต เพื่อป้องกันการเล่นตุกติกของพวกโจร ที่แม้จะมาแพ้กลุ่มกองเกวียนหญิง แต่ความร้ายกาจของพวกมันก็ยังมีอยู่ สมกับที่ถูกตั้งต่าหัวจากรัฐต่าง ๆ และเขาก็อยากสอบถามข้อมูลของโจรป่าที่อาละวาดอยู่ตอนนี้ กับเจ้าแม่การข่าวอย่างสารัสสะ

“ข้าว่าแล้วว่าทำไมเจ้าถึงมาโผล่ที่นี่ แทนที่จะเป็นบนเรือขนสินค้าลำไหนสักลำ” หัวหน้ากองเกวียนเอ่ยขึ้น หลังจากได้ทราบธุระของราเชนว่าขอร่วมขบวนเกวียนของเธอมาด้วยทำไม ชายหนุ่มได้แต่ยิ้มกับความรู้เท่าทันของเธอ

“เจ้ามีข่าวไหมล่ะ”

ริมฝีปากเรียวบางเบ้ออกเล็กน้อยกับคำพูดของราเชน แล้วเกิดอาการหมั่นไส้กับนิสัยของชายหนุ่มขึ้นมา “ถ้าอยากได้ข่าวก็หัดขอให้มันไพเราะหน่อยดีกว่า อย่ามาพูดจาชวนหาเรื่องเลย ข้าไม่ตกหลุมพรางของเจ้าหรอก”

ราเชนกลั้วหัวเราะแผ่วเบา โดยไม่พูดอะไรตอบกลับไป และท่าทางนั้นก็ทำให้หญิงสาวถอนหายใจออกมาแผ่วเบา อีกฝ่ายเริ่มทำการทวงบุญคุณทางอ้อมอีกแล้ว ชายหนุ่มรู้ดีว่านิสัยของเธอนั้นไม่ชอบติดค้างหนี้ใคร แม้ว่าอีกฝ่ายจะโผล่มาให้ความช่วยเหลืออย่างบังเอิญก็ตาม และเขาก็บอกแนวทางให้เธอรู้แล้วว่าควรคืนหนี้อะไรให้

“ถ้าเจ้าไปที่บ้านร้างนอกเมือง อาจจะสืบหาอะไรได้บ้าง โดยเฉพาะคืนเดือนมืดที่เจ้าไม่ควรพลาด”

ข้อมูลของหัวหน้ากองเกวียนหญิง ทำให้ราเชนขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย แหล่งซ่องสุมของกลุ่มโจรเป็นถิ่นที่นักเดินทางและสายลับทุกคนรู้จักดี แม้แต่เขายังเคยใช้ที่นั่นเป็นสถานที่พักแรมบ่อยครั้ง ยามพบปะกับสายลับของตัวเองหรือสหายเก่าแก่

“แล้วไม่มีใครสังเกตเห็นบ้างหรือ”

“คนนอกไม่มีทางสังเกตเห็นเหมือนคนในหรอก” สารัสสะสะบัดเสียงใส่คล้ายไม่อยากตอบเท่าไรนัก แต่ก็ทำให้คนช่างสังเกตนึกเอะใจขึ้นมา

“คนในบูกิตก็รู้...”

ดวงตาคมวาวหันมาสบกับสายตาที่เต็มไปด้วยคำถาม และแสดงท่าทางไม่อยากเชื่อ “เท่าที่ข้ารู้นะ โจรป่าส่วนหนึ่งเป็นคนในบูกิต...พวกอันธพาล” หญิงสาวหยุดพูดพลางถอนหายใจเฮือกกับหนี้ราคาแพงที่ราเชนขูดรีด “อีกส่วนดูเหมือนจะเป็นคนแปลกหน้าแต่ไม่แปลกตา...นักเดินทางที่ชอบใช้บูกิตเป็นทางผ่านเวลาขึ้นเหนือลงใต้”

“ทำไมคนในบูกิตถึงปกปิดเรื่อโจรป่า” คำถามนี้ของราเชนตอบไม่ง่ายเลย เพราะขนาดเธอที่ได้ชื่อว่าป็นเจ้าแม่การข่าวยังต้องใช้เวลาในการหาคำตอบนี้

“ดูเหมือนคนในเมืองกับโจรป่าพวกนี้กำลังปกป้องบางอย่างอยู่ ข้าได้ข่าวอีกสายแว่วมาว่ามีมือสังหารจากต่างแคว้นเข้ามา และทาลางทูรออกคำสั่งฆ่าคนบางกลุ่ม”

แม้ข้อมูลที่สารัสสะให้จะไม่ปะติดปะต่อกัน แต่ราเชนก็สาวเส้นใยไปถึงบางเรื่องขึ้นมาได้ คราวนี้เขาก็หาคำตอบได้แล้วว่าทำไมพวกโจรป่าจึงเล่นงานแต่พวกสายลับ ส่วนที่ยังไม่เข้าใจก็เห็นจะเป็นเรื่องที่โจรป่าพวกนี้เล่นงานโดยไม่แบ่งแยกว่าเป็นสายลับของรัฐไหน

“สารัสสะ ข้าขอให้เจ้าช่วยทำบางอย่างหน่อยได้ไหม”

หัวหน้ากองเกวียนหญิงตีหน้าหงิกขึ้นมาทันทีทันใด การพบเจอราเชนแต่ละครั้ง มักทำให้เธอขาดทุนทุกที และครั้งนี้คงเป็นรอบที่เธอขาดทุนหนักที่สุด “จะให้ข้าช่วยอะไร”

ราเชนกลั้วหัวเราะกับท่าทางสะบัดเสียงใส่ของหญิงสาว แต่มันก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ เมื่อคนที่สามารถช่วยเหลือเขาได้มีแต่เจ้าแม่แห่งการข่าวคนเดียว “หาคนส่งข่าวให้ข้าหน่อย ขอคนที่รวดเร็วและรักษาความลับ”

“เรื่อง...” คิ้วเรียวบางเลิกขึ้นเล็กน้อยอย่างรอฟัง

“สีน้ำเงิน” ชายหนุ่มตอบกลับมาสั้นเสียจนหญิงสาวต้องเลิกคิ้วสูงขึ้นไปอีก ด้วยข้อความที่เขาต้องการส่งนั้นเป็นเพียงแค่คำหนึ่งคำ และเธอก็ได้รับการพยักหน้าเป็นคำตอบยืนยันอีกครั้ง

“จุดหมายปลายทางคือตำหนักอรินทรา ส่งข้อความนี้ให้กับเจ้าชายชัยนเรนทร์ บอกพระองค์แค่คำเดียวว่าสีน้ำเงิน แล้วพระองค์จะเข้าใจเอง ถ้าทรงถามว่าตอนนี้ข้าอยู่ไหน ก็บอกไปว่าบูกิต” ราเชนตอบพลางล้วงสัญลักษณ์เจ้าปาเยนทร์ออกมา เพื่อให้คนส่งข่าวถือติดตัวตอนไปพบเจ้าชาย

สารัสสะรับเหรียญทรงสามเหลี่ยมด้านเท่า ที่ลงลายดันนูนเป็นรูปดอกราชาวดีด้วยความคุ้นเคย เพราะเธอเคยรับงานส่งข่าวสารระหว่างราเชน กับเจ้าชายชัยนเรนทร์ให้อยู่บ่อยครั้ง “สีน้ำเงินคืออะไร” และมันอดไม่ได้ที่หญิงสาวจะต้องค้นหาความหมายที่ซ่อนอยู่ในคำนั้น เมื่อเธอได้กลิ่นความลับโชยออกมา

“สีน้ำเงินก็คือสีน้ำเงิน” คำตอบของราเชนยังคงสั้นห้วนเหมือนเดิม และไม่มีทีท่าจะพูดอะไรมากกว่านี้ ซึ่งทำให้หัวหน้ากองเกวียนหญิงอดขัดเคืองใจขึ้นมาไม่ได้

“ไม่บอกก็ตามใจ”

ราเชนโคลงศีรษะไปมากับนิสัยสอดรู้สอดเห็นของเจ้าแม่การข่าว แต่เขาก็มั่นใจว่าเธอคงหาข่าวของสีน้ำเงินได้ไม่ง่ายนัก ขนาดตัวเขาที่คลุกคลีกับเรื่องสีน้ำเงินมานาน ยังรู้สึกหมือนว่าตัวเองยังรู้เรื่องพวกนี้ได้ไม่ถึงครึ่ง “ขอบใจกับข่าวนะ ใกล้ถึงประตูเมืองแล้ว ข้าขอแยกทางตรงนี้เลยแล้วกัน” แต่ยังไม่ทันที่ราเชนจะได้ลงจากเกวียน สายตาของเขาก็ไปสะดุดเข้าที่แสงสะท้อนของอัญมณีเม็ดหนึ่งเข้า มันทำให้เขาชะงักและหยุดมองสิ่งสะดุดสายตาทันที

ของที่ดึงดูดความสนใจราเชนเป็นหวีเสียบแบบราบเรียบ ที่ทำมาจากเนื้อโลหะเงิน ประดับด้วยหินปะการังรูปดาวสีขาวเรียงกันตลอดแนวยาวของด้าม โดยตรงกลางประดับด้วยไพลินทรงรีขนาดเท่าหัวนิ้วก้อย และมันก็ทำให้ชายหนุ่มนึกถึงใครคนหนึ่งขึ้นมา

ไพลินที่ดูเล็กกะจิดริด แต่กลับโดดเด่นในสายตาของเขา ยิ่งกว่าอัญมณีเม็ดใดที่วางอยู่ในกล่องเครื่องประดับ มันเหมือนกับผู้หญิงคนนั้น เธอที่ทำให้เขาหยุดมอง...สิริกัญญา

“มองอะไรน่ะ” สารัสสะเองก็รู้สึกแล้วว่าราเชนกำลังสนใจสินค้าบางอย่างของเธออยู่ ซึ่งเสียงเรียกของเธอก็ทำให้เขาหลุดจากภวังค์ความคิดนั้น

“ข้าขอซื้อหวีเสียบอันนั้นได้ไหม”

“หา!?”

“หวีเงินที่ประดับไพลินกับปะการังอันนั้นน่ะ ขอซื้อต่อได้ไหม”

หัวหน้ากองเกวียนหญิงหันไปมองหวีเงินอันที่ว่า แล้วพยักหน้ารับรู้ว่ามันคืออันใด หญิงสาวหันไปหยิบมันใส่ห่อผ้า ก่อนยื่นส่งให้ชายหนุ่มที่ล้วงเอาถุงเงินออกมาเตรียมจ่ายราคาค่าของ

“เท่าไร”

“เอาไปเลย ข้าให้” สารัสสะส่ายหน้าปฏิเสธเงินของพ่อค้าที่ร่ำรวยที่สุด และอายุน้อยที่สุด อีกทั้งยังเนื้อหอมในหมู่ผู้หญิงมากที่สุด ซึ่งตอนนี้เจ้าตัวกำลังเลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจกับความใจดีของหญิงสาว

“ถือว่าข้าชดใช้หนี้ที่เจ้าช่วยเหลือเราเมื่อครู่”

“ข้าแค่บังเอิญผ่านทางมาช่วยเท่านั้น” ชายหนุ่มตอบพลางยิ้มน้อย ซึ่งดูน่าหมั่นไส้ในสายตาของหัวหน้ากองเกวียนหญิงอย่างไรพิกล

“ถึงจะบังเอิญ แต่ก็ถือว่าข้าติดหนี้เจ้าอยู่ดี และคนอย่างสารัสสะ ติดหนี้ใครก็ติดได้ แต่ไม่ขอติดหนี้เจ้าปาเยนทร์เด็ดขาด เวลาเจ้าทวงบุญคุณทีไร ชอบเก็บแพงจนข้าขาดทุนทุกที”

ราเชนหัวเราะอย่างไม่เกรงใจคนที่ไม่ชอบติดหนี้บุญคุณเขา หญิงสาวส่งสายตาค้อนคว่ำให้ แล้วยัดหวีเสียบใส่มือใหญ่ ชายหนุ่มจับมือเรียวบางไว้อย่างนุ่มนวล พลางมองหัวหน้ากองเกวียนหญิงที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นคู่รักของเขาด้วยสายตาอ่อนหวาน

“ขอบใจมากนะ สารัสสะ”

หญิงสาวกวาดตามองดวงหน้าคมคายด้วยสายตาอาลัยรัก เธอเคยหลงรักเขามาก่อน และทำทุกอย่างเพื่อให้เขาหันมารักตอบบ้าง แต่เมื่อรู้ว่าเขาไม่มีทางหยุดสายตาลงที่เธอ ก็จำต้องถอนตัวออกมาเสียก่อนที่จะเจ็บปวดไปมากกว่านี้

“ข้าไม่รู้ว่าเจ้ากำลังทำอะไรอยู่ แต่ความรู้สึกของข้าบอกว่างานนี้มันอันตรายมาก ยังไงก็ระวังตัวด้วยนะ ราเชน”

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


พอนึกมาถึงตอนที่ตัวเองแยกมาจากสารัสสะ ราเชนก็ถอนหายใจออกมาแผ่วเบา หญิงสาวนิสัยห้าวแต่แสนดีคนนั้นจะรู้สึกอย่างไรบ้างนะ ที่ต้องมาเจอคนรักเก่าอย่างเขา ถึงการแยกทางจะเป็นไปด้วยดี ชายหนุ่มก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายคอยหลบหน้าเขาอยู่ตลอดเวลา แม้พบหน้าก็ไม่เคยสบตา จนกระทั่งครั้งนี้ที่เธอยอมสบตาเขาตรง ๆ ซึ่งในดวงตาคมวาวคู่นั้นบอกถึงการตัดใจในรักที่มีต่อตัวเขาอย่างเด็ดขาด

แล้วเรื่องของสารัสสะก็ทำให้ราเชนนึกถึงหวีเสียบประดับไพลินขึ้นมา ชายหนุ่มพยายามลุกจากเตียงอย่างเชื่องช้า แล้วครางซี๊ดกับบาดแผลที่พลาดจุดตายมาอย่างน่าอัศจรรย์ และสิ่งที่ช่วยให้เขารอดพ้นความตายมาได้ก็คือหวีเสียบที่คิดจะเอาไปฝากหญิงสาวสีน้ำเงินคนนั้น กับสร้อยของกูราที่เขาเริ่มคิดว่ามันอาจเป็นสัญลักษณ์ของเชื้อสายโอรสสวรรค์ที่ทุกคนตามหา

ร่างสูงลุกขึ้นจากเตียง พลางเดินไปยังตู้ใส่ของที่อยู่ห่างจากเตียงด้วยท่าทางยักแย่ยักยัน ชายหนุ่มยกมือขึ้นแตะแผลบนหน้าอก ก่อนคู้ตัวลงด้วยความเจ็บปวด เขารู้ว่าการฝืนสังขารที่ยังไม่คืนสภาพเป็นเรื่องโง่เขลา แต่เขาก็อยากตามหาหวีเสียบมาเก็บไว้เคียงกาย ให้รู้สึกว่าหญิงสาวที่ตัวเองคอยคิดคำนึงถึงเฝ้าอยู่เคียงข้าง

“ลุกขึ้นมาทำไมคะท่าน!” เสียงหวานที่แฝงความตระหนกตกใจ เอ่ยขึ้นหลังจากที่เปิดประตูห้องเข้ามา แล้วเห็นคนเจ็บลุกขึ้นมาจากเตียง

“ข้าตามหาของอยู่น่ะ” ราเชนตอบเสียงแหบ พลางคลี่ยิ้มน้อยให้เด็กสาวที่อยู่ในชุดนางชีฝึกหัด “...เป็นหวีเสียบสีเงินธรรมดา”

“อ๋อ...” เด็กสาวลากเสียงยาว เมื่อนึกถึงสิ่งของที่ชายหนุ่มกล่าวถึงได้ พลางเดินตรงไปยังตู้เก็บของ ซึ่งเป็นเป้าหมายของคนเจ็บ เธอเปิดลิ้นชักด้านบนสุดแล้วหยิบห่อผ้าใบหนึ่งที่ถูกเปลี่ยนใหม่ ด้วยห่อผ้าอันเก่านั้นเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดออกมา ก่อนส่งมันให้ร่างสูงที่ฝืนเดินตามมารับไป

“ของฝากให้คนรักหรือคะ”

นางชีฝึกหัดเอ่ยถามด้วยความอยากรู้ เมื่อเห็นราเชนเปิดห่อผ้าเอาหวีเสียบสีเงินออกมา พลางลูบไล้มันอย่างทะนุถนอม ดวงตาสีดำเข้มที่ฉาบด้วยความอ่อนล้าต่ออาการบาดเจ็บ ทอแววนุ่มละมุนยามจับจ้องเครื่องประดับชิ้นเล็ก ราวกับจะให้มันเป็นตัวแทนของใครบางคน

ราเชนยิ้มโดยไม่ตอบอะไร พลางจ้องรอยแผลจากคมกระบี่ที่ฝังอยู่บนพลอยไพลิน ร่องรอยนี้บอกให้รู้ว่ามันนั่นเองที่มีส่วนช่วยให้เขารอดชีวิตมาจากถนนสามแพร่ง ชายหนุ่มเก็บหวีเสียบไว้ในห่อผ้าตามเดิม แล้วเก็บไว้กับตัว ก่อนล่าถอยกลับเตียงนอนโดยมีนางชีฝึกหัดช่วยพยุง

“ท่านนี่ฟื้นตัวไวจังเลยนะคะ ตอนที่ข้าเห็นท่านถูกหามเข้ามาในอารามกลางดึก ตัวท่านงี้โชกไปด้วยเลือด แถมเลือดยังไม่ยอมหยุดไหลด้วย ข้าก็นึกว่าท่านจะไม่รอดแล้วเสียอีก” เด็กสาวเอ่ยออกมาด้วยท่าทางตื่นเต้น หลังจากพาคนเจ็บขึ้นนอนบนเตียงเรียบร้อย

“คนรักษาเก่งต่างหาก” ชายหนุ่มกลั้วหัวเราะเล็กน้อย พลางถอนหายใจออกมาหนึ่งเฮือก เมื่ออาการปวดแปลบรอบบาดแผลเริ่มบรรเทาลง

“ท่านเดือนฟ้าเป็นคนดูแลค่ะ เธอรับท่านที่บาดเจ็บเข้ามาเองกับมือด้วยนะคะ”

ราเชนมองนางชีฝึกหัดที่ตอบคำถามด้วยท่าทางกระตือรือร้น และเขาก็เริ่มเห็นทางสอบถามข้อมูลบางอย่าง “แล้วใครพาข้ามารักษาที่นี่หรือ”

นางชีฝึกหัดเอียงคอ พลางทำท่านึกอยู่ครู่หนึ่ง “ข้าเองก็ไม่รู้ค่ะ แต่คนที่พาท่านมามีอยู่สามคนด้วยกัน คนแรกเป็นคนสุภาพมาก แล้วก็บาดเจ็บมาเหมือนท่าน อีกคนเป็นผู้ชายตัวใหญ่เหมือนยักษ์ เขาเป็นคนแบกท่านมา คนนั้นตาดุมาก ไม่ยอมพูดอะไรสักคำ ส่วนคนสุดท้ายก็เป็นผู้ชายที่สวยเหมือนผู้หญิง เขาใจดีแล้วก็ขี้เล่น ผิดกับคนที่สองลิบลับ”

คนสุดท้ายที่เด็กสาวเอ่ยถึงทำให้ราเชนคิ้วกระตุกขึ้นเล็กน้อย ถึงแม้ตัวเองจะถูกทำร้ายอย่างไม่ทันระวังตัว แต่ก็ยังมีเวลาพอที่จะจำใบหน้าคนที่ลงกระบี่ใส่ได้เป็นอย่างดี คนใจดีของนางชีฝึกหัดน่ะ ฆ่าคนได้ทั้งที่ใบหน้ายังประดับด้วยรอยยิ้ม เป็นมือสังหารที่ไม่แผ่จิตสังหารให้เขาจับได้เลยสักนิด

“แล้วตอนนี้พวกเขาอยู่ไหนล่ะ”

“พอคนที่บาดเจ็บทำแผลเสร็จก็ลาจากไปทันทีเลยค่ะ”

“น่าเสียดาย ข้าอยากจะขอบคุณพวกเขาเสียหน่อย” ราเชนแสร้งยิ้มเสียดายที่ผู้มีพระคุณจากไปโดยไม่ลา และเขาก็ไม่ยอมให้มีหนี้ค้างแน่ “แล้วเจ้าไม่รู้เลยหรือว่าคนพวกนั้นไปที่ไหนต่อ”

เด็กสาวครางอือในลำคอ ก่อนยิ้มแหย “จะว่ารู้ก็รู้หรอกค่ะ แต่ถ้าข้าพูดไปแล้ว อย่าไปบอกท่านเดือนฟ้านะคะ เพราะข้าแอบฟังพวกเขาพูดกัน” น้ำเสียงในประโยคสุดท้ายนี้ดูจะอ่อยลงไปมาก แต่ดูเหมือนโชคจะไม่เข้าข้างราเชนเท่าไรนัก เมื่อมีคนที่สามเข้ามา

นางชีฝึกหัดหันไปมองผู้เข้ามาใหม่ แล้วหดคอลงด้วยความเกรงกลัว ต่อชนักบางอย่างที่ติดอยู่บนหลัง เมื่อโดนเดือนฟ้าจับจ้องมาด้วยสายตาจับผิด เด็กสาวลุกขึ้นจากเก้าอี้ข้างเตียง พลางค้อมคำนับให้ผู้ดูแลอารามฝ่ายในที่พาชายแปลกหน้าสองคนเข้ามาในห้อง

“ท่านเดือนฟ้า...”

“เขาฟื้นนานแล้วหรือจ๊ะ” เสียงหวานนุ่มเอ่ยถามออกมาแผ่วเบา พลางเหลือบสายตาไปทางราเชนที่ค้อมศีรษะให้เล็กน้อย

“ได้ครู่หนึ่งแล้วค่ะ”

“แล้ว...” เดือนฟ้าทิ้งคำถามไว้แค่นั้น พลางส่งสายตาถามไปทางเด็กสาวว่าเข้ามาทำอะไรที่นี่

“พอดีข้าจะเข้ามาเปลี่ยนน้ำน่ะค่ะ เลยเจอท่านตื่นขึ้นมาพอดี” นางชีฝึกหัดละล่ำละลักตอบ พลางเดินตรงไปหยิบอ่างที่มีผ้าชุบน้ำพาดตากอยู่บนขอบอ่าง ก่อนค้อมตัวลาออกไปนอกห้องทันที

เดือนฟ้าถอนหายใจออกมาแผ่วเบา พลางหันไปยิ้มให้ราเชนที่มีความเคลือบแคลงอยู่ในดวงตาว่าทำไมเธอจะต้องไล่เด็กสาวคนนั้นออกไปทางอ้อมด้วย “นางเติบโตมาในอารามฝ่ายใน ไม่เคยออกไปยังโลกภายนอก ดังนั้นพอมีคนมาเยือนก็มักชอบเข้าไปคุยด้วย ซึ่งหากเป็นผู้หญิงข้าก็คงไม่ห่วงอะไร แต่กับผู้ชายนั้นเป็นเรื่องที่ไม่สมควรยิ่งนัก ต้องขออภัยด้วยนะคะที่ไม่ให้อยู่เป็นเพื่อนคุยกับท่าน”

ราเชนพยักหน้ารับรู้ แต่เขาก็ไม่รู้ว่าเหตุผลจะมีแค่ที่เดือนฟ้าอ้างออกมาหรือไม่ เพราะอย่างน้อย เขาก็รู้ว่าที่นี่มีความลับบางอย่างซุกซ่อนไว้ แล้วบางทีเด็กสาวคนนั้นก็อาจรู้ความลับที่ว่า ซึ่งเขาก็มีวิธีสืบหาความลับที่อีกฝ่ายปกปิดอยู่หลายทาง แล้วความสนใจของเขาก็พุ่งไปยังผู้เข้ามาใหม่อีกสองคนที่ส่งยิ้มทักทายมาให้

“ข้าได้ยินมาว่าเจ้าเจ็บหนักนี่นา ไหงลุกขึ้นมาคุยจ้อกับเด็กผู้หญิงได้ล่ะ” เจ้าชายชัยนเรนทร์ทรงตรัสทักสหายสนิทอย่างโล่งพระทัย ที่ทอดพระเนตรเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้เป็นอะไรมากตามข่าวที่คนของพระองค์รายงานมา

“เจ็บหนักสิ ข้าเกือบตายเชียวนะ” ราเชนพูดพลางกลั้วหัวเราะ แล้วยกมือขึ้นลูบบาดแผลของตัวเอง ชายหนุ่มยังจำได้ไม่ลืมถึงความรู้สึกที่เหมือนติดอยู่ในห้วงแห่งความมืด และน่าแปลกที่ช่วงเวลานั้นเขาไม่ได้คิดถึงคนในครอบครัว แต่กลับคิดคำนึงถึงเจ้าของดวงตาสีน้ำเงินที่บางครั้งก็ชอบส่งแววชิงชังมาให้ บางคราก็เหมือนกับจะมองใครบางคนผ่านตัวเขา

“ข้าขอตัวก่อนนะคะ ถ้ามีอะไรก็สามารถออกมาเรียกเด็กรับใช้ที่อยู่ข้างนอกได้” เดือนฟ้าพูดพลางค้อมศีรษะให้ผู้มาเยือนทั้งสอง ก่อนเดินออกไปข้างนอก และพอลับหลังเธอไป ท่าทางขี้เล่นของเจ้าชายชัยนเรนทร์ก็เปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมาทันทีทันใด

“มีอะไรหรือ” ราเชนเอ่ยถามอย่างสงสัย เมื่อสังเกตเห็นท่าทางที่เปลี่ยนไป

เจ้าชายชัยนเรนทร์ผินพักตร์ไปทางเจ้าหลวงวิวัสวัตที่แสดงท่าทางไม่แตกต่างกันเท่าไรนัก ด้วยนับตั้งแต่ทั้งสองพระองค์ล่วงผ่านประตูอารามเข้ามา ก็ทรงรู้สึกถึงสายตาหลายสิบคู่ที่จับจ้อง และทั้งสองพระองค์ก็ไม่คิดว่ามันเป็นสายตาของนักบวชที่อยู่ในอารามแห่งนี้ เพราะมันมีความกดดันที่ทำให้ผู้ถูกจับจ้องรู้สึกหายใจไม่ออก

“ที่นี่มีอะไรหรือเปล่า” เจ้าชายตรัสถามด้วยสุ้มเสียงแผ่วเบา พลางเดินสำรวจดูรอบห้องว่ามีใครแอบดักฟังอยู่หรือไม่ ซึ่งคำถามนั้นทำให้คนที่รู้ความลับบางอย่างเข้าโดยบังเอิญถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

“มี...แล้วก็มีมากเสียด้วย”

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


หลังจากที่เจ้าหลวงวิวัสวัตกับเจ้าชายชัยนเรนทร์หาที่ประทับนั่งได้ ราเชนก็เริ่มเล่าถึงข่าวสารของสารัสสะ และสิ่งที่ได้มาหลังจากเข้ามาสืบข่าวคราวเรื่องโจรป่า ก็คือเรื่องที่คนพวกนั้นไม่ใช่โจรป่าตามที่ทหารตระเวนชายแดนรายงานมา บางทีอาจเป็นมือพิฆาตจากรัฐไหนสักรัฐ เพราะคนที่เขาปะมือด้วยมีฝือเก่งกาจเกินโจรธรรมดา และหากอีกฝ่ายคิดจะหักหาญเอาชีวิต เขาก็ไม่มั่นใจว่าตัวเองจะชนะจนฝากรอยแผลไว้แบบนั้นได้หรือไม่

แล้วการที่อีกฝ่ายเพลี่ยงพล้ำจนเกือบถูกราเชนจับได้ ก็ทำให้คนที่ซุกซ่อนอยู่ในมุมมืดปรากฏตัวออกมา ซึ่งนั่นทำให้ชายหนุ่มถึงกับหน้าเสีย เพราะเขาไม่รู้สึกถึงการคงอยู่ของอีกฝ่ายเลย และหากไม่ได้อีกคนส่งเสียงร้องเตือน เขาก็คงหลบคมกระบี่ของมือสังหารที่มีใบหน้างดงามราวอิสตรีที่จงใจแทงจุดตายไม่ทัน แต่ถึงจะพลาดจุดตายไปอย่างน่าเสียวไส้ กระบี่เล่มนั้นก็ฝากรอยแผลลึกจนเขาเกือบไปเฝ้ายมบาลเช่นกัน

ราเชนยังจำได้ดีถึงเสียงโวยวายของชายหนุ่มท่าทางสุภาพ แต่ฝีมือเพลงดาบกลับร้ายกาจกว่าที่เห็น ผู้ชายคนนั้นกล่าวโทษมือสังหารของตนเองที่แสดงตนออกมาโดยพลการ ซึ่งชายหนุ่มหน้าสวยก็ย้อนกลับอย่างไม่รู้สึกผิด ถึงหน้าที่ของตนเองที่ต้องปกป้องหัวหน้ากลุ่มไม่ให้ตกอยู่ในอันตราย ซึ่งหัวหน้าคนนั้นก็มีนิสัยเลินเล่อจนถูกคนสะกดรอย อีกทั้งยังไม่ยอมสู้อย่างจริงจังจนตัวเองต้องมาบาดเจ็บอย่างที่เห็น

หลังจากนั้น ราเชนก็ไม่รู้สึกอะไรอีก นอกจากประโยคสุดท้ายที่อีกฝ่ายกล่าวถึงใครบางคน ที่ยังวนเวียนซ้ำไปซ้ำมานับตั้งแต่ที่ชายหนุ่มฟื้นคืนสติขึ้นมาอีกครั้ง

“เจ้าชัย...คิดว่าท่านจินดาจะทรยศตาแก่ของเราไหม”

“ทำไมถึงถามอย่างนั้น” เจ้าชายชัยนเรนทร์ตกพระทัยเล็กน้อยที่ได้ยินคำถามของราเชน ซึ่งคนถามก็ขมวดคิ้วยู่ย่นอย่างคนมีปัญหาคับอก

“ข้าคิดว่าแต่ละเรื่องล้วนมีท่านจินดาเกี่ยวโยงด้วยไปหมด อย่างเรื่องโจรป่ากลุ่มนี้ที่แต่เดิมทีตาแก่ของเราสั่งให้ท่านจินดามาตรวจสอบด้วยตัวเอง แต่ก็ทรงเปลี่ยนคำสั่งให้ข้ามาทำแทน ราวกับทรงระวังไม่ให้ท่านจินดาเข้ามายุ่ง” ราเชนตอบปัดไปอีกเรื่อง ซึ่งเขาพูดไม่ได้ว่าได้ยินพวกโจรป่าเอ่ยชื่อของท่านจินดา

ไม่สิ...ไม่ใช่จินดา แต่เป็นจิรัฐจินดาต่างหาก!

“ท่านจินดาของพวกเจ้านี่เป็นใครกัน นอกจากจะมีความลับมากมายแล้ว ยังสามารถปกปิดเรื่องบุตรีสีน้ำเงินไม่ให้คนจมูกไวอย่างพวกเจ้ารู้สึกได้”

เจ้าหลวงวิวัสวัตตรัสถามอย่างสนพระทัย ด้วยระหว่างที่เสด็จมายังบูกิต พระองค์ทรงเค้นถามเรื่องของหญิงสาวสีน้ำเงินที่ทรงพบอย่างบังเอิญในป่าปัจฉิม จนได้ความว่าเป็นบุตรีคนที่สิบเก้าของประธานองคมนตรีแห่งปามะห์ ซึ่งเจ้าชายชัยนเรนทร์ก็บ่ายเบี่ยงไม่ยอมตอบคำถาม โดยทรงอ้างว่าไว้รอพูดรวดเดียวพร้อมกับเจ้าปาเยนทร์ พระองค์จึงต้องทรงเก็บความสงสัยไว้จนถึงตอนนี้

“วิวัสวัตบังเอิญไปเจอสิริกัญญาเข้าน่ะ” เจ้าชายชัยนเรนทร์ตรัสกับเจ้าปาเยนทร์ที่แสดงอาการสงสัยว่าเจ้าหลวงแห่งกูราทรงรู้เรื่องบุตรีสีน้ำเงินได้อย่างไร “แล้ววิวัสวัตก็บอกว่าบางทีสิริกัญญาอาจมีสายเลือดใกล้เคียงบัลลังก์สีน้ำเงินมากกว่ามเหสีของทาลางทูร”

“องค์โสม...มเหสีแห่งทาลางทูรเป็นสายเลือดลำดับที่ห้า ซึ่งข้าเป็นคนที่สิบสอง เป็นน้องคนสุดท้องที่ไม่มีแม้แต่สิทธิ์ขึ้นครองบัลลังก์สีน้ำเงินตั้งแต่แรก” เจ้าหลวงวิวัสวัตตรัสเสียงขื่น เมื่อทรงนึกถึงสาส์นจากทาลางทูรที่ทำร้ายพระราชหฤทัยของพระองค์จนแทบดับดิ้น พร้อมทั้งกล่าวทวงบัลลังก์สีน้ำเงินให้แก่ผู้ที่สมควร ซึ่งพระองค์ก็ยอมไม่ได้เช่นกันที่จะให้ทางฝ่ายนั้นครอบครองแผ่นดินที่ทรงรักดุจดั่งชีวิตขององค์เอง

“ใบหน้าของสิริกัญญาถอดเค้ามาจากพระเชษฐภคินีของข้าที่เป็นสายเลือดลำดับที่สาม ถ้านางเป็นบุตรีของคนที่ข้าคาดไว้ บัลลังก์สีน้ำเงินย่อมควรเป็นของนาง มากกว่ามเหสีของทาลางทูร และข้าก็ไว้ใจในไมตรีของปามะห์ยิ่งกว่าทางฝ่ายนั้น”

“ไม่...มีคนที่ใกล้เคียงกว่านั้น” ราเชนหลุดเสียงพึมพำแผ่วเบา พลางกุมหวีเสียบที่เก็บไว้กับตัวแน่น

“หืม...เจ้าว่าอะไรนะ” เจ้าชายชัยนเรนทร์ตรัสถามซ้ำ เมื่อได้ยินสิ่งที่ราเชนพูดไม่ถนัดนัก

“ข้าว่าไม่มีสายเลือดที่ใกล้เคียงกว่านั้นอีกหรือ อย่างสายเลือดของลำดับที่หนึ่งกับสอง”

“...ไม่มี” เจ้าหลวงวิวัสวัตทรงเค้นเสียงออกมาจากพระศออย่างลำบาก ขอบพระเนตรร้อนผ่าวขึ้นมา เมื่อทรงนึกถึงพระเชษฐาทั้งสอง “ทรงอยู่ต้านกบฎกับเจ้าพี่ ทั้งสองพระองค์คอยสกัดกั้นไม่ให้พวกมันไล่ตามพวกเราที่ถูกพาหนีออกมา พระชายาทั้งสองก็อยู่สู้ด้วย และสิ้นพระชนม์พร้อมกันในนั้น...ปราสาทเทพบันเทิงของพวกเรา”

ความทุกข์ระทมต่อการสูญเสียหยั่งลึกลงในพระหทัยของเจ้าหลวงวิวัสวัต เพราะตอนนั้นพระองค์ยังทรงพระเยาว์จึงถูกพาหนีออกมาพร้อมกับพระเชษฐภคินี ทั้งที่ใจจริงแล้ว พระองค์อยากร่วมสู้ไปพร้อมกับเหล่าเชษฐาให้สมพระยศ และพระองค์ก็ยังจำภาพของเจ้าหลวงฑิคัมพร ผู้เป็นเชษฐาองค์โตที่กลับมาจากแนวหน้าของกองกำลังปราบกบฎด้วยวรกายที่เต็มไปด้วยเลือดได้ดี

ในตอนนั้นทุกพระองค์เริ่มรู้ถึงความปราชัยที่จะมาถึง เหล่าผู้หญิงพากันเตรียมตัวหลบหนีตามแผนการที่วางไว้ตั้งแต่แรก และไม่มีสักพระองค์ที่ร้องไห้ฟูมฟาย นอกจากร่ำลาบุคคลอันเป็นที่รักด้วยท่าทางเหมือนกับว่าเป็นแค่การจากลาชั่วคราว

“ข้าไม่เคยลืมวันนั้น และมันก็เป็นแรงกระตุ้นให้ข้าฝึกฝนตนเอง เพื่อกลับมาทวงแผ่นดิน กลับมาทวงบ้านของพวกเรา...”






ตอนนี้กำลังไล่ล่าตอนจบอย่างเมามัน และเรื่องนี้ก็ทำพิษกับตัวเองเป็นรอบที่สอง เมื่อเขียนไป พิมพ์ไปแล้วเกิดอาการมือเคล็ด วะฮะฮ่า
กำหนดการเดิมที่วางพล็อตคือ 42 ตอนจบ ตอนนี้กำลังลุ้นอยู่ว่าจะจบที่ 42 หรือว่าจะเขียนเลย ถ้าเป็นอย่างแรกจะเป็นการดีกับตัวเองมาก จะพยายามโพสต์ให้อ่านจนถึงตอนจบ จนกว่าหนังสือจะได้พิมพ์ค่ะ

ส่วนปมของเรื่องนี้ไม่ได้มีอะไรมากเลยค่ะ ธีมหลักของมันคือสีน้ำเงิน แต่ที่ทำให้ดูเหมือนเยอะ เพราะมีตัวละครหลายตัวช่วยเบี่ยงประเด็น ทำให้เรื่องดูเหมือนจะวนไปวนมา

และสำหรับของหวานจานใหญ่ อยู่ในช่วงหลัง ๆ ซึ่งเป็นจุดปูไปสู่ไคลแมกซ์ของเรื่องค่ะ ตอนนี้ให้วิวัสวัตช่วยเคลียร์ปมที่ผูกไว้ตั้งแต่ตอนแรกก่อน และอาจได้เจอตัวละครเก่า ๆ ที่หลงลืมไปแล้ว หวนกลับคืนมานะคะ อดใจรออีกนิดดดดด.....


และเนื้อหาเกี่ยวกับของหวานจานใหญ่ ไม่มั่นใจว่าจะหวานถึงใจคนอ่านหรือเปล่า แต่จะพยายามปรุงแต่งให้อร่อยถึงที่เลยค่ะ

สุดท้ายและท้ายที่สุด เนื่องจากเดือนนี้เป็นเดือนพิเศษของตัวเอง เลยขอเพิ่มโบนัสเป็นอาทิตย์ละสองตอนนะคะ

ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านค่ะ



Create Date : 06 กุมภาพันธ์ 2551
Last Update : 6 กุมภาพันธ์ 2551 21:54:47 น.
Counter : 354 Pageviews.

2 comments
  
ไม่รู้ว่าเดือนนี้พิเศษยังไงกับคนเขียน แต่ก็ขอให้มีความสุขเยอะๆนะคะ และก็ดีใจจังที่จะได้อ่านอาทิตย์ละ 2 ตอน
โดย: น้อง IP: 124.121.188.219 วันที่: 7 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:9:51:57 น.
  
เย้ อาทิตย์ละสองตอน ดีใจจังเลยค่ะ
โดย: pumpam IP: 58.8.79.11 วันที่: 11 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:14:21:13 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ฌา
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



New Comments
All Blog